วิธีเจริญเมตตาที่ดี
---วิธีฝึกหัดเจริญเมตตาที่ดีนั้น เราฝึกจากการดำเนินชีวิตประจำวันตามปกตินี้เองคือ การรู้จักให้ รู้จักแบ่งปัน รู้จักเสียสละ มีเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักระงับยับยั้งความโกรธความหงุดหงิดรำคาญใจ รู้จักให้อภัย รู้จักอโหสิกรรม ไม่จองเวรจองกรรมซึ่งกันและกัน รู้จักมีมุทิตายินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข และรู้จักการวางใจให้เป็นปกติเป็นกลาง ไม่ทุกข์ เมื่อเราไม่อยู่ในภาวะวิสัยหรือฐานะที่จะช่วยเหลืออะไรได้ในเวลานั้น
---อาศัยสติเป็นตัวนำ เราต้องฝึกสติของเราให้มีกำลังขึ้นมาก่อน เมื่อสติระลึกรู้ว่าขณะนี้เรากำลังถูกอกุศลความโกรธความพยาบาทครอบงำทำจิตใจของเราให้ขุ่นมัวอยู่ เราก็ต้องรู้จักละเสียซึ่งความโกรธความพยาบาทเหล่านั้น นั่นแหละคือการให้ การมีเมตตา มีอภัยทานแล้ว และไม่คิดจองเวรต่อกันอีก นั่นคือการมีอโหสิกรรม เราก็หมั่นฝึกอย่างนี้บ่อยๆ ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้อง ใจสัมผัส อยู่ตลอดเวลา เกิดความหงุดหงิดรำคาญใจไม่พอใจมั้ย ถ้าเรามีสติแล้วเราระลึกได้แล้ว เราก็หัดหยุดโกรธ ให้อภัย สร้างกำลังจิตขึ้นมา การหยุดโกรธ การให้อภัยได้นั้นแหละคือการสร้างกำลังจิต เห็นคนอื่นเดือดร้อนเราพอจะช่วยได้เราก็ช่วย เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อส่วนรวม ตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆเป็นต้นไป หมั่นทำความดี ทั้งหมั่นให้ด้วยและก็เอาออกด้วย สละสลัดความตระหนี่ภายนอกภายในออกไปให้หมด
---ให้ทั้งทานภายนอก สลัดทั้งความอยาก ความไม่อยากภายในออกไปให้หมด ภายนอกเราก็ไม่บกพร่องต่อหน้าที่ มีหน้าที่อะไรเราก็ทำไปไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัว หน่วยงาน องค์การ สถาบัน สังคม ประเทศชาติ รวมถึงหน้าที่ในฐานะที่เป็นพลเมืองของโลก ภายในเราก็รู้จักรักษาสติมีหิริ-โอตตัปปะ เมตตา อภัยทาน อโหสิกรรม ดับความโลภอยากได้ของคนอื่นทำให้คนอื่นเดือดร้อน ดับความโกรธ คลายความหลง เราทำได้อย่างนี้อย่างต่อเนื่อง สติเราก็ต่อเนื่อง จิตเราก็มีกำลัง ต่อไปเมื่อสติเต็มรอบรู้จักระงับอกุศล ควบคุมกุศล สังเกตอาการของจิต อาการของความหลงไปก่อสุขก่อทุกข์ของจิตได้รู้เหตุเข้าใจต้นตอของทุกข์ได้
---จิตเราก็จะถึงความปกติเป็นกลาง ปล่อยวางได้ เราเห็นทางดับทุกข์ให้ตัวเองได้แล้ว คลายความหลงเป็นแล้ว เราก็จะเบาใจขึ้น ทุกข์ที่จะมากวนจิตกวนใจเราก็จะลดน้อยถอยลง จิตของเราก็จะเต็มเปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาโดยธรรมชาติได้เอง ต่อไปเราก็จะสงเคราะห์อนุเคราะห์โลกได้ตลอดเวลา เราก็จะได้แผ่เมตตาทั้งที่เป็นรูปธรรมสัมผัสได้เกิดประโยชน์ต่อโลก ต่อเพื่อนมนุษย์และเป็นนามธรรม สัมผัสได้ด้วยใจกันตลอดเวลาเลยทีเดียว นี่แหละ "เมตตาเจโตวิมุติ" อันบุคคลพึงกระทำ ถ้าจิตใจเราดีมีเมตตาโดยธรรมชาติแล้ว เราก็ไม่ต้องกังวลอีกว่า เมตตาที่เราแผ่ไปนั้นใครจะได้รับไหม ถึงไหน เพราะมันเห็นกันอยู่ในปัจจุบันตรงหน้านั้นเอง...
..................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว ป.)
แก้ไขแล้ว (สุริศา สังอาภาวรากุล และตระกูล)
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 24 กันยายน 2558
ความคิดเห็น