กรรมที่ต้องเปลี่ยนแปลงเพศ
---การตัดอวัยวะเพศ เพื่อแปลงเพศ ไม่ใช่เรื่องแปลก หากจิตใจของคนเราคุ้นเคยกับความเป็นหญิงมาแล้ว แม้สังขารร่างกายจะเป็นชาย บางคนร่างกายแข็งแรงบึกบืน แต่จิตใจฝักใฝ่ในความเป็นหญิง มีสาเหตุหลัก ๆ ที่เคยได้กล่าวไว้ในเรื่องของอารมณ์ ก็คือ
---1)อารมณ์ สิ่งที่บุคคลเข้าไปรับรู้ หรือสิ่งแวดล้อม รอบ ๆ ตัว
---2)ความคุ้นเคยในทางจิต ความบีบคั้นในทางจิต จิตที่ถูกสั่งสมภาวะความเป็นหญิงมายาวนาน
---3.วิบากแห่งอกุศลกรรม เคยเกิดเป็นชาย หรือหญิง แล้วทำผิดในทางเพศ ผิดศีลห้า ข้อกาเมสุมิจฉาจาร
---ในข้อแรกเรื่องของอารมณ์ หรือสภาวะแวดล้อม บางครั้งก็มีส่วนคือมีอำนาจโน้มน้าวจิตใจสำหรับคนบางคน การคลุกคลีอยู่กับกลุ่มผู้หญิง กิจกรรมต่าง ๆ ที่กระทำร่วมกับกลุ่มเพื่อนหญิง ตลอดถึงสภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเครื่องแสดงออกของความเป็นหญิง มีส่วนหรือมีอำนาจที่จะแปรเปลี่ยนจิตใจ หรือพฤติกรรมของบุคคลให้เป็นหญิง หรือชอบใจในภาวะของความเป็นหญิงได้.
---ในข้อนี้ ภาวะที่เรียกว่าอารมณ์หรือสิ่งแวดล้อม เป็นใหญ่ มีอำนาจเหนือจิตใจของบุคคลนั้น...
---ส่วนข้อที่สองที่บอกว่า เป็นความคุ้นเคยแห่งจิต เรียกภาษาสมัยใหม่ว่า เคยมีประสบการณ์ในความเป็นหญิงมาแล้ว หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า เคยเกิดเป็นหญิงมาแล้วหลายภพชาติ พอได้มาเกิดเป็นชาย ก็เลยทำให้ภาวะความเปลียนแปลงทางจิตใจปรับตัวไม่ทัน คือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางจิตไม่ทัน เพราะคำว่า จิต แปลว่า สั่งสมก็ได้.
---อีกประการหนึ่ง เพราะความสืบต่อกันแห่งภพชาติที่มีความฝังใจในความเป็นหญิงอย่างแน่นแฟ้น เมื่อตายโดยปัจจุบันทันด่วนแล้วได้ปฏิสนธิใหม่ในท้องของใครคนใดคนหนี่ง แต่ได้อัตภาพมาเป็นชาย ภาวะจิตใจที่ตนเคยเป็นหญิงมาก่อน ทั้งจริตและพฤติกรรมต่าง ๆ ที่แสดงออกมาจึงเป็นไปในทางพฤติกรรมของหญิง พร้อมทั้งความชอบใจ พอใจ จะเป็นไปในลักษณะของความเป็นหญิง.
---เรื่องของประสบการณ์นี้ เป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งความจริงประสบการณ์ก็คือ สิ่งที่จิตใจได้เคยรู้เคยเห็นมาก่อนแล้ว หากมีความคุ้นเคยในสิงนั้นบ่อย ๆ หรือเป็นประจำ จะทำให้จิตมีความชำนาญในสิ่งนั้น ๆ มากเป็นพิเศษ เหมือนกับเด็กที่เป็นฝรั่งเคยอยู่เมืองไทยสัก 2-3 ปี เคยเรียนรู้รำไทย ดนตรีไทย เมื่อกลับไปยังประเทศเดิมของตน ไปเข้าโรงเรียนในประเทศของตน เมื่อครูผู้สอนให้แสดงศิลปะรำไทยหรือเล่าเรื่องเกียวกับวัฒนธรรมไทย เด็กที่เคยอยู่เมืองไทยมาก่อน ย่อมจะแสดงศิลปะการรำไทย หรือวัฒนธรรมไทยได้ดีกว่าเด็กที่ไม่เคยมาเมืองไทยแน่นอน ข้อนี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า ประสบการณ์ คือสิ่งที่จิตได้รับรู้ ได้เรียนรู้มาก่อนแล้ว เป็นสิ่งสำคัญต่อพฤติกรรมและการแสดงออกของมนุษย์.
---เช่นเดียวกัน คนที่เคยเป็นหญิงมานาน เมื่อกลับได้อัตภาพมาเป็นชาย จิตใจที่เคยเรียนรู้ในความเป็นหญิงมามากจะแสดงออกทันที แม้มีอัตภาพร่างกายเป็นชายก็ตาม ยิ่งถ้าถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์หรือสิ่งแวดล้อมที่ตนเคยได้คุ้นเคยหรือมีประสบการณ์มาแล้ว ก็จะเป็นเครื่องสนับสนุนให้พฤติกรรมของความเป็นหญิงแสดงออกมามากยิ่งขึ้น.
---ในทางจิตวิทยานั้น บุคคลที่เกิดเป็นชาย ก็มักจะไม่ได้ภาวะของความเป็นชายร้อยเปอเซนต์อยู่แล้ว คือ ถ้าเป็นชายร้อยเปอร์เซนต์ ในทางจิตวิทยาบอกว่า จะทำให้ผู้นั้นเป็นชายที่แข็งกระด้าง กักขฬะ โหดเหี้ยม ไม่มีน้ำใจ ไม่มีความนุ่มนวล ในทางที่ดีจะต้องมีภาวะของความเป็นหญิงเจือปนอยู่บ้าง อย่างน้อยควรจะ 10 หรือ 20 เปอร์เซ็นต์.
---ในฝ่ายหญิงก็เช่นกัน ถ้ามีภาวะแห่งความเป็นหญิงร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็จะทำให้หญิงผู้นั้นมีแต่ความอ่อนแอ จะต้องให้มีภาวะของเพศชาย คือ ความเข้มแข็ง อย่างน้อย 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์. อย่าให้มีภาวะเพศใดเพศหนึ่งซึ่งตรงกันข้ามกับตนเองมากเกินไป คือ ถ้าเป็นชาย มีภาวะแห่งเพศหญิงมากเกินไป ก็จะกลายเป็นตุ๊ด เป็นกะเทยในที่สุด ในฝ่ายหญิงก็เช่นกัน ถ้ามีภาวะของความเป็นชายมากไป ก็จะทำให้หญิงนั้นเป็น ทอม คือคนที่มีอัธยาศัยหรือพฤติกรรมที่แสดงออกในรูปแบบของความเป็นชาย.
---สำหรับในข้อนี้ ถ้าหากเพศหญิงมีภาวะของความเป็นชาย เป็นไปในลักษณะตรงกันข้ามกับชายที่มีภาวะของความเป็นหญิงแล้วละก็ ก็เป็นไปด้วยอำนาจแห่งการเกิดเป็นชายหลายภพชาติ พอได้อัตภาพมาเป็นหญิง ภาวะแห่งจิตใจ หรือจริตที่เคยประพฤติในลักษณะของความเป็นชายมาก่อน ก็จะแสดงพฤติกรรมออกมา ข้อนี้ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน.
---ในข้อที่สาม ทีว่าด้วยวิบาก คือผลแห่งอกุศลกรรมนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ยาก แต่อาศัยที่เราเชื่อในคำสอนทางพระพุทธศาสนา การเชื่อเรื่องของกรรมและผลของกรรมนั้นเป็นสิงที่จำเป็นที่สุด เพราะถ้าเป็นพุทธศาสนิก ไม่เชื่อในกรรมและผลของกรรมแล้วละก็ คงไม่เป็นพุทธศาสนิกแน่แท้, เรื่องกรรม และผลของกรรมนี่ เป็นรากฐาน หรือเป็นพื้นฐานของความเป็นพุทธศาสนิกเลยจริง ๆ เพราะถ้าไม่เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรมแล้ว เราจะรักษาศีลไม่ได้ ให้ทานไม่ได้ หรือถึงแม้จะรักษาศีลได้ ให้ทานได้ ก็เป็นไปแบบเดียรถีย์ คนนอกพุทธศาสนา ซึ่งมีภาวะของโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะเป็นตัวนำ.
---เพราะเหตุไร ข้อปฏิบัติ หรือทางดำเนินของพุทธศาสนาที่เรียกว่า มรรคา นั้น จึงมีปัญญา คือ สัมมาทิฏฐิ เป็นตัวนำ เป็นตัวเริ่มต้น ก็เพราะการเดินทางจะต้องมีแสงสว่าง คือปัญญาเป็นตัวนำ ถ้าไม่มีแสงสว่างคือปัญญาแล้ว คนเราจะเดินหลงทาง จะเดินไม่ถูกทาง จะเดินผิดทาง. อันที่จริงนั้น คนตาบอด แม้จะมองไม่เห็น แต่บางครั้งเขาก็เดินถูกทางได้, แต่คนที่มีปัญญา เป็นสัมมาทิฏฐิ จะเดินถูกทางเสมอ.
---อกุศลกรรมบถ ข้อว่าด้วย กาเมสุมิจฉาจาร คือ การประพฤติผิดในกามทั้งหลาย เป็นเหตุสำคัญของการได้อัตภาพของความเป็นหญิง และเศษแห่งกรรมนั้น ยังส่งผลถึงบุคคลนั้นแม้ได้อัตภาพมาเป็นชายก็ตาม แต่ภาวะจิตใจก็ยังฝักใฝ่ในความเป็นหญิงอยู่ด้วยเศษแห่งกาเมสุมิจฉาจารนั้น.
---ยิ่งในสมัยทุกวันนี้ การกระทำผิดในเรื่องเพศมีมากมายที่สุด ที่กำลังฮิตกันในปัจจุบันนี้ก็คือคำว่า กิ๊ก เป็น กิ๊ก ซึ่งก็คือการทำผิดศีลข้อว่าด้วยกาเมสุมิจฉาจาร นั่นเอง มีในแทบทุกวงการ และเป็นที่ฮือฮาเป็นข่าวไม่นานมานี้ก็คือ แม้ในมหาวิทยาลัย นักศึกษาก็ถูกคุกคามทางเพศเป็นส่วนมาก จะเป็นไปด้วยความยินยอมหรือไม่ยินยอมก็ตาม เมื่อฝ่ายหญิงยังไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง หรือยังไม่ได้แต่งงานกัน เมื่อมีความสัมพันธ์ทางเพศหรือทางชู้สาวกัน จัดว่าผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารทั้งนั้น.
---แม้เด็ก ๆ วัยรุ่น เป็นนักเรียนชั้นมัธยม ก็มีความสัมพันธ์ทางเพศกันแล้ว บางคน บางอาจารย์ ก็มีการส่งเสริม บอกว่าไม่ผิด เป็นความต้องการของธรรมชาติ แต่ให้รู้จักป้องกันตัว แท้ที่จริงแล้ว ในทางโลกอาจจะมองว่าไม่ผิด เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ในทางธรรมนั้นผิดแน่ ๆ เพราะเด็กนั้นยังมีผู้ปกครองอยู่ และผู้ปกครองนั้นย่อมไม่อนุญาตแน่นอน ดังนั้นการมีเพศสัมพันธ์ของเด็กมัธยม หรืออุดมศึกษา จึงเป็นการทำผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร เป็นอกุศลกรรมบถนำไปสู่อบายภูมิได้. ข้อนี้จึงไม่แปลกอะไรเลย ที่เด็กเกิดมาสมัยนี้ เพศชายอายุไม่กี่ปี ก็มีภาวะของความเป็นหญิงออกมาแล้ว มีความปรารถนาจะเป็นหญิง จนต้องตัดไข่ ตัดอวัยวะเพศชายทิ้งเพื่อแปลงเพศ และในที่สุดกำลังเป็นปัญหาของสังคม จนทางผู้เกี่ยวข้องต้องออกมาสกัดกั้น.....เป็นเรื่องที่น่าสลดหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง....
*ตัวอย่างอีกเรื่อง 1
*เรื่องพระโสไรยเถระ
---ข้อความเบื้องต้น
---พระศาสดายังพระธรรมเทศนานี้ว่า “น ตํ มาตา ปิตา กยิรา” เป็นต้น ซึ่งตั้งขึ้นในโสไรยนคร ให้จบลงในพระนครสาวัตถี.
*เศรษฐีบุตรกลับเพศเป็นหญิงแล้วหลบหนี
---เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี, ลูกชายของโสไรยเศรษฐี ในโสไรยนคร นั่งบนยานน้อยอันมีความสุขกับสหายผู้หนึ่งออกไปจากนคร เพื่อประโยชน์จะอาบน้ำด้วยบริวารเป็นอันมาก.
---ขณะนั้น พระมหากัจจายนเถระมีความประสงค์จะเข้าไปสู่โสไรยนคร เพื่อบิณฑบาต ห่มผ้าสังฆาฏิภายนอกพระนคร.
---ก็สรีระของพระเถระมีสีเหมือนทองคำ ลูกชายของโสไรยเศรษฐีเห็นท่านแล้ว จึงคิดว่า “สวยจริงหนอ พระเถระรูปนี้ควรเป็นภริยาของเรา, หรือสีแห่งสรีระของภริยาของเรา พึงเป็นเหมือนสีแห่งสรีระของพระเถระนั้น.”
---ในขณะสักว่าเขาคิดแล้วเท่านั้น เพศชายของเศรษฐีบุตรนั้น ก็หายไป, เพศหญิงได้ปรากฏแล้ว.
---เขาละอายจึงลงจากยานน้อยหนีไป. ชนใกล้เคียงจำลูกชายเศรษฐีนั้นไม่ได้ จึงกล่าวว่า “อะไรนั่นๆ ” แม้นางก็เดินไปสู่หนทางอันไปยังเมืองตักกสิลา.
*พวกเพื่อนและพ่อแม่ออกติดตามแต่ไม่พบ
---ฝ่ายสหายของนาง แม้เที่ยวค้นหาข้างโน้นและข้างนี้ ก็ไม่ได้พบ. ชนทั้งปวงอาบเสร็จแล้วได้กลับไปสู่เรือน, เมื่อชนทั้งหลายกล่าวกันว่า “เศรษฐีบุตรไปไหน” ชนที่ไปด้วยจึงตอบว่า “พวกผมเข้าใจว่า เขาจักอาบน้ำกลับมาแล้ว.”
---ขณะนั้น มารดาและบิดาของเขาค้นดูในที่นั้นๆ เมื่อไม่เห็น จึงร้องไห้ รำพัน ได้ถวายภัตเพื่อผู้ตาย ด้วยความสำคัญว่า “ลูกชายของเรา จักตายแล้ว.”
*นางเดินตามพวกเกวียนไปเมืองตักกสิลา
---นางเห็นพวกเกวียนไปสู่เมืองตักกสิลาหมู่หนึ่ง จึงเดินติดตามยานน้อยไปข้างหลังๆ ขณะนั้น พวกมนุษย์เห็นนางแล้ว กล่าวว่า “หล่อนเดินตามข้างหลังๆ แห่งยานน้อยของพวกเรา (ทำไม) พวกเราไม่รู้จักหล่อนว่า ‘นางนี่เป็นลูกสาวของใคร’ นางกล่าวว่า “นาย พวกท่านจงขับยานน้อยของตนไปเถิด. ดิฉันจักเดินไป”, เมื่อเดินไปๆ (เมื่อยเข้า) ได้ถอดแหวนสำหรับสวมนิ้วมือให้แล้ว ให้ทำโอกาสในยานน้อยแห่งหนึ่ง (เพื่อตน).
*ได้เป็นภริยาของลูกชายเศรษฐีในเมืองนั้น
---พวกมนุษย์คิดว่า “ภริยาของลูกชายเศรษฐีของพวกเรา ในกรุงตักกสิลา ยังไม่มี, เราทั้งหลายจักบอกแก่ท่าน, บรรณาการใหญ่ (รางวัลใหญ่) จักมีแก่พวกเรา.” พวกเขาไปแล้ว เรียนว่า “นายแก้วคือหญิง พวกผมได้นำมาแล้วเพื่อท่าน.” ลูกชายเศรษฐีนั้นได้ฟังแล้ว ให้เรียกนางมา เห็นนางเหมาะกับวัยของตน มีรูปงามน่าพึงใจ มีความรักเกิดขึ้น จึงได้กระทำไว้ (ให้เป็นภริยา) ในเรือนของตน.
*ชายอาจกลับเป็นหญิงและหญิงอาจกลับเป็นชายได้
---จริงอยู่ พวกผู้ชาย ชื่อว่าไม่เคยกลับเป็นผู้หญิง หรือพวกผู้หญิงไม่เคยกลับเป็นผู้ชาย ย่อมไม่มี.
---เพราะว่า พวกผู้ชายประพฤติล่วงในภริยาทั้งหลายของชนอื่น ทำกาละแล้ว ไหม้ในนรกสิ้นแสนปีเป็นอันมาก เมื่อกลับมาสู่ชาติมนุษย์ ย่อมถึงภาวะเป็นหญิง สิ้น ๑๐๐ อัตภาพ
---ถึงพระอานนทเถระ ผู้เป็นอริยสาวก มีบารมีบำเพ็ญมาแล้วตั้งแสนกัลป์ ท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร ในอัตภาพหนึ่งได้บังเกิดในตระกูลช่างทอง ทำปรทารกรรม ไหม้ในนรกแล้ว, ด้วยผลกรรมที่ยังเหลือ ได้กลับมาเป็นหญิงบำเรอเท้าแห่งชายใน ๑๔ อัตภาพ, ถึงการถอนพืช (เป็นหมัน) ใน ๗ อัตภาพ.
---ส่วนหญิงทั้งหลายทำบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น คลายความพอใจในความเป็นหญิง ก็ตั้งจิตว่า “บุญของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ ขอจงเป็นไปเพื่อกลับได้อัตภาพเป็นชาย” ทำกาละแล้ว ย่อมกลับได้อัตภาพเป็นชาย.
---พวกหญิงที่มีผัวดังเทวดา ย่อมกลับได้อัตภาพเป็นชาย แม้ด้วยอำนาจแห่งการปรนนิบัติดีในสามีเหมือนกัน.
---ส่วนลูกชายเศรษฐีนี้ยังจิตให้เกิดขึ้นในพระเถระโดยไม่แยบคาย จึงกลับได้ภาวะเป็นหญิงในอัตภาพนี้ทันที.
*นางคลอดบุตร
---ก็ครรภ์ได้ตั้งในท้องของนาง เพราะอาศัยการอยู่ร่วมกับลูกชายเศรษฐีในตักกสิลา.
---โดยกาลล่วงไป ๑๐ เดือน นางได้บุตร ในเวลาที่บุตรของนางเดินได้ ก็ได้บุตรแม้อีกคนหนึ่ง.
---โดยอาการอย่างนี้ บุตรของนางจึงมี ๔ คน, คือบุตรผู้อยู่ในท้อง ๒ คน, บุตรผู้เกิดเพราะอาศัยเธอ (ครั้งเป็นชายอยู่) ในโสไรยนคร ๒ คน.
*นางได้พบกับเพื่อนเก่าแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง
---ในกาลนั้น ลูกชายเศรษฐีผู้เป็นสหายของนาง (ออก) จากโสไรยนคร ไปสู่กรุงตักกสิลาด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม นั่งบนยานน้อยอันมีความสุขเข้าไปสู่พระนคร.
---ขณะนั้น นางเปิดหน้าต่างบนพื้นปราสาทชั้นบน ยืนดูระหว่างถนนอยู่ เห็นสหายนั้น จำเขาได้แม่นยำ จึงส่งสาวใช้ให้ไปเชิญเขามาแล้ว ให้นั่งบนพื้นมีค่ามาก ได้ทำสักการะและสัมมานะอย่างใหญ่โต.
---ขณะนั้น สหายนั้นกล่าวกะนางว่า “แม่มหาจำเริญ ในกาลก่อนแต่นี้ ฉันไม่เคยเห็นนาง, ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนนางจึงทำสักการะแก่ฉันใหญ่โต, นางรู้จักฉันหรือ”
---นาง. จ้ะ นาย ฉันรู้จัก, ท่านเป็นชาวโสไรยนคร มิใช่หรือ
---สหาย. ถูกละ แม่มหาจำเริญ.
---นางได้ถามถึงความสุขสบายของมารดาบิดา ของภริยา ทั้งของลูกชายทั้งสอง สหายนอกนี้ตอบว่า “จ้ะ แม่มหาจำเริญ ชนเหล่านั้นสบายดี” แล้วถามว่า “แม่มหาจำเริญ นางรู้จักชนเหล่านั้นหรือ”
---นาง. จ้ะ นาย ฉันรู้จัก, ลูกชายของท่านเหล่านั้นมีคนหนึ่ง, เขาไปไหนเล่า
---สหาย. แม่มหาจำเริญ อย่าได้พูดถึงเขาเลย, ฉันกับเขา วันหนึ่งได้นั่งในยานน้อยอันมีความสุขออกไปเพื่ออาบน้ำ ไม่ทราบที่ไปของเขาเลย.
---เที่ยวค้นดูข้างโน้นและข้างนี้ (ก็) ไม่พบเขา จึงได้บอกแก่มารดาและบิดา (ของเขา), แม้มารดาและบิดาทั้งสองนั้นของเขา ได้ร้องไห้ คร่ำครวญ ทำกิจอันควรทำแก่คนผู้ล่วงลับไปแล้ว.
---นาง. ฉัน คือเขานะ นาย.
---สหาย. แม่มหาจำเริญ จงหลีกไป, นางพูดอะไร สหายของฉันย่อมงามเหมือนลูกเทวดา, (ทั้ง) เขาเป็นผู้ชาย (ด้วย).
---นาง. ช่างเถอะ นาย ฉัน คือเขา.
---ขณะนั้น สหายจึงถามนางว่า “อันเรื่องนี้เป็นอย่างไร”
---นาง. วันนั้น เธอเห็นพระมหากัจจายนเถระผู้เป็นเจ้าไหม
---สหาย. เห็นจ้ะ.
---นาง. ฉันเห็นพระมหากัจจายนะผู้เป็นเจ้าแล้ว ได้คิดว่า ‘สวยจริงหนอ พระเถระรูปนี้ควรเป็นภริยาของเรา, หรือว่าสีแห่งสรีระของภริยาของเราพึงเป็นเหมือนสีแห่งสรีระของพระเถระนั่น’, ในขณะที่ฉันคิดแล้วนั่นเอง เพศชายได้หายไป, เพศหญิงปรากฏขึ้น, เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันไม่อาจบอกแก่ใครได้ ด้วยความละอาย จึงหนีไปจากที่นั้นมา ณ ที่นี้ นาย.
---สหาย. ตายจริง เธอทำกรรมหนักแล้ว, เหตุไร เธอจึงไม่บอกแก่ฉันเล่า เออ ก็เธอให้พระเถระอดโทษแล้วหรือ
---นาง. ยังไม่ให้ท่านอดโทษเลย นาย, ก็เธอรู้หรือ พระเถระอยู่ ณ ที่ไหน
---สหาย. ท่านอาศัยนครนี้แหละอยู่.
---นาง. หากว่า ท่านเที่ยวบิณฑบาต พึงมาในที่นี้ไซร้, ฉันพึงถวายภิกษาหารแก่พระผู้เป็นเจ้าของฉัน.
---สหาย. ถ้ากระนั้น ขอเธอจงรีบทำสักการะไว้, ฉันจักยังพระผู้เป็นเจ้าของเราให้อดโทษ.
*นางขอขมาพระมหากัจจายนเถระ
---เธอไปสู่ที่อยู่ของพระเถระ ไหว้แล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้ว เรียนว่า “ท่านขอรับ พรุ่งนี้ นิมนต์ท่านรับภิกษาของกระผม.”
---พระเถระ. เศรษฐีบุตร ท่านเป็นแขกมิใช่หรือ
---เศรษฐีบุตร. ท่านขอรับ ขอท่านอย่าได้ถามความที่กระผมเป็นแขกเลย, พรุ่งนี้ ขอนิมนต์ท่านรับภิกษาของกระผมเถิด.
*พระเถระรับนิมนต์แล้ว. สักการะเป็นอันมาก เขาได้ตระเตรียมไว้แม้ในเรือนเพื่อพระเถระ.
---วันรุ่งขึ้น พระเถระได้ไปสู่ประตูเรือน. ขณะนั้น เศรษฐีบุตรนิมนต์ท่านให้นั่งแล้ว อังคาส (เลี้ยงดู) ด้วยอาหารประณีต พาหญิงนั้นมาแล้ว ให้หมอบลงที่ใกล้เท้าของพระเถระ เรียนว่า “ท่านขอรับ ขอท่านจงอดโทษแก่หญิงผู้สหายของกระผม (ด้วย).”
---พระเถระ. อะไรกันนี่
---เศรษฐีบุตร. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในกาลก่อน คนผู้นี้ได้เป็นสหายที่รักของกระผม พบท่านแล้ว ได้คิดชื่ออย่างนั้น; เมื่อเป็นเช่นนั้น เพศชายของเขาได้หายไป, เพศหญิงได้ปรากฏแล้ว, ขอท่านจงอดโทษเถิด ท่านผู้เจริญ.
---พระเถระ. ถ้ากระนั้น เธอจงลุกขึ้น, ฉันอดโทษให้แก่เธอ.
*เขากลับเพศเป็นชายแล้วบวชได้บรรลุอรหัตผล
---พอพระเถระเอ่ยปากว่า “ฉันอดโทษให้” เท่านั้น เพศหญิงได้หายไป, เพศชายได้ปรากฏแล้ว. เมื่อเพศชาย พอกลับปรากฏขึ้นเท่านั้น. เศรษฐีบุตรในกรุงตักกสิลาได้กล่าวกะเธอว่า “สหายผู้ร่วมทุกข์ เด็กชาย ๒ คนนี้เป็นลูกของเรา แม้ทั้งสองแท้ เพราะเป็นผู้อยู่ในท้องของเธอ (และ) เพราะเป็นผู้อาศัย ฉันเกิด, เราทั้งสองจักอยู่ในนครนี้แหละ, เธออย่าวุ่นวายไปเลย.”
---โสไรยเศรษฐีบุตรพูดว่า “ผู้ร่วมทุกข์ ฉันถึงอาการอันแปลก คือเดิมเป็นผู้ชาย แล้วถึงความเป็นผู้หญิงอีก แล้วยังกลับเป็นผู้ชายได้อีก โดยอัตภาพเดียว (เท่านั้น); ครั้งก่อน บุตร ๒ คนอาศัยฉันเกิดขึ้น, เดี๋ยวนี้ บุตร ๒ คนคลอดจากท้องฉัน; เธออย่าทำความสำคัญว่า ‘ฉันนั้นถึงอาการอันแปลกโดยอัตภาพเดียว จักอยู่ในเรือนต่อไปอีก, ฉันจักบวชในสำนักแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเรา เด็ก ๒ คนนี้จงเป็นภาระของเธอ, เธออย่าเลินเล่อในเด็ก ๒ คนนี้” ดังนี้แล้ว จูบบุตรทั้ง ๒ ลูบ (หลัง) แล้ว มอบให้แก่บิดา ออกไปบวชในสำนักพระเถระ,
---ฝ่ายพระเถระให้เธอบรรพชาอุปสมบทเสร็จแล้ว พาเที่ยวจาริกไป ได้ไปถึงเมืองสาวัตถีโดยลำดับ. นามของท่านได้มีว่า “โสไรยเถระ.”
---ชาวชนบทรู้เรื่องนั้นแล้ว พากันแตกตื่นอลหม่านเข้าไปถามว่า “ได้ยินว่า เรื่องเป็นจริงอย่างนั้นหรือ พระผู้เป็นเจ้า.”
---พระโสไรยะ. เป็นจริง ผู้มีอายุ.
---ชาวชนบท. ท่านผู้เจริญ ชื่อว่าเหตุแม้เช่นนี้มีได้ (เทียวหรือ); เขาลือกันว่า “บุตร ๒ คนเกิดในท้องของท่าน, บุตร ๒ คนอาศัยท่านเกิด” บรรดาบุตร ๒ จำพวกนั้น ท่านมีความสิเนหามากในจำพวกไหน
---พระโสไรยะ. ในจำพวกบุตรผู้อยู่ในท้อง ผู้มีอายุ.
---ชนผู้มาแล้วๆ ก็ถามอยู่อย่างนั้นนั่นแหละเสมอไป. พระเถระบอกแล้วบอกเล่าว่า “มีความสิเนหาในจำพวกบุตรผู้อยู่ในท้องนั้นแหละมาก.” เมื่อรำคาญใจจึงนั่งแต่คนเดียว ยืนแต่คนเดียว. ท่านเข้าถึงความเป็นคนเดียวอย่างนี้ เริ่มตั้งความสิ้นและความเสื่อมในอัตภาพ บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว.
---ต่อมา พวกชนผู้มาแล้วๆ ถามท่านว่า “ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า เหตุชื่ออย่างนี้ได้มีแล้ว จริงหรือ”
---พระโสไรยะ. จริง ผู้มีอายุ.
---พวกชน. ท่านมีความสิเนหามากในบุตรจำพวกไหน
---พระโสไรยะ. ขึ้นชื่อว่าความสิเนหาในบุตรคนไหนๆ ของเรา ย่อมไม่มี.
---ภิกษุทั้งหลายกราบทูลพระศาสดาว่า “ภิกษุรูปนี้พูดไม่จริง ในวันก่อนๆ พูดว่า ‘มีความสิเนหาในบุตรผู้อยู่ในท้องมาก’ เดี่ยวนี้พูดว่า ‘ความสิเนหาในบุตรคนไหนๆ ของเราไม่มี,’ ย่อมพยากรณ์พระอรหัตผล พระเจ้าข้า.”
*จิตที่ตั้งไว้ชอบดียิ่งกว่าเหตุใดๆ
---พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราพยากรณ์อรหัตผลหามิได้, (เพราะว่า) ตั้งแต่เวลาที่บุตรของเรา เห็นมรรคทัสนะ ด้วยจิตที่ตั้งไว้ชอบแล้ว ความสิเนหาในบุตรไหนๆ ไม่เกิดเลย, จิตเท่านั้น ซึ่งเป็นไปในภายในของสัตว์เหล่านี้ ย่อมให้สมบัติที่มารดาบิดาไม่อาจทำให้ได้” ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"น ตํ มาตา ปิตา กริยา อญฺเญ วาปิ จ ญาตกา สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ เสยฺยโส นํ ตโต กเร." มารดาบิดา ก็หรือว่าญาติเหล่าอื่น ไม่พึงทำเหตุนั้น (ให้ได้), (แต่) จิตอันตั้งไว้ชอบแล้ว พึงทำเขาให้ประเสริฐกว่าเหตุนั้น.
*บาลีบางแห่งว่า มตฺตสฺส ทิฏฺฐกาลโต แต่กาลเห็นมรรค.
---แก้อรรถ
---บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตํ ความว่า มารดาบิดา (และ) ญาติเหล่าอื่น ไม่ทำเหตุนั้นได้เลย.
---บทว่า สมฺมาปณิหิตํ คือ ชื่อว่าตั้งไว้ชอบแล้ว เพราะความเป็นธรรมชาติตั้งไว้ชอบในกุศลกรรมบถ ๑๐.
---บาทพระคาถาว่า เสยฺยโส นํ ตโต กเร. ความว่า พึงทำคือย่อมทำเขาให้ประเสริฐกว่า คือเลิศกว่า ได้แก่ให้ยิ่งกว่าเหตุนั้น.
---จริงอยู่ มารดาบิดา เมื่อจะให้ทรัพย์แก่บุตรทั้งหลาย ย่อมอาจให้ทรัพย์สำหรับไม่ต้องทำการงานแล้วเลี้ยงชีพโดยสบาย ในอัตภาพเดียวเท่านั้น, ถึงมารดาบิดาของนางวิสาขา ผู้มีทรัพย์มากมายถึงขนาด มีโภคะมากมาย ได้ให้ทรัพย์สำหรับเลี้ยงชีพโดยสบายแก่นาง ในอัตภาพเดียวเท่านั้น, ก็อันธรรมดามารดาบิดาที่จะสามารถให้สิริ
---คือความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในทวีปทั้งสี่ ย่อมไม่มีแก่บุตรทั้งหลาย. จะป่วยกล่าวไปไย (ถึงมารดาบิดาผู้ที่สามารถให้) ทิพยสมบัติหรือสมบัติมีปฐมฌานเป็นต้น (จักมีเล่า), ในการให้โลกุตรสมบัติ ไม่ต้องกล่าวถึงเลย. แต่ว่าจิตที่ตั้งไว้ชอบแล้ว ย่อมอาจให้สมบัตินี้ แม้ทั้งหมดได้, เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “เสยฺยโส นํ ตโต กเร.”
---ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
.....................................................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 25 กันยายน 2558
ความคิดเห็น