ประวัติพญานาค
พญานาคแบ่งออกเป็น ๔ ตระกูลใหญ่ ดังนี้
๑) ตระกูลวิรูปักข์เป็นนาคมีผิวกายเป็นสีทอง ในกำเนิดนาคสี่ตระกูลนี้ พญานาคตระกูลวิรูปักข์นี้ถือว่าเป็นราชาใหญ่กว่านาคทั้งปวง ท้าววิรูปักข์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่มหาราช ที่ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก
๒) ตระกูลเอราปักถะ เป็นนาคมีผิวกายเป็นสีเขียว
๓) ตระกูลฉัพยาปุตตะ เป็นนาคที่มีผิวกายเป็นสีรุ้ง
๔) ตระกูลกัณหาโคตรมะ เป็นนาคที่มีผิวกายเป็นสีดำ
---นอกจากนี้ ยังได้แบ่งพญานาคออกเป็นตระกูลย่อย ๆ ออกไปอีกถึง ๑,๐๒๔ ชนิด คือพวกสัตว์เลื้อยคลานประเภทงู ทั้งที่เป็นงูเห่า งูจงอาง งูเหลือม และงูทุกชนิดถือว่าเป็นลูกหลานของพญานาคทั้งสิ้น
*พญานาคแบ่งตามหน้าที่ออกเป็น ๔ พวก ตามระดับของนาค คือ
๑) นาคสวรรค์มีหน้าที่เฝ้าวิมานของเทวดา
๒) นาคกลางหาว มีหน้าที่ให้ลมให้ฝน
๓) นาคโลกบาล มีหน้าที่รักษาแม่น้ำลำธาร
๔) นาครักษาขุมทรัพย์มีหน้าที่รักษาขุมทรัพย์ในดิน และป่าไม้ นอกจากนี้พญานาคยังแบ่งออกได้เป็นกามรูปี พญานาค คือ ญานาคที่เสวยกามคุณ อพามรูปี พญานาค คือ พญานาคที่ไม่เสวยกามคุณพญานาคบางพวกมีอายุสั้น บางพวกก็มีอายุยืน อาจจะมีอายุยาวนานเป็นกัลป์ ก็ได้อย่างพญานาคตัวหนึ่งชื่อพญานาคกาละมีอายุยืนยาวมาก ตั้งแต่พระพุทธเจ้ากุสันธะจนถึง พระสมณโคตมะ และจะมีอายุจนถึงพระศรีอาริยะเมตไตย์ ในคัมภีร์ปรมัตถโชติกพมหาอภิธรรมมัตถสังหฏีกา องค์นาคาธิบดีทั้ง ๗ องค์ (แต่ละเศียร) นั้น คือ กษัตริย์แห่งเมืองบาดาลที่ปกครอง วังนาคินทร์ต่าง ๆ ซึ่งแต่ละองค์เป็นพญานาคที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอยู่ในศีลในธรรมแล้วทั้งสิ้น องค์นาคาธิบดีทั้ง ๗ องค์ (แต่ละเศียร) มีพระนามดังต่อไปนี้
- ๑. พญาอนันตนาคราช เชื่อว่าเป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาถ ณ เกษียรสมุทร ๒๘ อนันตนาคราชนั้นมีกายใหญ่โตมหึมา มีความยาวไม่สิ้นสุดมีพันเศียร มักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม
- ๒. พญามุจลินท์นาคราช เป็นพญานาคมีอานุภาพมาก อาศัยอยู่ที่สระโบกขรณี ใกล้ต้นไม้มุจลินท์ สายพันธุ์ของพญามุจลินท์นาคราช คือ พญานาค ๗ เศียร ซึ่งสืบสายพันธุ์มาจนถึงพญาศรีสัตตนาคราช (นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล) ซึ่งเชื่อว่าเป็นกษัตริย์แห่งพญานาคที่ฝั่งลาว
- ๓. พญาภุชงค์นาคราช เป็นพญานาคที่มีผิวกายเป็นสีเทา มีหงอนและเศียรสีแดง มีเศียร ๑ เศียร เป็นเจ้าวิสุทธิเทวา เป็นพญานาคราชประจำองค์พระศิวะเทพ หรือพระอิศวรเจ้า อยู่ในตระกูลฉัพพะยาปุตตะ
- ๔. พญาศรีสุทโธนาคราช เป็นพญานาคมีผิวกายสีเขียวมรกตมีเศียรสีทอง ๙ เศียร ผู้ครองเมืองหนองกระแสทางฝั่งไทย และมีบริวาร ๕,๐๐๐ ตัว เป็นพญานาคที่ชอบรักษาศีลปฏิบัติธรรม และมาที่วัดพระธาตุพนมเสมอ เป็นเพื่อนกันกับพญาศรีสัตตนาคราชที่ปกครองอยู่ทางฝั่งลาว ต่อมาเกิดการสู้รบกันนานถึง ๗ ปี เรื่องการแบ่งอาหารไม่ยุติธรรม พระอินทร์จึงยุติสงคราม ด้วยการให้พญานาคทั้งสองสร้างแม่น้ำแข่งกัน พญาสุทโธนาคราช จึงพาบริวารไพร่พล อพยพ ออกจากหนองกระแส สร้างแม่น้ำมุ่งไปทาง ทิศตะวันออกของหนองกระแส เมื่อถึงตรงไหนที่เป็นภูเขาก็ คดโค้งไปตามภูเขา หรืออาจจะลอดภูเขาบ้างตามความยากง่ายในการสร้าง พระสุทโธนาคเป็นคนใจร้อน แม่น้ำนี้ จึงคดโค้ง เรียกชื่อว่าแม่น้ำโขง
- ๕. พญาศรีสัตตนาคราช มีความเชื่อว่าเป็นกษัตริย์แห่งพญานาคแม่น้ำโขงด้านฝั่งลาวมีเศียร ๗ เศียร เป็นตระกูลพญานาคที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาล มีความใกล้ชิดพระพุทธองค์ และ พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นต้นตระกูลแห่งพญานาคทั้งหมด มีบริวาร ๕,๐๐๐ ตัว เป็นพญานาคที่ชอบรักษาศีลปฏิบัติธรรม และมาที่วัดพระธาตุพนมเสมอ เป็นเพื่อนกันกับพญาศรีสุทโธนาคราชที่ปกครองอยู่ทางฝั่งไทย
- ๖. พญาเพชรภัทรนาคราชหรือพญาเกล็ดแก้วนาคราช เป็นพญานาคที่มีผิวกายสีเงินเหมือนแก้ว มีหงอนและเศียรสีแดง มีเศียรเดียว เป็นลูกขององค์อนันตนาคราช
- ๗. พญานาคดำแสนศิริจันทรานาคราช เป็ นพญานาคาราชตระกูลกัณหาโคตมะองศ์สีดำ มีผิวกายเป็นสีดำ อายุเก้าหมื่นปี มนุษย์มีอาวุธทรงฤทธานุภาพ คือ ตรีศูรย์ปกครองอาณาจักร ใต้ทะเลแอตแลนติส ดูแลโซนยุโรปทั้งหมด มีวิมานใต้ทะเลเป็นทองทั้งหมด มีหน้าที่กวาดล้างคนชั่วด้วยการทำ แผ่นดินไหวสึนามิ พายุฝนลมต่าง ๆ คนดีท่านจะให้คณุ มีฤทธิ์เดชชนะศัตรูเมตตามหานิยม ผ่านความเจริญรุ่งเรือง และร่วงโรยของอารยะธรรมมนุษย์มาแล้วหลายครั้ง สำหรับฝรั่ง จะคุ้นเคยท่านในภาพของเทพโปเซดอน ซึ่งในการเทียบชั้นของพญานาคนั้น ให้องค์นาคาธิบดี เทียบเท่า พระเจ้าแผ่นดิน
---กษัตริย์องค์นาคาธิบดีศรีสุทโธ เดิมเป็นนาคธรรมดาสังเกตจากที่มีเศียรเดียวแต่ได้เป็นองค์นาคาธิบดี(กษัตริย์แห่งนาค) ฝั่งไทย เพราะองค์อิศวรประทานให้เนื่องจากได้ทำความดีความชอบในการค้นหาโคศุภราชขององค์อิศวร เมื่อครั้งโคศุภราชหนีมาเที่ยวบนโลกมนุษย์ปกติเหล่าพญานาคที่มีสัมมาทิฎฐิเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัด มุ่งในการบำเพ็ญเพียร เกิดความเบื่อหน่ายในกำเนิดในภพชาติของความเกิดเป็นพญานาคจะไม่ทำร้ายใคร แต่ก็มีพญานาคชั้นเลว หรือที่เรียกว่าเงือก เป็นผู้ไม่ถือศีล มีมิจฉาทิฏฐิชอบทำร้ายมนุษย์ที่ทำมาหาเลี้ยงชีพตามแม่น้ำนาคมีพิษร้ายสามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษถึง ๖๔ ชนิด ซึ่งตามตำนาน ๒๙ กล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ก็ด้วยเหตุที่นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลียพวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาที่หลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย
---แค่เอาหางเอาหัวป้ายเศษพิษสัตว์จำพวกนี้จึงมีพิษน้อยและพญานาคต้องคายพิษทุก ๑๕ วัน พิษของพญานาคนั้น ถ้าใครโดนพิษแล้วจะมีลักษณะอาการ คือร่างของผู้ถูกกัดจะแข็งราวกับหิน บริเวณรอยแผลที่กัด จะเน่าและมีน้ำเหลืองไหลออกมา พญานาคมีพิษที่กัดแล้วคน ๆ นั้นจะมีอาการร้อนรอยแผลคล้ายถูกรอยไฟไหม้ อาการเหมือนถูกฟ้าผ่า พญานาคมีวิธีทำอันตรายที่แตกต่างกัน คือใช้เขี้ยวขบกัดแล้ว พิษค่อยแผ่ซ่านไปทั้งตัว ใช้ตามองดูแล้วพ่นพิษออกมาทางตา ใช้ร่างกายกระทบสัมผัส พิษจะแผ่ออกมาทั้งตัว ใช้ลมหายใจพ่นพิษออกมาและพิษนั้นจะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว ถ้าเปรียบเทียบอุปนิสัยระหว่างพญานาค ในคัมภีร์สันสกฤตส่วนใหญ่จะมีนิสัยดุร้ายขาดความเมตตา ชอบแสดงอิทธิฤทธิ์ทำลายชีวิตมนษุย์และสิ่งต่าง ๆ ให้พินาศอย่เูสมอจะมีนาค ที่มีอุปนิสัยดีอยู่ไม่กี่ตนแต่นาคในคัมภีร์บาลีส่วนใหญ่เป็นนาคที่มีอุปนิสัยดีใฝ่ ธรรมทั้งนี้เพราะนาค
*สรุป
---จึงกล่าวได้ว่า รูปร่างของนาคนั้นสามารถปรากฏร่างในลักษณะสภาพของความเป็นสัตว์ทิพย์กึ่งเทพ และสัตว์ เสวยทิพย์สมบัติบนสวรรค์วิมารดุจดังเทวดาถ้าปรากฏในลักษณะทิพย์กึ่งเทพ ก็จะมีลักษณะเป็นมนุษย์นาคมีเครื่องประดับคล้ายเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ถ้าปรากฏในลักษณะที่เป็นสัตว์ก็เป็นงูที่แผ่พังพานมีขนาดยาวใหญ่ กว่างูธรรมดาอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกและตามแม่น้ำ เช่น กาฬนาคราช ที่อาศัยอยู่ใต้แม่น้ำเนรัญชรา บนเศียรพญานาคมีเครื่องหมายสวัสดิกะและมีจำนวนเศียรแตกต่างกันไปตั้งแต่ ๑ เศียร ๓ เศียร ๕ เศียร ๗ เศียร และ ๙ เศียร มีลิ้นสองแฉก และมีกายสีต่างกันตามตระกูล เช่น ตระกูลวิรูปักข์เป็นนาคมีผิวกายสีทองเป็นราชาของนาคทั้งสี่ประเภท ท้าววิรูปักข์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่มหาราชที่ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้าน
*ทิศตะวันตกพญานาคแบ่งตามหน้าที่ออกเป็ น ๔ พวก ตามระดับของนาค คือ
(๑) นาคสวรรค์มีหน้าที่เฝ้าวิมานของเทวดา
(๒) นาคกลางหาว มีหน้าที่ให้ลมให้ฝน
(๓) นาคโลกบาล มีหน้าที่รักษาแม่น้ำลำธาร
(๔) นาครักษาขุมทรัพย์ มีหน้าที่รักษาขุมทรัพย์ในดิน และป่าไม้ พญานาคแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๒ ประเภท คือ
(๑) กามรูปี พญานาค พญานาคที่เสวยกามคุณ (๒) อพามรูปี พญานาค พญานาคที่ไม่เสวยกามคุณ
---นอกจากนี้ยังได้แบ่งพญานาคออกเป็นตระกูลย่อยๆ ออกไปอีกถึง ๑,๐๒๔ ชนิดนาคเป็นผู้รักษาสมบัติมั่งมีทรัพย์ในคัมภีร์บาลีจึงมีเรื่องพญานาค ตอบแทนผู้กระทำความดีด้วยทรัพย์สมบัตินั้น พญานาคที่มีมิจฉาทิฏฐิสามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษถึง ๖๔ ชนิด และปกติพญานาค จะคลายพิษทิ้งทุก ๑๕ วัน
*การบูชาพญานาคเพื่อขอให้เกิดโชคลาภ
---เรื่องโชคลาภหลายๆคนอดถามไม่ได้ได้เกี่ยวกับโชคลาภว่าบูชาพญานาคจะมีโชคลาภหรือไม่ ความจริงเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับกรรมและและวาระของแต่ล่ะบุคคลด้วย ส่วนพญานาคท่านเป็นผู้ที่สามมารถเข้าถึงทรัพย์ในดินและน้ำ เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ จึงมีความเป็นเป็นเลิศในด้านโชคลาภ และการการช่วยเหลือของพญานาคก็จะมีข้อจำกัดน้อยว่าพระสงฆ์ พญานาคสามารถช่วยเหลือเรื่องต่างๆ ได้แต่ไม่เกินกฎแห่งกรรม เช่น ชาวบ้านท่าหนองจันทร์ ตำบลท่าค้อ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม แห่ไปกราบไหว้บูชาขอโชคลาภจากดินจอมปลวกที่เกิดขึ้นมีลักษณะคล้ายหัวพญานาคจำนวน ๓๒ หัว ทำให้ทำให้ถูกหวยใต้ดินในงวดวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๒ ซึ่งการกราบไหว้บูชาดินจอมปลวกนี้พญานาคนี้ เป็นความเชื่อของแต่ล่ะบุคคล บางคนก็มาเพื่อขอโชคลาภ บางคนก็มากราบไหว้เพื่อสิริมงคลเท่านั้น ก่อนที่จะพบดินจอมปลวกพญานาคนี้ มีผู้นิมิตเห็นงูยักษ์มาบอกว่าจะมาจำพรรษาที่วัดบ้านหนองจันทร์แห่งนี้ และต้องการให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธา รู้จักเข้าวัดทำบุญ บูชาในสิ่งที่ควรบูชา
---การบูชาเพชรนาคา หรือ เพชร ๗ มณี ๗ แสงเชื่อว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์พลังลึกลับอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ที่ประชาชนสนใจแสวงหามาบูชา ซึ่งมีความเชื่อว่าวัตถุนี้เกิดขึ้นมาด้วยบุญญาธิการแห่งการบำเพ็ญเพียรพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งที่ตั้งจิตอธิฐานปรารถนาที่จะได้ลงมามาตรัสรู้เป็นองศ์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เพชรพญานาค จะมีความพิเศษต้องขึ้นอยู่กับบุญวาสนาบารมี และการประพฤติปฎิบัติของผู้ที่ครอบครองเพาะสามารถเปลี่ยนสี จากอ่อนเป็นสี่เข้มหรือเปลี่ยนสีต่างๆได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ และเปลี่ยนเป็นขุ่นหรือใสตามสภาวะจิตของผู้ครอบครอง เพชรพญานาคสามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ สัณฐานใหญ่ คือ
๑. สัณฐานลูกรักบี้ รูปร่างกลมยาวเรียวหัวท้ายเรียว ยาว ๒-๓ ซ.ม. จนถึง ๙-๑๐ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท เป็นเพชรนาคาและเป็นเหล็กไหล เหมือนแม่เหล็ก หรือแบบดูดไม่ติด
๒. สัณฐานเหมือนพลอยหลังเบี้ย แบ่งออกได้ ๒ แบบ คือ
- ๒.๑ รูปกลม จะมีรูปลักษณะทรงกลมตรงกลางจะนูนขึ้นมาดังหลังเบี้ยทั้งสองด้าน ด้านข้างสามรถมองเห็นขอบรอยเชื่อมของเพชรนาคา จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ ๗ มิลลิเมตร ถึง ๑ ซ.ม.
- ๒.๒ รูปวงรี จะมีทรงเป็นวงรี ตรงกลางจะนูนขึ้นมา ดังหลังเบี้ยทั้งสองด้านจะมีขนาดตั้งแต่ ๕ มิลลิเมตรจนกระทั่งมีความยาวถึง ๑-๒ นิ้ว
๓. สัณฐานกลมแบบแก้ว จะมีมีลักษณะกลมเป็นลูกแก้ว แต่สังเกตุดูดีๆ แล้วบางเม็ดจะมีรอยขอบรอบๆ มีตั้งแต่ขนาดเม็ดเท่าปลายนิ้วก้อย (ประมาณ ๑ ซ.ม.) ถึงขนาคเท่าไข่ไก่
๔. สัณฐานพิเศษที่หายากจะมี คือ
- ๔.๑. ลักษณะลูกสมอจันท์ จะมีลักษณะกลมคล้ายดังลูกแก้ว เหมือนกับสัณฐานกลมหลังเบี้ยแบบที่ ๒.๑ จะมีขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณเกือบ ๒ ซ.ม.หรือขนาดเท่าไข่ไก่
- ๔.๒. ลักษณะเป็นเขี้ยวแก้ว จะมีลักษณะรูปทรงสัณฐานเป็นเขี้ยวจะมีความยาวประมาณหนึ่งข้อนิ้วก้อยนิดๆ จนกระทั่งมีความยาว ๖-๗ นิ้ว
- ๔.๓. ลักษณะรูปหยดน้ำ จะมีลักณะรูปทรงคล้ายหยดน้ำขนาดใหญ่ประมาณปลายนิ้วก้อย
- ๔.๔. ลักษณะเป็นฟันกราม จะมีลักษณะรูปทรงคล้ายฟันหน้าหรือฟันกรามของคนจะมีส่วนที่ยื่นออกมาดังรากหลายขนาดทั้งฟันกรามเล็กกรามใหญ่
- ๔.๕. ลักษณะรูปหัวใจ
- ๔.๖. ลักษณะรูปดอกบัว
- ๔.๗. ลักษณะรูปหงอนพญานาค
- ๔.๘. ลักษณะเป็นไข่นอกจากนี้ยังสัณฐานหายากอื่นๆ คือ สัณฐานวัชระ (อาวุธของพระอินทร์)
*สัณฐานพญานาค ๗ หรือ ๙ เศียร สัณฐานพระปางนาคปรก พระพุทธรูปสัณฐานกริช พระขรรค์ มีดหมอ สัณฐานสัตว์ในป่าหิมพานต์ เช่น หงส์ คชหงส์ เป็นต้น การบูชาตามความเชื่อของสีสันเพชรนาคา คือ
---๑. สีขาว หมายถึง สีเพียงถือศีลภาวนาปฎิบัติธรรมลดละกิเลสตัณหาอุปทานให้วางจิตให้อยู่ในสายกลางไม่มีบุญบาปมีสติเป็นผู้รู้ (เกิดปัญญา) เท่าทันในสภาวะปัจจุบัน เกิดความใสสะอาดบริสุทธิ์มีจิใจเยือกเย็นหนักแน่นมั่งคงไม่หวั่นไหวง่ายๆ
---๒. สีแดง หมายถึงพลังบารมีมีพุทธคุณหรือบารมี ขององค์พระมหาพระโพธิสัตว์ที่ได้ทรงบำเพ็ญแห่งกำลังฤทธิ์อำนาจ กล้าหาญเด็ดเดียว ความคิดฉับไหวเฉียบคม ตัดสินใจรวดเร็ว เป็นที่เคารพเกรงขาม ผู้ที่ครอบครองเพชรนาคาสีแดงนี้ จะต้องเป็นผู้ที่ปฎิบัติธรรมฝึกฝนให้จิตมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ สีแดงพิเศษจะเป็นพลังอานุภาพฤทธิ์อำนาจสูงกว่าสีปกติ
---๓. สีเขียว หมายถึง อำนาจจิตที่มีความเมตตา เย็นกายเย็นจิต มีเดชตบะบารมีของผู้ทรงธรรมที่มีจิตสัมผัสทางโลกลี้ลับ ทำให้จิตมีความเยือกเย็นมั่งคง ยิ่งสีเข้มยิ่งมีอนุภาพของพลังที่สื่อผ่านมาจากเพชรนาคา เป็นที่เคารพเชื่อถือเกิดจากการบำเพ็ญเพียรตะบารมี สัจจะอธิฐานเป็นสีของกายทิพย์ท้าวสักกะเทวราช ผู้เป็นจอมเทพมีอำนาจฤทธานุภาพจ้าวแห่งสวรรค์แห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
---๔. สีเหลือง หมายถึง ความนุ่มนวลมีสง่าราศี แสดงถึงความความมั่งคั่ง มีโชคลาภไหลมาเทมาความเจริญสดใสรุ่งเรืองดั่งทองคำ ที่มีค่าในตัวเอง กระแสแห่งสีสดใสเท่าใดยิ่งมีกระแสแห่โชคลาภทรัพย์สินเงินทองเปล่งประกายมากขึ้นเท่านั้น เป็นกระแสที่ทำให้น่าเกรงขามเคารพศรัทธาในความมีสง่าราศี ดังเจ้าพระยาผู้มีศักดิ์ศรีจะได้รับการช่วยเหลืออนุเคราะห์ให้หน้าที่กิจการเจริญก้าวหน้าราบรื่น
---๕. สีส้ม หมายถึง พลังแห่งการป้อมการภัยจากอาวุธภัยอันตรายต่างๆเป็นพลังที่มีความเด็ดเดียว กล้าหาญ เป็นผู้ที่มีความคิดก้าวหน้ายุติธรรมไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเป็นกระแสพลัง ลดสลายอุปสรรค์พลังที่ไม่ดีที่เข้ามา ผู้ใดคิดจะมาเบียดเบียนต้องพ่ายแพ้ตนไปในที่สุดมีเทพทีมีคุณธรรมดูแลปกปักรักษา เป็นสีแห่งพระบารมีพระสยามเทวาธิราชที่ดูแลปกปักรักษาคุ้มครองประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์จากอันตรายจากศัตรูผู้ที่ไม่เป็นมิตรที่คิดมากระทำย้ำยี
---๖. สีม่วง หมายถึง พลังที่มีอำนาจลึกลับ ยากที่จะรู้ได้เกี่ยวข้องจิตวิญญาณโอปติกะภูตผีปีศาจ ทำให้เกิดความเกรงกลัว ไม่กล้าที่จะคิดไม่ดี กระทำไม่ดีเหมือนมีพลังลึกลับ จ้องมองอยู่ยิ่งสีที่เข้มจนเกือบดำไม่ต้องพูดถึง มีพลังลึกลับอนุภาพมากขึ้นเป็นทวีคูณป้องกันภูตผีปีศาจคุณผีคุณคน คุณไสย การกระทำย้ำยีต่างๆ ให้เสื่อมสลายหายไปและเป็นสีที่สามารถดูดซับพลังอำนาจกลับทั้งดีและไม่ดีได้ ขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นเจ้าของบุคคลที่มีวาสนาครอบครองเพชรนาคาสีม่วงนี้ จะเป็นคนที่มีพลังลึกลับหรือมีสัมผัสพิเศษเรื่องลึกลับ ควรที่จะฝึกปฏิบัติจิตให้มีความเมตตา หนักแน่นปล่อยวางจากอารมณ์ที่มากระทบให้จิตมีความโปร่งใสบริสุทธิ์ จะทำให้อนุภาพของเพชรนาคาสีม่วงนี้จะเปล่งประกายออกมาครอบคลุมทั่วร่างกายตลอดเวลาเสมือนเกราะแก้วคุ้มครอง
---๗. สีฟ้า หมายถึง ถึงผู้ที่มีบุญวาสนาที่ได้สร้างสมมาในอดีต มีน้ำใจกว้างขวางใสสะอาดน่าเคารพนอบน้อมดังเพื่อนสนิทชิดเชื้อกันมานาน พูดจาเจรจาติดต่อค้าขายคล่องตัวสะดวก เป็นผู้ที่มีบุญฤทธิ์ที่เหล่าเทวดาดูแลค้ำชู เดินทางไปไหนมาจะมีความสะดวกสบาย
---๘. สีน้ำเงิน หมายถึง ผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมีสูง มีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์บารมีเป็นผู้มีอำนาจผู้ปกครองมีทั้งเดชตบะบารมี เป็นที่เคารพน่าเกรงขามมีขุมทรัพย์มหาศาลที่ซ้อนเร้นอยู่ดังร่มโพธิ์ร่มไทรที่แผ่กิ่งก้านร่มเย็นที่พักพิงแก่สรรพสัตว์ มีพลังที่ป้องกันศัตรูภัยอันตรายต่างๆทั้งแปดทิศจะต้องมีเทพพรหมเทวดาดูแลปกปักรักษาตลอดเวลาเสริมสร้างบารมียิ่งขึ้น
---๙. สีชมพู หมายถึง สีแห่งพลังอานุภาพเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์มหานิยมนิ่มนวลอ่อนโยน มีความโดเด่นสะดุดตาดึงดูดสำหรับเพศตรงข้าม และผู้คนรอบข้างผู้ที่เกี่ยวข้องจะทำให้ผู้คนรอบข้างเกิดความเมตตาช่วยเหลืออย่างน่าอัศจรรย์ใจ ยิ่งสีชมพูเข้มออกสดใสยิ่งมีพลังมหาเสน่ห์ดึงดูดเป็นที่รักใคร่เป็นที่พึงปรารถนา ดังนางพญาที่สูงศักดิ์สง่างดงามอย่างน่าประหลาดผู้ที่ได้ครอบครองจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจที่ดีงามไม่นำพลังไปใช้ในทางที่ไม่ดีกระทำกับเพศตรงข้ามจนกระทั่งผิดศีลในข้อที่สาม
---๑๐. สีชา หมายถึง สีที่มีพลังอานุภาพ สามารถที่จะยับยั้งอารมณ์ความคิดที่ใช้แต่อารมณ์ ทำให้สติปัญญาความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ที่ถูกที่ควรที่ตามไม่ทันจนกระทำพลาดพลั้งผิดพลาดไปจนเกิดความเสียหายเหมาะกับผู้ที่ขาดแหล่งพึงพิงทางจิตใจ หรือผู้ที่มีจิตใจเลื่อนลอยเศร้าเสียใจผิดหวังท้อแท้ และมีความพิเศษก็ คือ จะมีอานุภาพทางมีโชคมีลาภอย่างที่คาดไม่ถึง
---การอธิฐานจิตบูชาเพชรพญานาค การบูชาเพชรพญานาค หรือเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงนั้น มิใช่บูชาตามความหมายของสีว่านี้สีดีอย่างนี้แบบนั้นหรือสีที่เหมาะกับวันเกิดเดือนเกิดแล้วจะได้ตามนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับบุญวาสนาบารมีที่ได้สร้างสะสมกันตั้งแต่อดีตชาติและเคยได้เป็นของกันมาก่อน ผู้แลจะต้องอยู่ในศีลในธรรมที่เป็นที่ตั้ง จึงจะต้องมีการอธิฐานจิตเสี่ยงบารมี ตามกำลังบุญวาสนาบารมีของตังเองว่าสีแบบใดจะคู่กับบุญวาสนาบารมีของตัวเรา หรือได้คำแนะนำจากครูบาอาจารย์ผู้รู้เท่านั้นสำหรับผู้ที่ได้สีตามที่อธิฐานจิตบูชาเพชรพญานาคมาครั้งแรก คือ เมื่อได้เมื่อได้หินมาก่อนผ่าให้อธิฐานก่อนว่าอยากได้สีอะไรส่วนมากก็จะได้สีตามจิตที่อธิฐานจิตบูชาเพชรพญานาค
*มีเครื่องสักการบูชาดังนี้
---๑. ธูป ๙ ดอก
---๒. เทียนสีชมพูหรือสีขาว ๕ เล่ม
---๓. ผลไม้ ๙ อย่าง มีมะมะพร้าวอ่อน กล้วยน้ำว้า (ควรมี) เป็นต้น
---๔. ทำพวงมะลิหรือพวงมาลัยอื่นๆ
---๕. จุดธูปเทียนตั้งนะโม ๓ จบท่องไตรสรณะคม อาราธนาศีล ๕ บทพุทธคุณ ธรรมคุณสังฆคุณ
---๖. สวดคาถา หรืออีกตำราบูชาด้วยคาถา นโน พุทธายะ นะมะ อะอุ สาธุ ข้าพเจ้าขอบูชาท่านปู่สุนันโทนาคราช พร้อมทั้งบริวารแห่งเมืองบาดาลทั้งหลายด้วยดอกมะลิ ผลไม้นานและน้ำบริสุทธิ์ เย็น ใสสะอาด ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัว มีอายุวรรณะ สุขะ พละ แข็งแรงสมบูรณ์ และมีความสุข สมหวังในสิ่งที่ ปรารถนาทุกประการเทอญ
---๗. ตั้งจิตอธิฐานตามที่ต้องการ ( ไม่เกินกำลังของกฎแห่งกรรม ) ตั้งจิตอธิฐานด้วยความแน่วแน่ตั้งมั่นจบด้วยบทแผ่เมตตา เมื่อสำเร็จสมหวังดังที่ได้อธิฐานทุกครั้ง จะต้องทำบุญใส่บาตรถวาย สังฆทาน ถวายพระพุทธรูป เป็นต้น อุทิศถวาย ให้ “ท่านปู่พญานาคสุนันโทนาคราช พร้อมทั้งบริวารทั้งหลาย ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรเป็นที่ตั้ง ” ซึ่งจะเป็นการสร้างกุศลผลบุญบารมีไปในตัว
*การอธิฐานเพชรนาคา ๙ สี ให้นำเพชรนาค มาบรรจุรวมกันในภาชนะเดียวกันแล้วอธิฐานให้หมุนตามเข็มนาฬิกา ผลออกมาดังนี้
---๑. หมุน ๑ ครั้งป้องกันภัย
---๒. หมุน ๒ ครั้งป้องกันภูตผีปีศาจ
---๓. หมุน ๓ ครั้ง ขอโชคลาภ
---๔. หมุน ๔ ครั้งสะท้อนป้องกันสิ่งไม่ดี ( ป้องกันการทำร้ายจากศัตรู )
---๕. หมุน ๕ ครั้งป้องกันสัตว์เลื้อยคลาน
---๖. หมุน ๖ ครั้งรักษาโรค
---๗. หมุน ๗ ครั้ง ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ( สามี ภรรยารักกัน )
---๘. หมุน ๘ ครั้งถ้าไม่สบายรักษาตัวเอง
---๙. หมุน ๙ ครั้งชนศัตรูหมู่มาร
---การนำเพชรพญานาคติดตัวไป เช่นเป็นเครื่องประดับเป็นหัวแหวน เป็นจี้ห้วยคอเป็นสร้อยข้อมือก็ตามหรือนำมาบูชาเอาไว้ที่บ้าน ควรที่จะจัดหาพานรองรับตามความเหมาะสมวางผ้าแดงขาวรองพื้น ก่อนที่จะนำเพชรพญานาคหรือเครื่องประดับ ที่มีเพชรนาคาวางลงบนพานและจัดหาขันหรือถ้วยใส่น้ำสะอาดโรยมะลิร่วงวางบูชาไว้ตรงด้านหน้าพานที่วางบรรจุเพชรพญานาคอยู่ ควรจะเปลี่ยนน้ำสะอาดทุกวันหรือวันเว้นวันวันตามความเหมาะสมน้ำที่วางบูชาเพชรนาคานี้ เป็นน้ำมนต์ที่มีพลังอานุภาพ ใช้ดื่มกินอาบราดทั่วตัวไล่สิ่งที่ไม่ดีเสนียดจัญไรที่มาเกาะติดตามตัวเราเพื่อเป็นสิริมงคลเป็นเกราะคุ้มกันปกป้อง
---พร้อมระลึกขอบารมีท่านปู่พญาสุนันโทนาคราชกำหนดเห็น รูปองศ์พญานาคมาขดล้อมรอบตัวของเรา ส่องแสงสว่างเป็นรัศมีกระจายรอบตัวประมาณ ๑ วา หรืออาจจะหาขันหรือภาชนะที่ใส่น้ำสะอาดพร้อมขันหรือภาชนะเล็กที่ลอยน้ำได้เพื่อนำเพชรพญานาคหรือเครื่องประดับมีเพชรพญานาควางอยู่ในขันหรือภาชนะที่ลอยได้อีกทีหนึ่ง ถ้าต้องการทำน้ำมนต์ โดยการหาขันใส่น้ำสะอาดอัญเชิญเพชรพญานาค ลงแช่ในน้ำ พร้อมกับการจุดธูปเทียนท่องคาถา พร้อมกับสำรวมกายวาจาใจให้สงบนิ่งสักพักหนึ่งแล้วอธิฐานขอนำน้ำนั้นมาดื่มหรืออาบเป็นอันเสร็จพิธี
*สรุป
---กล่าวโดยสรุปความเชื่อเรื่องพญานาคในทัศนะของคนไทยทั่วไปเชื่อว่าพญานาคเป็นกึ่งเทพและสัตว์มีฤทธิ์ แปลงกายเป็นมนุษย์และสิ่งอื่นได้ได้ตามสภาวะเหตุการณ์ พญานาคได้แสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นด้วยการรอยเลื้อยให้มองเห็น ทำเป็นดวงไฟพุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขงที่เรียกว่าบั้งไฟพญานาค ปรากฏเป็นงูใหญ่ว่ายน้ำอยู่กลางน้ำโขง ทำบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ใช้รักษาโรคที่ดงคำชะโนด พระมหาเถรไทยได้อาศัยอิทธิฤทธิ์ของพญานาคเป็นอุบาย ถ่ายทอดธรรมให้เกิดศรัทธาแก่ชาวพุทธ และสร้างศาสนาวัตถุบำรุงพระพุทธศาสนา ประชาชนที่อาศัยในแถบลุ่มแม่น้ำโขง เคารพเพชรพญานาคว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรให้ป้องกันภัย ให้เกิดความอุดรสมบูรณ์ และขอโชคลาภ จากความเชื่อดังกล่าว ทำให้สังคมไทยแถบลุ่มน้ำโขง เกิดแนวคิดใหม่ในพิธีกรรม ศิลปกรรมประเพณีกรรม เช่น การปล่อยเรือไฟบูชาแม่น้ำและเจ้าแห่งน้ำคือพญานาค พัฒนาไปสู่การท่องเที่ยวควบคู่กันไป
------------------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
ที่มา...http://www.mcu.ac.th/userfiles/file/mcuthesis2556library
วันที่ 16 สิงหาคม 2560
รวบรวมโดย...แสงธรรม
---แค่เอาหางเอาหัวป้ายเศษพิษสัตว์จำพวกนี้จึงมีพิษน้อยและพญานาคต้องคายพิษทุก ๑๕ วัน พิษของพญานาคนั้น ถ้าใครโดนพิษแล้วจะมีลักษณะอาการ คือร่างของผู้ถูกกัดจะแข็งราวกับหิน บริเวณรอยแผลที่กัด จะเน่าและมีน้ำเหลืองไหลออกมา พญานาคมีพิษที่กัดแล้วคน ๆ นั้นจะมีอาการร้อนรอยแผลคล้ายถูกรอยไฟไหม้ อาการเหมือนถูกฟ้าผ่า พญานาคมีวิธีทำอันตรายที่แตกต่างกัน คือใช้เขี้ยวขบกัดแล้ว พิษค่อยแผ่ซ่านไปทั้งตัว ใช้ตามองดูแล้วพ่นพิษออกมาทางตา ใช้ร่างกายกระทบสัมผัส พิษจะแผ่ออกมาทั้งตัว ใช้ลมหายใจพ่นพิษออกมาและพิษนั้นจะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว ถ้าเปรียบเทียบอุปนิสัยระหว่างพญานาค ในคัมภีร์สันสกฤตส่วนใหญ่จะมีนิสัยดุร้ายขาดความเมตตา ชอบแสดงอิทธิฤทธิ์ทำลายชีวิตมนษุย์และสิ่งต่าง ๆ ให้พินาศอย่เูสมอจะมีนาค ที่มีอุปนิสัยดีอยู่ไม่กี่ตนแต่นาคในคัมภีร์บาลีส่วนใหญ่เป็นนาคที่มีอุปนิสัยดีใฝ่ ธรรมทั้งนี้เพราะนาค••••••(เขียนไม่จบครับ กรุณาแก้ไขด้วย ขอบพระคุณอย่างยิ่งครับ ทุกสิ่งดีเลิศครับ)••••••••••••