ท้าวกุเวรมหาราช (ไฉ่ชิ๋งเอี้ย)
*ตามตำนาน องค์ท้าวกุเวร
---บางตำนานก็เรียก...พระเศรษฐี เรียก....ไฉ่ฉิงเอี๊ย เรียก....ท้าวเวสสุวรรณ
---ในความเป็นมนุษย์ ย่อมมีศรัทธาเป็นที่ตั้ง มีหลายสิ่งหลายอย่างเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ความเชื่อในศาสตร์ ความเชื่อในศิลปวัฒนธรรม
*มีตำนาน มากมายอ้างอิงถึงประวัติของแต่ละความเชื่อ
---ให้ยึดมั่นถือมั่นในความดี มีศีลธรรม คิดดีประพฤติดี มีสัจจะ ทั้งทางกาย วาจา ใจ องค์ท้าวกุเวร (ชัมภล) หรือ เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย พระหัตถ์ด้านขวาถือลูกแก้ววิเศษ พระหัตถ์ด้านซ้ายถือพังพอน ที่กำลังคาย เพชร,นิล,จินดา,แก้วแหวนเงินทอง พระบาทซ้ายเหยียบหอยโข่ง นั่งท่ามหาราชเทวา
*ความเชื่อในพระปางนี้
---มีมาตั้งแต่อินเดียผ่านไทยไปถึงเมืองจีน ที่เมืองจีนเรียกไฉ่ฉิงเอี้ย สลักอยู่ที่หน้าผาหิน
---ท้าวกุเวร วัดถ้ำคูหาพิมุข ถ้ำพระนอน อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ท้าวกุเวรมหาราช (พระธนบดีศรีธรรมราช) ผู้ประทานโชคลาภและความมั่งคั่ง แห่งอาณาจักรทะเลใต้จำลองจากต้นแบบองค์ที่สวยที่สุดในโลก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์กีเม่ต์ ประเทศฝรั่งเศส พระธนบดี ศิลปะศรีวิชัย เนื้อสำริดสนิมเขียว อายุประมาณ 1,200 ปี องค์นี้มีความงดงามสุดยอด เป็นศิลปะศรีวิชัยบริสุทธิ์ นำมาเป็นต้นแบบจัดสร้างในครั้งนี้
*พระธนบดีศรีธรรมราช (เจ้าแห่งโชคลาภ)
---จัดสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก โดยจำลองแบบมาจากรูปหล่อ ท้าวกุเวรเจ้าแห่งขุมทรัพย์ที่สร้างขึ้นในสมัยศรีวิชัย โดยมีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น พระธนบดี พระกุเวร พระรัตนครรภ์ เจ้าพ่อขุมทรัพย์ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ โบราณถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ที่มีหน้าที่ประทานความมั่งคั่ง ความมีโชคดีให้กับผู้บูชา ฯลฯ
---ท้าวกุเวร เป็นเทพผู้รักษาทิศเหนือ ตามลัทธิศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ
*ประวัติของท้าวกุเวรกล่าวไว้ว่า
---พระองค์ได้บำเพ็ญทุกรกิริยา เป็นเวลาหลายพันปี จนพระพรหมทรงเห็นใจโปรดให้เป็นเทพแห่งความมั่งคั่ง จากมหากาพย์รามายณะ กล่าวว่า เทพกุมารได้รับยานที่ขับเคลื่อนไปในอากาศได้ตามประสงค์ของเจ้าของคือ บุษบก
---บางตำรากล่าวว่าท้าวกุเวรมีม้าสีขาวเป็นพาหนะ มีมเหสีนามว่า จารวี หรือ ฤทธี มีโอรส 2 องค์ ชื่อ มณีครีพ หรือ วรรณกวี กับ นุลกุพล หรือ มยุราช
---มีธิดา 1 องค์ชื่อ มีนากษี ในรามเกียรติ์กล่าวว่า ท้าวกุเวรทรงเป็นบิดาคันธมาทน์ นายทหารของพระราม และมีสวนชื่อเจตรถอยู่บนยอดเขามันทร ท้าวกุเวรยังมีชื่อเรียกตามเรื่องราวและคุณสมบัติอีกหลายชื่อ เช่น กุตนุ (มีรูปร่างน่าเกลียด) รัตนครรภ(มีเพชรเต็มพุง) ราชราช (เจ้าแห่งราชา) นรราช ธนบดี (เป็นใหญ่ในทรัพย์) ยักษราช (เจ้าแห่งยักษ์) รากชเสนทร์ (เป็นใหญ่ในพวกรากษส) ฯลฯ
---ตามเรื่องรามเกียรติ์ เรียกชื่อท้าวกุเวรว่า ท้าวกุเปรัน แต่ชื่อที่คนไทยคุ้นเคย คือ ท้าวเวสสุวัณ (สันสกฤต-ไวศรวณบาลี-เวสสวณ) ในคัมภีร์ไตรเพทกล่าวว่า ทรงเป็นอธิบดี ของพวกอสูร รากษสและภูติผี ในกลุ่มพวกนับถือศาสนาพุทธลัทธิมหายานในประเทศจีนกล่าวว่าโลกบาลทิศอุดร มีชื่อว่า "โตบุ๋น" แปลว่า " ได้ยินทั่วไป " มีพวกยักษ์เป็นบริวารมีกายสีดำ ถือดวงแก้วและงู
---ส่วนพวกธิเบตกล่าวว่าถือธงและพังพอน สีกายเป็นสีทองคำ ในประเทศญี่ปุ่นถือว่า โลกบาลทิศนี้ เป็นเทพเจ้าประจำโชคลาภมีนามว่า " พิสะมอน " ตรงกับนามว่า " ธนบดี " หรือ ธเนศวร อันเป็นนามหนึ่งของท้าวกุเวร แปลว่า ผู้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ ส่วนหนึ่งของที่ถือนั้น มีแก้วมณีกับทวนหรือธง
---ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ลัทธิวัชรยานในคัมภีร์สาธนมา กล่าวถึงท้าวกุเวรว่ามีหน้าที่เป็นทั้งธรรมบาล คือ ผู้มีตำแหน่งเทียบเท่าพระโพธิสัตว์ มีหน้าที่ทำสงครามปราบปรามปีศาจและยักษ์มารต่างๆ ซึ่งเป็นศัตรูต่อพระพุทธศาสนา ทรงเป็นโลกบาล (มีชื่อว่า เวสสุวัณหรือไวศรวีณ) คือ เทพผู้มีหน้าที่ปกป้องทิศทั้ง 4 (เฉพาะทิศเหนือ) อยู่บนเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และ คอยเฝ้าคอยดูแลทางเข้าสวรรค์ (ดินแดนสุขาวดี)
---พระธนบดีที่เก่าที่สุด เท่าที่พบในประเทศไทย มีการสร้างมาตั้งแต่ครั้งยุคสมัยศรีวิชัย เมื่อกว่า 1,000 ปีก่อน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญได้อย่างดี พระธนบดียังถือว่าเป็นนิรมาณกายอีกปางหนึ่งของพระโพธิสัตว์ และยังเป็นส่วนหนึ่งของพระมหากษัตริย์ตามคำภีร์พระมนู ซึ่งจะหมายถึงปางหนึ่งของจตุคามรามเทพก็ได้ ที่จะประทานความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่งให้กับโลกมนุษย์ การสร้างพระธนบดีครั้งนี้จึงสร้างขึ้นจากศาสตร์ความรู้ที่มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
*ตามคัมภีร์เก่าแก่กล่าวไว้ว่า
---ท่านเป็นผู้ประทานความมั่งคั่ง แผ่นดินใดที่อุดมสมบูรณ์พระมหากษัตริย์ปกครองแผ่นดินโดยธรรม ทรงเปี่ยมไปด้วยพระบรมเดชานุภาพเหนือกว่าพระราชาทั้งปวงหรือที่เรียกว่า "จักรพรรดิ" ท้าวกุเวรหรือชัมภลนี้ จะเป็นผู้ประทาน "สัตรัตนมณี" แก้วเจ็ดประการหรือสมบัติแห่งจักรพรรดิอันมีช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว มณีแก้ว นางแก้ว จักรแก้ว การประทานสมบัติเจ็ดประการของมหาจักรพรรดิ เพื่อความรุ่งเรืองแห่งแผ่นดิน มีดังนี้
---ประการที่ 1 จักรรัตนะ คือ จักรแก้ว หมายถึง การมีอำนาจหรือเดชานุภาพแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ
---ประการที่ 2 หัตติรัตนะ คือ ช้างแก้ว หมายถึง การแสดงออกซึ่งความมีบารมีที่ยิ่งใหม่ความมั่นคง
---ประการที่ 3 อัสสรัตนะ คือ ม้าแก้ว หมายถึง การมีบริวารข้าทาสรับใช้ที่ดี
---ประการที่ 4 มณีรัตนะ คือ มณีแก้ว หมายถึง ความสว่าง ความมีสติปัญญา ความรู้
---ประการที่ 5 อิตถีรัตนะ คือ นางแก้ว หมายถึง ได้คู่ครองที่ดีมีความงดงาม
---ประการที่ 6 คหปติรัตนะ คือ ขุนคลังแก้ว หมายถึง ความมีทรัพย์สิน เงินทองบริบูรณ์
---ประการที่ 7 ปริณายกรัตนะ คือ ขุนพลแก้ว หมายถึง ที่ปรึกษาคู่ใจ ผู้ให้ความรู้ ผู้ปกป้องคุ้มครอง บุตรที่ดี
---พระธนบดี หินแกะสลักที่มหาเจดีย์บุโรพุทโธ อินโดนีเซีย ศิลปะศรีวิชัยที่งดงาม ประจักษ์พยานถึงความสำคัญของพระธนบดี ผู้ประทานสมบัติพระจักรพรรดิแห่งอาณาจักรทะเลใต้ ดังนั้น อานุภาพแห่งพระธนบดีนี้ สามารถอธิษฐานขอพรได้ 7 ประการดัวยกัน ตามคุณลักษณะของสมบัติจักรพรรดิ 7 ประการ ซึ่งประทานให้โดยมหาราชผู้เป็นท้าวจตุโลกบาล ซึ่งคุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ตลอดกาล อาณาจักรศรีวิชัยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มีพระราชาธิราช ที่มีพระบรมเดชานุภาพเหนือกว่าพระราชาองค์อื่นปกครองทั่วน่านน้ำอาณาจักรทะเลใต้ มีพระมหากษัตริย์ที่ประกาศตนยิ่งใหญ่ ประดุจพระอาทิตย์ พระจันทร์ มีจารึกกรุงศรีวิชัย ประกาศความยิ่งใหญ่ ปรากฏชัดเจน
*ในคัมภีร์รามายณะและมหาภารตะได้บันทึกไว้ว่า
---ท้าวเวสสุวรรณมีอีกนามหนึ่งคือ ท้าวกุเวร (ท้าวจตุโลกบาล หรือท้าวมหากาพย์ หมายถึง เทพผู้มีภารกิจคุ้มครองปกป้องโลกทั้งสาม) ซึ่งเป็นเทพแห่งยักษ์เป็นอสูรเทพ ท้าวเวสสุวรรณนี้เป็นเจ้าแห่งอสูรเทพทั้งมวลนั่นเอง พระปุลัสตย์นั้นเป็นพระบิดาของท้าวเวสสุวรรณและท้าวเวสสุวรรณได้มีโอรสองค์หนึ่งชื่อว่า พระวิศรวัส
---ท้าวเวสสุวรรณแม้จะเป็นเทพอสูร แต่เป็นอสูรที่มีชาวบ้านชาวเมืองเคารพนับถือเป็นอันมาก ดังจะเห็นว่าแม้ในปัจจุบันนี้ ก็ยังมีพระรูปของท้าวเวสสุวรรณติดไว้ตามบ้านต่างๆ เพื่อให้พระองค์ได้คุ้มครองดูแลปกป้องบ้านเรือนของครอบครัวนั้น ส่วนใหญ่พระรูปของท้าวเวสสุวรรณ จะถูกชาวบ้านชาวเมืองนำมาติดไว้ที่ประตูหรือหน้ารั้วเพื่อให้พระองค์ได้ปกป้องคุ้มครอง เพราะอีกนัยหนึ่งนั้นมีความเชื่อในหมู่ชาวอินเดียโบราณว่า ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์สินด้วย
---พระนามในบางคัมภีร์ของท้าวเวสสุวรรณ อาทิ ยักษราช มยุราช รากษสเสนทร์ และธนบดี ซึ่งหมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์สินนั่นเอง การที่คนในพุทธศาสนาได้ทำบุญแล้วอธิษฐาน อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรนั้น จริงๆ แล้วในความเชื่อของพราหมณ์ ถือว่าหมายถึง ท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวจตุโลกบาลนั่นเอง
---ท้าวเวสสุวรรณในบางคัมภีร์ เป็นอสูรเทพ เป็นยักษ์ 3 ขา มีฟัน 8 ซี แต่พระวรกายขาวกระจ่าง สวมอาภรณ์งดงามมีมงกุฎทรงอยู่บนพระเศียร แต่มีรูปกายพิการและมีพาหนะคือ ม้าสีขาวนวลราวกับปุยเมฆ องค์นี้เป็นศิลปะแบบธิเบต
*ท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวร
---ธิเบตเรียก นัม.โถ.เซ. จีนเรียก ใช้ป๋อเทียนอ๊วงหรือพีซามึ้งเทียนอ๊วงหรือแป๊ะไช้ซิ้ง ท่านมีสองสถานะคือ สถานะเทพผู้ประทานทรัพย์องค์ขาว และสถานะหนึ่งในท้าวจตุโลกบาล
---ตำนานได้กล่าวไว้ว่า เมื่อก่อนพระศากยะมุนีพุทธเจ้า จะปรินิพพานได้สั่งความแก่ท้าวจตุโลบาลไว้ว่า ในอนาคตต่อไปพุทธศาสนาจะประสพกับอุปสรรคมากมายจากพวกนอกศาสนา พวกไม่หวังดีต่อพุทธศาสนา จะทำร้ายพุทธศาสนา ขอให้ท้าวจตุโลกบาลช่วยกันปกป้องรักษาพุทธศาสนา ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ได้ทำหน้าที่ปกป้อง พิทักษ์รักษาพุทธศาสนาและผู้ปฏิบัติธรรมเสมอมา คาถาประจำองค์ โอม ไว ซา วา นา เย โซ ฮา ฯลฯ
*คติชาวไทย
---ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุ ทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมากประทับ ณ โลกบาลทิศเหนือ มียักษ์เป็นบริวาร คนไทยโบราณนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็ก เพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควาญแก่เด็ก ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา มาเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่น ๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาญ ท้าวกุเวรหรือท่านท้าวเวสสุวรรณนั้น ส่วนมากเราจะพบเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ยืนถือกระบองยาวหรือคทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) กันซะส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่ามหาราชลีลา มีลักษณะอันโดดเด่นคือ พระอุระพลุ้ยอีกด้วย กล่าวกันว่าผู้มีอาชีพสัปเหร่อ หรือมีอาชีพประหารชีวิตนักโทษ มักพกพารูปท้าวเวสสุวรรณ สำหรับคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลังป้องกันภัยจากวิญญาณร้ายที่จะเข้ามาเบียดเบียน ในภายหลังภาพลักษณ์ของท้าวกุเวรที่ปรากฏในรูปของชายพุงพลุ้ยเป็นที่เคารพนับถือ ในความเชื่อว่าเป็นเทพแห่งความร่ำรวย
---แต่ท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวรรณซึ่งมาในรูปของยักษ์เป็นที่เคารพนับถือว่า เป็นเครื่องรางของขลังป้องกันภูติผีปีศาจ สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439 กล่าวถึงท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ มียักษ์และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร ท้าวกุเวรนั้นบางทีก็เรียกว่า ท้าวไวศรวัน (เวสสุวรรณ) ภาษาทมิฬเรียก "กุเวร" ว่า "กุเปรัน" ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่าเป็นพี่ต่างมารดาของทศกัณฐ์และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบกของท้าวกุเวรไป
---ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการผิวขาวมีฟัน 8 ซี่ และมีขาสามขา (ภาพท้าวเวสสุวรรณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแย ถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) เมืองท้าวกุเวรชื่อ "อลกา" อยู่บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่งของเขาพระสุเมรุชื่อว่า "สวนไจตรต" หรือ "มนทร" มีพวกกินนรและคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวร เป็นโลกบาลประจำทิศเหนือ ท้าวกุเวรนี้สถิตอยู่ยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ 1 สระ ชื่อ ธรณีกว้าง 50 โยชน์ ในน้ำดารดาษไปด้วยประทุมชาติ และคลาคล่ำไปด้วยหมู่สัตว์น้ำต่างพรรณ ขอบสระมีมณฑปชื่อ "ภคลวดี" กว้างใหญ่ 12 โยชน์ สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งมีดอกออกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพู ณ สถานที่นี้
---เป็นสโมสรสถานของเหล่ายักษ์บริวาร และยังมีนครสำหรับเป็นที่แปรเทพยสถานอีก 10 แห่ง ท้าวกุเวรมียักษ์เป็นเสนาบดี 32 ตน ยักษ์รักษาพระนคร 12 ตน ยักษ์เฝ้าประตูนิเวศ 12 ตน ยักษ์ที่เป็นทาส 9 ตน นอกจากนี้ยังมีกล่าวว่าท้าวเวสสุวรรณยังมีกายสีเขียว สัณฐานสูง 2 คาวุต ประมาณ200 เส้น มีอาวุธเป็นกระบอง มีพาหนะ ช้าง ม้า รถ บางทีปราสาท อาภรณ์มงกุฎประดับรูปนาค ดำรงอิสริยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ มีบริวารแสนโกฏิ ถือโล่แก้วประพาฬ หอกทอง ท่านท้าวเวสสุวรรณ ๑ใน ๔ ท้าวจตุโลกบาล
---โดยมีท้าวธตรฐดูแลพื้นที่ อยู่ทางทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหกดูแลรักษาพื้นที่อยู่ทางทิศใต้ ท้าววิรูปักข์ดูแลรักษาพื้นที่อยู่ทิศตะวันตก และท้าวเวสสุวรรณรักษาพื้นที่อยู่ทางทิศเหนือ โดยทั้ง ๔ ท่านมีหน้าที่แบ่งกันปกครองทั้งเหล่าคนธรรพ์ กินรี กินนร กุมภัณฑ์ นาค เทวดา และยักษ์ อยู่บนสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา
---ในส่วนของท้าวเวสสุวรรณ ท่านจะปกครองเหล่าอสูรและยักษ์ ตลอดจนภูติผีปีศาจทั้งหลาย ตามตำนานกล่าวว่าเริ่มแรกท่านท้าวเวสสุวรรณปกครองอยู่เมืองลงกา ต่อมาได้ถูกทศกัณฑ์มายึดและขับไล่ให้ท่านไปอยู่ที่อื่น พร้อมทั้งแย่งบุษบก (ของวิเศษที่พระพรหมมอบให้) ไปครอบครองอีก
---ท้าวเวสสุวรรณจึงได้มาสร้างเมืองใหม่อยู่บนสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา โดยท่านมีหน้าที่ดูแลปกครองเหล่าอสูร ยักษ์ ตลอดจนเหล่าภูติผีปีศาจทั้งหมด และยังเป็นเจ้าบัญชีพระกาฬใหญ่ ท่านท้าวเวสสุวรรณท่านเป็นยักษ์ที่ใจบุญ อีกทั้งยังให้ความเคารพนับถือในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ในสมัยพุทธกาล กล่าวว่ามีพระภิกษุสงฆ์ สามเณร ที่ออกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร เพื่อแสวงหาโมกขธรรม มีพระภิกษุสงฆ์บางรูปที่ยังไม่ได้สำเร็จอภิญญามักจะโดนบรรดาภูติผีปีศาจ หลอกหลอนไม่เป็นอันได้ปฏิบัติกิจของสงฆ์ คือการเจริญสมาธิกรรมฐานเพื่อชำระจิตใจให้สงบได้อย่างเต็มที่ ท่านท้าวเวสสุวรรณ ได้เสด็จลงมาจากเทวโลกเพื่อมากราบนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมทั้งถวายมนต์ “ภาณยักษ์” ให้ไว้เพื่อเป็นมนต์ป้องกัน
---เวลาพระภิกษุ สามเณร ที่ออกธุดงค์ตามป่าเขา ถูกบรรดาภูติผีปีศาจ ยักษ์ เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ หลอกหลอน ซึ่งมนต์ “ภาณยักษ์” บทนี้ยังนำมาใช้สวดกันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ โดยการสวดมนต์ “ภาณยักษ์” บทนี้มักจะทำ เป็นพิธีการยิ่งใหญ่ ทุกวัดมักจะจัดให้มีการสวด “ภาณยักษ์” นี้ขึ้นเชื่อกันว่าใครที่ถูกคุณ ถูกของหรือโดนผีเข้าสิง เมื่อเข้าไปในบริเวณพิธีสวด “ภาณยักษ์” สิ่งอัปมงคลต่างๆที่มีอยู่ในตัวก็จะหมดไปด้วย มนต์ภาณยักษ์อันวิเศษบทนี้และนอกจากนี้ ท้าวเวสสุวรรณยังเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยสัญญลักษณ์แห่งมหาเศรษฐี
---ในหนังสือเทวกำเนิดของพระยาสัจจาภิรมย์ ระบุชื่อ ท้าวเวสสุวรรณ ล้วนมุ่งหมายทางมหาเศรษฐีมั่งมีทรัพย์ อาทิ ท้าวรัตนครรถ (ผู้มีเพชรเต็มพุง) ท้าวกุเวรธนบดี (ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์) ท้าวธเนศวร (เจ้าทรัพย์) องค์อิฉาวสุ (ผู้มั่งมีได้ตามใจ) ท้าวเวสสุวรรณ (ยิ่งด้วยทอง) แม้แต่ชาวจีนก็ยกย่ององค์ท้าวเวสสุวรรณว่า เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและความร่ำรวยในนาม “องค์ไฉ่ซิงเอี้ย” ซึ่งมีบูชากันทุกบ้านร่ำรวยทุกคน ขับไล่ภูติผีปีศาจ วิญญาณร้าย แก้เสนียด อัปมงคลคุณไสยต่างๆ หากท่านผู้ใดบูชาท่านท้าวเวสสุวรรณ ด้วยความเคารพศรัทธา จงเชื่อได้เลยว่าท่านจะประสบแต่ความโชคดีมีทรัพย์ ตลอดจนพ้นภัยจากบรรดาภูติผีปีศาจทั้งหลาย ในคัมภีร์โบราณ ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวร
*ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร
---ในคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วง เรียกท้าวเวสสุวรรณว่า “ท้าวไพศรพมหาราช” และได้พรรณนาถึงการแต่งองค์ไว้ว่า ”ท้าวไพศรพมหาราชเป็นพระยาแก่ ฝูงยักษ์แลเทพยดาทั้งหลายฝ่ายทิศอุดร เถิงกำแพงจักรวาลเบื้องอุดรทิศพระสุเมรุราชแลเครื่องประดับตัว แลบริวารทั้งหลายเทียรย่อมทองเนื้อสุก ฝูงยักษ์ทั้งหลายนั้นบ้างถือค้อน ถือสากแลจามจุรีเทียรย่อมทองคำบ่มิรู้ขิร้อยล้าน แลฝูงยักษ์นั้นมีหน้าอันพึงกลัวแลท้าวไพศรพจึงขึ้นม้าเหลืองตัวหนึ่งดูงามดั่งทอง”
---จากคำพรรณนาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวไพศรพนั้นร่ำรวยมหาศาลมีทองคำมากมายไม่รู้กี่ร้อยล้าน ทั้งยังมีเครื่องประดับเป็นทองคำ บริวารก็ถือ ค้อนทอง สากทอง และทรงม้าสีทอง ฝ่ายพุทธศาสนามีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกมหานิทานสูตร มหาวรรคทีฆนิกายกล่าวไว้ว่า ดินแดนที่ประทับของท้าวเวสสุวรรณ ชื่ออาลกมันทาราชธานี เป็นนครเทพเจ้าที่งดงามรุ่งเรืองมากโดยท้าวเวสสุวรรณเทวราชโลกบาลองค์นี้ เป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน
---และเมื่อพระมหาโมคคัลลานะเดินทางขึ้นมาเยี่ยมเยียนพระอินทร์ท้าวสักกะเทวราช ณ มหาปราสาทไพชยนต์วิมาน ท้าวเวสสุวรรณพระองค์นี้ก็ได้เสด็จเข้าร่วมให้การต้อนรับด้วยพระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์แห่งแคว้นมคธ หลังจากที่เสด็จสวรรคตเนื่องจากการทารุณกรรมของพระเจ้าอชาตศัตรู ผู้เป็นราชโอรสที่เข้ายึดอำนาจก็ได้มาอุบัติในโลกสวรรค์เป็นพญายักษ์เสนาบดีตนหนึ่งของท้าวเวสสุวรรณนั่นเอง ในอรรถาโลภปาลสูตรกล่าวว่า เมื่อถึงวันอุโบสถคือ ขึ้นหรือแรม ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ องค์ จะลงมาตรวจโลกมนุษย์อยู่เสมอ โดยจะถือแผ่นทองและดินสอมาด้วยและจะเที่ยวเดินดูไปทุกแห่งทั่วถิ่นฐานบ้านเมืองใหญ่น้อยทั้งหลายในโลกมนุษย์ ถ้าใครทำบุญประพฤติธรรม ทำความดี ก็จะเขียนชื่อและการกระทำลงบนแผ่นทองคำแล้วนำแผ่นทองคำไปให้ปัญจสิขรเทวบุตรซึ่งจะนำไปให้พระมาตุลีอีกต่อหนึ่ง พระมาตุลีจึงเอาไปทูลถวายแด่พระอินทร์ถ้าบัญชีในแผ่นทองมีมากเทวดาทั้งหลายก็จะแซ่ซ้องสาธุการ ด้วยความยินดีที่มนุษย์จะได้ขึ้นสวรรค์มาก
---แต่หากมนุษย์ใดทำความชั่วก็จะจดชื่อส่งบัญชีให้ท้าวยมราช เพื่อให้นายนิริยบาลทั้งหลายจะได้ทำกรรมกรณ์ ให้ต้องตามโทษานุโทษเท่าสัตว์นรกเหล่านั้น ศิลาจารึกสมัยกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า ท้าวเวสสุวรรณ มีปราสาทช้างเรืองอร่ามด้วยแสงแก้วอยู่เหนือยอดเขายุคนทร มียักษ์เฝ้าประตูวังและยักษ์เสนาบดีอยู่หลายตนมีร่างทิพย์ ม้าทิพย์ ราชรถทิพย์และบุษบกทิพย์ มีศักดิ์เป็นใหญ่แก่ฝูงยักษ์ทั้งหลาย ๙ ตนมีบริวารที่เรียกว่า ”ยักขรัฏฐิภะ” ซึ่งมีหน้าที่สืบข่าวและตรวจตราเหตุการณ์ต่างๆรวม ๑๒ ตนและยังมียักษ์ที่สำคัญเป็นเสนาบดียักษ์อีก ๒๘ นายที่คอยรับใช้ท้าวเวสสุวรรณอยู่ดังจะเห็นว่า ท้าวเวสสุวรรณ มีกำเนิดจากหลายตำนาน
---แม้กระทั่งในลัทธิของจีนฝ่ายมหายานว่า ท้าวโลกบาลทิศอุดรมีชื่อว่า ”โตบุ๋น” เป็นขุนแห่งยักษ์ มีพวกยักษ์บริวารมีกายสีดำ ถือดวงแก้วและงู ทางทิเบตมีกายสีทองคำถือธงและพังพอน ทางญี่ปุ่น ถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภนามว่า "พิสมอน" ถือแก้วมณีทวนและธงตามที่ได้พรรณนามานั้นเป็นเพียงประวัติย่อๆ ของท้าวเวสสุวรรณเพื่อชี้ให้เห็นว่าท่านมีความสำคัญมากเพียงใด โบราณาจารย์จึงได้จัดสร้างรูปไว้เคารพบูชามาตั้งกว่าพันปีมาแล้ว โดยสรุปแล้วท้าวเวสสุวรรณ ถือเป็นเทพเจ้าที่สำคัญยิ่ง เป็นที่เคารพนับถือในหลายต่อหลายประเทศ ในไทยเราเองนั้นนับถือเทพเจ้าองค์นี้มาก
---ในฐานะผู้คุ้มครองให้ปลอดภัยจากวิญญาณร้าย ดังเราจะเห็นได้ว่าครูบาอาจารย์มักทำผ้ายันต์ท้าวเวสสุวรรณ เป็นผืนสีแดงไว้ติดตามประตู เพื่อป้องกันภูตีผีปีศาจ คติความเชื่อนี้ถือว่าเก่าแก่และเป็นที่คุ้นตาที่สุด หรือ อย่างพิธีสวดภาณยักษ์ ก็เช่น พระคาถาภาณยักษ์ หรือบท “วิปัสสิ” นี้เป็นพระคาถาที่ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ท่าน โดยมีท้าวเวสสุวรรณเป็นหัวหน้า นำมามอบให้พระพุทธเจ้า ปัจจุบันเราก็ยังสามารถพบเห็นการสวดภาณยักษ์ได้อยู่ และจะเห็นรูปท้าวเวสสุวัณเด่นเป็นสง่าเสมอในพิธีสวดภาณยักษ์นี้ เพราะท้าวเวสสุวรรณเป็นผู้ที่มีสิทธิเฉียบขาดในการลงโทษภูตีผีปีศาจทั้งหลาย จึงเป็นที่ศรัทธาเชื่อมั่นว่า ท้าวเวสสุวรรณนี้เป็นเทพเจ้าที่มีคุณในการทำลายล้างสิ่งอัปมงคล ทั้งกันทั้งแก้เรื่องผีปีศาจ คุณไสยมนต์ดำทั้งหลายได้ ทั้งยังให้คุณเรื่องโภคทรัพย์อีกประการหนึ่งดังที่กล่าวมาแล้ว
*คติชาวจีน
---ไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภ หากเอ่ยถึงเทพเจ้าต่างๆ ที่ชาวจีนกราบไหว้บูชาแล้ว จะเห็นได้ว่ามีอยู่ด้วยกันนับสิบสิบองค์ และองค์หนึ่งที่ชาวจีนมักบูชาเพื่อความโชคดี ความมั่งคั่ง ความร่ำรวยมีโชคมีลาภก็คือ ไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภนั่นเอง ซึ่งเป็นเทพเจ้าองค์แรก ที่ชาวจีนทุกครอบครัวกราบไหว้บูชากันในวันแรกของปีใหม่ ตามคติของชาวจีนคือ วันชิวอิก ตรุษจีนของปี เพื่อขอให้ท่านประทานความมั่งมีศรีสุข โชคลาภ ความร่ำรวย ชาวจีนให้ความเคารพนับถือและกราบไว้บูชากันมาหลายพันปีแล้ว
---ประวัติความเป็นมาของไฉ่ซิงเอี้ย นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายตำนาน เท่าที่ศึกษาดูและพอจะมีหลักฐาน เค้าความจริงอยู่ด้วยกันหลายเรื่อง มีอยู่ด้วยกัน 2 ภาค คือ เทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบู๊ (บูไฉ่ซิงเอี้ย) และเทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบุ๋น (บุ่งไฉ่ซิงเอี้ย)
---ตามตำนานกล่าวกันว่า เทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบู๊ก็คือ เจ้ากงหมิง ซึ่งบำเพ็ญพรตอยู่บนเขาง้อไบ๊ สำเร็จมรรคผลเป็นเซียนที่มีอิทธิฤทธิ์สูงมาก หน้าตาดุร้าย มีหนวดเครารุงรัง มีสมุนร้ายกาจมาก คือ เสือดำ บางตำราว่าเป็นเสือโคร่ง และยังมีของวิเศษอีกหลายอย่าง เช่น แส้เหล็ก ไข่มุกวิเศษ เชือกล่ามมังกร แม้แต่เจียงไท่กง ซึ่งเป็นเทพผู้ใหญ่ซึ่งมีหน้าที่แต่งตั้งเทพเจ้าองค์ต่างๆ ยังสู้เจ้ากงหมิงไม่ได้และตอนหลังยังได้ของวิเศษอีก 4 อย่าง คือเจียป้อ หนับเตียง เจียใช้ หลี่ฉี ซึ่งเป็นของวิเศษที่สามารถเรียกเงินทองให้ไหลมาเทมา ช่วยให้การค้าราบรื่นได้กำไรงาม ประชาชนจึงพากันกราบไหว้ เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภเงินทองความมั่งคั่ง
---เทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบุ๋น ตามตำนานกล่าวกันว่า คือ ปี่กาน อัครมหาเสนาบดีของจักกรพรรดิอินโจ้ว ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์อิน หน้าตาสะอาดหมดจด รับใช้ราชสำนักด้วยความจงรักภักดี แต่ถูกนางสนมเอกของจักรพรรดิอินโจ้ว กลั่นแกล้ง โดยจะขอหัวใจของปี่กานมาเป็นยา ซึ่งปี่กานก็รู้ว่าถูกกลั่นแกล้ง แต่ก่อนที่จะควักหัวใจให้ไป ปี่กานได้รับยาวิเศษจากเจียงไท่กง ผู้ใดกินแล้วถึงแม้ไม่มีหัวใจและกินเข้าไปก่อนแล้ว ก่อนควักหัวใจจึงทำให้มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องมีหัวใจ พอควักหัวใจให้ไปแล้วก็เดินออกจากวังไป ตอนหลังเร่ร่อนไปตามหมู่บ้านต่างๆ เที่ยวโปรยเงินโปรยทองกลายเป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์สินเงินทอง และโปรยเงินทองให้ประชาชนอย่างทั่วถึง
*ลักษณะที่สำคัญอันเป็นเอกลักษณ์
---เนื่องจากไฉ่ซิงเอี้ยเป็นเทพแห่งความโชคดี ความมั่งคั่งและความร่ำรวยและเป็นที่นิยมนับถือกันในหมู่ชาวจีน โดยเฉพาะชาวจีนที่ประกอบการค้า ดังนั้นจึงปรากฏว่ามีการสร้างรูปเคารพของไฉ่ซิงเอี้ยขึ้นมา เพื่อสักการะบูชากันซึ่งมีตั้งแต่เป็นภาพวาด รูปปั้นเซรามิค (กระเบื้อง) และรูปหล่อโลหะ (มีน้อยไม่ค่อยพบเห็นเพราะจัดสร้างยาก ต้นทุนสูง)
*ลักษณะที่ปรากฏในรูป
---เคารพดังกล่าว จึงแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
---1.รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊ รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี้ยในลักษณะนี้ จะเป็นรูปของไฉ่ซิงเอี้ยที่อยู่ในวัยกลางคนสวมใส่ชุดนักรบจีนโบราณ อันประกอบ ไปด้วยชุดเกราะ, หมวกขุนพลจีนโบราณ มือขวาจะถือกระบอง มือซ้ายถือเงินหยวน (หยวนเปา) ใบหน้าดุดันค่อนข้างไปในทางเหี้ยมโหด และมีพาหนะเป็นเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวใหญ่
---2.รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบุ๋น รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี้ยในลักษณะนี้ เป็นรูปของไฉ่ซิงเอี้ยอยู่ในชุดขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของจีนโบราณ สวมหมวกขุนนาง มีปีกออกไปสองข้าง (ลักษณะเดียวกับหมวกของเทพลก) ชุดขุนนางจีนชั้นผู้ใหญ่ก็จะครบเครื่องครบครันทั้งเสื้อนอกเสื้อใน มือซ้ายจะถือเงินหยวน (หยวนเปา) หรือบางที่ไม่ได้ถืออะไรดังกล่าวเลย แต่มือทั้งสองจะถือแผ่นผ้าจารึกอักษร (ปัก) ที่คลี่ออกมาเป็นคำอวยพรที่เป็นสิริมงคลแก่ผู้บูชาทุกท่าน
---อานุภาพของไฉ่ซิงเอี้ย ไฉ่ซิงเอี้ยเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง และความร่ำรวยของชาวจีนย่อมจะต้องมีอานุภาพในด้านอำนวยความมีโชคลาภ ความมั่งคั่งและความร่ำรวยให้แก่ผู้บูชา ซึ่งหากบูชาได้ถูกวิธีก็จะดียิ่งขึ้น สำหรับอานุภาพของไฉ่ซิงเอี๊ยนั้นขอจำแนก ออกเป็นภาคเพื่อจะได้เข้าใจได้ชัดเจนดียิ่งขึ้น
---1.ไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊ ไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊นี้ชาวจีนที่นับถือเชื่อกันว่าจะมีอานุภาพ ให้คุณแก่ผู้บูชาในเรื่องของหนี้สินกล่าว คือ จะช่วยดลบันดาลให้ผู้บูชาที่เป็นเจ้าหนี้สามารถทวงหนี้ จากลูกหนี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น ลูกหนี้ไม่คิดที่จะเบี้ยวหรือหนี ให้เจ้าหนี้ต้องลำบากลำบน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงอานุภาพ ในการช่วยดูแลควบคุม บริวารลูกจ้างทั้งหลายให้อยู่ในกรอบในระเบียบ ให้ขยันทำการทำงาน โดยเฉพาะตามโรงงานใหญ่หรือบริษัทใหญ่ๆ ตลอดจนกิจการงานที่มีลูกน้องมากๆ ต่างนิยมบูชาไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊นี้ด้วย มีความเชื่อว่าท่านจะช่วยกำกับดูแล ลูกน้องให้ดีเป็นหูเป็นตาให้แก่ผู้บูชาหรือเจ้าของกิจการ ทั้งนี้และทั้งนั้นยังรวมไปถึงบรรดาข้าราชการทหาร ตำรวจที่อยู่ในระดับหัวหน้า (ชั้นสูงๆ) ที่มีผู้ใต้บังคับบัญชามากๆ ต่างนิยมบูชาไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊ด้วยกันทั้งสิ้น (ของจีน) นอกจากนี้ยังมีอานุภาพ ในการคุ้มครองบุตร ภรรยา (ของผู้บูชา) ทั้งที่อยู่ในบ้านและต่างถิ่นแดนไกลให้ทำตนเป็นคนดี มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน
---2.ไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบุ๋น ชาวจีนเชื่อว่า ไฉ่ซิงเอี้ยในภาคบุ๋นนี้จะอำนวยพรให้ผู้บูชา มีความมั่งคั่งและมีความร่ำรวย มีโชคลาภเป็นประจำ โชคลาภที่ได้เป็นรายได้พิเศษ ที่นอกเหนือไปจากรายได้ประจำ ไฉ่ซิงเอี้ยในภาคนี้จะมีอานุภาพในด้าน เกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ และโชคลาภ ที่ถือเป็นรายได้รายรับที่จะทำให้ผู้บูชามีความมั่งคั่งและมีความร่ำรวยเปรียบดังนักการฑูต ที่ดีมีความสามารถในการเจรจาโน้มน้าวให้ต่างชาติ ต่างภาษามีความเชื่อถือในประเทศของตน และเช่นเดียวกัน ทำให้ลูกค้าเชื่อถือในคุณภาพสินค้าและบริการ และกลายเป็นลูกค้าประจำ ดังนั้นผู้ที่จะบูชาไฉ่ซิงเอี้ยก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้องบูชาไฉ่ซิงเอี้ยให้ครบชุด กล่าวคือ จะต้องมีรูปไฉ่ซิงเอี้ยทั้งในภาคบู๊และภาคบุ๋นคู่กัน เพื่อท่านจะได้อำนวยความเป็นสิริมงคลให้ครบทุกๆ ด้าน ดังกล่าวมาแล้ว
*รูปแบบการจัดสร้าง เทพเจ้าแห่งโชคลาภ "ไฉ่ซิงเอี้ย"
---รูปหล่อบูชาไฉ่ซิงเอี๋ยในชุดนักรบยืนเหยียบเสือขนาดสูง 16 นิ้ว มือซ้ายถือเงินทองและไข่มุกวิเศษ มือขวาถือดาบคล้ายกระบอง สวมใส่เสื้อมังกร เหน็บแส้ไว้ข้างลำตัว จัดเป็นปางที่สวยสมบูรณ์แบบที่สุดของเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยปางบู๊ ก็ว่าได้ซึ่งรูปแบบจะเห็นได้ถึงความลงตัวของงานศิลปะจีนที่สวยงามอลังการยิ่งนัก ปั้นแบบโดยประติมากรชื่อดังซึ่งปั้นงานศิลปะจีนได้ สวยงามที่สุดแห่งยุค (ขอสงวนนาม)
---องค์เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยอยู่ในชุดนักรบเหยียบเสือ สวมใส่เสื้อมังกรชุดนักรบมือซ้ายถือก้อนเงินก้อนทองจีน มีไข่มุกวิเศษ มุกไฟล่อมังกร เป็นการเรียกทรัพย์โชคลาภ ข้างลำตัวเหน็บแส้เหล็กไว้ พระพักตร์เต็มไปด้วยเมตตา ปกติบู๊ไฉ่ซิงหน้าตาจะดุมาก ลักษณะต่างๆ ถูกต้องตามโหงวเฮ้งยิ่งนัก จมูกเจ้าทรัพย์เป็นมหาเศรษฐี เป็นเคล็ดว่าผู้บูชาจะได้ร่ำรวยเป็นสิริมงคล มีอำนาจบารมีประกอบกับปางบู๊เหยียบเสือนี้ มีความหมายยิ่งนัก เพราะเสือเป็นราชาแห่งสัตว์ป่าทั้งมวล บ่งบอกถึงอำนาจ ราชศักดิ์ความสง่าผึ่งผาย ความกล้าหาญ ความทรงพลังทางอำนาจ ตลอดจนการค้าอีกด้วย
---และในภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบันเปิดกว้างถึงกันหมด การค้าขายก็ไม่ผิดอะไรกับสงครามการค้าดีๆ นี่เอง จึงควรบูชาบู๊ไฉ่ซิงเอี้ย เพื่อขอพระให้ท่านช่วยให้ทำการค้าประสบผลสำเร็จ และปางเหยียบเสือนี้สอดคล้องกับปีนักษัตรจอ ที่จะมาถึงในปี พ.ศ.2549 ยิ่งนัก เพราะเสือกับจอเป็นคู่มิตร (ซาฮะ) จะหนุนเสริมเติมพลังให้กันและกัน ผู้บูชาจะทำให้ธุรกิจการค้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และเจริญก้าวหน้า เสื้อที่องค์ไฉ่ซิงเอี้ยสวมใส่นอกจากชุดนักรบยังมีเสื้อมังกรอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มังกรนั้นเป็นสัตว์ในเทพนิยายจีน ที่มีรูปลักษณะเด่นสะดุดตาหลายสิ่งหลายอย่าง รวมกันถึง 9 ประการกล่าว คือ
---หัวคล้ายอูฐมีเขาสวมอยู่คล้ายเขากวาง
---มีตาเหมือนกระต่าย
---มีหูเหมือนหูวัว คอเหมือนงู
---ลำตัวยาวเหมือนจระเข้ มีเกล็ดยาวตลอด
---ลำตัวคล้ายเกล็ดปลา
---กรงเล็บเหมือนนกเหยี่ยว ฝ่าเท้าเหมือนเท้าเสือ
---เลื้อยแล่นวิ่งซอนไชอยู่บนก้อนเมฆบนท้องฟ้า บางครั้งก็พบกำลังเลื้อยแล่นโต้คลื่นอยู่ในทะเล ใกล้หัวมังกร มีลูกกลมเป็นไข่มุกไฟลอยหมุนอยู่ มังกรถือเป็นสัตว์เทพเจ้ามีความเป็นอมตะ จะตายก็ต่อเมื่อสมัครใจเองและไม่มีกำหนด มังกรจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชาวจีน ซึ่งล้วนแต่เป็นสิริมงคลเ ป็นพื้นฐานของความเมตตา กรุณา พลังอำนาจวาสนา ความแคล้วคลาดปลอดภัย เป็นผู้พิทักษ์อำนาจของเทวดาที่คอยเฝ้าดูอยู่เหนือจักรวาลและมวลมนุษย์ แม้แต่ฉลองพระองค์จักรพรรดิจีน ยังต้องมี "มังกร 9 ตัว" เป็นหัวใจ
---รูปแบบที่มือขวาถือดาบคล้ายกระบอง เป็นการช่วยในเรื่องของการค้า การเจรจา อำนาจให้ดูมีบารมีน่าเกรงขาม แส้เหล็ก ที่เหน็บข้างลำตัวไว้ปราบเสือ เหมือนดั่งเอาไว้ควบคุมบริวารให้อยู่ในโอวาทไม่คดโกง มือซ้ายถือก้อนเงินก้อนทองไข่มุกวิเศษ ล้วนมีความหมายเป็นสิริมงคล ให้ผู้บูชามีทรัพย์สินเงินทอง ร่ำรวย มีอำนาจ วาสนา ยศฐาบรรดาศักดิ์ เกียรติยศชื่อเสียงฯลฯ
------------------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย....แสงธรรม
แก้ไขแล้ว
อัพเดทรอบที่ 6 กันยายน 2558
ความคิดเห็น