การเวียนว่ายตายเกิด
(ธรรมกถาของ อ.เสถียร โพธินันทะ)
โพสท์ในลานธรรมเสวนาโดยคุณ : pug [ 12 ก.ย. 2544 ]
คัดลอก โดย ทศพล หรือ PUG
---ท่านสาธุชนทั้งหลาย
---หัวข้อปาฐกถาธรรมวันนี้เป็นการพูดข้อ เบ็ดเตล็ดบางสิ่งบางอย่างที่ยังเป็นปัญหาในกลุ่มชาวพุทธมามกะของเรา เรื่องเบ็ดเตล็ดที่เป็นปัญหาที่ชาวพุทธของเรา พูดกันถกเถียงกันอยู่นั้นไม่ใช่มีอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ความจริงแล้วถ้าจะประมวลเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลลงมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เรื่องราวก็มีมาก
---เป็นปัญหาที่น่าขบคิดทั้งนั้นเพราะในวันนี้จะได้นำเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่มาวิจารณ์สักสองเรื่องด้วยกันก่อน
---เรื่อง แรกก็คือปัญหาเรื่องของ การเวียนว่ายตายเกิด เรื่องนี้ไม่ว่าจะไปพูดในที่ใด ถ้ายิ่งไปพูดตามโรงเรียนด้วยแล้วมักจะมีนักเรียนนักศึกษาเอาปัญหานี้มาถาม ว่าตายแล้วเกิดจริงหรือไม่จริง สวรรค์นรกมีจริงหรือไม่จริง ถามกันอย่างนี้บ่อย และก็เป็นปัญหาที่มีมาก่อนพุทธกาลแล้ว เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธองค์ก็เคย แล้วพระพุทธองค์ก็ได้ตอบไปแล้ว
---แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นปัญหาต่อเนื่องกันเรื่อยมากระทั่งถึงเดี๋ยวนี้
---และ เชื่อว่าจะต้องเป็นปัญหาต่อเนื่องกันต่อไปจนกว่ามนุษย์ในโลกนี้จะไม่มี คือถ้าหาว่า ในโลกนี้ยังมีมนุษย์อยู่ ปัญหาเรื่องว่าสงสัยว่าตายแล้วเกิดหรือไม่นี้มันก็มีอยู่เรื่อยไปละครับ อันนี้ก็น่าจะเป็นประเด็นอันหนึ่งที่เราน่าจะเอามาวิจารณ์กันเกี่ยวกับปัญหา เรืองนี้ ปัญหาตายแล้วเกิดหรือไม่ ถ้าหากว่าจะพูดตามนัยในพระพุทธศาสนา
---การ ตอบปัญหาในพระพุทธศาสนาเรา พระพุทธเจ้า ท่านได้เสนอวิธีการที่จะโต้ตอบปัญหานี้ออกเป็น 4 ประการด้วยกัน คือว่า ปัญหาบางอย่างเมื่อมีผู้ตั้งขึ้นแล้ว ผู้ที่จะแก้ปัญหาก็ต้องตอบด้วยวิธียืนกระต่ายขาเดียว ปัญหาประเภทนี้เรียกว่า “ เอกังสพยากรณ์ “ คือ การตอบโดยการยืนกระต่ายขาเดียว ปัญหาบางอย่างตอบด้วยวิธีการยืนกระต่ายขาเดียวไม่ได้ จะต้องกล่าวจำแนกตามประเภทตามเหตุการณ์ อย่างนี้เรียกว่า “ วิภัชพยากรณ์ “ ปัญหา บางอย่างผู้ตั้งปัญหาถามขึ้นแล้ว ผู้ตอบก็ต้องเอาคำถามของเขานี่ยันผู้ถามอย่างนี้ เรียกว่าย้อนหรือเรียกว่าศอกกลับ ถ้าจะว่าไปแล้วก็เรียกว่าศอกกลับก็ว่าได้ เรียกว่า ปฏิปุจฉาพยากรณ์
---ปัญหา บางอย่างตั้งขึ้นมาถามแล้วผู้ถามมีเจตนาที่ไม่ใคร่จะบริสุทธิ์ ผู้ตอบพิจารณาเห็นว่า ตอบไปแล้วไม่เกื้อกูลต่อประโยชน์ทั้งใน อดีต ปัจจุบันและอนาคต ก็เป็นสิทธิที่ผู้ตอบจะยกเลิก ยกปัญหาเสีย ไม่ตอบ อย่างนี้เรียกว่า ฐปนียพยากรณ์
---เป็น วิธีการตอบปัญหาในพระพุทธศาสนา 4 ประการ วิธีการตอบปัญหา 4 ประการนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงใช้มาตลอดสมัยของพระองค์ในการโต้ตอบกับพวกสม ณพราหมณ์ เดียรถีนิครนถ์ต่างๆ ที่เข้ามาลองดีพุทธิปัญญาของพระองค์ หรือผู้ที่เข้ามาตั้งคำถามโดยความเจตนาบริสุทธิ์ ต้องการจะมีความรู้ความสว่างจากพระองค์ก็ต้องอาศัยการพิจารณาของพระองค์ว่า ปัญหาเหล่านี้ควรจะตอบด้วยวิธีอะไร ควรที่จะตอบด้วยเอกังสพยากรณ์ก็ตอบด้วยเอกังสพยากรณ์
---ควร ที่จะตอบด้วยวิภัชชพยากรณ์ก็ตอบด้วยวิภัชชพยากรณ์ ควรที่จะตอบด้วยปฏิปุจฉาพยากรณ์ก็ตอบด้วยปฏิปุจฉาพยากรณ์ แล้วควรที่จะตอบด้วยฐปนียพยากรณ์ก็ตอบด้วยฐปนียยพยากรณ์ไปตามเรื่อง
---คราว นี้ปัญหาเรื่อง ตายแล้วเกิด ในข้อนี้ถ้าจะเอาวิธีการตอบปัญหา 4 ประเด็นมาตอบปัญหาตายแล้วเกิดควรจะเอาอะไรมาตอบ ในวิธีการ 4 ข้อ ก็ต้องดูเหตุการณ์อีกนะครับ ยกตัวอย่างเช่นว่ามีปริพาชกคนหนึ่งเป็นคนถือ สัสสตทิฏฐิ ถึอว่าตายแล้วอัตตาของเขานี่ อัตตาตัวนี้แหละหรือเรียกว่าวิญญาณนี่แหละ ไปเวียนว่ายตายเกิด อัตตาตัวนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปรผัน มั่นคงดุจเสาระเนียด ชื่อว่า วัชชโคตรปริพาชก วัชชโคตรมีทิฏฐิอย่างนี้ เมื่อตั้งปัญหาถามพระพุทธเจ้าว่าพระสมณโคดม ตายแล้วเอาอะไรไปเกิด
---พระพุทธเจ้าไม่ตอบ ไม่ตอบปัญหาข้อนี้แก่วัชชโคตร วัชชโคตรก็เสียใจ ก็ตัดพ้อพระพุทธเจ้าว่า แหม ช่างกระไรเลย เขาเองมีความสงสัยในปัญหาข้อนี้ ผูกใจมานานนักหนาแล้ว นึกว่าได้รับความสว่างในสำนักของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ากลับไม่ตอบปัญหา เขาตัดพ้อพระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็บอกว่าวัชชโคตร ถ้าหากว่าตถาคตจะตอบปัญหาข้อนี้แก่เธอ เธอเป็นสัสสตทิฉฐิอยู่แล้วนะ ถ้าตอบปัญหาข้อนี้แก่เธอเมื่อไหร่ละก็ เธอจะเข้าใจผิด ยิ่งจะเป็นสัสสตทิฉฐิยิ่งขั้นไปอีก เป็นทวีตรีคูณทีเดียวละ เพราะฉะนั้นปัญหาข้อนี้เราจึงไม่ตอบเธอ เพราะอะไรถึงทรงแสดงอย่างนั้น
---เพราะ ว่าโดยความจริงแล้วคนที่ยังมีกิเลสอยู่ ตายแล้วก็ต้องเกิด ถ้าพระองค์ตรัสบอกกับวัชชโคตรบอกว่าคนเราตายแล้วเกิด วัชชโคตรซึ่งกำลังหลงผิดยึดถืออยู่แล้ว ว่าอัตตาของตัวนี่แหละมั่นคงดุจจะเสาระเนียด เป็นผู้ไปเวียนว่ายตายเกิดในชาติภพต่างๆ ก็ยิ่งจะเตลิดเปิดเปิงนึกวาพระพุทธเจ้ามาสนับสนุนทิฏฐิของตัวว่าจริง
---เมื่อ คนเราตายแล้วต้องเกิด สิ่งที่ไปเกิดเป็นตัวนั่นแหละ คือตัวอัตตาที่ข้ากำลังถืออยู่ ณ บัดนี้นี่แหละ พระพุทธเจ้ามาสนับสนุนทิฏฐิของตัวอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าจึงไม่ตอบวัชชโคตรก่อน เป็นเหตุให้เขาเกิดความสงสัยยิ่งขึ้น เมื่อตัดพ้อเช่นนี้แล้วพระองค์จึงแสดง “ ปฏิจจสมุปบาท “ ให้เห็นเป็นการทำลายสัสสตทิฏฐิของวัชชโคตรปริพาชก
---ถ้า ไปตอบอย่างง่ายๆ บอกว่า เออ คนเราตายแล้วก็ต้องไปเกิดซิ วิญญาณนี่แหละไปเกิด ตอบง่าย ๆ อย่างนี้ คนที่เป็นสัสสตทิฏฐิก็จะ หลงผิดเป็นสัสสตทิฏฐิยิ่งขึ้น จึงไม่ทรงตอบในเบื้องแรก แล้วก็แสดง ปฏิจจสมุปบาท ในเบื้องปลายเป็นการทำลายความเข้าใจผิดของวัชชโคตรปริพาชกไปเสีย นี่เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง
---คราว นี้ถ้าหากว่าสำหรับคนที่เชื่ออยู่แล้วว่ากฏแห่งกรรมมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง แล้วสิ่งที่ไปเวียนว่ายตายเกิดนี่ ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน เราเขาอะไร แต่ทว่าเป็นสังขารธรรมที่เกิดดับสืบสันตติกันได้ ถ้าคนมีความเชื่อถือเช่นนี้มาตั้งปัญหากับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงพยากรณ์ไปตามเหตุคือ พยากรณ์ใช้วิธีวิภัชชพยากรณ์ บอกว่าถ้าคนยังมีกิเลสตัณหาอยู่ก็ต้องทำอะไรที่เป็นกรรม เมื่อมีกรรมแล้วก็มีวิบาก
---ชีวิต ยังสั้นอยู่ในชาติหนึ่งภพหนึ่ง ไม่สามารถจะชดเชยวิบากในชาติหนึ่งภพหนึ่งได้ มันก็ต้องไปยกยอดในชาติหน้า ไปรับวิบากในชาติใหม่ภพใหม่ต่อไป อย่างนี้ก็ทรงตอบ
---อย่าง เช่นมีอุบาสก อุบาสกหรือชาวพุทธในพระศาสนาที่มีความเข้าใจในเรื่องกฎของกรรมดีพอแล้ว ตั้งปัญหาถามพระองค์พระองค์ก็แสดงโดยวิภัชชพยากรณ์หรือแม้ไม่ต้องตั้งปัญหา พระองค์ก็แสดงอยู่แล้ว เช่นว่าแสดงกับพระอานนท์เถรเจ้า พยากรณ์คติพจน์ของบรรดาอุบาสก อุบาสิกาในนาลันทคามว่า อุบาสกชื่อนั้นมรณะไปแล้วกำลังเสวยอยู่ในสวรรค์ชั้นนั้น ๆ ตาม ทิฏฐานุคติอันชอบของผู้นั้น ทรงพยากรณ์ทิฏฐิอยู่แล้ว ทรงพยากรณ์คติของผู้ล่วงลับไปแล้วให้กับพระอานนท์เถระเจ้าฟัง
---แล้ว ก็ตรัสบอกว่าดูก่อนอานนท์ ที่ตถาคตพยากรณ์คติสัปรายภพของอุบาสกชื่อนั้น อุบาสิกาชื่อนั้น ณ. ตำบลบ้านนั้น ๆ เพราะเหตุไร ก็เพื่อว่าจะเป็นเครื่องพยุงใจให้แก่ปัจฉิมาชนตาชน คือชนที่เกิดภายหลัง ได้มีความกระปรี้กระเปร่า มีกำลังใจในการประกอบกุศลกรรม มีกำลังใจในการทำความดี เพราะมีข้อยืนยันว่าเมื่อทำกรรมดีอย่านี้แล้ว ตายไปแล้วก็ได้เสวยผลกรรมดีในคติสัมปรายภพนั้น ๆ
---ทรง แสดงอย่างนี้คนที่ไม่เข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวตะวันตกที่แรกเริ่มศึกษาพุทธศาสนาใหม่ ๆ พอรู้ว่าพระพุทธเจ้าปฏิเสธเรื่องโซล คือ วิญญาณหรือตัวอาตมัน ภาษาฝรั่งเรียกกันว่าโซลก็นึกว่าพุทธศาสนานี้ไม่ด้สอนเรื่องเวียนว่ายตาย เกิด เรื่องเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องไร้สาระ หรือแม้แต่นักปราชญ์บางท่านในเมืองไทยเรา เวลาแสดงปาฐกถาก็ยังโจมตีว่าการพูดเรื่อง เวียนว่ายตายเกิดนี้เป็นเรื่องนอกคอก นอกบาลี ที่ไหนพระพุทธเจ้าจะมาสนใจเรื่องนี้
---ควร จะพูดแต่เรื่องทางพ้นทุกข์ลัดนิ้วมือเดียว ทำอย่าไรถึงจะพ้นทุกข์ดีกว่า พูดเรื่องพุทธภาวะในจิตเดิมแม้นี่ดีกว่า จะได้พ้นทุกข์ไปไว ๆ ตรัสรู้เร็ว ๆ ดีกว่าจะไปมัวแต่พูดเรื่องเนิ่นช้า เรื่องเวียนว่ายตายเกิด เรื่องวัฏสงสาร เป็นเรื่อทำให้คนเนิ่นช้า ไปพูดเรื่องนี้ทำไม ปฏิจจสมุปบาทว่าที่จริงแล้วก็มีขณะ ปัจจุบันขณะเดียว นี่มติของบางท่านนะ แต่ไม่ใช่ทั่วไปหรอก บางท่านว่าปฏิจจสมุปบาทอยู่ในขณะจิต ปัจจุบันขณะเดียวอย่างนี้ โดยปฏิเสธอตีตอัทธา อนาคตอัทธาปฏิเสธหมด ว่าเรื่องการแบ่งปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นมติของพระอรรถกถาจารย์ ที่ไหนจะมีในบาลีพุทธพจน์ ปฏิเสธอย่านี้ก็มีอยู่ ซึ่งถ้าหากว่าจะพิจารณาแล้วจะเห็นว่าธรรมะในพุทธศาสนานี้ไม่ใช่จะเกณฑ์คน ทุกคนให้เป็นพระอรหันต์ในพริบตาเดียวหมด
---ถ้า ไปถืออย่างนั้นละก็เอ่ยคำอะไรจะไปนิพพานกันร่ำไปอย่างนี้น่ากลัวพุทธศาสนาจะ ไม่ได้แพร่หลายยั่งยืนถึงทุกวันนี้เป็นแน่ เพราะว่าธรรมะในพุทธศาสนามีหลายชั้น หลายวิธีการเหมือนกับอัธยาศัยของสัตว์ตั้งแต่โง่กระทั่งถึงคนฉลาด เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาจึงเป็นสาธารณะประโยชน์แก่ผู้ที่น้อมนำไปปฏิบัติ ได้ทุกชั้นทุกวัย
---ไม่ ใช่จะเกณฑ์คนให้เป็นพระอรหันต์กันหมดในพริบตาทั้งโลก เป็นไปไม่ได้ เพราะเรายังต่างกรรมต่างวาระ ต่างอัธยาศัย อย่างไรก็ตาม เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนี้เป็นประเด็นสำคัญที่สุดในพุทธศาสนา เราจะเป็นชาวพุทธที่สมบูรณ์ไม่ได้ ถ้าเราไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอันนี้
---สัมมา ทิฏฐิในองค์มรรคในมรรค 8 นี่ สัมมาทิฏฐิแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ โลกียสัมมาทิฏฐิ โลกียสัมมาทิฏฐิได้แก่อะไร ได้แก่ กัมมัสสกตาญาณ ถ้าคนที่มีกัมมสกตาญาณเชื่อในเรื่องว่าทำกรรมได้รับผลแห่งกรรมนั้นเท่ากับ เชื่อว่าจะต้องมีเวียนว่ายตายเกิด
---ถ้า เชื่อกรรมก็ต้องเชื่อเวียนว่ายตายเกิดเป็นเงาตามตัว คน ๆ นั้นก็ขาดโลกียสัมมาทิฏฐิ เมี่อไม่มีโลกียสัมมาทิฏฐิแล้ว โลกุตตรสัมมาทิฏฐิก็เกิดไม่ได้ โลกุตตรสัมมาทิฏฐิได้แก่การเห็นแจ้ง ในอริยสัจจ์ 4 เป็นโลกุตตรสัมมาทิฏฐิแต่การที่จะเห็นแจ้งในอริยสัจจ์ 4 ได้นั้น คนนั้นจะต้องมี โลกียสัมมาทิฏฐิเป็นบุพภาค ไม่มีโลกียสัมมาทิฏฐิเป็นบุพภาคแล้ว การเห็นแจ้งในอริยสัจจ์เป็นไปไม่ได้
---คือ พูดง่ายๆ ว่าถ้าไม่มีกัมมัสสกตาญาณเสียแล้ว ที่ไหนจะมาเชื่อเรื่องมรรคผลนิพพาน ถ้าคนเราไม่มีกัมมัสสกตาญาณแล้ว ไม่เชื่อเรื่องมรรคผลนิพพานอย่างเด็ดขาด อันนี้แหละครับเป็นปัจจัยสำคัญที่ว่าทำอย่างไรจะทำให้กัมมัสสกตาญาณในคน ปัจจุบันนี้มีมาก ๆ เพราะความชั่วในสังคมปัจจุบันเกิด เพราะคนในสังคมปัจจุบันนี้ ขาดกัมมัสสกตาญาณ ขาดโลกียสัมมาทิฏฐิ โลกุตตรสัมมาทิฏฐินี่เราอย่าเพิ่งไปหวังเลย เอาแค่โลกียสัมมาทิฏฐิ ก่อนว่าทุกวันนี้เราจะช่วยสังคมให้ปลอดภัยจากเรื่องความเสื่อมโทรมทาง ศีลธรรมได้อย่างไร
---ถ้า หากว่าเราทุกคนเชื่อ เรื่องเวียนว่ายตายเกิดแล้ว สังคมก็จะเป็นสังคมที่ปลอดโปร่งสบาย เรื่องการทำร้ายเรื่องการเบียดเบียน ก็จะบรรเทาเบาบางลงเหมือนอย่างสังคม สมัยโบราณ ซึ่งเป็นสังคมของชาวพุทธแท้ ๆ กลัวบาปกลัวกรรมกัน เรื่องการทำร้ายคดีอุกฉกรรจ์แปลก ๆ ที่ทุกวันนี้มีอยู่ในครั้งกระโน้นก็ไม่มี อันนี้แหละครับสำคัญมาก เพราะเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตอบปัญหาบางครั้ง ถ้าหากว่าไม่พิจารณา ก็นึกว่าพระพุทธเจ้าปฏิเสธเรื่องชาติหน้า
---อย่าง ตอบวัชชโคตรปริพาชก ถ้าไปอ่านเพียงครึ่งเดียวเหมือนพระพุทธเจ้าไม่ตอบ ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าชาติหน้าไม่มีซิ ถ้านึกอย่างนั้นเข้าใจผิด ต้องไปดูตอนปลายว่าพระพุทธเจ้าพูดกับวัชชโคตรว่าอย่างไร แล้ววัชชโคตรมีสันดาน มีทิฏฐิมาก่อนอย่าไร แล้วเพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงไม่พูดกับวัชชโคตรทันทีทันควัน ว่าชาติหน้ามีอะไรไปเกิด นี่เราต้องพิจารณาโดยโยนิโสมนสิการให้ดีว่าข้างหน้าข้างหลังชนปลายอย่างไร
---โดยมากคนที่นึกอย่างนั้น ไปจับเอาความข้างเดียวมาพูด ไม่ได้ดูความถ่องแท้ทั้งเบื้องต้นเบื้องหลังแล้ว ก็บอกว่าพระพุทธศาสนานี่ปฏิเสธภพชาตินี่ เป็นเรื่องนอกศาสนาเป็นเรื่องศาสนาพราหมณ์ พระพุทธเจ้าแท้ๆท่านแสดงมีแต่เรื่องพ้นทุกข์อย่างเดียว เรื่องจะไปนิพพานอย่างเดียว เรื่องนอกนั้นเป็นเรื่องนอกศาสนาเป็นพราหมณ์ทั้งนั้นแหละ นึกอย่างนั้นเป็นความเข้าใจผิดคราวนี้ ถ้าจะเกิดชาติหน้ามีอยู่การเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่ ก็มักจะมีปัญหาขึ้นมาว่าทำไม่เรายังระลึกชาติไม่ได้ ถ้าชาติหน้ามีอะไรเป็นเหตุที่ให้เราระลึกชาติไม่ได้ และเหตุที่เป็นเหตุให้เราระลึกชาติไม่ได้ไม่ใช่อื่นไกลหรอกครับ เพราะว่าเรามารับจิตตชรูปอุตุชรูปอาหารชรูปในปัจจุบันภพรูปที่เราติดมาแต่อดีตภพ เกิดจากอดีตกรรมนี่มีกัมมชรูปอันเดียว
---กัมมชรูปที่เกิดพร้อมในปฐมปฏิสนธิขณะจิต กัมมชรูปเกิดหยั่งลงสู่ครรภ์ของมารดา ปฏิสนธิจิตเกิดขณะต้นกัมมชรูปก็เกิดพร้อมทีเดียว อันนี้กัมมชรูปนี้สืบมาจากอดีต อดีตกรรม ปรุงโดยตรง สายตรงมาทีเดียว แต่ว่าอาหารชรูป อุตุชรูป เรามารับเอารูปใหม่ในปัจจุบันภพ กายเนื้อ กายหยาบที่เราเห็นอยู่นี้ มหาภูตรูปนี่เรามารับเอาใหม่ในปัจจุบันภพ รับเอาใหม่อันสำเร็จมาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อแม่ร่วมกัน
---เพราะ ฉะนั้นมันสมองคือ สมองของเรานี่แหละก็เป็นของใหม่ ไม่ใช่ของเก่า มันสมองนี่เป็นรูปใหม่ในปัจจุบันภพ ไม่ใช่ของเก่าสืบมาจากชาติก่อน ของเก่าที่เป็นส่วนรูปธาตุมาจากชาติก่อนมีเพียงกัมมชรูปอย่างเดียว คราวนี้เมื่อมันสมองเป็นของใหม่ มันสมองเท่ากับว่าเป็นเครื่องมือสำหรับให้จิตเหมือนกระแสไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าจะปรากฏจะมีปฏิกิริยาออกมาก็ต้องผ่านไดนาโม ถ้าไม่มีเครื่องไดนาโมแล้ว ไฟฟ้าจะไม่มีปฏิกิริยาออกมา
---ทุก วันนี้ในอากาศเรานี่มีไฟฟ้าทั้งนั้นแหละ แต่ที่ไม่มีปฏิกิริยาเพราะเรามองไม่เห็นมัน เพราะว่ายังไม่มีเครื่องเข้าไปจับไปกระจายพลังงานมันออกมา ไปกลั่นกรองพลังงานมันออกมา เราก็ยังไม่สามารถสัมผัสไฟฟ้าได้ แต่ว่าความจริงแล้ว ไฟฟ้ามีอยู่รอบบรรยากาศในรอบตัวเรานี่ฉันใด จิตก็เหมือนกัน จิตสืบสันตติมาจากภพเก่าเป็นองค์แห่งภพ เก็บเอาพฤติกรรม ต่างๆ ในชาติก่อน ๆ เอาไว้
---แต่ จิตนั้นจะสำแดงพฤติการณ์ออกมาได้ก็ต้องผ่านสมอง ผ่านทางสมองออก แล้วสมองก็สั่งงานไปทางประสาท ทางร่างกายอีกชั้นหนึ่ง เพราะฉะนั้นท่านจึงเปรียบบอกว่า สมองนี่เหมือนกับเครื่องจักร ชีวิตกับร่างกายเหมือนกับลำเรือ มันสมองเหมือนเครื่องจักร ส่วนผู้คุมเครื่องจักร กัปตันเรือคือ จิต มีเพียงลำพังกัปตันเรือ แต่ว่าไม่มีเครื่องเรือก็ไม่มีลำเรือก็ไม่สำเร็จอีก มีแต่ลำเรือ มีเครื่องเรือ ไม่มีกัปตันเรือ เรือลำนั้นก็เป็นซาก ทำอะไรไม่ได้ แล่นก็ไม่ไป ไม่มีคนคุมคนจัดการให้เครื่องมันเดิน มันก็แล่นไม่ไปฉันใด ชีวิตกับร่างกายมันสมองก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมื่อมันสมองเป็นเนื้อก้อนใหม่ ๆ ที่สำเร็จในปัจจุบันภพเช่นนี้แล้ว มันสมองก้อนนี้จึงไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะทำให้จิตระลึกชาติเก่า ๆได้ เพราะเป็นของใหม่ในปัจจุบัน ก็คิดได้ทำได้แต่ของใหม่ ๆ จิตเองแม้จะระลึกชาติก็ระลึกไม่ออก เพราะอะไร
---เพราะ ความที่จิตนั้นถูกความเศร้าหมองของกิเลสสะกดเอาไว้ สะกดเอาไว้ ท่านเปรียบจิตเหมือนกับบ่อน้ำ บ่อน้ำที่แสนจะลึก แล้วก็อารมณ์ต่างๆ หรือพฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำมาแต่ชาติภพเก่า ๆ เหมือนกับเราโยนเอาทัพพสัมภาระวัตถุต่างๆ ลงในบ่อน้ำนั้น โยนทับถมกันเรื่อยไป ที่โยนไปก่อน ๆ ก็ถูกของใหม่ ๆ ทับเอาไว้ มองไม่เห็น เราจะเห็นได้เฉพาะที่เพิ่งจะโยนประเดี๋ยวประด๋าวใหม่ๆ เมื่อกี้นี้ โยนเมื่อกี้นี้แต่โยนเมื่อกี้นี้ขณะที่ยังไม่จมถึงก้นบ่อก็ยังพอเห็น แต่พอจมถึงก้นบ่อแล้วก็ไม่เห็นอีก เพราะอะไร เพราะความขุ่นของน้ำ
---ความ ขุ่นอันนี้ก็คือ กิเลส กิเลสตัณหาที่มันเกาะเป็นสนิมใจ เกาะกันมา ทับถมกันมา ธรรมดาบ่อน้ำของโยนมากก็จะไม่เห็นอยู่แล้วนะ มิหนำซ้ำเจ้าน้ำในบ่อนั้น ยังเป็นน้ำขุ่นอีกเสียด้วย ขุ่นอย่างน้ำครำอย่างนี้ เพราะฉะนั้นของอะไรร้อยแปด โยนลงไปจึงไม่มีเห็นหรอก ไม่มีเห็น ขณะดังป๋อมใหม่ ๆ พอเห็น พอรู้ แต่โยนแล้วไม่ใช่วันเดียวสองวันตั้งหลายร้อยอเนกอันนตชาติ
---แล้ว เราจะไประลึกได้อย่างไร ไม่มีทางระลึกได้ มิหนำซ้ำสด ๆ ร้อนๆ เช่นว่าเราตายปุบเกิดปับอย่างนี้ ควรจะระลึกชาติเก่าได้ยังระลึกไม่ได้ ก็เพราะอะไร เพราะมาเจอมันสมองก้อนใหม่นี่มาเป็นอุปสรรคสำคัญ คอยกีดกั้นเอาไว้ มันสมองก้อนี้แหละที่เรารับจากพ่อแม่ในภพปัจจุบันนี้แหละ มันกีดกั้นเอาไว้ บังเอาไว้ ถ้าจะเปรียบ มันสมองก็เหมือนหนึ่งวัตถุแท่งทึบที่แสงไม่สามารถทะลุไปได้มากีดกั้นเอาไว้ พฤติกรรมของจิตในอดีตอารมณ์ในอดีต ภวังค์ไม่สามารถที่จะมาปรากฏได้ก็เพราะอานุภาพของสมองในปัจจุบันนี้กีดกั้น เอาไว้ประการหนึ่ง
---อีก ประการหนึ่งเกิดเพราะความขุ่นมัวของกิเลสในพื้นเพของจิต อีกประการหนึ่งเกิดเพราะว่าพฤติกรรมต่างๆ ที่ทับถมหมักหมมอยู่ในพื้นเพของจิตใจมีมากมายก่ายกองเหลือเกิน
---จน กระทั่งเราไม่สามารถที่จะจับต้นชนปลายถูกว่าอะไรเป็นอะไร วัตถุสิ่งนั้น เพราะมันทับถมมากมายหลายโกฎิหลายพันล้าน สิ่งอยู่ในบ่อน้ำบ่อเดียว คือ จิตนี่แหละครับ 3 กรณี เหตุนี้เป็นเหตุให้เราระลึกชาติไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เราเกิดสดๆ ร้อนๆ ตายปุบเกิดปับเรายังระลึกไม่ได้เลย มูลเหตุอีกข้อหนึ่งที่ระลึกไม่ได้คือเวลาที่อยู่ในท้องแม่ 10 เดือน เหมือนกับคนติดตะราง ติดตะราง 10 เดือนนี่ เสวยทุกขเวทนาสาหัสนะ สัตว์ที่อยู่ในครรภ์ของแม่นี่
---ท่าน เปรียบเหมือนคล้าย ๆ คนตกนรก เสวยทุกขเวทนาสาหัส แม่กินของร้อนก็ร้อนตามอย่างเช่น กินของชอบ ถ้าผู้หญิงที่แพ้ท้องชอบกินของเผ็ดจัดอย่างนี้ ทารกในครรภ์ทุกขเวทนาเหลือเกิน ปวดแสบปวดร้อนทุกสรรพางค์ทีเดียว แม่กินของเย็นก็เย็นหนาวเหมือนกับตกนรกขุมหนาวอย่างนั้นแหละ นี่หนาวทีเดียว หนาวเย็นไปตามนั้น
---ถ้า แม่เปลี่ยนอิริยาบถรุนแรงเกินไป เช่นวิ่งหรือว่าเกิดตกบันไดผลัดตกลงมา ลุกในครรภ์ก็กระทบกระเทือนเจ็บปวดไปด้วยทุกขเวทนา 10 เดือนเรามองโดยสายตามนุษย์เห็นว่าเวลาเพียง 10 เดือนจะเป็นอะไร แต่ความรู้สึกของเด็กในครรภ์ของมารดานั้น 10 เดือนเหมือนกับ 10 โกฎิปี เหมือนกับตกนรก 10 โกฏิ ความรู้สึกมันช้านานเหลือเกิน ที่ถูกจองจำคุมขังเอาไว้ ไม่ใช่คุมขังเปล่า จะดิ้นก็ลำบาก จะพลิกตัวก็ลำบากงอมืองอเท้า มิหนำซ้ำยังถูกความเย็นความร้อนนี่มันเสียดแทงจากมารดาดื่มกินเข้าไป
---อาหาร ต่างๆ เข้าไปเสียดแทงร่างกาย ทุกขเวทนาในครรภ์ 10 เดือนนี้ลืมความเก่าหมดเลย เหตุการณ์เก่า ๆ อย่างเช่นว่าเราจะตาย เราก็ตั้งใจไว้ว่าเจ้าประคุณ ชาติหน้าให้ระลึกชาติได้เถิด ก็พยายามระลึกผูกจิตเอาไว้ บอกว่ากูตายชาตินี้แล้วชาติหน้าต้องระลึกชาติให้ได้ หมายใจผูกพันกับอารมณ์นี่อย่างเต็มแก่มาแล้ว พอครั้นตายจริงเข้าครรภ์มารดาปุบ 10 เดือนกว่า เหมือนตกนรกในครรภ์มารดา ลืมความแล้ว ความทุกข์ที่มันทับถมนี่ ความผูกใจแต่ก่อนขาดใจตายในชาติที่แล้ว บอกจะเอาความเก่ามาจำให้ได้ในชาตินี้ จะได้เล่าให้คนฟังบ้างว่า ชาติก่อนเกิดเป็นอะไรมา เป็นอันยกเลิกเลย ลืมกันระหว่าง 10 เดือนนี้ลืมหมด นี่ 10 เดือนเป็นปัจจัยอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ระลึกชาติไม่ได้
---เพราะ ฉะนั้นท่านว่าสัตว์นรกที่ตกนรก เวลาเราแผ่ส่วนบุญ ให้สัตว์นรก มักจะไม่ใคร่ถึง สัตว์นรกมักจะไม่ใคร่รู้ เพราะอะไร เพราะสัตว์นรกมีทุกข์มาก ไม่มีแก่ใจจะมารับส่วนบุญของใคร สัตว์ประเภทที่จะมารับส่วนบุญง่าย ๆ ก็คือพวกเปรต พวกนี้สุข ทุกข์ก้ำกึ่ง คล้าย ๆ มนุษย์ มีสุขบ้าง มีทุกข์บ้าง ถึงแม้จะมีทุกข์ก็ไม่ทุกข์อย่างสัตว์นรกทุกข์
---เพราะ ฉะนั้น พอมีเวลาที่จะมานึกถึงความดีบ้าง คนที่มีทุกข์มาก ๆ ทุกขเวทนามาก ๆ หาเวลาแม้ชั่วขณะที่จะระลึกความดีได้ยากเหลือเกิน นอกจากว่าสัตว์นรกตัวใดจวนจะสิ้นกรรมที่เขาทำมาแล้ว บางครั้งอกุศลอันเป็นอปราประ
---ถ้า ติดตามมานี่ก็ผลุดขึ้นได้ในบางขณะ นึกขึ้นได้เหมือนกัน หรือบางครั้งผู้ที่มีบุญญาวาสนาสูง ๆ มีบุญญาธิการมาก ๆ เขาทำบุญ กระแสจิตเขาแรง เขาแผ่ไป อย่างพระโพธิสัตว์อย่างนี้ บำเพ็ญบามีแผ่บารมีลงไปอย่างนี้ สัตว์นรกที่กรรมเวรจวนจะหมดแล้วก็มีเวลาว่างเพียงชั่วอึดใจหนึ่งมาอนุโมทนา ก็พ้นกรรมอันี้ไปสู่สุคติได้ก็มีอยู่
---แต่ โดยเยภุยยนัยแล้วลำบาก ลำบากมาก เพราะว่าความทุกข์นี่บีบคั้นรุนแรงมากเหลือเกิน เหมือนกันกับทารกในครรภ์ของแม่ตลอดระยะ 10 เดือนนี่ ความทุกข์บีบคั้นมาก อันนี้เรียกว่า ทุกข์เกิดตั้งแต่ อยู่ในครรภ์แล้ว วินาทีแรกแล้ว ถูกบีบคั้นอย่างนี้ ไหนเลยจะมีเวลามานึกถึงเหตุการณ์ในชาติก่อน ๆ ไหนเลยจะเอาใจใส่มาทรงจำเหตุการณ์ในชาติก่อน ๆได้
---ความ ลำบากแค่ 10 เดือนก็เต็มทนแล้ว เพราะฉะนั้นพอคลอดออกมา ความเก่าก็ลืมหมดทีเดียว ระยะที่คลอดออกมานี่มันสมองก็ยังเป็นของใหม่อารมณ์ก็ยังของใหม่อยู่ กว่าจะเติบโตรู้ความได้ ก็เข้า 3 ขวบ พอเข้า 3 ขวบแล้ว หมดแล้ว ความเก่า ๆ ที่ตั้งใจจะระลึกเอาไว้เป็นอันยกยอด แทงสูญเลย กลายเป็นคนระลึกชาติไม่ได้ แล้วก็บอกว่าชาติก่อนไม่มี ฉันระลึกไม่ได้ เพราะชาติก่อนไม่มี ใช้ไม่ได้ เหตุผลเพียงแต่ว่าฉันนึกไม่ได้ จึงว่าอดีตไม่มี นี่ใช้ไม่ได้
---ถ้า เราเพียงแต่เอาเหตุผลเพราะเหตุที่ฉันนึกไม่ได้ อดีตจึงไม่มีแล้ว เหตุการณ์ในปัจจุบันที่เราระลึกไม่ได้มีเยอะแยะ ถ้าเช่นนั้นเหตุการณ์ในปัจจุบันที่ระลึกไม่ได้ชื่อว่าเป็นของไม่มีกระนั้น หรือ ผู้ที่นิยมในเหตุผลย่อมไม่สามารถจะกล่าวได้ว่าเป็นความชอบธรรม เหตุการณ์ในปัจจุบันที่ระลึกไม่ได้มีมากมาย แม้แต่เหตุการณ์สด ๆ ร้อน ๆ เดี๋ยวนี้แหละ อย่างผมจะถามบอกว่า เมื่อกลางวันนี่ท่านผู้ฟังเวลารับประทานอาหาร เคี้ยวอาหาร เคี้ยวกี่ครั้ง ท่านจำได้บ้างไหม ว่าเคี้ยวอาหารลงไปในท้อง เคี้ยวกี่ครั้ง ท่านจำได้บ้างไหม ว่าเคี้ยวอาหารลงไปในท้อง เคี้ยวกี่ครั้ง ปากเราเคี้ยวกี่ครั้ง ท่านก็ตอบไม่ได้ เหตุการณ์ปัจจุบันสด ๆ ร้อน ๆ ท่านยังตอบไม่ได้เลยว่าท่านเคี้ยวอาหารกี่ครั้ง เมื่อรับประทานอาหารกลางวัน จะป่วยการกล่าวไปไยกับเรื่องที่ข้ามภพข้ามชาติ ยิ่งระลึกไม่ได้ใหญ่ เพราะเหตุที่มีอุปสรรคต่างๆ ดังได้พรรณนามาเป็นอุปสรรคกีดขวาง เป็นเหตุให้ระลึกไม่ได้
---ถ้า อย่างนั้นก็อาจจะมีปัญหาถามบอกว่าทำไมคนบางคน เกิดมาถึงระลึกชาติได้เล่า นี่มี ทำไมจะไม่มี ในประเทศไทย เราก็มีเยอะแยะ คนระลึกชาติ ในต่างประเทศทั่วโลกก็มีการระลึกชาติได้เยอะแยะ กระทั่งศาสตราจารย์ในอเมริกาเขาตั้งเป็นทุนให้มิสเตอร์ฟรานซิสตอรี่เข้ามา สืบสวน ทำประวัติต่างๆ ของบุคคลที่ระลึกชาติได้ทั่วโลก และท่านฟรานซิสตอรี่นี้ได้มา ถึงเมืองไทยเมื่อสองสามปีมานี้
---มา ทำชีวิประวัติของบุคคลที่ระลึกชาติได้ในเมืองไทย ทั้งพระทั้งคฤหัสถ์ ทั้งหญิงทั้งชาย หลายท่านด้วยกัน เอาไปในเมืองนอก เขาทำอย่างนั้น แล้วก็วิชาการสะกดจิตได้ทำให้การระลึกชาติได้ก็มีอยู่ ในประเทศอังกฤษ มีผู้หญิงคนหนึ่งป่วย ไม่สบาย ไปหาจิตแพทย์รักษาจิตแพทย์ก็ต้องใช้การสะกดจิต เพื่อที่จะขุดขุ้ยเอาอารมณ์ค้างว่า ผู้หญิงคนนี้ที่มีความทุกข์ทนหม่นหมองในชีวิตที่แก้ไม่ตกจะต้องมีอารมณ์ ค้างอะไรในใจอย่างหนึ่ง
---การ ที่จะตรวจหาอารมณ์ค้างซึ่งเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ต้องใช้วิธีการสะกดจิตรักษา และก็ล้วงเอาอารมณ์ค้าง พูดง่ายๆ ล้วงเอาความลับในใจออกมา วิชาสะกดจิตนี่แม้แต่ในทางการเมืองเขายังใช้กัน ล้วงความลับศัตรูด้วยวิธีการสะกดจิต
---ถูก สะกดแล้วมีอะไรเป็นความลับในใจ เปิดเผยออกมาหมดเลย อย่างนี้ ในประเทศอังกฤษ มีผู้หญิงคนหนึ่งไปให้หมดสะกด คือจิตแพทย์รักษาด้วยการสะกดจิต หมอคนนี้สะกดไปสะกดมา สะกดถอยหลัง อายุ 20 ปี ชีวิตได้มีประสบการณ์อะไรที่ประทับใจบ้าง ถอยหลังอายุ 15 ปีมีอะไรประทับใจบ้าง อายุ 10 ปีมีอะไรประทับใจบ้าง อายุ 5 ปีมีอะไรประทับใจบ้าง เอ พอถึงอายุ 5 ปี ผู้หญิงคนนี้ก็ตอบมาเลยว่ามีสิ่งประทับใจในชิต มีอะไรตอบเป็นจังหวะ ๆ ทีเดียว
---หมอ สะกดจิตก็ทดลองว่า ถ้าอย่างนั้นอายุ 1 ปี มีความประทับใจอะไรบ้าง ผู้หญิงคนนี้ก็ตอบได้ว่ายังเป็นเด็ก เด็กทารกอายุขวบเดียว มีสิ่งประทับใจอะไรเกิดแก่เขา หมอนั้นก็แปลกใจ เอ ลองสะกดต่อไปซิว่าอยู่ในครรภ์มีความประทับใจอะไรบ้าง หมดก็สะกดทีเดียว สะกดอย่างลึกซึ้ง ผู้หญิงคนนี้ตกภวังค์อย่งลึกซึ้งแล้วก็ถามความเป็นไปในตรงที่อยู่ในครรภ์ ว่า เมื่ออยู่ในครรภ์มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง
---ผู้หญิง คนนี้ก็สารภาพออกมาหมดว่าอยู่ในครรภ์แม่ มีความทุกขเวทนาอย่างไร ๆ เล่าอย่างที่ผมเล่าเมื่อสักครู่นี่แหละว่า เหมือนตกนรกนี่แหละ เล่ามาคราวนี้หมอก็อัศจรรย์ใจใหญ่ว่า เราสะกดกระทั่งล้วงเอาความรู้สึกเมื่ออยู่ในครรภ์แม่มาพูดได้ก็ถ้าอย่าง นั้นชาติก่อนก็ต้องพูดได้ซิ
---ลอง สะกดดูถึงชาติก่อนเลย เด็กผู้หญิงคนนี้ให้ถอยหลังระลึกซิ ระลึกว่าชาติก่อนจะมาเกิดเป็นผู้หญิงคนนี้เกิดอยู่ที่ไหน ทำอะไร มีอาชีพเป็นอะไร คราวนี้ระลึกชาติได้เลย สะกดในความเก่า ๆ ว่าชาติก่อนนี้เกิดในตำบลหนึ่ง ในภาคเหนือของอังกฤษ มีสามีเป็นกรรมกรในโรงงาน ขุดถ่านหิน แล้วสามีเป็นคนขี้เมาหยำเป ชอบทุบตีตัวเองเสมอ กระทั่งวันหนึ่งเกิดทะเลาะกับสามี ถูกสามีผลักหกล้ม กระดูกขาหักแล้วก็ตายไป จำที่ฝังศพของตัวได้ว่าอยู่ในโบสถ์นั้น ป่าช้าเท่านั้น เลขที่เท่านั้น ที่ฝังศพของตัว บอกหมด หมอหรือจิตแพทย์ผู้นี้ก็ทำรายงานทีเดียว ตามที่ผู้หญิงคนนี้บอก
---ทำ รายงานหมดแล้วก็คลายสะกด พอคลายสะกด ผู้หญิงก็ฟื้น ไม่รู้หรอกสักครู่นี้ตัวเป็นอะไร พูดอะไรไปบ้างไม่รู้ หมอก็ปิดเป็นความลับ แล้วก็เสนอรายงานอันนี้ไปสู่ที่ประชุมของจิตแพทย์ให้สอบสวนว่า ข้อความหญิงที่ถูกสะกดจิตคนนี้จะมีข้อเท็จจริงประการใด
---ปรากฏ ว่าไปสอบสวนที่ตำบลที่เกิดของหญิงคนนี้ ไปดูทะเบียนเกิด มีจริง ๆ เมื่อประมาณสัก 100 ปีมาแล้ว ทะเบียนใบเกิดยังอยู่ ผู้หญิงคนนี้เกิดเมื่อ 100 ปีมาแล้ว ชื่อนางคนนี้ ชื่อนั้น สามีเป็นกรรมกรโรงงานทำถ่านหินแล้วก็ตายด้วยโรคนั้นๆ
---แต่ ว่าหาโบสถ์ที่ตั้งไม่อยู่ ปรากฏว่าโบสถ์นั้นถูกไฟไหม้แล้วก็เปลี่ยนใหม่ แล้วโบสถ์เก่าถูกไฟไหม้ไปและก็มีผู้มาเช่าทำที่ทางใหม่ ป่าช้านั้นก็ยังอยู่ สุสานนั้นก็ยังอยู่ นี่ข้อเท็จจริงอันนี้ก็เป็นการพิสูจน์ว่า ชาติก่อนมีจริง และการสะกดจิตนี้เป็นเหตุให้คนระลึกชาติได้ ถ้าหากว่าอยู่ในภาวะรับสะกดอย่างลึกซึ้ง อย่างนี้ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า ชาติอนุสรณญาณ ชาติอนุสรณญาณนี้ไม่ใช่ บุพเพนิวาสานุสติญาณ
---อย่า ปนกัน บุพเพนิวาสานุสติญาณนี้ ต้องเกิดด้วยอำนาจฌาน ฌานสมาบัติ จัดอยู่ในอภิญญา ฌานสมาบัติแล้วก็อยู่ในอภิญญาวิถี ถึงจะเกิดได้ บุพเพสิวาสานุสติญาณนั้น แล้วผู้ที่ได้บุพเพนิวาสานุสติญาณนี่ระลึกได้หลายร้อยชาติ ถ้ายิ่งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วระลึกได้นับไม่ถ้วนชาติ พระปัจเจกพุทธเจ้าระลึกได้น้อยกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอรหันต์ชั้มหา สาวกระลึกได้น้อยลงมาอีก
---กระทั่ง ถึงพระอรหันต์ชั้นไม่ใช่มหาสาวก ชั้นธรรมดา แต่เป็นเจโตวิมุติ พร้อมด้วยฉฬภิญญา ก็ระลึกได้น้อยกว่าชั้นมหาสาวก คราวนี้ถ้าเป็นฤษีนอกศาสนาที่ได้อภิญญาวิถีจิตมาแล้วก็ระลึกได้น้อยลงมาอีก ตามส่วน แต่ขนาดว่าน้อยแล้วก็ระลึกกันเป็นกัป ๆ ไม่ใช่ระลึกเพียง 10 – 20 ชาติ ระลึกกันได้เป็นกัปๆ 100 กัป เป็นแสน ๆ มหากัป คราวนี้ชาติอนุสรณญาณ ไม่ใช่บุพเพนิวาสานุสติญาณ ไม่ได้เกิดในอภิญญาวิถี แต่ว่าเกิดกับปุถุชน ปุถุชนธรรมดาอาจจะมีชาติอนุสรณญาณได้ ระลึกได้อย่างมากไม่เกิน 2 ชาติ
---แต่ ส่วนใหญ่แล้วระลึกได้มากเพียงชาติเดียว คือชาติที่แล้ว ชาติที่แล้วเท่านั้น ระลึกได้ อย่างผู้หญิงอังกฤษที่เล่านี่ ถูกระลึกด้วยอำนาจของการสะกด การสะกดนี่ถ้าจะว่าแล้วก็เป็นอิทธิวิธีอย่างหนึ่ง ท่านสงเคราะห์ว่า เป็นวิทยาธรอิทธิ อิทธิของพวกวิทยาธร เพราะว่าวิทยาธรคือผู้ทรงไว้ซึ่งวิทยาคุณ หมดสะกดจิตก็เป็นวิทยาธรประเภทหนึ่ง เป็นจิตตวิทยาธร เพราะฉะนั้นใช้อำนาจอิทธวิธีของเขา คือ อำนาจกระแสจิตของเขาสะกดหญิงคนนี้ให้ระลึกชาติได้
*เพราะฉะนั้นชาติอนุสรณญาณเกิดได้จากเหตุปัจจัย 2 สถาน
---สถาน ที่ 1เกิดจากอำนาจสะกดของคนอื่นหรืออำนาจบันดาลของผู้ที่มีกระแสจิตสูงกว่า บันดาลให้เห็นไป อย่างองคุลีมาล องคุลีมาลตอนที่จะถูกพระพุทธเจ้าทรมานให้กลับใจมาเลื่อมใสพระพุทธเจ้าท่าน สะกดองคุลีมาลให้ระลึกชาติ องคุลีมาลถูกสะกด ชาติก่อนองคุลีมาลเกิดเป็นพญายมราช แล้วก็เบื่อหน่ายเหลือเกิน อธิษฐานใจบอกว่าอย่าเลย การทำหน้าที่เป็นตุลาการพิพากษาบาปโทษของสัตว์นรกน่าเบื่อหน่าย ทำมาตั้งหลายร้อยหลายพันปีแล้ว ถ้ากระไรขอให้ชาติหน้าได้เกิดทันเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ให้ได้เฝ้าพระองค์ ให้ได้สดับธรรมของพระองค์ แล้วให้ได้รู้เห็นธรรมของพระองค์ด้วยเถิด
---พญา ยมราชอธิษฐานอย่างนี้ พอหมดบุญลงไป ก็มาเกิดเป็นองคุลีมาล มาเกิดเป็น อหิงสกกุมาร เพราะฉะนั้น ตอนที่พระพุทธเจ้าทรมานองคุลีมาลในป่านั้น พระพุทธเจ้าได้เข้าสมาบัติแล้วก็สะกดองคุลีมาลให้องคุลีมาลระลึกชาติเก่า ของตัวได้ว่า ชาติเก่าเราเกิดเป็นพญายมราช แล้วทำหน้าที่ตัดสินสัตว์นรกอย่างนั้น ๆ แล้วก็เบื่อหน่ายในหน้าที่ของตัว จนกระทั่งในที่สุดกลับมาเกิดเป็นตัวเรา ณ. บัดนี้ พอพระพุทธเจ้าคลายสะกด องคุลีมาลก็เลยเชื่อแล้ว บุญบาปมี เชื่อแล้ว นรกสวรรค์มีจริง แล้วเลิกเชื่ออเหตุกวาทะ อกิริยาวาทะ เกิดมีโลกียสัมมาทิฏฐิขึ้นในขณะนั้น พอพระพุทธเจ้าแสดงอนุปุพพิกถา องคุลีมาลก็ได้โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ เป็นอรหันตบุคคลขึ้นในขณะนั้นเอง นี่เพราะฉะนั้นข้อแรกชาติอนุสรณญาณนั้นเกิดจากอำนาจสะกดของผู้มีฤทธิ์ทำให้ เราระลึกชาติได้ ช้อที่ 1
---สถาน ที่ 2 ไม่ต้องอาศัยสะกด สถานที่ 2 เกิดจากตัวเราเอง ความประทับใจอย่างรุนแรงในเหตุการณ์ก่อนจะตายในชาติที่แล้ว เป็นเหตุให้เราระลึกได้ในชาตินี้ แต่ทั้งนี้ต้องหมายความว่า ตายจากคนก็เกิดเป็นคน สวนทันทีทันควัน ถ้าหากว่าตายจากคนแล้วไปตกนรกเสีย 100 ปี กลับมาเกิดเป็นคนใหม่จำไม่ได้ ตายจากคนขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์ตั้งกัปหนึ่งแล้วลงมาเกิดเป็นคนอีกก็ระลึก ชาติไม่ได้ ตายจากคนไปเกิดเป็นหมาเสียชาติหนึ่ง พอตายจาหมามาเกิดเป็นคนอีก ก็ระลึกชาติไม่ได้ เพราะอะไร….
---เพราะ มีชาติอื่นภพอื่นมาคั่น ที่จะระลึกชาติได้จะต้องตายจากคนก็เกิดเป็นคนทันทีทันควันเลย อย่างนี้ระลึกได้ และการระลึกได้จะต้องมีความประทับใจในอารมณ์เก่าอย่างรุ่นแรงด้วย มีความประทับใจอย่างรุนแรงมหาศาล อย่างนี้ระลึกได้ ถ้าไม่มีความประทับใจรุนแรงมหาศาล ระลึกไม่ได้ ก็ต้องมีความประทับใจรุนแรงมหาศาล ถึงจะระลึกได้ ยกตัวอย่างที่ผมเคยเล่าไว้ว่า แม่ชีชื่อนารี จังหวัดอุดร เคยเล่ามาแล้ว
---ชาติก่อนเกิดเป็นช้างที่เขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น เป็นลูกช้าง พออายุได้ 3 ปี พลัดแม่ ถูกชาวจังหวัดขอนแก่นจับได้ จับได้ก็มาข้ามจังหวัด มาที่จังหวัดสกลนคร ขายให้พวกควาญช้างที่สกลนคร แล้วบ้านควาญช้างจังหวัดสกลนครนี่เอาลูกช้างตัวนี้มาเลี้ยงไว้ในบ้าน เอาให้เล่นกับลูก กระทั่งเชื่อง ลูกช้างตัวนี้เจ้าของใช้ไปทำงานบ้าง ช่วยตำข้าวในบ้านบ้าง เอาลูกช้างตำข้าว มีลานนวดข้าวแล้วก็ใช้ลูกช้างนี่ตำข้าว
---เอางวงของมันไปจับครกตำข้าวทำงานไป ถึงเวลาเช้า เพล ก็เอาปิ่นโตใส่ให้มันเอาไปถวายพระในวัดใกล้ ๆ บ้าน ใกล้ ๆ หมู่บ้าน เวลาไป ลูกเจ้าของบ้านขี่คอมันไปด้วย เจ้าของบ้านตั้งชื่อให้ว่า อีตุ้ม เรียกลูกช้างตัวนี้ว่าอีตุ้ม เลี้ยงลูกช้างตัวนี้อยู่ประมาณสัก 2 ปี 5 ปีเข้าไปแล้ว วันหนึ่งเจ้าของเขาขายให้กับควาญช้างทางจังหวัดสุรินทร์เขามาขอซื้อ ขายให้ไปตอนขายเขาไปนี่ ความรู้สึกของลูกช้างตัวนี้เสียใจมาก เสียใจเหลือเกิน จะต้องพลัดพรากจากบ้านที่ตัวอยู่ด้วยความสบาย ไปไม่ถึงจังหวัดสุรินทร์ ก็ไปขาดใจตายในระหว่างทาง
---ด้วยความเสียใจอย่างรุนแรง พอตายไปความรู้สึกก็เกิดใหม่ว่าเป็นคน รู้สึกว่าเห็นภาพของตัวนี้เป็นร่างของช้างนอนอยู่ แต่ความรู้สึกของตัวนี้เป็นคนแล้ว ออกมาจากร่างช้างเป็นคนออกมาแล้ว คนนี้ก็ล่องลอยกระทั่งมาถึงจังหวัดอุดร มาถึงเวลาโพล้เพล้เข้าใต้เข้าไฟทีเดียว หิวน้ำเป็นกำลัง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังตัดฟืนในป่า ก็ตามผู้หญิงคนนี้ ตามมาเรื่อย มาถึงผู้หญิงคนนี้ก็ตักน้ำล้างเท้าขึ้นบ้าน ตัวเห็นตักน้ำก็ดีใจจะเข้าไปกินน้ำ เลยถึงวิสัญญีในขณะนั้น ว่าหายไปในโอ่งน้ำนั่นเอง พอเกิดความรู้สึกอีกทีหนึ่ง ก็อยู่ในครรภ์ของแม่แล้ว ครรภ์ของผู้หญิงคนนั้นแหละ อยู่ในครรภ์เสียแล้ว มีความรู้สึกอีกทีหนึ่ง กระทั่งครบ 10 เดือน คลอดออกมา คลอดออกมาใหม่ ๆ ยังจำความไม่ได้ ยังไม่รู้เรื่อง นอนเมาะอยู่
---พออายุ 3 ขวบ ความรู้สึกระลึกชาติได้ เกิดชาติอนุสรณญาณขึ้น ระลึกความเก่าว่าชาติที่แล้วมาเราเกิดเป็นช้างชื่อ อีตุ้ม อยู่จังหวัดนั้นอย่างทีเดียว ด้วยอานิสงส์บุญญาธิการที่ได้ส่งปิ่นโตถวายพระทั้งเช้าทั้งเพล เจ้าของเขาใช้ให้ไปส่งปิ่นโตถวายพระอยู่ 2 ปีเศษ มาบันดาลให้เกิดในกามสุคติ มนุษยภูมิ มาเกิดเป็นคน ได้ระลึกความเก่า ก็บอกกับแม่ว่า บอกว่าแม่ ชาติก่อนนี้หนูเกิดเป็นช้างนะ บอกได้หมด ชื่อนั้น ๆ ทีเดียว อยู่บ้านนั้น ตำบลนั้นทีเดียว แม่ตกใจ บอกว่านี่ผีปอบเข้าแล้ว ผีป่ามันเข้าสิงแล้ว ถึงมาพูดรวนเรอย่างนี้ที่ไหน
---แกให้หมอผีมาทำพิธียกขวัญกันใหญ่ทีเดียว ทำบายศรีเรียกขวัญสู่ขวัญ พิธีปัดรังควาน ปัดรังควานอย่างไรก็ไม่หาย เด็กก็ยังบอกว่าแม่ หนูเกิดเป็นช้างนะ จำความเก่า ว่าเขาฝังซากของตัวอยู่ที่ไหนจำได้หมด พอโตขึ้น เบื่อหน่ายเห็นภัยในวัฏสงสาร จึงออกบวชชี เวลานี้ตายหรือยังก็ไม่รู้ แต่ตอนเล่าเรื่องนี้อายุแม่ชี 50 เศษแล้ว บวชชี และก็มาตรงป่าที่เขาฝังซากของตัวในชาติเก่านี่ แล้วก็ขุดหลุมดู ขุดหลุมบางหลุมที่ขณะเป็นช้างซ่อนอาหารไว้ กินกล้วยกินอะไรต่างๆ ยังเหลือก็ซ่อนกล้วยซ่อนอะไรฝังเอาไว้
---แล้วขุดไปเจอแต่ใบตองแห้งๆ อยู่ใต้ดิน กล้วยหายไปหมดแล้ว คงละลายหายสูญไปกับแร่ธาตุต่างๆ เหลือแต่ใบตองแห้ง ๆ ซากอะไรต่างๆ หมด นี่เป็นเรื่องของแม่ชีนารีระลึกชาติได้อย่างหนึ่ง อย่างนี้เพราะความประทับใจ ความเสียใจมากที่ถูกเจ้าของบอกขายนี่รายหนึ่ง
---อีกรายหนึ่ง เกิดสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อต้นปีนี่เอง ที่จังหวัดนครสวรรค์ ที่เล่าบอกว่าเด็กระลึกชาติได้ หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย ไทยรัฐ ไปทำข่าวกันใหญ่โต เกือนทุกฉบับทำข่าวเด็กคนนี้ ชาติก่อนเด็กคนนี้เกิดเป็นหนุ่ม ไปเที่ยวในงานวัดแห่งหนึ่ง แล้วพอเดินผ่านป่า ถูกเพื่อนคู่อริแทงตาย ในขณะที่แทงตาย ยังไม่ทันนึกว่าจะตาย เพราะเขาแทงข้างหลังก็ตายไป ตามข้อความที่เด็กคนนี้เล่าบอกว่าพอตายไปแล้วก็เห็นซากของตัวนอนขาดใจ ตายอยู่ ตัวก็ล่องลอยออกจากร่างไป พอล่องลอยออกจากร่างไปนี่ ไปเจอแม่ของตัวในชาตินี้อยู่ในป่าอีกนั่นแหละ เกาะชายกระเบนแม่มาเข้าบ้าน
---เกาะ ชายกระเบนแม่มา พอเข้าบ้านแล้วก็หมดวิสัญญีอีกเหมือนกัน พอรู้ความอีกที ก็กลายเป็นลูกผู้หญิงคนนี้แล้ว จำความเก่าได้ทีเดียวว่าชาติก่อนตายที่นั่น ชื่อนั้น ผู้กำกับตำรวจก็บอกว่ามีความจริง มีคดีอุกฉกรรจ์เกิดขึ้น ในพ.ศ.นั้น ๆ จริง เท่ากับอายุของเด็กคนนี้ทีเดียวที่ปัจจุบันนี้อายุเท่าไร ทางโรงพักก็สอบสวน มีเรื่องราวออกมาเป็นหลักฐาน อันนี้ก็แสดงว่าเกิดจากความประทับใจอย่างรุนแรงคือตอนถูกเขาฆ่าโบราณท่านว่า ผีตายโหงเป็นผีดุ ที่ดุไม่ใช่อื่นไกล ผีตายโหงที่ไม่ทันรู้ตัวว่าจะตาย การเตรียมตัวว่าจะตายไม่มี
---พอชีวิตสังขารถูกพรากออกจากเรือนร่างอันนี้ ความเตรียมตัวจะตายก็ไม่มี ก็อาลัยอาวรณ์ ไม่อยากจะพรากไป จึงมาเวียนวน มาปรากฏร่างให้เราเห็น เราก็บอกว่าผีมันหลอก ผีหลอกไม่ใช่อื่นไกล คือเจ้าของร่างเขายังไม่ทันรู้ตัวว่าเขาจะตาย พอมารู้ตัวอีกที เข้าร่างเขาไม่ได้แล้ว เสียดาย ความอาลัยอาวรณ์ ความห่วงใยลูกเต้า สมบัติพัสถานยังมีอยู่ ไม่อยากจะจากไป ก็มาให้ลูกเต้าเห็นบ้าง ถ้าปรากฏว่าสถานที่ตายอยู่ตรงไหนก็มักจะไปปรากฏสิงสู่อยู่ตรงนั้นบ้าง ให้เราเห็นไป พอเราผ่านมา มาเจอ ก็บอกว่าผีหลอกแล้ว นี่เขาถึงว่าผีตายโหงดุเพราะอย่างนี้
---อย่างผีตายทั้งกลมที่ดุ เพราะว่าคลอดลูกตาย คลอดลูกตายที่ดุไม่ใช่อื่นไกล คือความรักลูก ความห่วงลูก ความเจ็บปวดเพราะการคลอดลูกนี่ มันมีมากความรู้สึกอันนี้ก็รุนแรง ตายไปก็หาว่าผีตายทั้งกลมนี้มันดุ แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ที่ตายเป็นผี ท่านทั้งหลายอย่านึกว่ายังไม่เกิดนะ คนส่วนมากยังนึกว่าตายแล้วเป็นผียังไม่เกิด ไม่มีหรอก ปุถุชนถึงพระอนาคามี ที่ไม่ผุดไม่เกิดไม่มี ผู้ที่ไม่ผุดไม่เกิดมีประเภทเดียวในโลกคือ พระอรหันต์ เพราะฉะนั้นใครด่าเราบอกว่า ขอให้เจ้าอย่าผุดอย่าเกิดควรอนุโมทนา บอกสาธุ ให้สมพรปากเถิด ไม่ผุดไม่เกิดเป็นการดีหนอ ดีแล้ว เจริญพร ให้พรเราปีใหม่ ใครแช่งด่าว่าไม่ผุดไม่เกิดควรดีใจ ผู้ไม่ผุดไม่เกิดในโลก คือ พระอรหันต์ นอกนั้นผุดเกิดทั้งนั้นแหละ
---เพราะฉะนั้นที่ตายแล้วเป็นผีตายท้องกลมมาหลอกก็ดี ผีตายโหงมาหลอกก็ดี ไปเกิดเป็นผีแล้วตายจาผีมาเกิดเป็นคน ผีสงเคราะห์อยู่ในภูมิอะไร ผีสงเคราะห์อยู่ในภูมิเปรต ภูมิอสูร อสูรภูมิ เปรตภูมิ อยู่ในภูมินี้ เพราะฉะนั้นที่เห็นผีหลอก คือพวกเปรตมาหลอก ถ้าหากว่ามาดีก็เป็นเปรต ถ้าหาว่ามาร้ายมาแยกเขี้ยวเคี้ยวฟัน มาแหวะอกให้ดู ก็เป็น อสูร อสุรกายมาหลอกเรา เปรตกับอสุรกายนี่เป็นภพซ้อนภพอยู่ในโลกของเรา
---เราทุกวันนี้เดินถนน บางทีเราสวนกับเปรตโดยที่เรามองไม่เห็นเขา รู้ไหม สวนกับเปรต เขาเดินมา เราสวนกับเขา บางทีในห้องประชุมธรรมสภาเรา อาจจะมีพวก อสุรกาย พวกเปรตเข้ามานั่งฟังธรรมด้วย เราก็ไม่รู้ คือ ว่าภพเปรตกับภพมนุษย์มันซ้อนกันอยู่ โดยที่เขาก็ไม่เห็นเรา เราก็ไม่เห็นเขา เขาจะเห็นเราก็ต่อเมื่อเขามีอีทธิวิธีเขาตั้งใจจะเห็น จึงเห็น เหมือนกับมนุษย์เรา มนุษย์ที่มีอำนาจฌานสมาบัติ มีอำนาจสมาธิ ถ้าตั้งใจจะเห็นกายทิพย์พวกนี้แล้วจึงเห็น ถ้าไม่ตั้งใจเห็นแล้วจะไม่เห็น นี่เป็นภพซ้อนภพ
---เพราะฉะนั้นการการที่เกิดชาติอนุสรณญาณ หากเราตายไปแล้วตกนรก ชาติอนุสรณญาณก็เกิดไม่ได้และเมื่อเราตายจากนรกแล้วเกิดมาเป็นคนใหม่ เราระลึกชาติไม่ได้ เราไปเกิดเป็นเทวดา ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา แล้วตายจากเทวดาไปเกิดเป็นคนใหม่ เราก็ระลึกชาติไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่านรกมันทุกข์จัดเทวดาสบายจัด ที่ไหนมีของจัด ๆ แล้วละก็ไม่เป็นของกลาง ๆ กึ่ง ๆ กลาง ๆ ละก็ พูดง่าย ๆ ว่าทุกข์ก็ทุกข์แรง สุขก็สุขอย่างมโหฬารทีเดียว อย่างนี้ระลึกไม่ได้หรอก
---เพราะว่าภพใหม่ภูมิใหม่อันนี้มันเป็นของกล้ำกึ่ง โลกมนุษย์เราเอย เปรตโลกเอย อสุรโลกเอย 3 โลกนี้สุขทุกข์มันกล้ำกึ่งกัน ประเดี๋ยวสุข ประเดี๋ยวทุกข์ ประเดี๋ยวทุกข์ ประเดี๋ยวสุข นี่มันเปลี่ยนแปลง พูดง่ายๆ ถ้าจะเปรียบเป็นโรคก็เป็นโรคไข้จับสั่นสะบัดร้อนสะบัดหนาวอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่เป็นโรคอะไร เป็นโรคอย่างนั้นอย่างเดียว ไม่ใช่ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาว อย่างนี้แหละครับ
---เพราะฉะนั้นคนที่ตายแล้วไปเป็นผีแล้วกลับมาเกิดอีกเป็นคนใหม่ พวกนี้ระลึกชาติได้ แต่ทว่าจะต้องมีความประทับใจในอารมณ์เก่ารุนแรง ถ้าไม่มีความประทับใจอย่างรุนแรงแล้วก็ระลึกไม่ได้ เหตุนั้นการระลึกแบบนี้ท่านจึงกล่าวไว้ในพระศาสนาว่า เป็นชาติอนุสรณญาณ เป็นอย่างนี้ เป็น ชาติอนุสรณญาณ มิใช่ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกได้อย่างมากไม่เกิน 2 ชาติ ส่วนมากก็ชาติเดียว ส่วนมากระลึกได้ชาติเดียว ส่วนที่ระลึกไม่ได้มีเป็นอันมาก ก็อย่านึกว่าเราระลึกไม่ได้ ชาติก่อนเคยตกนรกมากระมัง ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละครับ
---อาจจะเคยตกนรกมา ใครจะรู้ อาจจะเคยขึ้นสวรรค์มา ใครจะรู้ อาจจะเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมาแล้ว ถึงมาเกิดเป็นคน ใครจะรู้ แต่ทว่าที่ระลึกไม่ได้ เหตุสำคัญอันหนึ่งก็คือ เรื่องของอารมณ์ค้าง อารมณ์ต่างๆ ที่หมักหมมฝังอยู่ในพื้นเพของชาติสันดาน หรือ จิตสันดานของเรานี่แหละ มันขุ่นเพาะกิเลส เรามองไม่เห็นอารมณ์ที่สั่งสมก็มีมาก
---จนกระทั่งจับต้นชนปลายไม่ถูก มิหนำซ้ำยังมารับเอาร่างกายใหม่ มันสมองใหม่จากพ่อแม่ในชาติปัจจุบัน อันเป็นอุปสรรคเป็นกำแพงกีดขวางทำให้ทางเดินของพฤติภาพของใจนี่ไม่สามารถจะ แล่นไปเพื่อที่จะทำการระลึกให้มันโจ่งแจ้งได้ เราถึงระลึกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าชาติหน้าชาตินี้ไม่มี อันนี้ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องชาติภพข้อหนึ่งที่นำมาเสนอในที่นี้
---อีกข้อหนึ่งก็คือปัญหาเรื่องจิตประภัสสรหรือ จิตบริสุทธิ์ที่อยากจะนำมาพูดในที่นี้ตามทรรศนะของผม เรื่องจิตบริสุทธิ์ที่มีพุทธภาษิตในอังคุตตรนิกายว่า จิตนี้เป็นธรรมชาติ ประภัสสร ที่ขุ่นหมองเพราะอาคันตุกกิเลสที่จรมา อาคันตุกกิเลสในที่นี้ผมวินิจฉัยว่าได้แก่ อุปกิเลส อุปกิเลส 16 ข้อนี่แหละ ไม่ใช่อื่นไกล อุปกิเลส 16 ข้อนี้ในอุปกิเลสดูเหมือนจะไม่มีอวิชชา ถ้าหากว่าผมจำไม่ผิดครับ ดูเหมือนจะไม่มีอวิชชา
---เพราะฉะนั้นคำว่า จิตประภัสสรนี้ไม่มีอวิชชาไม่ได้บอกไว้หรอก ไม่มี แค่อิปกิเลสเท่านั้นเอง แล้วประภัสสรนี้ถ้าว่าตามนัยอรรถกถาแล้ว อรรถกถาของเราแก้บอกว่าได้แก่ ภวังค์ ซึ่งผมเองก็ไม่อยากจะเห็นด้วยเลยว่าเป็นภวังค์ ไม่อยากเห็นด้วยเลย ทำไมถึงไม่อยากเห็นด้วยว่าเป็นภวังค์ เพราะว่า หากว่าเป็นภวังค์แล้ว พระพุทธเจ้าท่านจะมาตรัสทำไม
---มีอะไรเป็นข้อวิเศษ หรือที่มาทรงแจกแจงว่าภวังคจิตประภัสสร แล้วที่ขุ่นหมองเพราะมีอาคันตุกกิเลสมาหุ้มห่อ มาพูดทำไม มาตรัสทำไม ไม่น่าอัศจรรย์ ภวังค์มีกันทุกคน คนเราวินาทีหนึ่งลงภวังค์กี่โกฏิครั้งก็ไม่รู้ในชาติ ๆ หนึ่ง ตกภวังค์ไม่รู้นับไม่ถ้วน กี่พันล้านมหากัปโกฏิครั้ง นับไม่ถ้วน นับสังขยา นอกจากว่าอุปไมย นับไม่ได้ อสงไขย จะคำนวณก็ไม่ได้ นี่ภวังค์ของคนเรา
---เพราะว่าเราลงภวังค์แล้ว ทุก ๆ ขณะวิถีจิตที่จิตรับอารมณ์ภายนอก จิตต้องขึ้นวิถีรับอารมณ์ พอรับอารมณ์เสร็จ อารมณ์หนึ่งก็ลงภวังค์ร้อยไป ถ้าเช่นนั้นแล้วมีอะไรเป็นคุณวิเศษถึงกับพระบรมศาสดาจะต้องหยิบยกขึ้นมาว่า ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติของจิตนี้ผ่องใส ที่มันไม่ผ่องใสก็เพราะว่ากิเลสที่ทำหน้าที่เป็นแขก เราไม่ได้เชื้อเชิญเขา เขาเข้ามากรุ้มกริ่มทำให้ยุ่งยากอลเวงขึ้นเอง
---ไม่น่าจะเป็นภวังค์ตามอรรถกถาแก้เลย อรรถกถาแก้เป็นภวังค์ ผมยังไม่เห็นด้วย คือยังไม่เห็นนัยที่ควรจะแก้ว่าเป็นภวังคจิต เพราะภวังค์มีกันดาษดื่นธรรมดาสามัญทุก ๆ คนอยู่แล้ว ไม่น่าจะเป็นข้ออัศจรย์ที่เป็นเหตุให้พระบรมศาสดายกขึ้นมาเป็นข้ออุเทศแสดง แก่ภิกษุทั้งหลายเป็นพิเศษ ถ้าเช่นนั้นแล้วจิตประภัสสรได้แก่จิตอะไรเล่า
---ผมก็อยากวินิจฉัยว่าถ้าเราดูตามนัยในมัชฌิมนิกาย ท่านแสดงไว้ที่ใน วัตถูปมสูตร ท่านแสดงไว้ดีทีเดียว ท่านไม่ได้ว่าจิตประภัสสรหรอก ท่านว่าถึงจิตเป็น สังกิลิฏฐะ กับ อสังกิลิฏฐะ สังกิลิฏฐะ คือ จิตที่ประกอบด้วยสังกิเลสเศร้าหมอง สังกิลิฏฐะแปลว่าความเศร้าหมอง จิตที่เศร้าหมองที่ว่าสังกิลิฏฐธรรม อสังกิลิฏฐะ คือจิตที่ไม่เศร้าหมองชื่อว่าอสังกิลิฏฐธรรม เพราะฉะนั้นจิตประภัสสรในที่นี้หมายถึง จิตที่เป็นอสังกิลิฏฐะ จิตที่เป็นอสังกิลิฐะไม่ใช่จิตบริสุทธิ์
---ท่านไม่ใช้คำว่า “ สุทธิ “ ไม่ มี ไม่ใช้คำว่าสุทธิ แต่ยกตัวอย่างที่ท่านยกพุทธภาษิตว่า จิตเต อะสังกิลิฆเฐ สุคติ ปาฏิกังขา จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา จิตประภัสสร คือ จิตที่เป็นอสังกิลิฏฐะอันเป็นเหตุให้ไปสู่สุคติ นี่แหละที่พระองค์ยกขึ้นแสดงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตที่เป็นประภัสสรนี้คือ ได้แก่จิตที่เป็นอสังกิลิฏฐะ จิตที่เป็นอสังกิลิฏฐะนี้จะอำนวยอานิสงส์คือ ไปสู่สุคติภพ สุคติปาฏิกังขาหมดความสงสัย ต้องได้สุคติแน่ เพราะความที่จิตผ่องแผ้ว เพราะจิตหมดจด จิตผ่องแผ้ว จิตจึงไปสู่คติแน่
---เพราะความที่จิตผ่องแผ้ว เพราะจิตหมดจด จิตผ่องแผ้ว จิตจึงไปสู่สุคติ ผ่องแผ้วในที่นี้เอาแคผ่องแผ้วจากอาคันตุกกิเลส ไม่ได้ผ่องแผ้วจากอวิชชา อวิชชา ตัณหายังมีอยู่พร้อม เพียงแต่ว่าไม่มีกิเลสชนิดที่เป็นอุปกิเลส พูดง่ายๆ ว่า อุปกิเลสไม่มีในจิตที่เป็นมหากุศลจิต ถ้าจะว่าแล้วจิตที่เป็นอสังกิลิฏฐะก็คือ จิตที่เป็นมหากุศลจิต 8 รูปาวจรกุศลจิต 5 และอรูปาวจรกุศลจิต 4 จิตทั้ง 3 กองนี้ สงเคราะห์เป็นจิตประภัสสรได้ตามชั้นภูมิ
---เพราะเหตุนั้นจิตประภัสสรจึงไม่น่าจะเป็นเพียงภวังค์ ซึ่งเป็นของดาษ ๆ ธรรมดา น่าจะเป็นตามนัยแห่งวัตถูปมสูตร มากกว่า ที่ท่านแสดงไว้ในมัชฌิมนิกายว่าธรรมดาจิตนั้น ถ้าหากว่าชำระขัดเกลาอุปกิเลสแล้ว จิตก็จะสะอาดเหมือนกับน้ำใส มองเห็นเต่า ปู ปลา ในพื้นแม่น้ำชัดเจน
---เพราะฉะนั้นอาคันตุกกิเลสนี้จึงเป็นกิเลสก่อน ไม่ใช่กิเลสอันเป็นสันดานเดิม ไม่ใช่เป็นอาสวกิเลส กิเลสมีถึง 3 ขั้น คือ ปริยุฏฐานกิเลส วีติกมกิเลส และอาสวกิเลส ( อนุสัยกิเลส ) วีติกมกิเลสนั้นเป็นกิเลสอย่างหยาบ ที่ทำเข้าแล้วมันปะทุออกทางกายกรรม วจีกรรม เป็นเหตุให้ล่วงศีลเป็นเหตุให้ศีลวิบัติ ปริยุฏฐานกิเลสได้แก่อุปกิเลส 16 หรือพูดอย่างย่อ ๆ ได้แก่นิวรณ์ 5 อันประกอบด้วยกามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา นิวรณ์ 5 เป็นปริยฏฐานกิเลสที่มากลุ้มรุมทำใจให้เศร้าหมอง
---ถ้าหากว่าเป็นไปล่วงแล้วก็ทำให้ใจเป็นสังกิลิฏฐ ย่อมเป็นทุคติปาฏิกังขา ไปสู่ทุคติเป็นอันหวังได้ ส่วนที่เป็น อาสวกิเลส หรืออนุสัยกิเลส อันเป็นกิเลสนอนเนื่องนั้น เมื่อพ้นไปแล้วจิตจึงชื่อว่าเป็นจิตวิสุทธิ เพราะฉะนั้นท่านจึงใช้คำว่า จิตประภัสสร ไม่ใช้คำว่า “ วิสุทธิ “ คำ ว่าประภัสสรจึงหมายความเพียงว่าจิตอสังกิลิฏฐธรรมเท่านั้นเอง จิตถึงภูมิอสังกิลิฏฐะ ไม่เศร้าหมอง จิตถึงภูมิแค่ไม่เศร้าหมอง ซึ่งจะอำนวยผลแค่เพียงสุคติปาฏิกังขา อันสุคติก็มีทั้ง กามสุคติ รูปาวจรสุคติ อรูปาวจรสุคติ ยังอยู่ในภพภูมิ ยังอยู่ในวัฏฏะ ยังไม่พ้นวัฏฏะไปได้ ต่อเมื่อสามารถทำลายอาสวกิเลส อนุสัยกิเลสแล้ว
---วัฏฏะจึงพ้นได้ วันนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา เรื่องข้อเบ็ดเตล็ดบางประการในพระศาสนานำมาเสนอในที่นี้ก็เพียง 2 ข้อ ยังมีอีกหลายข้อ ไว้เสนอในโอกาสต่อไป ขอจบธรรมกถาวันนี้เพียงเท่านี้
---ที่นี้มีท่านผู้ถามปัญหาท่านหนึ่งเขียนหนังสือมา ถามอย่างนี้ครับว่า มีเด็กคนหนึ่งเล่าว่า เมื่อก่อนเขาอยู่สบาย มีดอกบัว มีสระและดอกไม้ และเดี๋ยวนี้เด็กคนนั้นมีนิสัยชอบดอกไม้ ชอบนอนในที่มีแสงสว่าง และที่แปลกมากก็คือ ไม่ยอมแก้ผ้าอาบน้ำ ทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อย อยากทราบว่าเด็กคนนี้จะมาจากภพไหน และที่ระลึกได้อย่างนี้เพราะเหตุไร
---ตอบยากครับ ถามมาจากภพไหน ผมเองก็ไม่มีบุพเพสิวาสานุสติญาณที่จะระลึกชาติและระลึกของคนอื่นให้ได้ และทั้งไม่มีชาติอนุสรณญาณ เพราะฉะนั้น ตอบปัญหาข้อนี้ก็ต้องอาศัยเรื่องของการเดาโดยใช้เหตุผลเข้าจับ คือใช้เรื่อง ตรรกมาประมาณ จับตามลักษณะ เข้าใจว่าเด็กคนนี้ชาติก่อนอาจจะเกิดเป็นผู้หญิง เราสังเกตดูจริตมารยาทว่าเด็กคนนี้มีนิสัยค่อนไปทางสตรีหรือ เปล่า อาจจะเป็นสตรีเพศมาก่อน แล้วอาจจะเกิดในกามสุคติภูมิ คือเกิดเป็นมนุษย์มาก่อน เพราะว่ามีดอกบัวมีสระมีดอกไม้นี่ประการหนึ่ง
---ถ้าไม่เช่นนั้นเด็กคนนี้ อาจจะเป็นเด็กผู้หญิง ถ้าไม่ใช่เกิดเป็นผู้หญิงก็จะต้องเกิดเป็นผู้ที่ได้รับการอบรมขัดเกลาอยู่ใน สกุลชั้นสูงมาแล้ว ถึงมีความอาย แม้แต่เพียงเด็กก็ไม่ยอมแก้ผ้าอาบน้ำ และก็ที่บอกว่าชอบนอนในที่สว่าง ๆ มาก ๆ เด็กคนนี้อาจจะเกิดในที่ทำงานกลางแจ้งมากๆ ในชาติก่อน ชอบทำงานกลางแจ้งมาก ๆ ในชาตินี้ก็เลยชอบความสว่างมาก ๆ ไปด้วย นี่อาจจะเป็นไปได้หรืออาจจะผิดก็ได้ เพราะผู้ตอบเองก็ไม่มีญาณอะไร
---เรามีข้อสังเกตง่าย ๆ ครับ คนที่มาจากพรหมโลก คนที่ไปเกิดเป็นพรหมแล้วลงมาในมนุษย์โลกนี้ สังเกตได้ว่าเป็นคนมีราคะเบาบาง พอเกิดมาแล้ว ถ้าเกิดเป็นผู้ชาย เบื่อหน่าย รังเกียจสตรีเพศผู้หญิงเข้าใกล้ไม่ได้ คนที่ถือพรหมจรรย์นาน ๆ นั้นมีใจโน้มเอียงไปในทางเนกขัมมะ ปฏิปทาอยากจะออกบวชตั้งแต่เด็ก ก็สันนิษฐานได้ 2 สถาน
---ถ้าชาติก่อนจะต้องเกิดเป็นพระ คือบวชเรียนมาแล้ว และตายในผ้าเหลือง มีความรักในพรหมจรรย์รุนแรง ชาตินี้ก็เอานิสัยอันนี้ตามมา พอชาติใหม่มาเกิดแล้วสตรีเข้าใกล้ความรู้สึกอบรมในชาติก่อนมา คือ กลัวผู้หญิง เกิดความกลัวผู้หญิง และก็มีราคะเบาบาง
---ถ้าเกิดเป็นพรหม จุติมาจากพรหมโลก ลงมาจากพรหม ลงมาเกิดความโกรธก็เบาบาง โทสะมีน้อยเหลือเกิน ผู้ที่มาจากพรหมโลกนี้น้ำใจเยือกเย็นเป็นหิมะทีเดียว ใจเย็น พูดจาไพเราะอ่อนหวาน แล้วก็หนักในพรหมจรรย์ตั้งแต่เล็กแต่น้อย ก็ใคร่อยากจะบวช อยากเรียน ใครจะมาชวนให้ค้าขาย จะมาชวนให้ร่ำรวยไม่เอา อยากจะบวชเรียนท่าเดียว อย่างนี้พอพิสูจน์ได้ว่าท่านผู้นี้เคยบวชเรียนมาในชาติก่อน ตายในผ้าเหลืองมาแล้ว ความรักในพรหมจรรย์มี ไม่ใช่คนบวชกระทั่งตายคาผ้าเหลือง แต่บวชด้วยความพอใจในพรหมจรรย์
---มิฉะนั้นก็มาจากพรหมโลก สมัยพุทธกาลมีพระกรรมฐานอยู่องค์หนึ่งไปทำกรรมฐานในป่า ทำไม่ทันเสร็จก็ตาย ตายขณะทำกรรมฐาน ไปเกิดอยู่ชั้นดาวดึงส์ พอเกิดแล้ว มีนางฟ้าสวย ๆ มาเป็นบริวารมากมาย มาเต้นระบำรำฟ้อน พระองค์นี้ ทั้ง ๆ ที่เกิดเป็นเทวบุตร ยังไม่รู้ว่าเป็นเทวบุตร ความรู้สึกในชาติก่อนติดตัวมา ไม่กล้าดูนางฟ้าพวกนี้เลย ก้มหน้า มีความสังวรอินทรีย์ สังวรปรากฏทีเดียว ก้มหน้า ทำตาหลบต่ำ ก้มหน้ามีความสำรวมอย่างยิ่ง พวกนางฟ้าพวกนี้เห็นอาการเช่นนั้นก็นึกรู้ทีเดียวว่า นายของเรายังเอาความรู้สึกชาติก่อนติดตัวขึ้นมา ยังเข้าใจว่าเป็นพระอยู่
---ก็บอกว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ บัดนี้ท่านไม่ได้เป็นภิกษุแล้ว ท่านจงดูซิ ท่านกำลังเสวยวิบากของบุญมีวิมานทองสูง 16 โยชน์ พวกข้าพเจ้าทั้งหลายนี้เป็นบริวารของท่าน จะมาปรนเปรออำนวยกามสุขให้แก่ท่าน ท่านจงเสวยกามคุณเถิด กามคุณที่เป็นทิพย์นี้ประณีต เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการนักหนา บัดนี้เป็นของท่านแล้ว เชิญท่านเสวยกามคุณเหล่านี้เถิด
---ภิกษุที่เป็นเทพบุตรองค์นี้ได้ฟังเช่นนั้นก็สลดใจ เพราะความที่อบรมบารมีในทางเนกขัมมะปฏิปทามาแต่ปุเรชาติ ยังจมอยู่ในขันธสันดาน ก็นึกในใจว่าเราอุตส่าห์บวชเรียนนั้นอยากจะหนีของพวกนี้ ยังมีเจอของพวกนี้มาปรนเปรอเราอีก เราจะต้องการไปทำไม ของพวกนี้ เราได้ละทิ้งแล้ว เห็นเป็นเหมือนกับ อาจม อุจจาระ ปัสสาวะ ซึ่งเป็นของที่น่ารังเกียจ เรายังมาเจอของพวกนี้ในทิพยสถาน เราไม่ต้องการหรอก ไม่ฟังเสียงดีดสีตีเป่าของนางฟ้าเหล่านั้น
---พอรู้ตัวว่าตายจากชาติเป็นภิกษุแล้ว มาเกิดเป็นเทวบุตรแล้ว ท่าานจึงต้องการรีบมาเฝ้าพระพุทธเจ้าทันที มาเฝ้าที่เชตวันทันที ลงมาเฝ้า มาปรากฏโดยทิพยกายมีแสงสว่างทั่วเชตวันทีเดียว มาทูลความให้ฟัง พระพุทธเจ้าก็แสดงธรรม ภิกษุองค์นี้ไม่ได้ธรรมจักษุเมื่อครั้งยังเป็นพระ แต่บัดนี้พอเป็นเทวดาแล้วมาฟังธรรมพระพุทธเจ้าที่เชตวันแล้ว ก็ได้ธรรมจักษันบริสุทธิ์เป็นอริยบุคคลในขณะนั้นเอง ได้มรรคผลในขณะที่เป็นเทวดา อันนี้ก็แสดงให้เห็นว่านิสัยในปุเรชาติตามตัวมา
---คนที่ชาติก่อนเกิดเป็นเปรต ชาตินี้มาเกิดเป็นคนก็สังเกตได้ว่าชาตินี้มีความหิวกระหายอยู่เป็นนิจ หิวทั้งใจ หิวทั้งกาย บางคนกายอิ่ม แต่ใจมันหิว ใจหิวมาก มีความกระหาย รวยไม่รู้จักพอ ใจนั้นทั้ง ๆ ที่แจ้งที่ลับทั้งหิวในทางทำความชั่ว เราก็รู้ ๆ กันอยู่แล้ว พอนิยามได้ว่า ชาติก่อนเคยเกิดเป็นเปรตมาก่อน
---ถ้าคนที่เคยเกิดเป็นเดรัจฉานมาก่อน ชาตินี้จิตใจก็หมักหมมในทางเดรัจฉาน เช่นว่าคนที่เคยเกิดเป็นเสือ ชาติก่อนเกิดเป็นเสือหลายร้อยชาติ ชาตินี้มาเกิดเป็นคน ใจก็เหี้ยมเกรียมอย่างเสือเหมือนกัน ชอบฆ่าคน ชอบทำร้ายสัตว์ เช่นว่าจะกินสัตว์สักที ไม่ใช่กินอย่างคนธรรมดาเขากินหรอก คนบางคนกินลิง จับลิงมากิน วิธีจับลิงคือว่าผ่าเอามันสมองลิงมากินกับเหล้า จับเอาลิงผูกเอาไว้ แล้วผ่ามันสมอง ตัดมันสมองลิงตั้งไฟ ตัดหัวลิงมาตั้งไฟแล้วตักมันสมองเหลวของลิงกินกับเหล้า อย่างนี้ก็มีที่ฮ่องกง
---ท่านเคยดูภาพยนตร์เรื่องเมื่อ 24 น. จะพบภาพแบบนี้ กินงู ชอบกินงู กินหนู นี่พวกกินหนู พวกชอบกินสัตว์เดรัจฉานแปลก ๆ หนู คนธรรมดากินกัน นิยามได้ว่าชาติก่อนเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมา ประเภทสัตว์ร้าย ๆ บางคนชอบกินไก่ กินโค กินไก่กินโค ไม่ใช่อย่างเรากิน โคอ่อน ๆ มาฝังดิน เหลือแต่คอไว้ แล้วก็เฉือนเนื้อโคที่สุกี้ยากี้จุ่มลงไปในน้ำเดือด ๆ กินกับเหล้า โคก็ร้องด้วยความเจ็บปวด ทรมาน
---เฉือนเนื้อมาทีละชิ้น สด ๆ ร้อน ๆ จับมันฝังกับดินแล้ว จับเนื้อที่ต้องการเฉือนตรงหน้าอกโค จนกระทั่งเฉือนหัวใจโคก็ตาย ผ่าหัวใจโคออกมาต้มอั้งโร่ขึ้นแล้วก็ต้ม และก็กินกับเหล้า คนอย่างนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว หรือกินหัวใจเด็กอย่างนี้ ชาติก่อนเป็นสัตว์ร้ายมาเกิด ไม่ใช่คนมาเกิด สัตว์ร้ายซีอุยก็เอาเด็กไปผ่าหัวใจกิน ผัดกับใบคื่นฉ่ายกินแล้วมาบอกกับตำรวจว่าอร่อยนัก แบบนี้ชาติก่อนเป็นสัตว์เดรัจฉานมาเกิด จึงมีอัธยาศัยสันดานอย่างนี้
---ปัญหาอีกข้อหนึ่ง ถามว่าตามความรู้ที่ศึกษามาจากพระอภิธรรมที่อาจารย์บางท่านสอนไว้มีอยู่ว่า จิตจุติแล้วต้องปฏิสนธิทันที โดยไม่มีอะไรระหว่างคั่น แต่มาได้ยินองค์ปาฐกชักตัวอย่างเรื่องคนระลึกชาติได้นั้น เมื่อจุติแล้วยังล่องลอยติดตามแม่ใหม่อยู่ชั่วระยะหนึ่งแล้วจึงปฏิสนธิ แสดงว่ามีระหว่างคั่น ไม่ใช่พอจุติแล้ว ปฏิสนธิทันที ทำให้สงสัย จึงขอความกรุณาช่วยอธิบายข้อนี้
---ก็อธิบายไปแล้วอย่างไรครับ ผมบอกว่าที่ตายเป็นผี เกิดแล้วเกิดเป็นผี เกิดใหม่อีกชาติหนึ่ง เกิดเป็นผีอย่างไรเล่าครับ ที่ว่าตายแล้วล่องลอย ไม่มีหรอก แต่ที่ล่องลอย เกิดเป็นผี เกิดเป็นเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง จัดอยู่ในอบายภูมิ ที่มาหลอกคน มาตามพ่อตามแม่ไป นี่แหละเกิดแล้ว เกิดเป็นเปรตเกิดเป็นอสุรภูมิ เกิดเป็นอสุร แล้วพอเกิดเป็นคนอีกที หมายความว่าต้องตายจากชาติที่เป็นผี ชาติที่เป็นเปรตมาเกิดเป็นคนในชาติที่ 3 เพราะฉะนั้น เรื่องระหว่างคั่นไม่มีหรอกอธิบายไปแล้วเรื่องนี้
---อีกข้อหนึ่งถามบอกว่าตามที่องค์ปาฐกอธิบายว่าที่มนุษย์ระลึกชาติไม่ได้เพราะ มันสมองเป็นเหตุ ทำให้สงสัยว่ามนุษย์ที่ถูกผู้อื่น สะกดจิตเป็นต้น ทำไมระลึกชาติได้นั้น ขณะนั้นมันสมองตกอยู่ในภาวะฐานะอย่างไรจึงสามารถระลึกชาติได้ โปรดอธิบายด้วย
---ในขณะนั้นมันสมองตกอยู่ในอำนาจการคอนโทรลของกระแสจิตของผู้สะกด ทำให้อาการที่มันสมองจะไปเป็นอุปสรรคกีดกั้นกำบังการระลึกชาตินั้นหมด พลังงานชั่วขณะ มันสมองไม่สามารถจะเป็นอุปสรรคได้ในขณะนั้น เพราะกระแสของผู้สะกดนี้เหมือนกระแสไฟฟ้า ได้ผ่านทะลุอุปสรรคคือ สมองเข้าไปขุดค้นอารมณ์ค้างในภวังค์ของผู้ถูกสะกด ผู้ถูกสะกดจึงระลึกความเก่าได้
---ถ้าไม่มีปัญหา วันนี้ก็ขอจบธรรมกถาลงเพียงเท่านี้ครับ.
.....................................................................
ปาฐกถาธรรม ณ พระตำหนักสมเด็จวัดมหาธาตุ ฯ
วันที่ 2 มกราคม 2509
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 20 กันยายน 25558
ขอบคุณที่นำมาลงให้ได้อ่านค่ะ...คลายความสงสัยแล้ว ขอบคุณค่ะ