รู้จักกรรม ที่ทำให้เกิดโรค และเหตุแห่งความไม่มีโรค
---กรรมเป็นตัวกำหนดความเป็นไปของทุกสิ่ง คำว่า กรรม นั้นแปลว่า การกระทำ ไม่ใช่หมายถึงความชั่วร้ายหรือบาปอย่างที่มีบางคนเข้าใจผิด
---จากคำว่า “บาปกรรม” เรื่องของกรรมนั้นว่ากันตามกฎก็คือ การกระทำใดๆ ที่คน ๆนั้นเป็นผู้ก่อขึ้นตนเองเท่านั้นที่จะได้รับผลของสิ่งที่กระทำลงไป
“กรรมในปัจจุบันเป็นผลมาจากการกระทำในอดีตและกรรมที่ก่อไว้ในปัจจุบันเป็นเหตุที่จะส่งผลสืบเนื่องต่อไปยังอนาคต”
---ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม กรรมแต่ละอย่างก็มีความผูกพันของการกระทำอยู่ในตัวของมันเอง มีอยู่ 2 ประเภทอันได้แก่
---1.กรรมเก่า เป็นกรรมที่กำลังส่งผลกับชีวิตของเราในตอนนี้ เวลานี้ เรากำลังมีเจ็บป่วยอยู่ ณ เวลาปัจจุบันก็สืบเนื่องด้วยผลของการกระทำในอดีตมันส่งผลถึงเวลาปัจจุบัน ซึ่งข้อนี้ต้องมองย้อนกลับไปในเรื่องอดีตชาติอันยาวไกล อันเป็นที่มาทำให้คนเกิดความสงสัยมาก
---ยกตัวอย่างในบุคคลสมัยพุทธกาลผู้หนึ่งที่ชื่อ พระนางโรหิณีซึ่งเป็นน้องสาวของพระอนุรุธะเถระในหนึ่งเอตทัคคะสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเอกในด้านการมีทิพยจักษุ พระนางโรหิณี ทรงป่วยเป็นโรคผิวหนังอย่างรุนแรง รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต้องอยู่ด้วยความอับอายจนไม่อาจจะออกมาพบกับผู้ใดได้เลย
---เมื่อพระอนุรุทธะเถระมาถึงเมืองกบิลพัสดุ์เพื่อมาโปรดพระญาติ พวกพระญาติต่างก็มาชุมนุมกัน เพื่อต้อนรับ เว้นแต่พระนางโรหิณี เพียงคนเดียวพระอนุรุทธะจึงถามหาน้องสาว ก็ทราบความว่า พระนางเป็นโรคผิวหนังขั้นรุนแรงรักษาไม่ได้
---พระอนุรุทธะเถระเป็นผู้มีทิพยจักษุเป็นเลิศ ได้มองเห็นกรรมในอดีตของพระน้องนาง จึงให้ไปเชิญพระนางออกมาแล้วทรงแนะนำให้ทำบุญโดยให้ขายเครื่องประดับต่างๆ เท่าที่มีอยู่ แล้วนำทรัพย์มาสร้างศาลาโรงฉัน โดยขอแรงพระญาติที่เป็นชาย ให้ช่วยกันสร้างโรงฉันให้เรียบร้อย
---พระนางโรหิณีทรงเชื่อและปฏิบัติตาม เมื่อสร้างโรงฉัน 2 ชั้นเสร็จแล้ว ก็ทรงปัดกวาดเอง ทรงตั้งน้ำใช้น้ำฉันสำหรับพระภิกษุสงฆ์เอง ถวายทานด้วยน้ำสะอาดและอาหารอันประณีตแก่ภิกษุสงฆ์เป็นประจำทุกวัน นอกจากนี้ยังทรงรักษาศีลอุโบสถอย่างเคร่งครัด ทำให้โรคผิวหนังของพระนางค่อยๆ หายไปทีละน้อยจนผิวเกลี้ยงเกลาในที่สุด
---การที่พระนางโรหิณีต้องป่วยเป็นโรคนี้เป็นโรคที่เกิดแต่กรรม ต้องเอาบุญมาช่วยรักษา ลดอิทธิพลแห่งกรรมจนไม่มีอานุภาพในการให้ผลอีกต่อไปเหมือนคนกินยาเข้าไปปราบเชื้อโรคได้สำเร็จสร้างความประหลาดใจและความตื่นตะลึงในเดชอานุภาพในการสร้างบุญบารมีครั้งนี้มากมาย
---วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จมาเสวยที่โรงฉันของพระนางโรหิณี แล้วตรัสให้พระนางทราบเกี่ยวกับเหตุแห่งโรคที่รักษาไม่หายว่า
---โรคนั้นเกิดขึ้นเพราะกรรมของพระนางเองในอดีตกาล พระนางโรหิณีได้เกิดเป็นอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงพาราณสี แต่มีจิตริษยาหญิงนักฟ้อนคนหนึ่งของพระราชา ได้สร้างกรรมหนักคือ เอาผลเต่าร้างหรือ “หมามุ่ย” มาโรยลงบนสรีระของหญิงนักฟ้อนคนนั้น นอกจากนี้ยังให้บริวารเอาผงเต่าร้างไปโปรยบนที่นอนของหญิงนักฟ้อนคนนั้นอีกด้วย
---หญิงนักฟ้อนเมื่อได้รับผลเต่าร้างก็เกิดอาการคันอย่างทุกข์ทรมานมาก จนร่างกายเป็นผื่นพุพองขึ้นมาได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส นี่คือบุพกรรมของพระนางโรหิณีอันเป็นเหตุให้พระนางต้องเผชิญหน้ากับโรคร้ายเช่นนั้น
---พระพุทธเจ้าตรัสเตือนพระนางโรหิณีว่า ต่อไปนี้จงพึงละความโกรธความถือตัวเสีย เพราะจะเป็นเหตุให้ผิดศีลข้อที่ 1 คือการเบียดเบียนร่างกายของผู้อื่นให้เกิดทุกข์และอาจเลยเถิดไปถึงการฆ่าเอาชีวิตกันได้และต้องได้รับผลของกรรมๆ นั้นไป
---2.กรรมใหม่ เป็นการสร้างการกระทำต่อเนื่องหรือเป็นการเปลี่ยนแปลงการกระทำใหม่ ณ เวลาปัจจุบัน เพื่อที่จะได้หวังผลแห่งการกระทำใหม่ต่อไปในภายภาคหน้า หรือการที่ผลกรรมนั้นจะต้องส่งผลต่อไปในอนาคต เช่นการที่เราใช้ชีวิตอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าเป็นประจำติดต่อกันนานๆ หลายปี จนต้องป่วยเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งปอด ก็เพราะเกิดจากการกระทำของเราเองทั้งสิ้น ไปโทษใครไม่ได้เลย
*เหตุแห่งกรรมที่ทำให้เกิดโรคภัยในลักษณะต่างๆ
---กรรมเหล่านี้เป็นความเชื่อในเรื่องของทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ประกอบกัน ซึ่งเราจะต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่า ไม่ได้เกิดจากกรรมเก่าเพียงอย่างเดียว ซึ่งโรคร้ายต่างๆ ที่รักษาไม่หาย หรือหายขาดได้ยากนั้น หากว่ากันด้วยกฎแห่งกรรมแล้ว เกิดจากกรรม “ปาณาติบาต” คือการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือการเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ในอดีตชาติ หรือในปัจจุบันชาติเอาไว้มาก ซึ่งมีความรุนแรงไปตามกฎแห่งกรรมว่าด้วย วัตถุ เจตนา และประโยค
*1.เบียดเบียนโดยวัตถุ หมายถึง สิ่งที่มีตัวตน แยกเป็น 3 ประเภท คือ
---1.1ฆ่าหรือเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตผู้หาความผิดไม่ได้ คือ สิ่งมีชีวิตหรือคนผู้นั้นเป็นผู้ที่ไม่ได้ประทุษร้ายตนเองและผู้อื่นเลย การเบียดเบียนทำร้ายสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ย่อมมีโทษมาก เพราะไม่มีเหตุผลอันควรที่จะต้องไปทำร้ายเขา
---1.2ฆ่าหรือเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตผู้ที่มีความอุปการะมากแก่ตนเอง เช่น บิดา มารดา ครู อาจารย์ มีโทษหนักมากขึ้น เพราะได้ตัดประโยชน์สุขของผู้มีพระคุณที่ได้อุปการะเลี้ยงดูตนเอง
---1.3ฆ่าหรือเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตซึ่งเป็น ผู้มีคุณความดี มีโทษมาก เพราะไม่เป็นแต่ผลาญชีวิตเปล่า ยังทำลายคุณที่เป็นตัวอย่างให้ผู้อื่นประพฤติตามเสียด้วย เช่น เบียดเบียนทำร้ายพระอรหันต์ ทำร้ายพระโพธิสัตว์เจ้า ไปจนถึงพระพุทธเจ้า ย่อมมีโทษมากที่สุด แบบประมาณมิได้
*2.เบียดเบียนโดยเจตนา หมายถึง ความคิดอ่านหรือความตั้งใจ แบ่งได้อีก 3 ระดับ คือ
---2.1ได้เบียดเบียนหรือฆ่าสิ่งมีชีวิตนั้นโดยไม่มีสาเหตุ เช่น ผู้นั้นไม่มีโทษผิดถึงตาย หรือไม่ได้เป็นผู้ที่จะเข้ามาทำร้ายตนเอง แต่กลับไปเบียดเบียนเขาด้วยจิตคิดร้ายแบบไม่มีเหตุผลย่อมมีโทษ เช่น เห็นงูตัวหนึ่งเลื้อยผ่านหน้าบ้าน ก็ตรงเข้าไปทำร้ายงูตัวนั้นด้วยเหตุผลคาดว่า งูตัวนั้นจะเป็นอันตรายแก่ตนเอง ซึ่งเกิดจากความคิดของตนเองเพียงฝ่ายเดียว เป็นต้น
---2.2ได้เบียดเบียนหรือฆ่าสิ่งมีชีวิตนั้นด้วยกำลังกิเลสที่แรงกล้า เช่น รับจ้างฆ่าผู้อื่นเพราะกระหายในโภคทรัพย์ที่เขานำมาเป็นค่าจ้าง ด้วยความโลภเป็นที่ตั้งย่อมมีโทษมาก พวกที่ชอบจับสัตว์ป่าไปขายให้สัตว์เหล่านั้นต้องเดือดร้อนถึงชีวิต ก็เข้าข่ายหลักกรรมเจตนาในข้อนี้
---2.3ได้เบียดเบียนหรือฆ่าด้วยความพยาบาทอันร้ายกาจ ล้างผลาญเขาให้ถึงความพินาศ มีโทษมากที่สุด เพราะเจตนาแรงที่สุด เช่น มีการวางแผนสังหารกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพราะมีเหตุจากความคิดพยาบาทต้องการให้สิ่งมีชีวิตนั้นหรือคนๆ นั้นได้รับความทุกข์ทรมานมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
*3.เบียดเบียนหรือฆ่าโดยประโยค
---คำว่า ประโยคนั้น หมายถึง อาการสำหรับประกอบ (การกระทำ) เป็นการเบียดเบียนหรือฆ่าเพื่อมุ่งหมายให้ผู้อื่นลำบากจนถึงแก่ความตาย หรือเพื่อจุดประสงค์จะทรมานสิ่งมีชีวิตนั้นในรูปแบบต่างๆได้แก่
---3.1ใช้การงาน คือ การใช้การเกินกำลังของสิ่งมีชีวิตนั้นแบบไม่มีการปราณีสัตว์ ปล่อยให้อดอยากซูบผอม ไม่ได้หยุดพักผ่อนตามกาลอันสมควร โดยการทำความสำราญของสัตว์ให้เสียไป ขณะใช้ก็เฆี่ยนตีอย่างโหดร้ายทารุณ
---3.2กักขัง ได้แก่ กังขังในที่คับแคบ จนสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตนั้นแทบจะเปลี่ยนอิริยาบถไม่ได้ ทำให้ขาดอิสรภาพ ทุกข์ทั้งกายและใจ
---3.3ใช้การนำไป ได้แก่ การนำสัตว์ไปโดยวิธีทรมาน ลากไป หรือผูกมัดไว้ ยกตัวอย่าง เช่น เป็ด ไก่ สุกรที่เลี้ยงเพื่อนำไปฆ่า มีการหิ้วหามเอาหัวลง เอาเท้าขึ้น หรือเอาปลาขังข้องให้ทับแบบยัดเยียดกัน ปล่อยให้ดิ้นกระเสือกกระสนจนตายอย่างทรมาน เป็นต้น
---3.4ใช้การเล่นสนุก เช่น การเอาประทัดผูกหางสุนัข แล้วเอาไฟจุด หรือเอาไฟจุดบนกระดองเต่า เอาก้อนดิน ก้อนหิน ขว้างปานกเล่นจนเป็นเหตุให้นกพิการหรือตาย ซึ่งอาจจะเป็นการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วยความคึกคะนองหรือไม่รู้ก็ตาม ย่อมมีผลกรรมเกิดขึ้นต่อตนเองได้
---3.5ใช้การผจญสัตว์ เป็นการเดิมพันชีวิตผู้อื่นด้วยหวังความสนุก เช่น กัดปลา ชนวัวชนควาย ตีไก่ กัดจิ้งหรีด เป็นต้น การกระทำเหล่านี้ล้วนมีโทษมาก เพราะผู้ถูกเบียดเบียนหรือถูกฆ่าได้รับเสวยทุกข์เวทนาแสนสาหัส ย่อมส่งผลให้เกิดความทุกข์ให้กับผู้ที่ก่อกรรมเบียดเบียนเหล่านี้ไปตามความหนักเบาและลักษณะกรรมที่กล่าวมาโดยแตกต่างกัน
*จากหนังสือเรื่อง เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ 5 บุญฤทธิ์ พิชิตโรคร้าย (โรคเวรโรคกรรม)โดย ฤทธิญาโณ และจิตตวชิระ..ฯ
...........................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 26 กันยายน 2558
แก้ไขแล้ว ป.
Loan Approval 저신용자 대출
Not Your Fault 프라그마틱 슬롯 체험; https://telegra.ph/,
Strategies 프라그마틱 공식홈페이지
(http://englishclub-plus.ru/)
라이브 카지노