เวลาจะเลือกพระเครื่อง หรือเครื่องรางของขลังใว้ใช้บูชาติดตัว ควรใช้หลักเกณฑ์ในการเลือกบ้าง
---การเหลือกว่าเราจะใช้พระเครื่อง หรือเครื่องรางของขลังชิ้นใดบูชาติดตัวนั้นก็มีหลังเกณฑ์เดียวกับในข้อที่ผ่านมาว่า ความศักดิ์สิทธ์ในพระเครื่องและเครื่องรางของขลังเกิดขึ้นได้อย่างไร นั่นคือมีหลังเกณฑ์หลักอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ ผู้สร้าง มวลสาร และผู้ใช้
---1.ผู้สร้าง พระเครื่องหรือเครื่องรางของขลังจะศักดิ์สิทธิ์เพียงใดนั้นผู้สร้างมีความสำศัญมาก ดังได้กล่าวมา 3 ประการใหญ่ๆ คือ ศักดิ์สิทธิ์ด้วยคาถาอาคมศักดิ์สิทธิ์ด้วยอิทธิฤทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ด้วยบุญฤทธิ์
---หากเป็นผู้สร้างใช้คาถาอาคมในการปลูกเสก พระเครื่อง หรือเครื่องรางเหล่านั้นก็จะศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาจากกำลังของคาถาอาคม จากแรงครูและเทวดาที่เกี่ยวเนื่องกับคาถาอาคมเหล่านั้นก็จะ ซึ่งคาถาอาคมนี้อาจเลื่อมได้อาจโดนแก้ได้ หรือแรงครูและเทวดาอาจให้ให้โทษแก่ผู้บูชาได้หากไม่ปฎิบัติตามข้อห้าม
---ส่วนการปลูกเสกด้วยโดยอิทธิฤทธิ์นั้น ผู้สร้างจะต้องมีกำลังจิตจากการทำสมาธิภาวนาตั้งแต่ระดับฌาน 4 ขึ้นไปจึงจะทำให้ให้เกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆได้ เช่น การฝึกกสิณดิน แล้วเสกให้หนังเหนียวยิงไม่เข้า ฝึกกสิณน้ำแล้วทำให้เกิดใจชุ่มเย็นเป็นเมตตามหานิยม โดยบางคนก็ใช้ทั้งคาถาอาคม และอิทธิฤทธิ์ร่วมกันเช่นใช้การท่องคาถาเป็นบาทฐานของการทำสมาธิเพื่อให้เกิดอิทธิฤทธิ์ต่างๆซึ่งก็จะทำให้การปลุกเสกมีพลังงานทั้งจากตัวคาถาเอง จากแรงครูและเทวดาเพราะ ผู้ได้ฌานสมาบัติต่างๆก็ยังมีกิเลสอยู่ เพียงแต่ถูกสมาธิกดใว้ หากวันใดกิเลสกำเริบขึ้นมาความเสื่อมก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน
---การปลูกเสกที่ดีที่สุดคือการอธิฐานจิตปลุกเสกด้วยบุญฤทธิ์ เพราะผู้ที่จะทำได้ ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาบริสุทธิ์ในระดับค่อนข้างสูงมีเจตนาการสร้างบริสุทธิ์ ไม่แอบแฝงผลประโยชน์และพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเทพพรหมทั้งหลาย มาช่วยปลุกเสกให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ ซึ่งหากทำได้แล้ว พระเครื่อง หรือเครื่องรางนั้นจะมีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดและไม่มีวันเลื่อมเพราะพลังงานของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพลังงานสูงสุดในสามโลกธาตุและบริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสอวิชชาเหตุแห่งความเสื่อมทั้งปวง
---ดังนั้น หากจะเลือกใช้พระเครื่อง หรือเครื่องรางสักชิ้น จึงต้องพิจาณาจากหลวงปู่ครูบาอาจารย์ผู้ปลูกเสกนั้นว่ามีคาถาอาคม อิทธิฤทธิ์ และบุญฤทธิ์มากเพียงใด ซึ่งอาจสังเกตได้จากจริยวัตรของท่านว่า เป็นผู้สงบเย็น หน้าตาผิวพรรณแจ่มใส สอนธรรมะได้ลึกซึ้ง (ฯลฯ) แต่พระผู้ได้ฤทธิ์อภิญญาบางรูปก็มักจะแกล้งทำตัวเหมือนไม่ค่อยเต็ม เพื่อไม่ให้คนมายุ่งกับท่านมาก จึงยากที่ปุถุชนธรรมดาทั่วไปจะรู้ถึงกำลังจิตกำลังใจที่แท้จริงขิงหลวงปู่ครูบาอาจารย์ได้ อาจมีวิธีพิจารณาได้คร่าวๆบ้างโดยถามจากลูกศิษย์ใกล้ชิน หรือดูจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระเครื่องของท่าน แต่กลุ่มผู้สร้าง อีกกลุ่มหนึ่งที่มีผลต่อความศักดิ์สิทธิ์ และสามารถพิจารณาได้ง่ายกว่าคือ กลุ่มผู้ช่วยในการสร้างพระเครื่องเช่น กรรมการวัด ลูกศิษย์ที่ช่วยเทพระ หล่อพระให้บูชาพระต่างๆ ซึ่งเราต้องพิจารณาด้วยว่ามีเจตนาบริสุทธิ์ในการสร้างเพียงใด แม้แต่ผู้สร้างพระเครื่องจะมีความศักดิ์สิทธิ์เพียงใด แต่กรรมการวัดมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ในการสร้างพระให้ท่านปลุกเสก เช่น เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง นักยอกเงินวัด ทะเลาะแย่งผลประโยชน์กัน (ฯลฯ) พระเครื่องอละเครื่องรางที่สร้างที่สร้างในครั้งนั้นก็จะมีพลังงานฝ่ายอกุศลเข้าเจือปน ทำให้ไม่สามารถแสดงความศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่หากการสร้างพระครั้งนั้น ทุกคนมีเจตนาบริสุทธิ์ อยากออกเงินช่วยวัด ไม่มีใครคดโกงลงแรงเต็มใจเพื่อบุญกุศลอย่างเต็มที่แล้ว แม้ผู้มาปลุกเสกอาจไม่เก่งมากนักพระเครื่อง หรือเครื่องรางนั้นก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มอัตรา เพราะเจตนาสร้างที่บริสุทธิ์ ย่อมโน้มนำพลังงานอันบริสุทธิ์แห่งะพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเทวดาทั้งหลาย ให้ลงมาช่วยเหลือให้เกิดความสำเร็จได้
---2. มวลาร หากอยากได้ของดี ก็ต้องต้องพิจารณาดูมวลสารที่นำมาใช้ในการสร้างสร้างพระเครื่อง หรือเครื่องรางของขลังนั้นด้วยว่าสร้างมาจากอะไรบ้างหากเป็นมวลสารที่ป่านการปลุกเสก หรือเกี่ยวเนื่องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น ผงพระสมเด็จวัดระฆังเก่า ก้านชนวนหล่อพระกริ่งวัดดังๆ กระเบื้องหลังคาโบสถ์ ชานหมาก จีวรของของหลวงปู่ครูบาอาจารย์ที่เก่งกล้า หรือเป็นมวลสารที่มีความศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ เช่น เหล็กไหล ปรอทคดต่างๆ งาช้าง เขี้ยวเสื้อ (ฯลฯ) ก็จะมีส่วนช่วยให้เกิดความมั่นได้มากขึ้นว่าพระเครื่อง หรือเครื่องรางนั้นน่าจะมีความศักดิ์สิทธิ์แน่นอน เพราะมวลสารมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี แม้บางวัดจะใช้มวลสารใหม่ๆ ธรรมดาๆ แต่ถ้าเราดุชื่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ที่มาปลุกเสกว่าเก่งจริงแล้วท่านสามารถปลุกเสกให้พระเครื่องหรือเครื่องรางที่สร้างจากมวลสารธรรมดาเหล่านั้นเกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่แพ้กันการสร้างจากการสร้างที่ใช้มวลสารศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
---3. ผู้ใช้ ในส่วนของผู้สร้างและมวลสารนั้นอาจจะพิจารณาได้ยากว่าผู้สร้างเก่งจริงไหม มวลสารดีจริงรึป่าว แต่สิ่งที่มีผลต่อความศักดิ์สิทธิ์มากและพิจารณาได้ง่ายที่สุดก็คือผู้ใช่นั่งเองคือ ผู้ใช้ต้องถามตัวเองว่าเรามีความศรัทธาเชื่อมั่นในพระเครื่องหรือเครื่องรางชิ้นใด หลวงปู่รูปไหน หลวงปู่ไหนที่เวลาเรามีอะไรเกิดขึ้น สามารถนึกถึงท่านได้ชัดเจนทันที และเชื่อมั่นในตัวท่านอย่างเต็มร้อยไม่ลังเลสงสัย ก็ควรจะเลือกพระเครื่อง หรือเครื่องรางชิ้นนั้น เพราะความเชื่อมั่นศรัทธาถือเป็นช่องทางสำศัญที่จะช่วยให้จูนพลังงานเข้าหาพระเครื่อง หรือเครื่องรางเหล่านั้น และนำความศักดิ์สิทธิ์มาใช้ได้อย่างเต็มที่ เปรียบเหมือนคลื่นวิทยุ ต่อให้สถานีนั้นปล่อยคลื่นวิทยุมาคุณภาพดีเพียงใด แต่เราไม่เปิดรับวิทยุ หรือไม่รู้ว่าคลื่นความถี่อะไร เราเปิดสถานีนั้นฟังไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเราศรัทธาเชื่อมั่นเต็มที่ นึกถึงหลวงปู่หลวงพ่อรูปนั้นออกอย่างชัดเจนก็เหมือนเราเปิดเครื่องแล้ว และเรารู้ว่าจะหมุนวิทยุไปที่ความถี่ใด เราย่อมนำความศักดิ์สิทธิ์ ที่ท่านปลุกเสกไว้มาใช้ได้อย่างเต็มที่
---แต่แค่เปิดเครื่อง หรือรู้ความถี่ไม่พอที่จะทำให้เราฟังวิทยุได้สมบูรณ์ชัดเจน เครื่องของเรายังจะต้องไม่หักไม่พัง ต้องมีสภาพที่สมบูรณ์ด้วย จึงจะสามารถเปิดฟังได้อย่างเต็มที่ นั่นคือ ผู้ใช้จะต้องเป็นผู้อยู่ในศีลในธรรมหมั่นสวดมนต์ไหว้พระทำบุญ
---สร้างกุศลอยู่เสมอ จิตของผู้ใช้จึงจะสะอาดบริสุทธิ์สมบูรณ์ คือ มีเครื่องที่สมบูรณ์เพียงพอที่จะเปิดรับเอาพลังงานอันสะอาดบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์จากพระเครื่อง หรือเครื่องรางของขลังเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดผลได้อย่างเต็มที่
------------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
ที่มา...หนังสือตอบโจทย์พระเครื่อง
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัปเดท 19 พฤษภาคม 2561