พระปางมหาจักรพรรดิ์ ทรงปราบพระเจ้ามหาชมพูบดี
---"เจ้าชายมหาชมพู" ซี่งต่อมาเจริญวัยเป้นพระเจ้ามหาชมพูบดี หรือ พญามหาชมพูเป็นมหาราชผู้ครองนครใหญ่อยู่นอกเขตมนุษยโลก เรียกกันว่าเมืองเบญจานคราช นั้น
---เมื่อทรงประสูติได้ ๗ วัน มีพระฤษีจากหิมาลัย นำฉลองพระบาทมาถวาย ซึ่งทำด้วยทองคำเนื้อเก้าประดับด้วยอัญมณี ๙ ชนิด ๙๙เม็ด พระฤษีได้นำมาถวายแด่พระผู้ครองเบญจานคราช โดยกราบทูลว่าฉลองพระบาททองคำคู่นี้เป็นของคู่บุญบารมีของพระกุมาร ต่อไปจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ครอบครองมนุษยโลก ฉลองพระบาททองคำสามารถขยายใหญ่ได้ตามขนาดการเจริญวัยของพระกุมาร ฉลองพระบาททองคำสามารถนำพระองค์เหาะไปที่ใดๆได้ตามความปราถนา เพียงตั้งจิตอธิษฐานฉลองพระบาททองคำจะนำพระองค์ไปในที่นั้นภายในเวลาชั่ว พริบตา นอกจากฉลองพระบาททองคำแล้วเมื่อทรงพระเจริญวัยทรงได้พระแสงศรคู่พระทัย พระ แสงศร(วิษศร) สามารถยิงไปที่ใดๆก็ได้เพียงแต่ตั้งจิตอธิษฐานว่าให้ลูกศรพุ่ง ไปในที่ใด ลูกศรก็จะไปยังจุดหมายเหมือนจับวาง แม้ว่าเป้าหมายนั้นจะอยู่ไกลแค่ไหนก็จะไปถึงได้ อาวุธอีกอย่างของพระองค์คือพระแสงขรรค์ชัยศรี ซึ่งมีอานุภาพมากมายเช่นเดียวกัน
---ทรงได้รับ สถาปนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระนามว่า พระเจ้ามหาชมพูบดี แต่ผู้คนพากันถวายพระนามว่า ท้าวพญามหาชมพู ทรงรุกรานแว่นแคว้นต่างๆในมนุษยโลกให้เป็นเมืองประเทศราชมากมายหลายแคว้น ทรงจัดให้มีพระราชพิธีฉลองพิธีบรมราชาภิเษกทุกๆ๕ ปี ประเทศราชต้องพากันเดินทางมาร่วมพิธีฉลองพระบรมราชาภิเษก เมืองใดไม่มาท้าวเธอจะกรีฑาทัพไปเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ท้าวพญามหาชมพูทรงประกาศในมหาสมาคมว่า อันตัวเราท้าวพญามหาชมพู เป็นจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ จะไม่น้อมเศียรให้ผู้ใดในโลกหล้า มีแต่จะกำราบให้มาสวามิภักดิ์ ต่อตัวเราผู้เป็นหลักใหญ่ ทรงท้าทายทั่วแว่นแคว้นว่าถ้าใครสามารถจะเอาชนะพระองค์ได้จะยกราชสมบัติให้ครอบครองแทนพระองค์แต่ก็ไม่มีใครสามารถสู้พระองค์ได้ หากเมืองใดเอา ชนะพระองค์ไม่ได้ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของพระองค์ บรรดาประเทศราชน้อยใหญ่ต่างหวาดกลัว ไม่กล้าท้าทายแยกตนเป็นอิสระหรือคิดเป็นศัตรูกับพระองค์
---เมื่อไร้คู่ ต่อสู้ ท้าวเธอจึงได้ใช้ฉลองพระบาททองคำเหาะไปยังเมืองต่างๆ พบเมืองใดที่ปรปักษ์กับพระองค์ก็จะใช้ฉลองพระบาททองทำลายเมืองนั้นด้วยฤทธิ์ จนย่อยยับลงไป และได้ทรงแสวงหาประเทศราชใหม่ๆ ในที่สุดท้าวพญามหาชมพู ได้ใช้ฉลองพระบาทเหาะมายังกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ ของพระเจ้าพิมพิสาร
*พุทธบูชามหาเตชวันโต การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชมาก
---เมื่อท้าวพญา มหาชมพูได้เหาะมายังยอดปราสาทของพระราชวังพระเจ้าพิมพิสารได้ยินเสียงสวด มนต์สรรเสริญพระพุทธคุณของพระเจ้าพิมพิสาร และท้าวเธอก็ได้ิยินเสียงนั้นแล้วรู้สึกว่าใครที่ท่านผู้นี้สรรเสริญจะมา ยิ่งใหญ่กว่าเราไม่ได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ได้ใช้ฉลองพระบาททองคำไปทำลายยอดปราสาทราชมณเฑียรพระ เจ้าพิมพิสาร หวังจะให้ยอดปราสาทพังลงมา แต่ผลไม่เป็นเช่นนั้น ฉลองพระบาททองคำของพระองค์กลับกลายเป็นกระเด็นกลับมาพร้อมทั้งอัญมณีที่ ประดับอยู่หลุดไปหลายเม็ด ทำให้พระองค์ทรงพิโรธ จึงใช้พระแสงขรรค์ชัยศรีวิ่งตรงเข้าฟันยอดปราสาทราชมณเฑียร แห่งองค์พิมพิสารมหาราช
---แต่ว่าผลกลับ กลายเป็นว่าพระแสงขรรค์ชัยศรีของพระองค์หักออกเป็นสองท่อน สร้างความพิโรธให้พระองค์เป็นอย่างมาก แต่ว่าพระองค์ทรงยังคิดไว้ก่อนว่านี่เกิดอะไรขึ้นกับอาวุธของพระองค์ จึงเสด็จกลับไปยังเมืองของพระองค์และส่งขุนพลคู่พระทัยให้มาสืบว่าพระเจ้า พิมพิสาร มีอะไรดีทำไมอาวุธพระองค์ทำอันตรายไม่ได้ เมื่อขุนพลคู่ใจมาสืบดูแล้วกลับไปรายงานว่า พระเจ้าพิมพิสารไม่ได้มีฤทธิ์เดชอะไรเลย เพียงแต่พระองค์ทรงรับเอาพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ เป็นที่พึ่ง ที่เคารพ
---เมื่อทราบเช่นนั้น ท้าวพญามหาชมพูจึงได้ส่งพระราชสาส์น ไปยังพระเจ้าพิมพิสาร ใจความว่า ' พระเจ้าพิมพิสารราชา พระองค์ทรงเป็นปรปักษ์กับเราท้าวพญามหาชมพูผู้เป็นใหญ่ของนครเบญจานคราช ทำลายของวิเศษของเราสองชนิดเพียงในราตรีเดียว หากพระองค์เก่งจริงจงเตรียมรับพระแสงศรที่เราจะแผลงไปทำลายพระราชวังและ เมืองของพระองค์ให้พินาศในอีก ๗ วันข้างหน้า ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘
---พระเจ้าพิมพิสารมหาราชจึงได้เข้าเฝ้าปรึกษากับองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงตรัสว่า ดูกรมหาบพิตรพิมพิสารราชา อันว่าท้าวพญามหาชมพูจะปล่อยพระแสงศรมาทำลายล้างพระองค์นั้นจะเป็นความผิด ของพระองค์ก็หาไม่ หากท้าวเธอต้องการประลองฤทธิ์กับตถาคต ในวัีนเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ อีก ๗ วันให้พระองค์กับพระมเหสีเสด็จมารักษาอุโบสถศีล ณ เวฬุวันวนาราม ตลอดยามราตรี ส่วนเรื่องป้องกันเขตพระเวฬุวันจะเป็นหน้าที่ของตถาคตเอง
---ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ อันเป็นวันครบกำหนดนัดของท้าวพญามหาชมพูกับพระเจ้าพิมพิสาร ท้าวพญามหาชมพูได้ทรงเล็งพระแสงศรอธิษฐานจิตให้พระแสงศรพุ่งไปยังกรุงราช คฤห์ตามล่าตัวพระเจ้าพิมพิสารจนกว่าจะสิ้นชีพ ทรงน้าวคันพระแสงศรปล่อยลูกศรให้แล่นไปด้วยกำลังแรงในอากาศส่งเสียงกัมปนาท มาตลอดทาง เมื่อถึงราชมณเฑียรแห่งพระเจ้าพิมพิสาร แต่ไม่พบ จึงติดตามไปยังพระเวฬุวัน ลูกศรเปล่งประกายเจิดจ้าพุ่งเข้าใส่พระเจ้าพิมพิสารที่รักษาอุโบสถศีลอยู่ใน เขตพระเวฬุวันวนาราม สมเด็จพระบรมครูบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้้าทรงบันดาลให้เกิดกงล้อธรรมจักร ปะทะกับพระแสงศรของท้าวพญามหาชมพู ลูกศรของท้าวพญามหาชมพูไม่อาจต้านทานกงล้อธรรมจักรได้ จึงหันกลับวิ่งกลับไปตกยังหน้าพระพักตร์ท่านท้าวพญามหาชมพู
---ท้าวพญามหา ชมพูทรงพิโรธมาก ทรงประกาศต่อหน้าสมาคมว่า สมเด็จพระศากยมุณีพระองค์นี้เป็นปรปักษ์ต่อเรา จะตามล่าให้หมดเสี้ยนหนามในใจให้จงได้ ในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ในอีก ๗ วัน เราจะกรีฑาทัพไปยังพระเวฬุวัน ที่ประทับพระสมณโคดมศากยบุตร เพื่อประลองฤทธิ์กับพระองค์ให้รู้ผลแพ้ชนะ
*พระพุทธองค์ทรงเนรมิตพระเวฬุวันเป็นพระราชวังต้อนรับพญามหาชมพู
---เมื่อท้าวสัก กเทวราชมาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรมเทศนาที่พระ เวฬุวันมหาวิหารในเวลาดึก จึงได้กราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทราบถึงคำประกาศของท้าวพญามหาชมพู พระพุทธองค์ทรงมีพุทธดำรัส กับองค์อินทราธิราชว่า ด้วยมิจฉาทิฏฐิของท้าวพญามหาชมพู จะทำให้ท้าวเธอเสด็จมาพระเวฬุวันด้วยพระองค์เอง ตถาคตจะทำให้ท้าวเธอละพยศถอนมิจฉาทิฏฐิของท้าวเธอให้ดวงตาเห็นธรรม ในราตรีแห่งวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ อีก ๗ ราตรี ตถาคตจะงดแสดงธรรมโปรดเทวดาทั้งปวงเพื่อต้อนรับท้าวพญามหาชมพู
---ท่านท้าวพญา มหาชมพู ได้จัดขบวนทัพพระอิสริยยศแบบพระเจ้าจักรพรรดิ์ช้างทรงประดับดัวยเครื่อง ประดับอันทำด้วยทองคำ ประดับด้วยอัญมณี ยาตราไปทางใดมีรัศมีเจิดจรัสรุ่งเรือง ม้าที่เข้าขบวนมีอานเป็นทองคำ บังสูรย์ บังแทรก เครื่องสูงทั้่งปวง ทำด้วยทองคำประดับด้วยอัญมณี เคลื่อนขบวนวิจิตรอลังการวิจิตรบรรจง ด้วยอำนาจของฤทธิ์ไม่ช้านานก็ถึงพระเวฬุวันมหาวิหาร
---ในยามราตรี นั้น พระพุืทธองค์ทรงให้พระภิกษุสงฆ์อยู่ในกุำฎีจนกว่าจะรุ่งเช้า สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงเนรมิตพระเวฬุวันมหาวิหารให้กลาย เป็นพระมหานครอันยิ่งใหญ่อลังการ ชื่อว่าเวฬุวันมหานคร มีกำแพงแก้วสูงลิบเป็นป้อมปราการยอดทำด้วยทองคำ มีดวงชวาลาทำด้วยทองคำประดับด้้วยแก้วมณีสำหรับให้แสงสว่าง มีทหารเฝ้ายามมีฝักดาบทำด้วยทองคำประดับด้วยอัญมณี
---ประตูพระนคร บุด้วยทองคำสลักเสลาด้วยลวดลายในป่าหิมพานต์ มีนายทวารบาลสวมเครื่องแต่งกายเป็นผ้าทอลวดลายสวยงาม มีเสื้อเกราะประดับด้วยชิ้นส่วนที่เป็นทองคำ หมวกมียอดเป็นทองคำ ส่วนทหารยามที่เฝ้าอยู่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ทอด้วยลวดลายงดงามหมวกมียอดทำ ด้วยเงินอย่างดี เสื้อเกราะประดับด้วยชิ้นส่วนที่ทำด้วยเงินอย่างดี ความวิจิตรพิสดารของเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ ทำให้ทหารกองเกียรติยศของท่านท้าวพญามหาชมพูได้ ดูหม่นหมองไปทันทีเมื่อเปรียบเทียบกัน ท้าวพญามหาชมพูได้ทรงฉงนในพระราชหฤทัยว่าเมืองนี้ช่างวิจิตรพิสดารบรรจงกว่า นครแห่งเรา
---ทันใดนั้นนายทวารบาลได้เข้ามากราบทูลท้าวเธอว่า ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้าพระองค์คือกษัตริย์จากแคว้นใดฤๅ เสด็จมาด้วยพระประสงค์ใด ข้าพเจ้าจะได้เข้าไปกราบทูลให้สมเด็จพระธรรมิกราชาให้ทรงทราบพระเจ้าข้า ยังไม่ทันที่ท่านท้าวพญามหาชมพูจะได้ตรัส พระพุทธองค์ทรงได้ส่งพระกระแสเสียงว่า ขอต้อนรับท่านท้าวพญามหาชมพู พระราชาแห่งเบญจานคราช ที่เสด็จมาเยือนพระเวฬุวันมหานคร ขอเชิญพระองค์ทรงช้างพระที่นั่งเข้ามาเพียงลำพังพระองค์เดียวเพื่อประกาศพระ เกียรติยศให้ปรากกฏว่าทรงเป็นพระมหาราชาผู้ทรงไม่เกรงกลัวใครเถิด เมื่อสิ้นสุดพระสุรเสียงของพระบรมศาสดา ท้าวพญามหาชมพูได้ทรงตรัสสั่งให้ทหารกองเกียรติยศให้หยุดยับยั้งรอพระองค์ อยู่ภายนอกพระเวฬุวันมหานคร ทรงให้นายควาญช้างนำช้างพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินเข้าประตูเมืองเวฬุวัน มหานครและทรงดำริในพระราชหฤทัยว่า ตัวข้านี้คือพระเจ้าจักรพรรดิ์ที่เป็นหนึ่งในพื้นปฐพีจะเกรงกลัวอะไรกับพระ สมณโคดม
---เมื่อเสด็จ เข้าไปในพระเวฬุวันมหานครได้พบกับความประหลาดพระราชหฤทัยว่าภายในพระนครมี ความอร่ามเรืองรองไปด้วยแสงนวลจากสิ่งที่พระองค์ไม่เคยพบเจอมาก่อน ซึ่งแสงเหล่านั้นเกิดจากแหล่งกำเนิดแสงที่พิสดารวิจิตรบรรจง ทอดพระเนตรเห็นการจัดอาคารบ้านเรือนเป็นระเบียบสะอาดมีกลิ่นหอมของพันธุ์ไม้ แปลกตานานาพันธุ์ประดับไว้กลางถนนตลอดเส้นทาง อีกทั้งร้านค้าต่างๆภายในพระนครมีการจัดระเบียบสะอาดสวยงามผู้คนในพระนคร แต่งตัวสวยงามประดับด้วยเครื่องประดับที่ตระการตา
---ในที่สุด พระองค์ก็เสด็จมาถึงเหล่าปราสาทราชมณเฑียรที่สูงใหญ่กว่าเหล่าปราสาทราช มณเฑียรที่ท้าวเธอเคยประทับก่อสร้างด้วยความสวยงามบรรจงประดับด้วยทองคำ เงิน แก้ว เจ็ดชนิด และวัสดุหลากหลายสี ทำให้สลดพระทัยว่าพระราชมณเฑียรของพระองค์เทียบไม่ได้กับพระราชมณเฑียรของ พระศากยโคดม
---ครั้งถึงประตู พระราชวังในหมู่มณเฑียรราชครูแห่งพระเวฬุวันมหานคร ได้นำกองเกียรติยศมารับเสด็จ หลังจากทรงลงจากช้าง พระองค์ได้ทรงนั่งวอทองคำอันมีคน ๘ คนหาม คนที่หามแต่งกายประดับด้วยเงินและทองทำให้พระองค์ดูหมองไปถนัดตา เมื่อเสด็จถึงปราสาทที่ประทับสมเด็จพระจักรพรรดิราชาท้าวเธอถึงกับตกตะลึง ถึงความอลังการวิจิตรบรรจงหาที่ใดเปรียบปาน มีพระภูษาแก้วประดับด้วยผ้าทอด้วยเส้นใยทองเส้นใยเงินปักด้วยอัญมณี ๙ ชนิด สมเด็จพระจักรพรรดิราชาโคดมศากยะ ทรงเครื่องจักรพรรดิ์ที่งดงามดังองค์อินทราธิราช ข่มรัศมีเครื่องทรงและเครื่องประดับท้าวพญามหาชมพูลงไปจนหมดความสง่างาม ลงไป ทำให้พระองค์ละทิฏฐิที่เห็นว่าตนยิ่งใหญ่ลงไป
*สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าในชุดเครื่องทรงพระเจ้าจักรพรรดิ์อร่ามเรืองอลังการได้ทรงตรัส กับท้าวพญามหาชมพูว่า
---บัดนี้ พระองค์ ได้ประจักษ์กับพระองค์เองว่า ในโลกนี้ล้่วนเป็นอนิจจังทั้งสิ้น พระองค์ทรงคิดว่าพระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่แต่เมื่อได้พบกับพระเวฬุวันมหานครแล้วก็ได้ทรงเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้นเทียบไม่ได้เลย อีกทั้งอาวุธทั้งสามอย่างของพระองค์ ฉลองพระบาททองคำ พระแสงศร พระแสงขรรค์ชัยศรี ต่างก็พ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง พระองค์คงจะเห็นความไม่เที่ยงแล้วใช่ไหม
---ท่านท้าวพญา มหาชมพูไม่อาจจะโต้ตอบใดๆได้ สมเด็จพระบรมศาสดาจึงมีพุทธดำรัสกับท่านท้าวพญามหาชมพูต่อไปว่า หลายปีผ่านมาทรงกรีธาทัพไปกดขี่เข่นฆ่า แว่นแคว้นต่างๆทำให้ผู้คนล้มตายมากมาย หลายเมืองทรงใช้พระแสงศรล้างชีวิตผู้คนในแว่นแคว้นเหล่านั้น ผู้คนเหล่านั้นไม่อาจจะต่อต้านพระองค์ได้ ทั้งหมดเป็นกรรมที่เป็นอกุศลกรรม บาปกรรมนั้นจะทำให้พระองค์ทรงตกลงไปอาบไฟนรกอันร้อนแรง
---เมื่อได้ยิน เช่นนั้นท้าวพญามหาชมพูได้ตรัสว่า หม่อมฉันไม่เคยเห็นว่านรกเป็นเช่นไร พระองค์กล่าวเช่นนี้เปล่าประโยชน์เมื่อหม่อมฉันไม่เคยเห็นนรก
---เมื่อเป็น เช่นนั้นสมเด็จพระชินสีห์ได้สำแดงฤทธิ์เปิดนรกให้ท้าวพญามหาชมพูดูว่านรกมีความเป็นอยู่เช่นไร เมื่อท้าวพญามหาชมพูได้ทอดพระเนตรแล้วก็ทรงสะดุ้งตกใจกลัว
---เมื่อนั้น พระองค์ได้ทรงใช้อิทธิฤทธิ์ให้ท้าวพญามหาชมพูได้เห็นคนที่ประกอบกุศลกรรมที่ ไปเสวยผลบุญบนสวรรค์ให้พระองค์ดูทันใดดาวดึงสเทวโลก พรหมโลก ได้ปรากฏให้ท้าวพญามหาชมพูได้ชม
---เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วท้าวพญามหาชมพูได้ทูลถามว่า มีหนทางใดที่หม่อมฉันจะได้พ้นจากภัยในนรก และไปสู่สวรรค์ได้พระเจ้าข้า
---เมื่อนั้น สมเด็จพระจอมไตรได้เทศนา เบญจศีล อุโบสถศีล กุศลกรรมบท ๑๐ ให้ท้าวพญามหาชมพูได้ฟัง เมื่อท่านท้าวพญามหาชมพูได้ฟังแล้วจึงได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น หลังจากนั้น พระองค์ทรงตรัสต่อว่า ทั้่งหมดนี้เป็นคำสั่งสอนจากพระโอฐแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทันใดนั้น ท่านท้าวพญามหาชมพูได้ทรงทอดพระเนตรเห็นพระเวฬุวันในสภาพความเป็นจริง ปราสาทราชวังก็ได้อันตรธานหายไป
*พระธรรมิกราชาทรงกลายเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉัพพรรณรังสี ๖ ประการ พวยพุ่งออกจากพระวรกายของพระองค์
---เมื่อท้าว พญามหาชมพูได้ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นก็ได้น้อมเศียรพนมหัตถ์สองข้างถวาย อัญชลีแทบพระบาทพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เปล่งวาจาว่า "นี่คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยบุตร หม่อมฉันช่างโง่เขลานัก ได้โปรดประทานอภัยโทษให้หม่อมฉันด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ หม่อมฉันขอเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง จะปลดปล่อยประเทศราชทั้งหลายให้เป็นอิสระ จะพระราชทานทรัพย์เป็นทานแก่สรรพทั้งปวงถวายเป็นพุทธบูชา
---สมเด็จพระ บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสกับท้าวพญามหาชมพูว่า การบูชาบุคคลที่ควรบูชาเป็นอุดมมงคล หากมหาบพิตรจะเสด็จมารับฟังธรรมเทศนา ก็จงเสด็จมาในมัชฌิมยามในเวลาพร้อมกับเวลาที่เทวดาและพรหมมาฟังธรรมเถิด
---ท้าวพญามหา ชมพูได้ทรงกราบทูลลาสมเด็จพระชินสีห์แล้วเสด็จกลับไปยังเบญจานคราช ด้วยฤทธิ์ ครั้นรุ่งอรุณ สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้แสดงกับพระอานนท์เรื่องท้าวพญามหาชมพูโดยพิสดาร
*วัตถุมงคลพระสูตร หลวงพ่อผินะ ปิยธโร วัดพระสนมลาว สระบุรี
---พระสูตรเป็นพระที่หลวงพ่อผินะ ปิยธโร ท่านบอกว่าดียิ่งนัก ดีกว่าดาวอาถรรม์อันเลื่องชื่อเสียอีกครับ มีพุทธคุณครอบจักรวาลเพราะมีเทวดารักษาอยู่ถึง 12 องค์ เวลาใช้บูชาต้องบูชาเฉพาะตัวเท่านั้นจะยืมกันใช้ไม่ได้
---สำหรับองค์นี้เป็นพิมพ์จิ๋ว ขนาดประมาณเหรียญสลึง เป็นพิมพ์ที่หายากกว่าพิมพ์ใหญ่และพิมพ์กลาง โดยเฉพาะที่สวยๆ ยิ่งหายาก เคล็ดวิธีสังเกตุให้เลือกที่มีคราบน้ำว่านจัดๆ ที่ซึมออกมาจากข้างใน จะได้พระแท้สบายใจเพราะของปลอมมักจะทำเอาง่ายๆ จึงไม่มีคราบอย่างที่เห็น หรือมีก็จะเป็นเอาคราบมาทา ลักษณะที่ปรากฎให้เห็นก็จะไม่เหมือนกันลองศึกษาดูครับ
---หลวงพ่อผินะ ท่านเป็นพระที่อยู่เหนือโลก หากใครอาราธนาพระของท่านติดตัวไว้แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะตายโหงหรือเรื่องฟ้าผ่า ดีทางเมตตาค้าขาย และโชคลาภ ตลอดจนป้องกันภัยเตือนภัยให้กับเจ้าของได้ดี องค์เดียวคุ้มครองคนในครอบครัวได้ถึง 7 คน หลวงพ่อผินะ ท่านเป็นพระผู้ทรงอภิญญา มีฤทธิ์ทางใจเป็นอัศจรรย์ วัตถุมงคลยอดขลัง ประสบการณ์มหัศจรรย์ ท่านสำเร็จกสิณ 10 สามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆได้ ตามประสงค์ รู้วาระจิตของคนอื่น ปลุกเสกวัตถุมงคลขึ้นมาเหมือนมีชีวิตจิตใจ สามารถบนบอกได้ ขอได้ พูดกันรู้เรื่อง ขอให้มีของท่าน อะไรก็ได้ใช้ได้เหมือนกัน
---พระสูตร หลวงพ่อผินะนั้น มีลักษณะเป็นพระปางมหาจักรพรรดิ์ถือจักรแก้วที่พระอุระ พระปางนี้ก็คือปางเดียวกันกับปางปราบพระเจ้ามหาชมพูบดี โดยที่พระพุทธเจ้าเนรมิตตัวท่านเองเป็นพระมหาจักรพรรดิ์ สื่อความหมายถึงความยิ่งใหญ่และความสำเร็จ ด้านล่างมีรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม อันหมายถึงการชนะอุปสรรคหมู่มารทั้งหลาย ส่วนอีกด้านเป็นรูปแม่พระโพสพ อันหมายถึงความอุดมสมบูรณ์เรื่องอาหารการกิน ส่วนด้านหลังเป็นรูปของพระสังกัจจายน์และมีหัวใจพระฉิมของพระสิวลี ด้านล่างเป็นเลขหนึ่งและสอง อันหมายถึงพระอาทิตย์และพระจันทร์ซึ่งเป็นตัวแทนของหยินกับหยางหรือกลางวันกลางคืน
---ส่วนเนื้อของพระจะมีสีดำเป็นเนื้อผงใบลานยุคแรกๆ ต่อมาจะเป็นเนื้อไม้มงคลผสมผงวิเศษผสมข้าวสารหิน และที่สำคัญก็คือดินศักดิ์สิทธิ์จากน้ำพี้ เนื้อพระจะออกเป็นสีน้ำตาลเป็นดินดิบ และที่สำคัญก็คือหลวงพ่อเคยพิสูจน์ให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์โดยใช้ทรายกรอกตาแล้วเม็ดทรายไม่เข้าตาเลยสักนิด การเอาทรายกรอกตานั้นท่านให้เอามือถ่างตาไว้เลยแล้วภาวนาคาถาของหลวงพ่อผินะเอง ส่วนทรายที่นำมากรอกตานั้นก็ใช้ระยะห่างไม่เกินคืบ พอปล่อยทรายมาปรากฏว่าฝุ่นทรายไม่เข้าตาแม้แต่เม็ดเดียว พระพิมพ์นี้หลวงพ่อผินะท่านบอกว่าสามารถคุ้มครองคนใกล้ชิดได้เจ็ดคน โดยท่านลองให้คนนอนเรียงกันเจ็ดคน แต่มีเพียงคนเดียวที่มีพระพิมพ์พระสูตรนี้ แต่พอเอาทรายกรอกตาทั้งเจ็ดคนเม็ดทรายก็ไม่เข้าตาเลย หลวงพ่อยังเคยบอกว่าพระสูตรชื่อว่าราชาธิราช แคล้วคลาดจากภัยนาๆหากินคล่องเพราะมีหัวใจพระฉิม อยู่ในนั้นด้วย เป็นของที่คู่กับพวกมีภัยโดยแท้ ไม่ควรยืมใช้กันเด็ดขาด เเต่ละพิมพ์เล็กกลางใหญ่ จะคุ้มครองคนได้ไม่เท่ากันคือ 3 7 12 ครับ
-----------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
ที่มา…http://www.wisonin.com/index.php
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดท วันที่ 24 พฤษภาคม 2559
🌅 แอปฯบทสวด พระคาถามหาจักพรรดิ์ สามารถกำหนดรอบตามกำลังวันได้
🌅 ดาวน์โหลดฟรีที่ https://goo.gl/prLdgL
🌅 ตัวอย่างการใช้งาน https://youtu.be/QeudcMpziYE