ค้นหาไม่พบ ให้ค้นโดยละเอียดที่ พจนานุกรมพุทธศาสน์
(ฉบับประมวลศัพท์และประมวลธรรม โดย พระธรรมปิฎก หรือที่นี่)
(กดลิงค์บน)
*ก
---กรรม - การกระทำ หมายถึง การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา คือทำด้วยความจงใจหรือจงใจทำ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เช่น ขุดหลุมพรางดักคนหรือสัตว์ให้ตกลงไปตาย เป็นกรรม แต่ขุดบ่อน้ำไว้กินใช้ สัตว์ตกลงไปตายเอง ไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ารู้อยู่ว่าบ่อน้ำที่ตนขุดไว้อยู่ในที่ซึ่งคนจะพลัดตกได้ง่าย แล้วปล่อยปละละเลย มีคนตกลงไปตาย ก็ไม่พ้นเป็นกรรม) การกระทำที่ดีเรียกว่า “กรรมดี” ที่ชั่ว เรียกว่า “กรรมชั่ว”
---กรรม ๒- กรรมจำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมที่เป็นมูลเหตุ มี ๒ คือ
---๑.อกุศลกรรม กรรม(การกระทำ) ที่เป็นอกุศล กรรมชั่ว คือเกิดจากอกุศลมูล
---๒.กุศลกรรม กรรม(การกระทำ) ที่เป็นกุศล กรรมดี คือเกิดจากกุศลมูล
*กรรม ๓ - กรรมจำแนกตามทวาร คือ ทางที่ทำกรรม มี ๓ คือ
---๑.กายกรรม การกระทำทางกาย
---๒.วจีกรรม การกระทำทางวาจา
---๓.มโนกรรม การกระทำทางใจ
---กรรมฐาน - กัมมัฏฐาน - ที่ตั้งแห่งการงาน, อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ, อุบาย (วิธี) ทางใจ,
*วิธีฝึกอบรมจิต มี ๒ ประเภทคือ
---๑.สมถกรรมฐาน อุบาย(วิธี) สงบใจ ๑ เพื่อเป็นบาทฐานหรือเครื่องเกื้อหนุนในการวิปัสสนาหรือวิปัสสนากรรมฐาน
---๒.วิปัสสนากรรมฐาน อุบาย(วิธี) เรืองปัญญา ๑ เพื่อให้เกิดปัญญาในการดับทุกข์
---กรรมฐาน ๔๐ - สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญภาวนา, ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต, อุปกรณ์ในการฝึกอบรมจิต แบ่งออกเป็น กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัตถาน ๑ อรูป ๔
---กฐินทาน - การทอดกฐิน, การถวายผ้ากฐิน คือ การที่คฤหัสถ์ผู้ศรัทธาหรือแม้ภิกษุสามเณร นำผ้าไปถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้ว ณ วัดใดวัดหนึ่ง เพื่อทำเป็นผ้ากฐิน เรียกสามัญว่า ทอดกฐิน (นอกจากผ้ากฐินแล้วปัจจุบันนิยมมีของถวายอื่นๆ อีกด้วยจำนวนมาก เรียกว่า บริวารกฐิน)
---กสิณ - วัตถุอันจูงใจ คือ จูงใจให้เข้าไปผูกอยู่ เป็นชื่อของกัมมัฏฐาน(กรรมฐาน) ที่ใช้วัตถุสำหรับเพ่ง เพื่อจูงจิตให้เป็นสมาธิ
---กุปปธรรม - ผู้มีธรรมที่ยังกำเริบได้ หมายถึง ผู้ที่ได้สมาบัติแล้วแต่เสื่อมได้, อกุปปธรรม ผู้มีธรรมที่ไม่กำเริบ คือ ผู้ที่เมื่อได้สมาบัติแล้ว สมาบัตินั้นจะไม่เสื่อมไปเลยได้แก่พระอริยบุคคลทั้งหมด
---กุปปวิโมกข์ - ความหลุดพ้นจากกิเลสที่ยังกำเริบได้ (วิโมกข์ = ความหลุดพ้นจากกิเลส)
---กาม - ความใคร่, ความอยาก, ความปรารถนา, สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่, กามมี ๒ คือ ๑.กิเลสกาม กิเลสที่ทำให้ใคร่(เกิดแต่จิตและอาสวะกิเลส)เป็นเหตุ ๒.วัตถุกาม วัตถุอันน่าใคร่ ได้แก่ กามคุณ ๕
---กามคุณ - ส่วนหรือสิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่ มี ๕ อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ที่น่าใคร่ น่าพอใจ
---กามตัณหา - ความทะยานอยากในกามหรือทางโลกๆ คือในรูป, รส, กลิ่น, เสียง, สัมผัส ทั้ง ๕
---กามฉันทะ - ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมีรูปเป็นต้น, ความพอใจในกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ข้อ ๑ ในนิวรณ์ ๕)
---กามราคะ - ความกำหนัดด้วยอำนาจกิเลสกาม, ความใคร่กาม (ข้อ ๔ ในสังโยชน์ ๑๐, ข้อ ๑ ในอนุสัย ๗)
---กามภพ - ที่เกิดของผู้ที่ยังเกี่ยวข้องอยู่ในกาม, โลกเป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสพกาม ได้แก่ อบายภูมิ ๔ มนุษยโลกและสวรรค์ ๖ ชั้น ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา ถึงชั้นปรนิมมิตสวัตดี รวมเป็น ๑๑ ชั้น (ข้อ ๑ ในภพ ๓)
---กามาวจร - ซึ่งท่องเที่ยวไปในกามภพ, ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่กับกาม
---กายทวาร - ทวาร คือ กาย, กายเป็นฐานในการทำกรรมทางกาย
---กายสังขาร - ๑. ปัจจัยปรุงแต่งกาย ได้แก่ ลมหายใจเข้า หายใจออก ๒. สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย ได้แก่ กายสัญเจตนา หรือความจงใจทางกาย ซึ่งทำให้เกิดกายกรรม
---กายสัมผัส - สัมผัสทางกาย, อาการที่กาย๑ โผฏฐัพพะ๑ และ กายวิญญาณ๑ ทั้ง ๓ ประจวบกัน
---กายานุปัสสนา - สติพิจารณากายเป็นอารมณ์(ที่ยึดเหนี่ยว,ที่กำหนด)ว่า กายนี้ก็สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เป็นสติปัฏฐานข้อหนึ่ง ดู สติปัฏฐาน
---กามุปาทาน - ความยึดมั่นถือมั่นในกามหรือทางโลก อันคือกามคุณ ๕ ในรูป เสียงกลิ่น รส สัมผัส ฯ. ไปยึดถือว่าเป็นเราหรือของเรา จนเป็นเหตุให้เกิดริษยา หรือหวงแหน ลุ่มหลง เข้าใจผิด ทําผิด, เป็นหนึ่งใน อุปาทาน ๔
---กาลามสูตร - เกสปุตตสูตร - พระสูตรหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนชาวกาลามะในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่อถืองมงาย ไร้เหตุผล (อธิโมกข์) ตามหลัก ๑๐ ข้อ อันมีอย่าปลงใจเชื่อในสิ่งใดโดย ๑. ด้วยการฟังตามกันมา ๒. ด้วยการนับถือสืบๆ กันมา ๓. ด้วยการเล่าลือ ๔. ด้วยการอ้างตําราหรือคําภีร์ ๕ .ด้วยตรรก ๖. ด้วยการอนุมาน ๗. ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล ๘. เพราะการเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน ๙. เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อถือ
---๑๐.เพราะนับถือว่าสมณะ (รวมถึงพระองค์เองด้วย) นี้เป็นครูเรา ต่อเมื่อพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้วด้วยตนเอง จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
---กิจจญาณ - ปรีชากำหนดรู้ กิจที่ควรทำในอริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่าง คือ รู้ว่า ทุกข์-ควรกำหนดรู้, สมุทัย-ควรละ, นิโรธ--ควรทำให้แจ้ง, มรรค-ควรเจริญ คือ ควรปฏิบัติ
---กิจในอริยสัจจ์ - ข้อที่ต้องทำในอริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่าง คือ ปริญญา การกำหนดรู้ เป็นกิจในทุกข์, ปหานะ การละ เป็นกิจในสมุทัย, สัจฉิกิริยา การทำให้แจ้ง หรือการบรรลุ เป็นกิจในนิโรธ, ภาวนา การเจริญ คือปฏิบัติบำเพ็ญ เป็นกิจในมรรค
---กิเลส - สิ่งที่ทําให้จิตขุ่นมัว เศร้าหมอง และทําให้รับคุณธรรมได้ยาก
*๑.อโลภะ ไม่โลภ (จาคะ- การสละ, การให้ปัน, การเสียสละ)
---สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง, ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์
---กิเลสกาม - กิเลสเป็นเหตุใคร่, กิเลสที่ทำให้อยาก, เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ ได้แก่ ราคะ โลภะ อิจฉา (อยากได้) เป็นต้น
---กุศล - บุญ, ความดี, ฉลาด, สิ่งที่ดี, กรรมดี, แผ้วถาง ให้ราบเตียนไป
*กุศลมูล -รากเหง้าของกุศล, ต้นเหตุของกุศล, ต้นเหตุของความดีมี ๓ อย่าง คือ
---๒.อโทสะ ไม่คิดประทุษร้าย (เมตตา)
---๓.อโมหะ ไม่หลง (ปัญญา)
*อกุศลมูล รากเหง้าของอกุศล, ต้นเหตุของอกุศล, ต้นเหตุของความชั่ว มี ๓ อย่าง คือ โลภะ โทสะ โมหะ
---กุศลธรรม - ธรรมที่เป็นกุศล, ธรรมฝ่ายกุศล, ธรรมที่ดี, ธรรมฝ่ายดี
---กำหนัด - ความใคร่,ความอยากในกามคุณ
*ข
---ขณิกสมาธิ - สมาธิชั่วขณะ, สมาธิขั้นต้นพอสำหรับใช้ในการเล่าเรียนทำการงานให้ได้ผลดี ให้จิตใจสงบสบาย, และใช้เริ่มปฏิบัติวิปัสสนาได้
---ขณิกาปีติ-ความอิ่มใจชั่วขณะ เมื่อเกิดขึ้นทำให้รู้สึกเสียวแปลบๆ เป็นขณะๆ เหมือนฟ้าแลบ (ปีติ ๕ ข้อ ๒)
---ขันธ์ - กอง, พวก, หมวด, หมู่, ลำตัว; หมวดหนึ่ง ๆ ของรูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดที่แบ่งออกเป็นห้ากอง คือ รูปขันธ์ กองรูป, เวทนาขันธ์ กองเวทนา, สัญญาขันธ์ กองสัญญา, สังขารขันธ์ กองสังขาร, วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ เรียกรวมว่า เบญจขันธ์ (ขันธ์ ๕)
---ขันธ์๕ - เบญจขันธ์ องค์ประกอบทั้ง ๕ ที่ทางพุทธศาสน์ถือว่า เป็นปัจจัยของมีชีวิต อันมี รูปขันธ์, เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์, วิญญาณขันธ์
---ขีณาสพ - ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว, ผู้หมดกิเลส, พระอรหันต์
---ขุททกาปีติ - ปีติเล็กน้อย, ความอิ่มใจอย่างน้อย เมื่อเกิดขึ้นทำให้ขนชันน้ำตาไหล (ข้อ ๑ ในปีติ ๕)
*ค
---ครุกรรม - กรรมหนักทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล ในฝ่ายกุศล ได้แก่ ฌานสมาบัติ ในฝ่ายอกุศล ได้แก่ อนันตริยกรรม กรรมนี้ให้ผลก่อนกรรมอื่นเหมือนคนอยู่บนที่สูงเอาวัตถุต่าง ๆ ทิ้งลงมาอย่างไหนหนักที่สุด อย่างนั่นถึงพื้นก่อน
---ความคิดนึก - ความคิด-ความนึก-จิตสังขาร-มโนสังขาร เป็นสังขารขันธ์(ขันธ์๕) เป็นสิ่งที่ต้องมี, ต้องเป็นโดยปกติธรรมชาติ ไม่เป็นโทษ และจำเป็นยิ่งในการดำเนินชีวิตหรือขันธ์ ๕
---คิดนึกปรุงแต่ง - คิดปรุงแต่ง - จิตปรุงแต่ง - จิตฟุ้งซ่าน - จิตฟุ้งซ่านไปภายนอก - หรือคิดนึกฟุ้งซ่าน - คิดนึกเรื่อยเปื่อย - คิดวนเวียนปรุงแต่ง - จิตส่งออกไปภายนอก = ล้วนมีความหมายเป็นนัยเดียวกัน เป็นการกล่าวถึงจิตที่ไปทำหน้าที่อันไม่ควร จึงเป็นทุกข์ จึงเน้นหมายถึงไปคิดนึกอันเป็นเหตุปัจจัยทําให้เกิดกิเลสตัณหา - เพราะคิดนึกปรุงแต่งแต่ละครั้งแต่ละทีย่อมเกิดการผัสสะ อันย่อมต้องเกิดเวทนาต่างๆ ขึ้นด้วย ทุกครั้งทุกทีไปในทุกๆ ความคิดปรุงแต่ง อันอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาจากความคิดนึกปรุงแต่งที่มีเกิดขึ้นอย่างหลากหลายได้, และความคิดหรือนึกปรุงแต่งถึงอดีตและอนาคต อันมักเจือด้วยกิเลสอันทําให้ขุ่นมัว, หรือเจือด้วยตัณหาความอยาก,ไม่อยาก อันจักก่อตัณหาต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นใหม่นั้น (เวทนา) ได้ง่ายเช่นกัน, แต่ถ้าเป็นการคิดในหน้าที่ หรือการงาน เช่น การทำงาน, คิดพิจารณาธรรม ฯ. ก็ไม่ได้จัดว่าเป็นคิดปรุงแต่ง แต่ก็ต้องควบคุมระวังสติให้ดีเพราะย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้นเช่นกัน
---หลักการปฏิบัติโดยทั่วไป ไม่ใช่ให้หยุดคิด แต่ให้เห็นความคิดชนิดคิดปรุงแต่งหรืออาการของจิตที่ฟุ้งซ่านฟุ่มเฟือย หรือเห็นเวทนาที่เกิดขึ้น แล้วอุเบกขา คือ หยุดการคิดปรุงแต่งนั้นๆ เท่านั้นเอง
---ส่วนความคิดนึก (ไม่ปรุงแต่ง) ในขันธ์ ๕ ที่ใช้ในชีวิต เช่น การงาน โดยไม่มีกิเลส, ตัณหา เป็นสิ่งจําเป็นที่ควรจะมีอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นเพียงความคิดนึกในสังขารขันธ์ของขันธ์ ๕ อันเป็นปกติ เป็นประโยชน์ และจําเป็นในการดํารงชีวิต แยกแยะพิจารณาให้เข้าใจชัดเจน
---การคิดพิจารณาในธรรมก็ไม่ใช่ความคิดนึกปรุงแต่ง เป็นธรรมะวิจยะ ความคิดนึกที่ควรปฏิบัติและควรทําให้เจริญยิ่งขึ้นไป
*ฆ
---ฆนะ - กลุ่ม, ก้อน, แท่ง, ความเป็นมวลรวม เป็นธรรมหรือสิ่งที่ปิดบังไม่ให้เห็นความเป็นอนัตตา ความไม่มีตัวตน หรือไม่ใช่ตัวใช่ตน
---ฆราวาส - การอยู่ครองเรือน, ชีวิตชาวบ้าน; ในภาษาไทยมักใช้หมายถึง คฤหัสถ์ คือ ผู้ครองเรือน, ชาวบ้าน
---ฆราวาสธรรม - หลักธรรมสำหรับการครองเรือน, ธรรมของผู้ครองเรือน มี ๔ อย่างคือ ๑. สัจจะ ความจริง เช่น ซื่อสัตย์ต่อกัน ๒. ทมะ ความฝึกฝนปรับปรุงตน เช่น รู้จักข่มใจ ควบคุมอารมณ์ บังคับตนเองปรับตัวเข้ากับการงานและสิ่งแวดล้อมให้ได้ดี ๓. ขันติ ความอดทน ๔. จาคะ ความเสียสละเผื่อแผ่ แบ่งปัน มีน้ำใจ
---ฆานวิญญาณ - ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะกลิ่นกระทบจมูก, กลิ่นกระทบจมูก เกิดความรู้ขึ้น, ความรู้กลิ่น
---ฆานสัมผัส - อาการที่ จมูก กลิ่น และฆานวิญญาณประจวบกัน
---ฆานสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะฆานสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่จมูก กลิ่น และฆานวิญญาณประจวบกัน
*ง
---งมงาย - ไม่รู้เท่า, ไม่เข้าใจ, เซ่อเซอะ, หลงเชื่อโดยไม่มีเหตุผล หรือโดยไม่ยอมรับฟังผู้อื่น
*จ
---จงกรม - เดินไปมาโดยมีสติกำกับ (บางท่านใช้ไปเป็นอารมณ์ คือ สิ่งที่จิตกำหนดเพื่อทำสมาธิแต่อย่างเดียวโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นถ้าเป็นการกระทำไปโดยไม่รู้ตัว ว่าตนกระทำสติที่ประกอบด้วยสมาธิหรือสมาธิแต่อย่างเดียวก็เป็นการไม่ถูกต้อง)
---จตุธาตุววัตถาน - การกำหนดธาตุ ๔
---คือ พิจารณาร่างกายนี้ แยกแยะออกไปมองเห็นแต่ส่วนประกอบต่างๆ ที่จัดเข้าไปในธาตุ ๔ คือ ปฐวี อาโป เตโช วาโย ทำให้รู้ภาวะความเป็นจริงของร่างกาย ว่าเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ประชุมกันเข้าเท่านั้น จึงไม่เป็นตัวสัตว์บุคคลที่แท้จริง เพราะตัวตนสัตว์บุคคลที่เห็นหรือผัสสะนั้นเป็นเพียงกลุ่มหรือก้อนของเหตุที่มาเป็นปัจจัยประชุมกัน
---จริต - ความประพฤติ, พื้นนิสัย หรือพื้นเพแห่งจิตของคนทั้งหลายที่หนักไปด้านใดด้านหนึ่ง แตกต่างกันไปคือ ๑.ราคจริต ผู้มีราคะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางรักสวยรักงาม มักติดใจ) ๒.โทสจริต ผู้มีโทสะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางใจร้อนขี้หงุดหงิด) ๓.โมหจริต ผู้มีโมหะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางเหงาซึมงมงาย)
---๔. สัทธาจริต ผู้มีศรัทธาเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางน้อมใจเชื่อ) ๕.พุทธิจริต ผู้มีความรู้เป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางคิดพิจารณา) ๖.วิตกจริต ผู้มีวิตกเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางคิดจับจดฟุ้งซ่าน)
---จักขุวิญญาณ - จักษุวิญญาณ - ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะรูปกระทบตา, รูปกระทบตา เกิดความรู้ขึ้น, การเห็น
---จักขุสัมผัส - อาการที่ ตา รูป และจักขุวิญญาณประจวบกัน
---จักขุสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่ ตา รูป และจักขุวิญญาณประจวบกัน
---จาตุรงคสันนิบาต - การประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ คือ ๑. วันนั้นดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (เพ็ญเดือนสาม) ๒. พระสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูปมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ๓. พระสงฆ์เหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖, ๔. พระสงฆ์เหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นเอหิภิกขุ ดู มาฆบูชา
---จิต - ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ (สภาวธรรมของชีวิตที่รับรู้อารมณ์ เช่น สภาพหรือสภาวะของชีวิตในการรับรู้ใน รูป เสียง กลิ่น ฯ.), สภาพที่นึกคิด, ความคิด, ใจ
--- ตามหลักฝ่ายอภิธรรม จำแนกจิตเป็น ๘๙ (หรือพิสดารเป็น ๑๒๑)
---แบ่ง โดยชาติ เป็น อกุศลจิต ๑๒ กุศลจิต ๒๑ (พิสดารเป็น ๓๗) วิปากจิต ๓๖ (๕๒) และกิริยาจิต ๒๐;
---แบ่ง โดยภูมิ เป็น กามาวจรจิต ๕๔ รูปาวจรจิต ๑๕ อรูปาวจรจิต ๑๒ และโลกุตตรจิต ๘ (พิสดารเป็น ๔๐)
---จิตตะ - เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ, ความคิดฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย (ข้อ ๓ ในอิทธิบาท ๔)
*จิตสังขาร - จิตตสังขาร - มโนสังขาร - สังขารขันธ์ในขันธ์ ๕ อันคือ ความคิด ความนึก การกระทำทางใจต่างๆ หรือมีความหมายได้ดังนี้
---1.ปัจจัยปรุงแต่งจิต ได้แก่ สัญญาและเวทนา
---2.สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางใจ ได้แก่ มโนสังขาร เจตนาที่ก่อให้เกิดมโนกรรม ดู สังขาร
---จิตตานุปัสสนา - สติพิจารณาเห็นอาการของจิต (เจตสิก) หรือจิตตสังขาร, หรือสติพิจารณาใจหรือระลึกรู้เท่าทันใจที่เศร้าหมองหรือผ่องแผ้วเป็นอารมณ์ว่า ใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน เรา เขา, กำหนดรู้จิตตามสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้นๆ, ดังเช่น จิตมี ราคะ โทสะ โมหะ ก็รู้ว่าจิตมี ราคะ โทสะ โมหะ, จิตปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ.(ข้อ ๓ ในสติปัฏฐาน ๔)
---จิตส่งใน - อาการการกระทำทางจิต ที่เกิดจากการติดเพลิน (นันทิ) ไปในผลของความสุข สงบ สบาย อันเกิดขึ้นทั้งต่อทางกายและจิต อันมักเป็นผลมาจากการปฏิบัติฌาน, สมาธิ มักเพราะขาดการเจริญวิปัสสนาหรือด้วยความไม่รู้ (อวิชชา) จึงเกิดอาการคอยแอบจ้อง, แอบเสพ, แอบพยายามทำให้ทรง, ทำให้เป็นอยู่ในอาการขององค์ฌาน เช่น ในปีติ ความสงบ ความสุข ความแช่นิ่ง ซึ่งเป็นไปในอาการทั้งโดยรู้ตัว และไม่รู้ตัวก็ตามที, อาการที่จิตแช่นิ่ง อยู่ภายในจิตหรือกายตน ; อ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ใน จิตส่งใน ในหัวข้อเกี่ยวเนื่องกับฌานสมาธิ เป็นการปฏิบัติผิดที่เกิดกับนักปฏิบัติมากเป็นที่สุด และมักเข้าใจผิดกันไปว่าจิตส่งในไปแช่นิ่งหรือเสพรสอร่อยในกายหรือจิต เป็นการปฏิบัติจิตเห็นกายหรือกายานุปัสสนาหรือจิตตานุปัสสนาอันดีงามในสติปัฏฐาน ๔ แต่ไม่ใช่ดังนั้นเลย!!!
---จูฬปันถกะ - พระมหาสาวกองค์หนึ่งในอสีติมหาสาวก เป็นบุตรของธิดาเศรษฐีกรุงราชคฤห์ และเป็นน้องชายของมหาปันถกะ ออกบวชในพระพุทธศาสนา ปรากฏว่ามีปัญญาทึบอย่างยิ่ง พี่ชายมอบคาถาเพียง ๑ คาถาให้ท่องตลอดเวลา ๔ เดือน ก็ท่องไม่ได้ จึงถูกพี่ชายขับไล่ เสียใจคิดจะสึก พอดีพบพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสปลอบแล้วประทานผ้าขาวบริสุทธิ์ให้ไปลูบคลำพร้อมทั้งบริกรรมสั้นๆ ว่า “รโชหรณํ ๆ ๆ” ผ้านั้นหมองเพราะมือคลำอยู่เสมอ ทำให้ท่านมองเห็นไตรลักษณ์และได้สำเร็จพระอรหัต ท่านมีความชำนาญ แคล่วคล่อง ในอภิญญา ๖ ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏ์; ชื่อท่านเรียกง่าย ๆ ว่า "จูฬบันถก" บางแห่งเขียนเป็น จุลลบันถก
---เจดีย์ - ที่เคารพนับถือ, บุคคล สถานที่หรือวัตถุที่ควรเคารพบูชา, เจดีย์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้ามี ๔ อย่างคือ ๑. ธาตุเจดีย์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๒. บริโภคเจดีย์ คือ สิ่งหรือสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยทรงใช้สอย ๓. ธรรมเจดีย์ บรรจุพระธรรม คือ พุทธพจน์ ๔. อุทเทสิกเจดีย์ คือ พระพุทธรูป; ในทางศิลปกรรมไทยหมายถึง สิ่งที่ก่อเป็นยอดแหลมเป็นที่บรรจุสิ่งที่เคารพนับถือ เช่น พระธาตุและอัฐิบรรพบุรุษ เป็นต้น
---เจตนา - ความตั้งใจ, ความมุ่งใจหมายจะทำ, เจตน์จำนง, ความจำนง, ความจงใจ, เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง เป็นตัวนำในการคิดปรุงแต่ง หรือเป็นประธานในสังขารขันธ์ และเป็นตัวการในการทำกรรม (ทั้งทางกาย วาจา ใจ) หรือกล่าวได้ว่าเป็นตัวกรรมทีเดียว ดังพุทธพจน์ว่า “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ” แปลว่า เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม
---เจตภูต - สภาพเป็นผู้คิดอ่าน, ตามที่เข้าใจกันโดยทั่วไป หมายถึง ดวงวิญญาณหรือดวงชีพอันเที่ยงแท้ที่สิงอยู่ในตัวคน กล่าวกันว่า ออกจากร่างได้ในเวลานอนหลับ และเป็นตัวไปเกิดใหม่เมื่อกายนี้แตกทำลาย เป็นคำที่ไทยเราใช้เรียกแทนคำว่า อาตมันหรืออัตตาของลัทธิพราหมณ์ และเป็นความเชื่อนอกพระพุทธศาสนา
---เจโตวิมุตติ - ความหลุดพ้นแห่งจิต, การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจการฝึกจิตหรือด้วยกำลังสมาธิ (แต่ถึงอย่างไรก็ตามต้องเกิดปัญญาวิมุตติ จึงจักทำให้เป็นเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ คือ ไม่กลับกลายได้อีกต่อ) เช่น สมาบัติ ๘ เป็นเจโตวิมุตติ อันละเอียดประณีต (สันตเจโตวิมุตติ)
---เจริญวิปัสสนา, ปฏิบัติวิปัสสนา, บำเพ็ญวิปัสสนา - การฝึกอบรมปัญญา เช่น โดยพิจารณาสังขาร คือ รูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดแยกออกเป็นขันธ์ๆ กำหนดด้วยไตรลักษณ์ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา, อบรมปัญญาโดยพิจารณาปฏิจจสมุปบาท, ขันธ์ ๕ ฯลฯ.
---เจตสิก ๕๒ - อาการและคุณสมบัติต่างๆ ของจิต หรือก็คือ กลุ่มอาการของจิต ท่านได้แบ่งออกเป็น ๕๒ ชนิด อันนอกจากเวทนาและสัญญาแล้วต่างก็ล้วนจัดเป็นสังขารขันธ์ชนิดจิตตสังขาร (มโนสังขาร) อีกด้วย, เจตสิก ๕๒ ได้แก่ ๑. ผัสสะ - ความกระทบอารมณ์ ๒. เวทนา - ความเสวยอารมณ์ ๓. สัญญา - ความหมายรู้อารมณ์ ๔. เจตนา - ความจงใจต่ออารมณ์ ๕. เอกัคคตา - ความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว ๖. ชีวิตินทรีย์ - อินทรีย์คือ ชีวิต, สภาวะที่เป็นใหญ่ในการรักษานามธรรมทั้งปวง ๗. มนสิการ - ความกระทำอารมณ์ไว้ในใจ, ใส่ใจ ๘.วิตก - ความตรึกอารมณ์ ๙.วิจาร - ความตรองหรือพิจารณาอารมณ์ ๑๐.อธิโมกข์ - ความปลงใจหรือปักใจในอารมณ์ ๑๑. วิริยะ - ความเพียร ๑๒. ปีติ - ความปลาบปลื้มในอารมณ์, ความอิ่มใจ ๑๓. ฉันทะ - ความพอใจในอารมณ์ ๑๔. โมหะ - ความหลง ๑๕. อหิริกะ - ความไม่ละอายต่อบาป ๑๖. อโนตตัปปะ - ความไม่สะดุ้งกลัวต่อบาป ๑๗. อุทธัจจะ - ความฟุ้งซ่าน ๑๘. โลภะ - ความอยากได้อารมณ์ ๑๙. ทิฎฐิ - ความเห็นผิด ๒๐. มานะ - ความถือตัว ๒๑. โทสะ - ความคิดประทุษร้าย ๒๒. อิสสา - ความริษยา ๒๓. มัจฉริยะ - ความตระหนี่ ๒๔. กุกกุจจะ - ความเดือดร้อนใจ ๒๕. ถีนะ - ความหดหู่ ๒๖. มิทธะ - ความง่วงเหงา
--- ๒๗.วิจิกิจฉา - ความคลางแคลงสงสัย ๒๘. สัธทา(ศรัทธา) - ความเชื่อ ๒๙. สติ - ความระลึกได้, ความสำนึกพร้อมอยู่ ๓๐. หิริ - ความละอายต่อบาป ๓๑. โอตตัปปะ - ความสะดุ้งกลัวต่อบาป ๓๒. อโลภะ - ความไม่อยากได้อารมณ์ ๓๓. อโหสิ - อโทสะ - ความไม่คิดประทุษร้าย ๓๔. ตัตรมัชฌัตตตาหรืออุเบกขา - ความเป็นกลางในอารมณ์นั้นๆ ๓๕. กายปัสสัทธิ - ความสงบแห่งกองเจตสิก ๓๖. จิตตปัสสัทธิ - ความสงบแห่งจิต ๓๗. กายลหุตา - ความเบากองเจตสิก ๓๘. จิตตลหุตา - ความเบาแห่งจิต ๓๙. กายมุทุตา - ความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งกายหรือกองเจตสิก ๔๐. จิตตมุทุตา - ความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งจิต ๔๑. กายกัมมัญญตา - ความควรแก่การใช้งานแห่งกายหรือกองแห่งเจตสิก ๔๒. จิตตกัมมัญญตา - ความควรแก่การใช้งานแห่งจิต ๔๓. กายปาคุญญตา - ความคล่องแคล่วแห่งกองเจตสิก ๔๔. จิตตปาคุญญตา - ความคล่องแคล่วแห่งจิต ๔๕. กายุชุกตา - ความซื่อตรงแห่งกองเจตสิก ๔๖. จิตตุชุกตา - ความซื่อตรงแห่งจิต ๔๗. สัมมาวาจา - เจรจาชอบ ๔๘. สัมมากัมมันตะ - กระทำชอบ ๔๙. สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ ๕๐. กรุณา - ความสงสารสัตว์ผู้ถึงทุกข์ ๕๑. มุทิตา - ความยินดีต่อสัตว์ผู้ได้สุข ๕๒. ปัญญินทรีย์หรืออโมหะ - ความรู้เข้าใจ,ไม่หลง.
---ทั้ง ๕๒ นี้ ยกเว้นเพียงเวทนาและสัญญาแล้ว ที่เหลือทั้ง ๕๐ ล้วนจัดเป็นสังขารขันธ์ชนิดมโนสังขารหรือจิตตสังขารด้วย
*ช
---ชาติ - การเกิด, ชนิด, พวก, เหล่า, ปวงชนแห่งประเทศเดียวกัน, การเกิดของสังขาร (สิ่งปรุงแต่งทั้งปวง) จึงครอบคลุมการเกิดขึ้นของสังขารทั้งปวงไม่ใช่ชีวิตหรือร่างกายแต่อย่างเดียว, ในปฏิจจสมุปบาท ชาติ จึงหมายถึง การเกิดขึ้นของสังขารทุกข์ อันเป็นสังขารอย่างหนึ่ง (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ ชาติ )
---ชรา - ความแก่ ความทรุดโทรม ความเสื่อม, ความเปลี่ยนแปลง ความแปรปรวน, การแปรปรวนการเปลี่ยนแปลงของสังขาร (สิ่งปรุงแต่ง) จึงครอบคลุมสังขารทั้งปวง, ในปฏิจจสมุปบาท ชรา จึงหมายถึง ความแปรปรวนหรือวนเวียนอยู่ในทุกข์หรือกองทุกข์ กล่าวคือ ฟุ้งซ่านปรุงแต่งไม่หยุดหย่อนในสังขารนั่นเอง โดยไม่รู้ตัว
---มรณะ - ความตาย ความดับไป ความเสื่อมจนถึงที่สุด, การดับไปในสังขาร (สิ่งปรุงแต่ง) จึงครอบคลุมสังขารทั้งปวง, ในปฏิจจสมุปบาท มรณะ จึงหมายถึง การดับไปของสังขารทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้นๆ
---ชิวหา - ลิ้น
---ชิวหาวิญญาณ - ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะรสกระทบลิ้น, รสกระทบลิ้นเกิดความรู้ขึ้น, การรู้รส
---ชิวหาสัมผัส - อาการที่ลิ้น รส และ ชิวหาวิญญาณประจวบกัน
---ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่ ลิ้น รส และชิวหาวิญญาณประจวบกัน
*ฌ
---ฌาน - การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่ จนเกิดองค์ฌานต่างๆ, ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก อีกทั้งประกอบด้วยองค์ฌานที่สำคัญอีก ๖ ;
---ฌาน ๔ คือ ๑. ปฐมฌาน ประกอบด้วยมีองค์ ๕ คือ องค์ฌานทั้ง ๕ มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ๒. ทุติยฌาน มีองค์ ๓ (ปีติ สุข เอกัคคตา) ๓. ตติยฌาน มีองค์ ๒ (สุข เอกัคคตา) ๔. จตุตถฌาน มีองค์ ๒ (อุเบกขา เอกัคคตา) ; องค์ฌาน หรือองค์ประกอบสำคัญของฌาน มี ๖
---วิตก ความคิด ความดำริ การตรึงจิตไว้กับอารมณ์
---วิจาร ความตรอง, การพิจารณาอารมณ์, การปั้นอารมณ์, การฟั้นอารมณ์, การเคล้าอารมณ์ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวหรือกลมกลืนไปกับจิตหรือสติ
---ปีติ ความซาบซ่าน, ความอิ่มเอิบ, ความดื่มด่ำในใจ อันยังผลให้ทั้งกายและใจ
---สุข ความสบาย, ความสำราญ (อาการผ่อนคลายกว่าปีติ)
---อุเบกขา ความสงบ ความมีใจเป็นกลาง ความวางเฉยต่อสังขารสิ่งปรุงแต่งต่างๆ
---เอกัคคตา ความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว คือ ความมีจิตแน่วแน่เป็นเอกหรือเป็นสำคัญ
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบท ฌาน,สมาธิ)
---ฌาน ๕ - ก็เหมือนอย่าง ฌาน ๔ นั่นเอง แต่ตามแบบอภิธรรม ท่านซอยละเอียดออกไป โดยเพิ่มข้อ ๒ แทรกเข้ามา คือ ๑. ปฐมฌาน มีองค์ ๕ (วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา) ๒. ทติยฌาน มีองค์ ๔ (วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา) ข้อ ๓. ๔. ๕. ตรงกับข้อ ๒. ๓. ๔. ในฌาน ๔ ตามลำดับ
*ญ
---ญาณ - ความรู้, ปรีชาหยั่งรู้, ปรีชากําหนดรู้หรือความเข้าใจตามความเป็นจริงของธรรม (ธรรมชาติ) หรือก็คือ ปัญญาที่เข้าใจอย่างถูกต้องแจ่มแจ้งแท้จริง ตามธรรมหรือธรรมชาติ
---ญาณ ๓ หมวดหนึ่ง ได้แก่
---๑.อตีตังสญาณ ญาณในส่วนอดีต
---๒.อนาคตังสญาณ ญาณในส่วนอนาคต
---๓.ปัจจุปปันนังสญาณ ญาณในส่วนปัจจุบัน;
*อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่
---๑.สัจจญาณ หยั่งรู้อริยสัจแต่ละอย่าง
---๒.กิจจญาณ หยั่งรู้กิจในอริยสัจ
---๓.กตญาณ หยั่งรู้กิจอันได้ทำแล้วในอริยสัจ;
---ญาณ ๑๖ - ญาณที่เกิดแก่ผู้บำเพ็ญวิปัสสนาโดยลำดับตั้งแต่ต้นจนถึงจุดหมาย คือ มรรคผลนิพพาน ๑๖ อย่างคือ
---๑.นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกำหนดแยกนามรูป ๒. (นามรูป) ปัจจัยปริคคหญาณ ญาณกำหนดจับปัจจัยแห่งนามรูป ๓. สัมมสนญาณ ญาณพิจารณานามรูปโดยไตรลักษณ์ ๔.
---๑๒.(ตรงกับวิปัสสนาญาณ ๙) ๑๓. โคตรภูญาณ ญาณครอบโคตรคือหัวต่อที่ข้ามพ้นภาวะปุถุชนเป็นอริยบุคคลระดับใดระดับหนึ่ง ๑๔. มัคคญาณ ญาณในอริยมรรค ๑๕. ผลญาณ ญาณในอริยผล ๑๖. ปัจจเวกขณญาณ ญาณที่พิจารณาทบทวน; ญาณ ๑๖ นี้เรียกเลียนคำบาลีว่า โสฬสญาณ หรือเรียกกึ่งไทยว่า ญาณโสฬส; ดู วิปัสสนาญาณ ๙
---ญาณทัสสนวิสุทธิ - ความหมดจดแห่งญาณทัศนะ ได้แก่ญาณในอริยมรรค ๔
*ต
---ตทังควิมุตติ - “พ้นได้ด้วยองค์นั้น” หมายความว่า พ้นจากกิเลสด้วยอาศัยธรรมตรงกันข้ามที่เป็นคู่ปรับกัน เช่น เกิดเมตตา จึงหายโกรธ, เกิดสังเวช จึงหายกำหนัด เป็นต้น เป็นการหลุดพ้นชั่วคราว และเป็นโลกิยวิมุตติ
---ตทังคปหาน - “การละด้วยองค์นั้น”, การละกิเลสด้วยองค์ธรรมที่จำเพาะกันนั้น คือ ละกิเลสด้วยองค์ธรรมจำเพาะที่เป็นคู่ปรับกัน แปลง่ายๆ ว่า “การละกิเลสด้วยธรรมที่เป็นคู่ปรับ” เช่น ละโกรธด้วยเมตตา (แปลกันมาว่า “การละกิเลสได้ชั่วคราว”) และเป็นโลกิยวิมุตติ
---ตทังคนิพพาน - "นิพพานด้วยองค์นั้น”, นิพพานด้วยองค์ธรรมจำเพาะ เช่น มองเห็นขันธ์ ๕ โดยไตรลักษณ์แล้วหายทุกข์ร้อน ใจสงบสบายมีความสุขอยู่ตลอดชั่วคราวนั้นๆ กล่าวคือ เห็นเข้าใจธรรมใดได้อย่างแจ่มแจ้ง (ธรรมสามัคคคี) ทำให้ใจสงบสบายมีความสุขอยู่ตลอดคราวหนึ่งๆ, นิพพานเฉพาะกรณี เช่น ตทังควิมุตติ
---ตติยฌาน - ฌานที่ ๓ มีองค์ ๒ ละปีติเสียได้ คงอยู่แต่สุข กับ เอกัคคตา
---ตถตา - ความเป็นอย่างนั้น, ความเป็นเช่นนั้น, ภาวะที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นของมันอย่างนั้นเอง คือ เป็นไปตามเหตุปัจจัย (มิใช่เป็นไปตามความอ้อนวอนปรารถนา หรือการดลบันดาลของใคร ๆ) เป็นชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกกฎปฏิจจสมุปบาท หรืออิทัปปัจจยตา
---ตถาคต - พระนามอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า เป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกหรือตรัสถึงพระองค์เอง แปลได้ความหมาย ๘ อย่าง คือ ๑. พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น คือ เสด็จมาทรงบำเพ็ญพุทธจริยา เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก เป็นต้น เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ อย่างไรก็อย่างนั้น ๒. พระผู้เสด็จไปแล้วอย่างนั้น คือ ทรงทำลายอวิชชา สละปวงกิเลส เสด็จไปเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ อย่างไรก็อย่างนั้น ๓. พระผู้เสด็จมาถึงตถลักษณะ คือ ทรงมีพระญาณหยั่งรู้เข้าถึงลักษณะที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลายหรือของธรรมทุกอย่าง ๔. พระผู้ตรัสรู้ตถธรรมตามที่มันเป็น คือ ตรัสรู้อริยสัจ ๔ หรือปฏิจจสมุปบาทอันเป็นธรรมที่จริงแท้แน่นอน
---๕.พระผู้ทรงเห็นอย่างนั้น คือ ทรงรู้เท่าทันสรรพอารมณ์ที่ปรากฏแก่หมู่สัตว์ทั้งเทพและมนุษย์ ซึ่งสัตว์โลกตลอดถึงเทพถึงพรหมได้ประสบและพากันแสวงหา ทรงเข้าใจสภาพที่แท้จริง ๖. พระผู้ตรัสอย่างนั้น (หรือมีพระวาจาที่แท้จริง) คือ พระดำรัสทั้งปวงนับแต่ตรัสรู้จนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ล้วนเป็นสิ่งแท้จริงถูกต้อง ไม่เป็นอย่างอื่น ๗. พระผู้ทำอย่างนั้น คือ ตรัสอย่างใดทำอย่างนั้น ทำอย่างใด ตรัสอย่างนั้น ๘. พระผู้เป็นเจ้า (อภิภู) คือ ทรงเป็นผู้ใหญ่ยิ่งเหนือกว่าสรรพสัตว์ตลอดถึงพระพรหมที่สูงสุด เป็นผู้เห็นถ่องแท้ ทรงอำนาจเป็นราชาที่พระราชาทรงบูชา เป็นเทพแห่งเทพ เป็นอินทร์เหนือพระอินทร์ เป็นพรหมเหนือประดาพรหม ไม่มีใครจะอาจวัดหรือจะทัดเทียมพระองค์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสะ
---ตรัสรู้ - รู้แจ้ง หมายถึง รู้อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
---ติดสุข - เป็นอาการหรือกริยาจิต ที่ไปยึดติดเพลิดเพลินจนถอนตัวไม่ขึ้นในความสุข สงบ สบาย จากอำนาจหรือกำลังขององค์ฌาน (สุข) หรือสมาธิ จึงเกิดอาการของจิต คือ "จิตส่งใน" ไปในกายหรือจิตตน เพื่อการเสพเสวย ที่กระทำอยู่เสมอๆ ทั้งโดยรู้ตัว และโดยเฉพาะไม่รู้ตัว และควบคุมไม่ได้ เป็นการกระทำเองโดยอัติโนมัติ เมื่อติดสุขแล้วจึงร่วมด้วยอาการ "จิตส่งใน" อยู่เสมอๆ ตลอดเวลาอย่างควบคุมไม่ได้, เกิดจากการปฏิบัติฌานหรือสมาธิ จนเกิดองค์ฌานหรือได้รับความสบายระดับหนึ่งจากการระงับไปของนิวรณ์ ๕ แล้วไม่ได้ดำเนินการวิปัสสนาทางปัญญาเลย เน้นกระทำแต่ฌานสมาธิก็เพื่อเสพสุขในรสของความสุข ความสงบ และเสพรสชาดอันแสนอร่อยขององค์ฌานต่างๆ อันมี ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ อุเบกขาต่างๆ ซึ่งเรียกรวมกันไปว่า ติดสุข, ซึ่งเป็นไปโดยไม่รู้ตัว และประกอบด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นปฏิบัติถูกต้องแล้วเป็นสำคัญอีกด้วย คือ เข้าใจไปว่าถูกทางแล้วเพราะมีความสุขสบายที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องล่อลวง หรือปฏิบัติไปด้วยเข้าใจผิดๆ ไปว่า จิตส่งในไปในกายหรือในจิตเป็นกายานุปัสสนาหรือจิตตานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ : มีรายละเอียดและการแก้ไขในรวมหัวข้อฌานสมาธิในบท ติดสุข
---ตัณหา - ความทะยานอยาก, ความดิ้นรน, ความปรารถนา, ความเสน่หา มี ๓
---กามตัณหา ตัณหาความทะยานอยาก (รวมทั้งความไม่อยาก) ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้ง๕ หรือในทางโลกๆ หรือความอยากได้ในอารมณ์ (รูป รส กลิ่น ฯ.) อันน่ารักน่าใคร่
---ภวตัณหา ตัณหาความทะยานอยากในทางจิตหรือความนึกคิด หรือความทะยานอยากในภพ อยากเป็นนั่นเป็นนี่
---วิภวตัณหา ตัณหาความทะยานไม่อยาก หรือผลักไส ต่อต้าน ความไม่อยากในทางจิตหรือความนึกคิด หรือความทะยานอยากในวิภพ ความอยากในวิภพ คือ ความทะยานอยากในความไม่มี ไม่เป็น อยากไม่เป็นนั่นไม่เป็นนี่ อยากตายเสีย อยากขาดสูญ อยากพรากพ้น (ไม่อยาก) ไปจากภาวะที่ตนเกลียดชังไม่ปรารถนา, ความทะยานที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ, พอสรุปได้เป็น ความไม่อยากทั้งหลายนั่นเอง
---ตัณหาพอสรุปเพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณา จึงพอจำแนกหยาบๆ ได้ว่าเป็นตัณหาความทะยานอยากและไม่อยาก ในที่นี้ผู้เขียนจึงมักเรียกสั้นๆ ในตัณหาว่า ความอยาก และไม่อยาก และในปฏิจจสมุปบาทนี้ผู้เขียนหมายรวมความคิดปรุงแต่งหรือคิดนึกปรุงแต่งอันมักก่อกลายเป็นตัณหาว่า ทําหน้าที่เป็นตัณหาด้วย (ดูวงจรประกอบ หมายเลข 8 คือตําแหน่งที่เกิดตัณหา, หรือหมายเลข 22 คิดนึกปรุงแต่งทําหน้าที่ก่อให้เกิดเป็นตัณหาได้ด้วยถ้าสติไม่รู้เท่าทัน)
---ไตรทวาร - ทวารสาม, ทางทำกรรม (การกระทำ) ๓ ทาง คือ กายทวาร(ทางกาย) วจีทวาร(ทางวาจา) และมโนทวาร(ทางใจ)
---ไตรปิฎก - “ปิฎกสาม”; ปิฎก แปลตามศัพท์อย่างพื้นๆ ว่า กระจาดหรือตะกร้า อันเป็นภาชนะสำหรับใส่รวมของต่างๆ เข้าไว้ นำมาใช้ในความหมายว่า เป็นที่รวบรวมคำสอนในพระพุทธศาสนาที่จัดเป็นหมวดหมู่แล้วโดยนัยนี้ ไตรปิฎกจึงแปลว่าคัมภีร์ที่บรรจุพุทธพจน์ (และเรื่องราวชั้นเดิมของพระพุทธศาสนา) ๓ ชุด หรือ ประมวลแห่งคัมภีร์ที่รวบรวมพระธรรมวินัย ๓ หมวดกล่าวคือ
---วินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือข้อบัญญัติเกี่ยวกับความประพฤติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและการดำเนินกิจการต่างๆ ของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์
---สุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระสูตรหรือเทศนาที่ตรัสแก่บุคคลต่างๆ ในเวลาและสถานที่แตกต่างกัน เป็นรูปคำสนทนาโต้ตอบบ้าง คำบรรยายธรรมบ้าง เป็นรูปร้อยกรองบ้าง ร้อยแก้วบ้าง ร้อยแก้วผสมร้อยกรองบ้าง ตลอดถึงเทศนาของพระสาวกสำคัญบางรูป
---อภิธรรมปิฎก ว่าด้วยหลักธรรมต่างๆ ที่อธิบายในแง่วิชาการล้วนๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคลหรือเหตุการณ์ ส่วนมากเป็นคำสอนด้านจิตวิทยาและอภิปรัชญาในพระพุทธศาสนา
---ไตรลักษณ์ - ลักษณะสาม อาการที่เป็นเครื่องกำหนดหมายให้รู้ถึงความจริงของสภาวธรรมทั้งหลาย ที่เป็นอย่างนั้นๆ, ๓ ประการ ได้แก่
---๑.อนิจจตา (อนิจจัง) ความเป็นของไม่เที่ยง
--- ๒.ทุกขตา (ทุกขัง) ความเป็นทุกข์ หรือความเป็นของคงทนอยู่มิได้
---๓.อนัตตตา (อนัตตา) ความเป็นของมิใช่ตัวตน
---(คนไทยนิยมพูดสั้นๆ ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และแปลง่ายๆ ว่า “ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา”) ลักษณะเหล่านี้มี ๓ อย่าง จึงเรียกว่า "ไตรลักษณ์" ลักษณะทั้ง ๓ เหล่านี้ มีแก่ธรรมที่เป็นสังขตะ คือ สังขารทั้งปวง เป็นสามัญเสมอเหมือนกัน จึงเรียกว่า "สามัญญลักษณะ" (ไม่สามัญแก่ธรรมที่เป็นอสังขตะ คือ วิสังขาร ซึ่งมีเฉพาะลักษณะที่สาม คือ อนัตตาอย่างเดียว ไม่มีลักษณะสองอย่างต้น);
---ลักษณะเหล่านี้เป็นของแน่นอน เป็นกฏธรรมชาติ มีอยู่ตลอดเวลา จึงเรียกว่า ธรรมนิยาม (ธมฺมนิยามตา) ส่วนคำว่า ไตรลักษณ์และสามัญลักษณะ เป็นคำที่เกิดขึ้นภายหลังในยุคอรรถกถา
---ไตรวัฏฏ์, ไตรวัฏ - วัฏฏะ ๓, วงวน ๓ หรือวงจร ๓ ส่วนของปฏิจจสมุปบาทซึ่งหมุนเวียนสืบทอดต่อ ๆ กันไป ทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิด หรือวงจรแห่งทุกข์ ได้แก่ กิเลส --- กรรม ---และวิบาก (เรียกเต็มว่า ๑.กิเลสวัฏฏ์ ประกอบด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ๒.กรรมวัฏฏ์ ประกอบด้วย สังขาร ภพ ๓.วิปากวัฏฏ์ ประกอบด้วย วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสอุปายาส)
---กล่าวคือ กิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม เมื่อทำกรรมก็ได้รับวิบาก คือ ผลของกรรมนั้น อันเป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสแล้วทำกรรมหมุนเวียนต่อไปอีก เช่น เกิดกิเลสอยากได้ของเขา จึงทำกรรมด้วยการไปลักของเขามา ประสบวิบากคือ ได้ของนั้นมาเสพเสวยเกิดสุขเวทนา ทำให้มีกิเลสเหิมใจอยากได้รุนแรงและมากยิ่งขึ้นจึงยิ่งทำกรรมมากขึ้น หรือในทางตรงข้ามถูกขัดขวาง ได้รับทุกขเวทนาเป็นวิบาก ทำให้เกิดกิเลส คือ โทสะแค้นเคือง แล้วพยายามทำกรรม คือ ประทุษร้ายเขา เมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ วงจรจะหมุนเวียนต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
---ไตรสรณะ - ที่พึ่งสาม คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
---ไตรสิกขา - สิกขาสาม, ข้อปฏิบัติที่ต้องศึกษา ๓ อย่าง คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เรียกกันง่าย ๆ ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
*ท
---ทิฏฐิ - ความเห็น, ทฤษฎี, ความเชื่อ ; ในภาษาไทย มักหมายถึง การดื้อดึงในความเห็น (พจนานุกรมเขียนทิฐิ)
---ทิฏฐิ ๒ - ความเห็นผิดมี ๒ คือ ๑.สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง ๒.อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ;
---ทิฏฐิ ๓ - อีกหมวดหนึ่งมี ๓ คือ ๑. อกิริยทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่เป็นอันทำ ๒. อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มีเหตุ ๓. นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มี คือถืออะไรเป็นหลักไม่ได้เช่น มารดาบิดาไม่มี เป็นต้น
---ทิฏฐิมานะ - ทิฏฐิ แปลว่าความเห็น ในที่นี้หมายถึงความเห็นดื้อดึง ถึงผิดก็ไม่ยอมแก้ไข, มานะ ความถือตัว, รวม ๒ คำเป็นทิฏฐิมานะ หมายถึงถือรั้น อวดดี หรือดึงดื้อถือตัว
---ทิฏฐิวิบัติ - วิบัติแห่งทิฐิ, ความผิดพลาดแห่งความคิดเห็น, ความเห็นคลาดเคลื่อนผิดธรรมหรือผิดวินัย ทำให้ประพฤติตนนอกแบบแผน ทำความผิดอยู่เสมอ (ข้อ ๓ ในวิบัติ ๔)
---ทิฏฐิวิสุทธิ - ความหมดจดแห่งความเห็น คือ เกิดความรู้ความเข้าใจ มองเห็นนามรูปตามสภาวะที่เป็นจริง คลายความหลงผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนลงได้ (ข้อ ๓ ในวิสุทธิ์ ๗)
---ทิฏฐุปาทาน - ความยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี ความเชื่อ ความคิดของตน ภายใต้อํานาจของกิเลสและตัณหา อันพาให้เห็นผิดไปจากความเป็นจริง, ความถือมั่นในทิฏฐิ, ความยึดติดฝังใจในลัทธิ ทฤษฎี และหลักความเชื่อต่างๆ ; เป็นหนึ่งในอุปาทาน ๔ ที่ยังให้เกิดอุปาทานทุกข์ ที่สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นทุกข์เร่าร้อนกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
---ทิพย์ - เป็นของเทวดา, วิเศษ, เลิศกว่าของมนุษย์
---ทุกข์ - ทุกขลักษณะ - ทุกขัง
---๑.สภาพที่ทนอยู่ได้ยาก, สภาพที่คงทนอยู่ไม่ได้ เพราะถูกบีบคั้นด้วยความเกิดขึ้นและความดับสลาย เนื่องจากต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่ไม่ขึ้นต่อตัวของมันเอง (ทุกข์หรือทุกขัง ในไตรลักษณ์)
---๒.อาการแห่งทุกข์ที่ปรากฎขึ้นแก่คนเป็นธรรมดา คือ ความเกิด ก็เป็นทุกข์๑ ความแก่ ก็เป็นทุกข์๑ ความเจ็บ ก็เป็นทุกข์๑ ความตาย ก็เป็นทุกข์๑ ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์๑ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์๑ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์๑ รวม ๗ อย่าง โดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์. (ทุกขสัจจะ หรือ ทุกขอริยสัจ ซึ่งเป็นข้อที่ ๑ ในอริยสัจจ์ ๔)
---๓.สภาพที่ทนอยู่ด้วยได้ยากลำบาก กล่าวคือ ความรู้สึกไม่สบาย ได้แก่ ทุกขเวทนา, ถ้ามาคู่กับโทมนัส (ในเวทนา ๕) ทุกข์ หมายถึงความไม่สบายกาย คือทุกข์กาย (โทมนัสคือไม่สบายใจ) แต่ถ้ามาลำพัง (ในเวทนา ๓) ทุกข์ หมายถึงความไม่สบายกายไม่สบายใจ คือทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจ
---ทุกขเวทนา - ความรู้สึกรับรู้พร้อมความจำได้ในสิ่งนั้นว่า ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ; ความรู้สึกลำบาก, ความรู้สึกเจ็บปวด, ความรู้สึกเป็นทุกข์, การเสวยอารมณ์ที่ไม่สบาย พึงทำความเข้าใจให้ดีว่าทุกขเวทนาเป็นทุกข์อย่างหนึ่งแต่เป็นทุกข์ ธรรมชาติ ที่ยังคงเกิด ยังคงมี ยังคงเป็น ตลอดเวลาขณะที่ยังดำรงชีวิตอยู่ แม้ในองค์พระอริยเจ้า และแท้จริงแล้วยังจำเป็นต้องมีเสียอีกด้วย ถ้าไม่มีเสียก็เป็นอันตรายต่อชีวิตยิ่งจนไม่สามารถอยู่ได้ ทุกขเวทนาจึง เป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่สามารถหลีกหนีได้ จึงต้องทำความเข้าใจอย่างยิ่งยวดเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติ แต่ทุกขเวทนานี้ย่อมไม่แสนเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายเหมือนดังทุกข์อุปาทาน คือทุกขเวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทาน ที่เรียกว่า เวทนูปาทานขันธ์ (ดูในเวทนา)
---ทุกขสมุทัย - เหตุให้เกิดทุกข์ หมายถึงตัณหาสาม คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เรียกสั้น ๆ ว่า สมุทัย
---ทุกขสัญญา - ความหมายรู้ว่าเป็นทุกข์, การกำหนดหมายให้มองเห็นสังขารว่าเป็นทุกข์
---ทุกขอริยสัจ - ความเกิด ก็เป็นทุกข์๑ ความแก่ ก็เป็นทุกข์๑ ความเจ็บ ก็เป็นทุกข์๑ ความตาย ก็เป็นทุกข์๑ ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์๑ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์๑ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์๑ โดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์.
---ทุกข์อุปาทาน - อุปาทานทุกข์ - ความทุกข์ที่ประกอบด้วยอุปาทาน เป็นความทุกข์ที่ร่วมด้วยความยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลส จึงมีความเร่าร้อนเผาลนกว่าความทุกข์ชนิดทุกขเวทนาอันเป็นทุกข์ธรรมชาติอัน เกิดขึ้นแต่การรับรู้ของการผัสสะ, ทุกข์อุปาทานเป็นผลจากการปรุงแต่งของตัณหาอันเป็นเหตุ คือ สมุทัย จึงมีอุปาทานขึ้น ดังนั้น ทุกขเวทนาธรรมชาติจึงถูกครอบงำด้วยอุปาทาน กลายเป็นทุกขเวทนูปาทานขันธ์อันแสนเร่าร้อนเผาลน เป็นไปดังปฏิจจสมุปบาทธรรม, ทุกข์อุปาทานเป็นความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าโปรดสั่งสอนให้ดับสนิทลงไปได้ คือนิพพานนั่นเอง ; จึงไม่เหมือนดังทุกขเวทนาที่เป็นทุกข์ธรรมชาติ ที่ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ที่ย่อมมีความรู้สึกจากการรับรู้ เมื่อเกิดการผัสสะ (กระทบ) กัน เกิดเป็นสุขเวทนา หรือเป็นทุกขเวทนาดังกล่าว หรือเกิดอุเบกขาเวทนา (อทุกขมสุขเวทนา) คือ เฉยๆ อย่างใดอย่างหนึ่งที่ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตามสัญญาของตนเป็นสําคัญ
---ทุติยฌาน - ฌานที่ ๒ มีองค์ ๓ ละวิตกวิจารได้ คงมีแต่ ปีติ, สุขอันเกิดแต่สมาธิ, เอกัคคตา
---โทสะ - ความคิดประทุษร้าย, ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ คือตรงข้ามกับโทสะ ได้แก่ เมตตา
*ธ
---ธรรม - สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา, ธรรมชาติ, สภาวธรรม, สัจจธรรม, ความจริง;
---เหตุ, ต้นเหตุ;
---สิ่ง, ปรากฏการณ์, ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด;
---คุณธรรม, ความดี, ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ;
---หลักการ, แบบแผน, ธรรมเนียม, หน้าที่;
---ความชอบ, ความยุติธรรม;
---พระธรรม, คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแสดงธรรม (คือ ความจริงแท้ เรื่องของทุกข์และการดับทุกข์)ให้เปิดเผยปรากฏขึ้น
---ธรรม ๒ - หมวดหนึ่ง คือ ๑. รูปธรรม ได้แก่รูปขันธ์ทั้งหมด ๒.อรูปธรรม ได้แก่นามขันธ์ ๔ และนิพพาน; อีกหมวดหนึ่ง คือ ๑. โลกียธรรม ธรรมอันเป็นวิสัยของโลก ๒. โลกุตตรธรรม ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลกได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑; อีกหมวดหนึ่ง คือ ๑. สังขตธรรม ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งได้แก่ขันธ์ ๕ ทั้งหมด ๒.อสังขตธรรม ธรรมที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง ได้แก่ นิพพาน
---ธรรมขันธ์ - กองธรรม, หมวดธรรม, ประมวลธรรมเข้าเป็นหมวดใหญ่มี ๕ คือ สีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์; กำหนดหมวดธรรมในพระไตรปิฎกว่ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็นวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐, สุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐, และอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
---ธรรมจักษุ - ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญารู้เห็นความจริง ดังเช่นว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวง ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา; ธรรมจักษุโดยทั่วไป เช่น ที่เกิดแก่ท่านโกณฑัญญะเมื่อสดับธรรมจักร ได้แก่ โสดาปัตติมรรคหรือโสดาปัตติมัคคญาณ คือญาณที่ทำให้เป็นโสดาบัน
---ธรรมดา - อาการหรือความเป็นไปแห่งธรรมชาติ; สามัญ, ปกติ, พื้น ๆ
---ธรรมฐิติ - ความดำรงคงตัวแห่งธรรม, ความตั้งอยู่แน่นอนแห่งกฎธรรมดา
---ธรรมชาติ - สิ่งหรือของที่เกิดเอง ตามวิสัยของโลก
---ธรรมนิยาม - กำหนดแน่นอนแห่งธรรมดา, กฎธรรมชาติ, ความจริงที่มีอยู่หรือดำรงอยู่ธรรมชาติของมัน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วทรงนำมาแสดงชี้แจงอธิบายให้คนทั้งหลายให้รู้ตาม มี ๓ อย่าง แสดงความตามพระบาลีดังนี้
---๑.สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง
---๒.สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งปวง คงทนอยู่มิได้
---๓.สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวง ไม่เป็นตัวตน; ปัจจุบันนิยมใช้คำว่า ไตรลักษณ์ แทนคำว่า ธรรมนิยาม
---ธรรมทาน - การให้ธรรม, การสั่งสอนแนะนำเกี่ยวกับธรรม, การให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง
---ธรรมาธิษฐาน - มีธรรมเป็นที่ตั้ง คือ เทศนา โดยยกธรรมขึ้นแสดง เช่นว่าศรัทธาศีล คืออย่างนี้ ธรรมที่ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ ดังนี้เป็นต้น คู่กันกับบุคคลาธิษฐาน
---ธรรมารมณ์ - ธัมมารมณ์ - อารมณ์ทางใจ กล่าวคือ สิ่งที่กำหนดรู้ได้ทางใจ, สิ่งที่ใจนึกคิด
---ธรรมวิจยะ - ธัมมวิจยะ - ธรรมวิจัย - การวิจัยหรือค้นคว้าพิจารณาธรรม การเฟ้นเลือกธรรม
---ธรรมสามัคคี - ความพร้อมเพรียงขององค์ธรรม, องค์ธรรมทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกันทุกอย่าง ทำกิจหน้าที่ของแต่ละอย่าง ๆ โดยพร้อมเพรียงและประสานสอดคล้องกันให้สำเร็จผลที่เป็นจุดหมาย เช่น จนเกิดความเข้าใจในธรรมใดธรรมหนึ่งอย่างแจ่มแจ้ง อย่างปรมัตถ์, แต่ถ้าเข้าใจในธรรมถึงขั้นบรรลุในมรรคผล กล่าวคือถ้าเป็นธรรมสามัคคีดังข้างต้นที่พร้อมด้วยองค์มรรค ก็เรียกกันว่า มรรคสามัคคีหรือมรรคสมังคี อันเป็นการบรรลุมรรคผลในขั้นใดขั้นหนึ่งนั่นเอง กล่าวคือเป็นอริยบุคคล เช่น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี ฯ. เป็นต้น
---ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร - “พระสูตรว่าด้วยการยังธรรมจักรให้เป็นไป”, พระสูตรว่าด้วยการหมุนวงล้อธรรมเป็นชื่อของ ปฐมเทศนา คือพระธรรมเทศนาครั้งแรก ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หลังจากวันตรัสรู้สองเดือน ว่าด้วยมัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง ซึ่งเว้นที่สุด ๒ อย่าง และว่าด้วยอริยสัจ ๔ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ อันทำให้พระองค์สามารถปฏิญาณว่าได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณคือ ความตรัสรู้เองโดยชอบอันยอดเยี่ยม) ท่านโกณฑัญญะหัวหน้าคณะปัญจวัคคีย์ ฟังพระธรรมเทศนานี้แล้ว ได้ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ)และขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรก เรียกว่า เป็นปฐมสาวก
---ธัมมารมณ์ - ดู ธรรมารมณ์
---ธาตุ - สิ่งที่ทรงสภาวะของมันอยู่ได้เองตามธรรมดาของเหตุปัจจัย หรือทรงสภาวะของมันเองได้โดยธรรมชาติ : ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง
---ธาตุ ๔ คือ ๑. ปฐวีธาตุ สภาวะที่แผ่ไปหรือกินเนื้อที่เรียกสามัญว่าธาตุแข้นแข็งหรือธาตุดิน ในร่างกายที่ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า (มันสมอง), หรือหมายถึงสารประกอบแข้นแข็งที่เกิดแต่การประกอบกันขึ้นของธาตุทั้ง ๑๐๘ ที่ล้วนมีอยู่ในดิน ก็เพื่อประโยชน์ในการเจริญวิปัสสนาก็ได้ ๒. อาโปธาตุ สภาวะที่เอิบอาบดูดซึม เรียกสามัญว่า ธาตุเหลวหรือธาตุน้ำ ในร่างกายที่ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน ได้แก่ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ข้อความนี้ เป็นการกล่าวถึงอาโปธาตุในลักษณะที่คนสามัญทุกคนจะเข้าใจได้ และพอให้สำเร็จประโยชน์ในการเจริญกรรมฐาน ๓. เตโชธาตุ สภาวะที่ทำให้ร้อน เรียกสามัญว่า ธาตุไฟ ในร่างกาย ได้แก่ ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น ไฟที่ยังกายให้ทรุดโทรม ไฟที่ยังกายให้กระวนกระวายและไฟที่เผาอาหารให้ย่อย ๔.วาโยธาตุ สภาวะที่ทำให้เคลื่อนไหว มีลักษณะพัดไปมา, ภาวะสั่นไหว เคร่งตึง ค้ำจุน ในร่างกายนี้ ส่วนที่ใช้กำหนดเป็นอารมณ์กรรมฐาน ได้แก่ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมหายใจ
---ธาตุ ๖ - คือ เพิ่ม ๕. อากาสธาตุ สภาวะที่ว่าง หรือช่องว่าง ๖. วิญญาณธาตุ สภาวะที่รู้แจ้งอารมณ์ หรือ ธาตุรู้
---ธาตุ - กระดูกของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย เรียกรวมๆ ว่า พระธาตุ (ถ้ากล่าวถึงกระดูกของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะเรียกว่า พระบรมธาตุ พระบรมสารีริกธาตุ พระสารีริกธาตุ หรือระบุชื่อกระดูกส่วนนั้นๆ เช่น พระทาฐธาตุ)
---ธาตุ ๑๘ - สิ่งที่ทรงสภาวะของตนอยู่เอง ตามที่เหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เป็นไปตามธรรมนิยามคือกำหนดแห่งธรรมดา คือไม่มีผู้สร้างผู้บันดาล และมีรูปลักษณะกิจอาการเป็นแบบจำเพาะตัว อันพึงกำหนดเอาเป็นหลักได้แต่ละอย่างๆ
---1.จักขุธาตุ (ธาตุ คือ จักขุปสาท หรือจักขุประสาท)
---2.รูปธาตุ (ธาตุ คือ รูปารมณ์)
---3.จักขุวิญญาณธาตุ (ธาตุ คือ จักขุวิญญาณ)
---4.โสตธาตุ (ธาตุ คือ โสตปสาท)
---5.สัททธาตุ (ธาตุ คือ สัททารมณ์)
---6.โสตวิญญาณธาตุ (ธาตุ คือ โสตวิญญาณ)
---7.ฆานธาตุ (ธาตุ คือ ฆานปสาท)
---8.คันธธาตุ (ธาตุ คือ คันธารมณ์)
---9.ฆานวิญญาณธาตุ (ธาตุ คือ ฆานวิญญาณ)
---10.ชิวหาธาตุ (ธาตุ คือ ชิวหาปสาท)
---11.รสธาตุ (ธาตุ คือ รสารมณ์)
---12.ชิวหาวิญญาณธาตุ (ธาตุ คือ ชิวหาวิญญาณ)
---13.กายธาตุ (ธาตุ คือ กายปสาท)
---14.โผฏฐัพพธาตุ (ธาตุ คือ โผฏฐัพพารมณ์)
---15.กายวิญญาณธาตุ (ธาตุ คือ กายวิญญาณ)
---16.มโนธาตุ (ธาตุ คือ มโน)
---17.ธรรมธาตุ (ธาตุ คือ ธรรมารมณ์)
---18.มโนวิญญาณธาตุ (ธาตุ คือ มโนวิญญาณ)
---ธาตุกัมมัฏฐาน - กรรมฐานที่พิจารณาธาตุเป็นอารมณ์ กล่าวคือ กำหนดพิจารณาร่างกายแยกเป็นส่วนๆ ให้เห็นว่าเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมกันอยู่ จึงขึ้นหรืออิงอยู่กับเหตุคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
*น
---นาม - ธรรมที่รู้จักกันด้วยชื่อ กำหนดรู้ด้วยใจเป็นเรื่องของจิตใจ, สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่ใช่รูปแต่น้อมมาเป็นอารมณ์ของจิตได้ ๑.ในที่ทั่วไปหมายถึงอรูปขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ๒.บางแห่งหมายถึงอรูปขันธ์ ๔ นั้นและนิพพาน (รวมทั้งโลกุตตรธรรมอื่นๆ) ๓.บางแห่งเช่นในปฏิจจสมุปบาท บางกรณีหมายเฉพาะเจตสิกธรรมทั้งหลาย เทียบ รูป
---นามธรรม - สิ่งที่ไม่มีรูปร่างตัวตน สัมผัสได้ด้วยใจ หรือความคิด - สภาวะที่น้อมไปหาอารมณ์, ใจและอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ คือ จิตและเจตสิก, สิ่งของที่ไม่มีรูป คือรู้ไม่ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่รู้ได้ทางใจ
---นามรูป - นามธรรมและรูปธรรม; นามธรรม หมายถึง สิ่งที่ไม่มีรูป คือรู้ไม่ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่รู้ได้ด้วยใจ ได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ; รูปธรรม หมายถึงสิ่งที่มีรูป สิ่งที่เป็นรูป ได้แก่รูปขันธ์ทั้งหมด
---นามรูปปริจเฉทญาณ - ญาณกำหนดแยกนามรูป, ญาณหยั่งรู้ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นแต่เพียงนามและรูป และกำหนดจำแนกได้ว่าสิ่งใดเป็นรูป สิ่งใดเป็นนาม (ข้อ ๑ ในญาณ ๑๖)
---นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ - ญาณกำหนดจับปัจจัยแห่งนามรูป, ญาณหยั่งรู้ที่กำหนดจับได้ซึ่งปัจจัยแห่งนามและรูป โดยอาการที่เป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น (ข้อ ๒ ในญาณ ๑๖) เรียกกันสั้นๆ ว่า ปัจจัยปริคคหญาณ)
---นิพพาน - การดับกิเลสและกองทุกข์เป็นโลกุตตรธรรม และเป็นจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา ดู นิพพานธาตุ
---นิพพานธาตุ - ภาวะแห่งนิพพาน; นิพพาน หรือนิพพานธาตุ ๒ คือ สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสและยังมีขันธ์ ๕ หรือเบญจขันธ์อยู่ ๑ หมายถึง ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นจึงไม่ใช่การพยายามดับขันธ์ ๕ แต่เป็นการดับอุปาทานที่ไปยึดขันธ์ ๕ อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ ๑ (ตายหรือดับขันธ์)
---นิพพิทา - ความหน่าย หมายถึง ความหน่ายที่เกิดขึ้นจากปัญญาพิจารณาเห็นความจริง ถ้าหญิงชายอยู่กินกันเกิดหน่ายกัน เพราะความประพฤติไม่ดีต่อกัน หรือหน่ายในมรรยาทของกันและกัน อย่างนี้ไม่จัดเป็นนิพพิทา เพราะเป็นการหน่ายที่เกิดจากกิเลสตัณหา; ความเบื่อหน่ายในกองทุกข์ (ดูรายละเอียดในบท นิพพิทา)
---นิพพิทาญาณ - ความรู้ที่ทำให้เบื่อหน่ายในกองทุกข์, ปรีชาหยั่งเห็นสังขารด้วยความหน่าย ดู วิปัสสนาญาณ
---นิมิต - สิ่งที่เกิดปรากฏเฉพาะขึ้นในนักปฏิบัติ อันเกิดแต่ใจของนักปฏิบัติหรือผู้เจริญกรรมฐานเป็นสำคัญ เช่น ภาพที่ปรากฏขึ้นแต่ใจของนักปฏิบัติหรือผู้เจริญกรรมฐาน ฯ., พอแยกให้เห็นโดยสังเขปได้ดังนี้
---ภาพหรือรูป,แสง,สี ที่เห็นขึ้นอันเกิดแต่ใจของนักปฏิบัตเองเป็นสำคัญหรือเป็นเหตุ ผู้เขียนเรียกว่ารูปนิมิต, ส่วนเสียงที่ได้ยินอันเกิดแต่ใจของนักปฏิบัติเป็นสำคัญหรือเป็นเหตุ ผู้เขียนเรียกว่าเสียงนิมิตหรือนิมิตทางเสียง เช่นได้ยินเสียงระฆัง เสียงสวดมนต์ที่ผุดขึ้นมาแต่ภายในเอง, และความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจของนักปฏิบัติเองเป็นสำคัญ ก็เรียกว่านามนิมิต ทั้งปวงล้วนเกิดแต่ใจหรือสัญญา(จึงครอบคลุมถึงเหล่าอาสวะกิเลสด้วย)ของผู้เจริญกรรมฐานเป็นสำคัญ จึงมิได้เกิดแต่ปัญญาหรือการพิจารณาอย่างแจ่มแจ้งแต่อย่างเดียว นิมิตที่พึงเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดาทั้งหลายนั้น จึงอย่าได้ไปยึดมั่นหรือหลงไหล เพราะพาให้การปฏิบัติผิดแนวทางในผู้ที่ไปยึดติดยึดมั่นเข้า ; อ่านรายละเอียดได้ในบท นิมิตและภวังค์
---บางทีก็ใช้ในความหมายว่า มอง, จ้อง, เห็น - เครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนด ในการเจริญกรรมฐาน, ภาพที่ใช้เป็นอารมณ์ ในการปฏิบัติกรรมฐานมี ๓ คือ
---๑.บริกรรมนิมิต นิมิตแห่งบริกรรม หรือนิมิตตระเตรียม ได้แก่ สิ่งที่เพ่ง หรือกำหนดนึกเป็นอารมณ์กรรมฐาน เช่น ดวงกสิณที่เพ่งดู หรือพุทธคุณที่นึกว่าอยู่ในใจว่า พุทโธ ก็จัดเป็นนิมิต เป็นต้น
---๒.อุคคหนิมิต นิมิตที่ใจเรียน หรือนิมิตติดตาติดใจ ได้แก่ สิ่งที่เพ่ง หรือนึกนั้นเอง จนแม่นในใจ หรือจนหลับตามองเห็นสิ่งนั้น
---๓.ปฏิภาคนิมิต นิมิตเสมือน หรือนิมิตเทียบเคียง ได้แก่อุคคหนิมิตนั้น เจนใจจนกลายเป็นภาพที่เกิดจากสัญญา เป็นของบริสุทธิ์ จะนึกขยาย หรือย่อส่วนก็ได้ตามปรารถนา
---นิรามิส - นิรามิษ -หาเหยื่อมิได้, ไม่มีอามิษ(อามิส) คือ ไม่ต้องมีเหยื่อใช้เป็นเครื่องล่อใจ, ไม่ต้องอาศัยวัตถุมาเป็นเครื่องล่อใจหรือกำหนด
---นิโรธ - ความดับทุกข์ คือดับตัณหาได้สิ้นเชิง, ภาวะปลอดทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ หมายถึง พระนิพพาน
นิโรธสมาบัติ - การเข้านิโรธ คือ ดับสัญญา ความจำได้หมายรู้ และเวทนา การเสวยอารมณ์ เรียกเต็มว่า เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
---นิวรณ์, นิวรณธรรม - ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี, สิ่งที่ขัดขวางจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรมมี ๕ อย่าง คือ ๑.กามฉันท์ ความพอใจในกามคุณ ๒.พยาบาท คิดร้ายผู้อื่น ๓.ถีนมิทธะ ความหดหู่ ความซึมเซา ๔.อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน และรำคาญ,เดือดร้อนใจ ๕.วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ; ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับนิวรณ์ ๕ คือสมาธิ
---เนกขัมมะ - การออกจากกาม, การออกบวช, ความปลอดโปร่งจากสิ่งล่อเร้าเย้ายวน (พจนานุกรม เขียน เนกขัม)
---เนกขัมมวิตก - ความตรึกที่จะออกจากกาม หรือตรึกที่จะออกบวช, ความดำริ หรือความคิดที่ปลอดจากความโลภ (ข้อ ๓ ในกุศลวิตก ๓)
---เนวสัญญานาสัญญายตนะ - ภาวะที่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ เป็นชื่ออรูปฌาน หรือ อรูปภพที่ ๔
---นันทิ - ความเพลิดเพลิน ความติด ความติดเพลิน ทําหน้าที่เป็นตัณหา
*บ
---บริกรรม - การกระทำขั้นต้นในการเจริญสมถกรรมฐาน คือ กำหนดใจโดยเพ่งวัตถุ หรือนึกถึงอารมณ์ที่กำหนดนั้น ว่าซ้ำๆ อยู่ในใจ อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อทำใจให้สงบ (ในภาษาไทยเลือนไปหมายถึง ท่องบ่น, เสกเป่า)
---บริกรรมภาวนา - ภาวนาขั้นต้นหรือขั้นตระเตรียม คือ กำหนดใจ โดยเพ่งดูวัตถุ หรือนึกว่าพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นต้น ซ้ำๆ อยู่ในใจ
---บุคคลาธิษฐาน - มีบุคคลเป็นที่ตั้ง, เทศนา ยกบุคคลขึ้นตั้ง คือ วิธีแสดงธรรมโดยยกบุคคลขึ้นอ้างแสดง คู่กับธรรมาธิษฐาน
---บุญ - เครื่องชำระสันดาน, ความดี, กุศล, ความสุข, ความประพฤติชอบทางกาย วาจาและใจ, กุศลธรรม, ความใจฟู, ความอิ่มเอิบ
---บุพเพนิวาสานุสติญาณ - ความรู้เป็นเครื่องระลึกได้ถึงขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อน, ระลึกชาติได้
---บูชา - ให้ด้วยความนับถือ, แสดงความเคารพเทิดทูน มี ๒ คือ อามิสบูชา และปฏิบัติบูชา, พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญปฏิบัติบูชา การบูชาด้วยการปฏิบัติ คือ ประพฤติตามธรรมคำสั่งสอนของท่าน, บูชาด้วยการประพฤติปฏิบัติกระทำสิ่งที่ดีงาม
---เบญจกามคุณ - กามคุณ ๕ สิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่ ๕ อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส และ โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย)
---เบญจขันธ์ - ขันธ์ ๕ - กองหรือหมวดทั้ง ๕ แห่งรูปธรรมและนามธรรมที่ประกอบเข้าเป็นชีวิต ได้แก่ ๑. รูปขันธ์ กองรูป ๒. เวทนาขันธ์ กองเวทนา ๓. สัญญาขันธ์ กองสัญญา ๔. สังขารขันธ์ กองสังขาร ๕. วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ
---เบญจธรรม - ธรรม ๕ ประการ, ความดี ๕ อย่างที่ควรประพฤติคู่กันไปกับการรักษาเบญจศีลตามลำดับข้อ ดังนี้ ๑. เมตตากรุณา ๒. สัมมาอาชีวะ ๓. กามสังวร (สำรวมในกาม) ๔. สัจจะ ๕. สติสัมปชัญญะ ; บางตำราว่าแปลกไปบางข้อคือ ๒. ทาน ๓. สทารสันโดษ = พอใจเฉพาะภรรยาของตน ๕ อัปปมาทะ = ไม่ประมาท;
---เบญจกัลยาณธรรมก็เรียก เบญจศีล - ศีล ๕ เว้นฆ่าสัตว์ เว้นลักทรัพย์ เว้นประพฤติผิดในกาม เว้นพูดปด เว้นของเมา มีคำสมาทานว่า ๑. ปาณาติปาตา ๒. อทินนาทานา ๓. กาเมสุมิจฺฉาจารา ๔. มุสาวาทา ๕. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา ต่อท้ายด้วยเวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ทุกข้อ
*ป
---ปราโมทย์ - ความบันเทิงใจ, ความปลื้มใจ
---ปฏิกูล - น่าเกลียด, น่ารังเกียจ
---ปฏิฆะ - ความขัด, แค้นเคือง, ความขึ้งเคียด, ความกระทบกระทั่งแห่งจิต ได้แก่ความที่จิตหงุดหงิดด้วยอำนาจโทสะ
---ปฏิฆานุสัย - กิเลส ความขุ่นข้อง ขัดเคือง ที่นอนเนื่องในสันดาน; ดูอนุสัย
---ปฏิจจสมุปบาท - สภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น, การที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยต่อเนื่องกันมา มีองค์คือหัวข้อ ๑๒ ดังนี้
---๑.อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะอวิชา เป็นปัจจัย สังขารจึงมี
---๒.สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณี เพราะสังขาร เป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
---๓.วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
---๔.นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เพราะนามรูป เป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
---๕.สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส เพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
---๖.ผสฺสปจฺจยา เวทนา เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
---๗.เวทนาปจฺจยา ตณฺหา เพราะเวทนา เป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
---๘.ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ เพราะตัณหา เป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
---๙.อุปาทานปจฺจยา ภโว เพราะอุปาทาน เป็นปัจจัย ภพจึงมี
---๑๐.ภวปจฺจยา ชาติ เพราะภพ เป็นปัจจัย ชาติจึงมี
---๑๑.ชาติปจฺจยา ชรามรณํ เพราะชาติ เป็นปัจจัย
---(๑๒.)ชรามรณะจึงมี
---โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมมัส อุปายาส จึงมีพร้อม
---เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้จึงมีด้วยประการฉะนี้
---ปฏิจจสมุปบันธรรม - ปฏิจจสมุปปันนธรรม - ธรรมหรือสภาวธรรมที่สิ่งต่างๆเกิดขึ้นมาแต่เหตุปัจจัย เช่น การเกิดแต่เหตุปัจจัยของความทุกข์หรือปฏิจจสมุปบาท เรียกสภาวธรรมนี้ว่าปฏิจจสมุปบันธรรม, การเกิดแต่เหตุปัจจัยของขันธ์ ๕ หรืออุปาทานขันธ์๕, ธรรมหรือสภาวธรรม ในการเกิดมาแต่เหตุปัจจัยของสังขารหรือสรรพสิ่งต่างๆ กล่าวคือ จึงครอบคลุมสิ่งต่างๆหรือสังขาร(สังขตธรรม)ที่เกิดขึ้นแต่เหตุหรือสิ่งต่างๆมาเป็นปัจจัยกันทั้งสิ้น นั่นเอง
---ปฏิปทา - ทางดำเนิน, ความประพฤติ, ข้อปฏิบัติ
---ปฏิสนธิจิตต์ - จิตที่สืบต่อภพใหม่, จิตที่เกิดทีแรกในภพใหม่
---ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ - ญาณอันคำนึงพิจารณาหาทาง, ปรีชาคำนึงพิจารณาสังขาร เพื่อหาทางเป็นเครื่องพ้นไปเสีย ดู วิปัสสนาญาณ
---ปริวาส - การอยู่ชดใช้ เรียกสามัญว่าอยู่กรรม, เป็นชื่อวุฏฐานวิธี (ระเบียบปฏิบัติสำหรับออกจากครุกาบัติ) อย่างหนึ่ง ซึ่งภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้ จะต้องประพฤติเป็นการลงโทษตนเองชดใช้ให้ครบเท่าจำนวนวันที่ปิดอาบัติ ก่อนที่จะประพฤติมานัตอันเป็นขั้นตอนปกติของการออกจากอาบัติต่อไป, ระหว่างอยู่ปริวาส ต้องประพฤติวัตรต่างๆ เช่น งดใช้สิทธิบางอย่าง ลดฐานะของตนและประจานตัวเป็นต้น ; ปริวาส มี ๓ อย่าง คือ ปฏิจฉันนปริวาส สโมธานปริวาส และ สุทธันตปริวาส ; มีปริวาสอีกอย่างหนึ่งสำหรับนักบวชนออกศาสนา จะต้องประพฤติก่อนที่จะบวชในพระธรรมวินัย เรียกว่า ติตถิยปริวาส ซึ่งท่านจัดเป็น อปฏิจฉันนปริวาส
---ปฏิภาคนิมิต - นิมิตเสมือน, เป็นภาพเหมือนของอุคคหนิมิตเกิดจากสัญญา(จํา) สามารถนึกขยายหรือย่อ ให้ใหญ่หรือเล็กได้ตามปรารถนา ปฏิเวธ - เข้าใจตลอด, แทงตลอด, ตรัสรู้, รู้ทะลุปรุโปร่ง, ลุล่วงผลปฏิบัติ
---ปฏิปักษ์ - ฝ่ายตรงกันข้าม, คู่ปรับ, ข้าศึก, ศัตรู
---ปฏิโลม - ในปฏิจจสมุปบาท หมายถึงการพิจารณาการดับไปแห่งทุกข์เป็นลําดับ
---ปปัญจสัญญา - สัญญาอันมีการเกิดจากความคิดปรุงแต่งที่สลับซับซ้อนและมักเจือด้วยกิเลสและตัณหา ถือได้ว่าเป็นสัญญาชนิดทําหน้าที่เป็น "ตัณหา"
---ปรมัตถ์ - ความหมายสูงสุด, ความหมายที่แท้จริง,
---ปรมัตถธรรม - ธรรมหรือสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริงโดยความหมาย(ในระดับ หรือในขั้น)สูงสุด(แก่นแท้)
---ปรมัตถสัจจะ - ความจริงโดยความหมายสูงสุด เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฯ. ตรงข้ามกับสมมติสัจจะ อันคือจริงโดยสมมติขึ้น เช่น สัตว์ บุคคล เธอ ฉัน นายแดง นายขาว รถฉัน บ้านเธอ ที่มีความหมายว่า จริงในระดับหนึ่งหรือจริงในระยะเวลาหนึ่ง
---ปรมัตถสัจจะนั้น หมายถึง ความจริงขั้นสูงสุด หรือจริงแท้อยู่เยี่ยงนั้นเป็นธรรมดา ดังเช่น ชีวิตเกิดแต่เหตุปัจจัยของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดังนี้เป็นปรมัตถสัจจะ, ส่วนสมมติสัจจะนั้น อาจจะกล่าวหรือหมายความได้ว่า "ความจริงในระดับหนึ่งหรือความจริงแค่ในระยะเวลาหนึ่ง" ดังเช่น นายแดงหรือชีวิตของนายแดงเป็นสมมติสัจจะ
---ประภัสสร - ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธ์ ดังพุทธพจน์ว่า “จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา” มีความหมายว่า จิตนี้โดยธรรมชาติของมันเอง มิใช่เป็นสภาวะที่แปดเปื้อนสกปรก หรือมีสิ่งเศร้าหมองเจือปนอยู่ แต่สภาพเศร้าหมองนั้นเป็นของแปลกปลอมเข้ามา ฉะนั้นการชำระจิตให้สะอาดหมดจดจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
---ปริเทวะ - ความครํ่าครวญ, ความร่ำไรรําพัน ความบ่นเพ้อ จึงรําลึกถึงทั้งในสุขและทุกข์ เช่น คร่ำครวญหรือรำพันในทุกข์ หรือบ่นเพ้อคือคร่ำครวญถึงความสุข; ดูอาสวะกิเลส
---ปริยัติ - พุทธพจน์อันจะพึงเล่าเรียน, สิ่งที่ควรเล่าเรียน (โดยเฉพาะหมายเอาพระบาลี คือพระไตรปิฎก พุทธพจน์หรือพระธรรมวินัย); การเล่าเรียนพระธรรมวินัย
---ปิยรูป สาตรูป๑๐ - สิ่งที่มีสภาวะน่ารักน่าชื่นใจ เป็นที่เกิดและเป็นที่ดับของตัณหา
---ปีติ - (มักเขียนกันเป็นปิติ) ความอิ่มใจ, อิ่มเอิบ, ความดื่มด่ำในใจ มี ๕ คือ ๑.ขุททกาปีติ ปีติเล็กน้อยพอขนชันน้ำตาไหล ๒.ขณิกาปีติ ปีติชั่วขณะรู้สึกแปลบๆ ดุจฟ้าแลบ ๓.โอกกันติกาปีติ ปีติเป็นระลอกรู้สึกซู่ลงมาๆ ดุจคลื่นซัดฝั่ง ๔.อุพเพคาปีติ ปีติโลดลอย ให้ใจฟูตัวเบาหรืออุทานออกมา ๕.ผรณาปีติ ปีติซาบซ่าน เอิบอาบไปทั่วสรรพางค์เป็นของประกอบกับสมาธิ (มีรายละเอียดอยู่ในบท ฌาน,สมาธิ)
---ปุถุชน - คนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส, คนที่ยังมีกิเลสมาก หมายถึงคนธรรมดาทั่วๆ ไป ซึ่งยังไม่เป็นอริยบุคคล หรือพระอริยะ
---ปัจจัย - ในทางธรรมหมายถึง เครื่องสนับสนุนให้ธรรม(สิ่ง)อื่นๆเกิดขึ้น, เหตุที่ให้ผลเป็นไป, เครื่องหนุนให้เกิด (เหตุ - สิ่งที่ทำให้เกิดผลขึ้น, สิ่งที่ก่อเรื่อง, เค้ามูล, เรื่องราว, )
---ของสำหรับอาศัยใช้, เครื่องอาศัยของชีวิต, สิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต มี ๔ อย่าง คือ จีวร (ผ้านุ่งห่ม) บิณฑบาต (อาหาร) เสนาสนะ (ที่อยู่อาศัย) คิลานเภสัช (ยาบำบัดโรค)
---ปัจจัตตัง - รู้ได้เฉพาะตน ดังการกินอาหาร ใครจะกล่าวว่าอร่อย เปรี้ยว หวาน มัน เค็มเยี่ยงไร ก็ย่อมไม่สามารถรู้รสชาดได้บริบูรณ์เหมือนการชิมด้วยตนเอง จึงเป็นลักษณาการของการรู้ได้เฉพาะตน
---ปัญญา - ความรู้ทั่ว, ปรีชาหยั่งรู้เหตุผล, ความรู้เข้าใจชัดเจน, ความรู้เข้าใจหยั่งแยกได้ในเหตุผล ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ เป็นต้น และรู้ที่จะจัดแจง จัดสรร จัดการ, ความรอบรู้ในกองสังขารมองเห็นตามเป็นจริง
---ความเข้าใจหรือความเห็น เป็นไปตามความเป็นจริง กล่าวคือ ไม่เชื่อไม่เห็นไปตามความคิด,ความเชื่อ,ความอยากของตนเอง จึงไม่ได้หมายถึงความฉลาดเฉลียว หรือI.Q.สูงแต่อย่างใด แต่เป็นปัญญาในการเห็นการเห็นหรือเข้าใจตามความจริงที่เป็นไป(ยถาภูตญาณ)
---ปัญญาจักขุ, ปัญญาจักษุ - จักษุคือปัญญา, ตาปัญญา, จึงหมายถึงปัญญา ; เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยปัญญาจักขุ (ข้อ ๓ ในจักขุ ๕)
---ปัญญาวิมุตติ - ความหลุดพ้นด้วยปัญญา,
---ความหลุดพ้นที่บรรลุด้วยการกำจัดอวิชชาได้ ทำให้สำเร็จอรหัตตผล และทำให้เจโตวิมุตติ เป็นเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ คือ ไม่กลับกลายได้อีกต่อไป
---ปัสสัทธิ - ความสงบกาย, สงบใจ ความผ่อนคลายกายและใจ (ข้อ๕ ในสัมโพชฌงค์๗)
---เป็นธรรมดา - อาการหรือความเป็นไปแห่งธรรมชาติ ; สามัญ, ปกติ, พื้นๆ : ในเรื่องต่างๆที่กล่าวนั้น จะสังเกตุได้ว่ามีคำว่า เป็นธรรมดา หรือ มันเป็นเช่นนั้นเอง(ตถตา)แทรกอยู่อย่างมากมายแทบทุกบททุกตอน จึงอยากขอกล่าวถึงสักเล็กน้อยว่า เป็นธรรมดานั้น เป็นธรรมดาที่ไม่ธรรมดา หรือหมายถึงยิ่งใหญ่นั่นเอง หมายถึงต้องเป็นไปเช่นนั้นเองเท่านั้น ไม่เป็นอื่นไปได้ เพราะความเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาตินั่นเอง อันเป็นอสังขตธรรม แม้เป็นอนัตตา แต่มีความเที่ยง คงทนอยู่ได้ทุกกาล จึงต้องเป็นไปเช่นนั้นเอง ไม่เป็นอื่นไปได้, จึงเป็นธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา
*ผ
---ผัสสะ - การประจวบกันของอายตนะภายใน๑ และอายตนะภายนอก๑ และวิญญาณ๑ เรียกการประจวบกันของธรรมทั้ง ๓ ว่าผัสสะ ดังเช่น ตา + รูป + วิญญาณ; ผัสสะ การถูกต้อง, การกระทบ; ผัสสะ ๖ ผัสสะอันเนื่องมาจากอายตนะต่างๆทั้ง ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
---ผล - สิ่งที่เกิดจากเหตุ, ประโยชน์ที่ได้; ชื่อแห่งโลกุตตรธรรมคู่กับมรรค และเป็นผลแห่งมรรค มี ๔ ชั้น คือ โสดาปัตติผล ๑ สกทาคามิผล ๑ อนาคามิผล ๑ อรหัตตผล ๑
---ผลญาณ - ญาณในอริยผล, ญาณที่เกิดขึ้นในลำดับ ต่อจากมรรคญาณ และเป็นผลแห่งมรรคญาณนั้น ซึ่งผู้บรรลุแล้วได้ชื่อว่าเป็นพระอริยบุคคลขั้นนั้นๆ มีโสดาบัน เป็นต้น
---โผฏฐัพพะ - อารมณ์ที่จะพึงถูกต้องด้วยกาย, สิ่งที่ถูกต้องด้วยกาย เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เป็นต้น (ข้อ ๕ ในอายตนะภายนอก ๖ และในกามคุณ ๕)
*พ
---พระเสขะ - อริยะบุคคล ผู้ยังไม่บรรลุพระอรหันต์ มี พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี
---พระอเสขะ - อีกชื่อหนึ่งของ "พระอรหันต์ "
---พรหมวิหาร - ธรรมเครื่องอยู่ของพรหม, ธรรมประจำใจอันประเสริฐ มี ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
---พุทธาธิบาย - พระประสงค์ของพระพุทธเจ้า, พระดำรัสชี้แจงของพระพุทธเจ้า
---พยากรณ์ - ทาย, ทำนาย, คาดการณ์; ทำให้แจ้งชัด, ตอบปัญหา
---พยาบาท - ความขัดเคืองแค้นใจ, ความเจ็บใจ, ความคิดร้าย, ตรงข้ามกับเมตตา; ในภาษาไทยหมายถึง ผูกใจเจ็บและคิดแก้แค้น
---โพธิปักขิยธรรม - ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้, ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรคมี ๓๗ ประการคือ สติปัฏฐาน ๔, สัมมัปปธาน ๔, อิทธิบาท ๔, อินทรีย์ ๕, พละ ๕, โพชฌงค์ ๗, มรรคมีองค์ ๘
*ภ
---ภพ - โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์, ภาวะชีวิตของสัตว์ มี ๓ คือ ๑.กามภพ ภพของผู้ยังเสวยกามคุณ ๒.รูปภพ ภพของผู้เข้าถึงรูปฌาณ ๓.อรูปภพ ภพของผู้เข้าถึงอรูปฌาณ
---ภูมิ - 1. พื้นเพ, พื้น, ชั้น, ที่ดิน, แผ่นดิน 2. ชั้นแห่งจิต, ระดับจิตใจ, ระดับชีวิต มี ๔ คือ ๑. กามาวจรภูมิ ชั้นที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในกาม ๒. รูปาวจรภูมิ ชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในรูป หรือชั้นของพวกที่ได้รูปฌาน ๓. อรูปาวจรภูมิ ชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในอรูปหรือชั้นของพวกที่ได้อรูปฌาน ๔. โลกุตตรภูมิ ชั้นที่พ้นโลกหรือระดับพระอริยบุคคล
---ภวตัณหา - ความอยาก-ความอยากเป็นนั่นเป็นนี่ หรืออยากเกิด อยากมีอยู่คงทนตลอดไปตามใจปรารถนา
---ภวังค์, ภวังคจิต - ขณะจิต ที่จิตมิได้มีการเสวยอารมณ์จากทวารทั้ง ๖ หรือก็คือ ขณะที่จิตหยุดการรับรู้จากทวารทั้ง๖; จิตที่เป็นองค์แห่งภพ, ตามหลักอภิธรรมว่าจิตที่เป็นพื้น อยู่ระหว่างปฏิสนธิและจุติ กล่าวคือตั้งแต่เกิดจนถึงตายในเวลาใด ที่มิได้เสวยอารมณ์ทางทวารทั้ง๖ (อันมี จักขุทวาร-ตา,โสตทวาร-หู, มโนทวาร-ใจหรือจิต ฯ. เป็นต้น), แต่เมื่อใดมีการรับรู้อารมณ์ เช่นเกิดการเห็นการได้ยินเป็นต้น ก็เกิดเป็นวิถีจิตขึ้นแทนภวังคจิต และเมื่อวิถีจิตที่เกิดจากทวารทั้ง ๖ ไปเสวยอารมณ์ดับไปก็เกิดเป็นภวังคจิตขึ้นอย่างเดิม
---ภวังคจิต นี้ คือมโน(ใจ) ที่เป็นอายตนะที่ ๖ หรือมโนทวาร อันเป็นวิบาก จัดเป็นอัพยากฤต ซึ่งเป็นจิตตามสภาพ หรือตามปกติของมัน เป็นเพียงมโน(จิตหรือใจ) ยังไม่เป็นมโนวิญญาณ(ที่รู้แจ้งคือรับรู้ในสิ่งที่กระทบ)
---พุทธพจน์ว่า “จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา” มีความหมายว่า จิตนี้โดยธรรมชาติของมันเอง มิใช่เป็นสภาวะที่แปดเปื้อนสกปรก หรือมีสิ่งเศร้าหมองเจือปนอยู่ แต่สภาพเศร้าหมองนั้นเป็นของแปลกปลอมเข้ามา ฉะนั้น การชำระจิตให้สะอาดหมดจดจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้; จิตที่ประภัสสรนี้ พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า ได้แก่ภวังคจิต
---ภาวนา - การทำให้มีขึ้นเป็นขึ้น, การทำให้เกิดขึ้น, การเจริญ, การบำเพ็ญ
---๑.การฝึกอบรม ตามหลักพระพุทธศาสนา มี ๒ อย่างคือ ๑. สมถภาวนา ฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ ๒.วิปัสสนาภาวนา ฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้เข้าใจตามเป็นจริง, อีกนัยหนึ่ง จัดเป็น ๒ เหมือนกันคือ ๑.จิตตภาวนา การฝึกอบรมจิตใจให้เจริญงอกงามด้วยคุณธรรม มีความเข้มแข็งมั่นคง เบิกบาน สงบสุขผ่องใสพร้อมด้วยความเพียร สติ และสมาธิ ๒.ปัญญาภาวนา การฝึกอบรมเจริญปัญญา ให้รู้เท่าทันเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง จนมีจิตใจเป็นอิสระไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสและความทุกข์
---๒.การเจริญสมถกรรมฐานเพื่อให้เกิดสมาธิมี ๓ ขั้น คือ ๑. บริกรรมภาวนา ภาวนาขั้นตระเตรียม คือ กำหนดอารมณ์กรรมฐาน ๒. อุปจารภาวนา ภาวนาขั้นจวนเจียน คือ เกิดอุปจารสมาธิ ๓. อัปปนาภาวนา ภาวนาขั้นแน่วแน่ คือ เกิดอัปปนาสมาธิเข้าถึงฌาณ
---๓.ในภาษาไทย ความหมายเลือนมาเป็น การท่องบ่นหรือว่าซ้ำๆให้ขลัง ก็มีภาวนาปธาน - เพียรเจริญ, เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่มียังไม่เกิด ให้เกิดให้มีขึ้น (ข้อ ๓ ในปธาน ๔)
---ภาวนามัย - บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา, ความดีที่ทำด้วยการฝึกอบรมจิตใจให้สุขสงบมีคุณธรรม เช่น เมตตากรุณา (จิตตภาวนา) และฝึกอบรมเจริญปัญญาให้รู้เท่าทันเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง (ปัญญาภาวนา) ดู ภาวนา (ข้อ ๓ ในบุญกิริยาวัตถุ ๓ และ ๑๐)
---ภาวรูป - รูปที่เป็นภาวะแห่งเพศ มี ๒ คือ อิตถีภาวะ ความเป็นหญิง และปุริสภาวะ ความเป็นชาย
*ม
---มาฆบูชา - การบูชาใหญ่ในวันเพ็ญ เดือน ๓ ในโอกาสคล้ายวันประชุมใหญ่แห่งพระสาวก ซึ่งเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต ณ พระเวฬุวัน หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ๙ เดือน ที่พระองค์ทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ (การปลงพระชนมายุสังขาร ก็ตรงในวันนี้)
---มโนวิญญาณ - ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะธรรมารมณ์เกิดกับใจ, ธรรมเกิดกับใจ เกิดความรู้ขึ้น, ความรู้อารมณ์ทางใจ ดู วิญญาณ
---มโนสัญเจตนาหาร - ความจงใจเป็นอาหาร เพราะเป็นปัจจัยให้เกิดกรรม คือ ทำให้พูดให้คิด ให้ทำการต่างๆ (ข้อ ๓ ในอาหาร ๔)
---มโนสัมผัส - อาการที่ใจ ธรรมารมณ์ และมโนวิญญาณประจวบกัน ดู สัมผัส
---มโนสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่ใจ ธรรมารมณ์และมโนวิญญาณประจวบกัน ดู เวทนา
---มรณสติ-ระลึกถึงความตายอันจะต้องมีมาถึงตนเป็นธรรมดา พิจารณาให้ใจสงบจากอกุศลธรรมเกิดความไม่ประมาทและไม่หวาดกลัวคิดเร่งขวนขวายบำเพ็ญกิจและทำความดี (ข้อ ๗ ในอนุสติ ๑๐)
---มรรค - ทาง, หนทาง, ทางปฏิบัติ
---๑.มรรค ว่าโดยองค์ประกอบ คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรียกเต็มว่าอริยอัฏฐังคิกมรรค แปลว่าทางมีองค์ ๘ ประการอันประเสริฐ เรียกสามัญว่า มรรคมีองค์ ๘ คือ ๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ ๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริ(คิด)ชอบ ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ ๔. สัมมากัมมันตะ กระทำ(ประพฤติ)ชอบ ๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ ๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ ๘. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ
---๒.มรรคว่าโดยระดับการให้สำเร็จกิจ คือ ทางอันให้ถึงความเป็นอริยบุคคลแต่ละขั้น, ญาณที่ทำให้ละสังโยชน์ได้ขาด เป็นชื่อแห่งโลกุตตรธรรมคู่กับผล มี ๔ ชั้นคือ โสดาปัตติมรรค๑ สกทาคามิมรรค๑ อนาคามิมรรค๑ อรหัตตมรรค ๑
---มรรคจิต - ขณะจิตที่สัมปยุต(ประกอบด้วย)ด้วยมรรคองค์๘, พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในมรรค มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น ตั้งอยู่ชั่วขณะมรรคจิตเท่านั้น พ้นจากนั้นก็จะเกิดผลจิต กล่าวคือกลายเป็นผู้ตั้งอยู่ในผล มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
---มรรคสมังคี, มรรคสามัคคี - ความพร้อมเพรียงขององค์มรรค, องค์มรรคทั้ง ๘ ทำกิจหน้าที่ของแต่ละอย่าง ๆ พร้อมเพรียงและประสานสอดคล้องกัน ให้สำเร็จในมรรคผลขั้นใดขั้นหนึ่ง กล่าวคือเป็นอริยบุคคล ; ดู ธรรมสามัคคี
---มรรคองค์ ๑๐ - สัมมัตตะ - ตรงกับองค์มรรคทั้ง ๘ ข้อ, เพิ่ม ๒ ข้อท้าย คือ ๙. สัมมาญาณ รู้ชอบ ได้แก่ผลญาณและปัจจเวกขณญาณ อันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด ๑๐. สัมมาวิมุตติ พ้นชอบได้แก่อรหัตตผลวิมุตติ; เรียกอีกอย่างว่า อเสขธรรม ๑๐; ดูสัมมัตตะ
---มหรคต - “อันถึงความเป็นสภาพใหญ่” “ซึ่งถึงความยิ่งใหญ่” หรือ “ซึ่งดำเนินไปด้วยฉันทะวิริยะจิตตะและปัญญาอย่างใหญ่" คือ เข้าถึงฌาน, เป็นรูปาวจรหรืออรูปาวจร, ถึงระดับวิกขัมภนวิมุตติ(การพ้นด้วยข่มหรือสะกดไว้ ได้แก่ความพ้นจากกิเลสและอกุศลธรรมได้ด้วยกำลังฌาน อาจสะกดไว้ได้นานกว่าตทังควิมุตติ แต่เมื่อฌานเสื่อมแล้ว กิเลสอาจเกิดขึ้นอีก จัดเป็นโลกิยวิมุตติ )
---มหาภูต - ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ดู มหาภูตรูป ธาตุ ๔
---มหาภูตรูป - รูปใหญ่, รูปต้นเดิม คือ ธาตุ ๔ ได้แก่ ปฐวี(ดิน) อาโป(นํ้า) เตโช(ไฟ) และวาโย(ลม) ดู ธาตุ ๔
---มหาสติ - เป็นคำย่อมาจากมหาสติปัฏฐานสูตร และมักใช้ในความหมายที่ว่า มีสติยิ่ง ที่หมายถึง สติที่รู้เท่าทันในกาย หรือเวทนา หรือจิต หรือธรรมเป็นอย่างยิ่ง จนสตินี้สามารถกระทำโดยแทบไม่ต้องเจตนาหรือไม่ต้องตั้งใจอย่างแรงกล้า กล่าวคือ สามารถกระทำคือผุดระลึกรู้เท่าทันตามจริงเองได้โดยอัติโนมัติ คือมันเกิดมันทำของมันเองโดยธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นมาแต่การสั่งสมอย่างดีเลิศหรือเชี่ยวชาญชำนาญยิ่ง จนเคยชินยิ่ง อันเป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่งของชีวิตนั่นเอง จึงเป็นสังขารที่เกิดแต่วิชชา กล่าวคือเกิดแต่การปฏิบัติสั่งสมอย่างถูกต้องทั้งด้วยสติและปัญญา
---มานะ - ความถือตัว, ความสําคัญตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ดีกว่าเขา เสมอเขา ด้อยกว่าเขา (ข้อ ๕ ในอนุสัย ๗, ข้อ ๘ ในสังโยชน์ ๑๐, ข้อ ๑๓ ในอุปกิเลส ๑๖) คนละความหมายกับ มานะ ในภาษาไทยที่แปลว่า ความพยายาม, ความตั้งใจจริง
---มิจฉา - ผิด, แบบผิดๆ
---มิจฉาญาณ - รู้อย่างผิดๆ เช่น ความรู้ ความเข้าใจแบบผิดๆ, ความรู้ในการคิดอุบายทำความชั่วให้สำเร็จ (ข้อ ๙ ในมิจฉัตตะ ๑๐ ภาวะที่ผิด)
---มิจฉาทิฏฐิ - เห็นผิด, ความเห็นที่ผิดจากคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดี มารดาบิดาไม่มี เป็นต้น และความเห็นที่ไม่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ (พจนานุกรม เขียน มิจฉาทิฐิ) (ข้อ ๑ ในมิจฉัตตะ ๑๐ ภาวะที่ผิด) มิจฉาวิมุตติ - พ้นผิด เช่นการระงับกิเลสบาปธรรมได้ชั่วคราว เพราะกลัวอำนาจพระเจ้าผู้สร้างโลก การระงับกิเลสนั้นย่อมดี แต่เป็นการระงับเพราะความกลัวในอำนาจพระเจ้าผู้สร้างโลกนั้น ผิดทาง ไม่ทำให้พ้นทุกข์ได้จริง ที่หมายถึงพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาด ไม่กลับกลายหายสูญ (ข้อ ๑๐ ในมิจฉัตตะ ๑๐ ภาวะที่ผิด)
---มิจฉาสติ - ระลึกผิด ได้แก่ระลึกถึงการอันจะยั่วให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ (ข้อ ๗ ในมิจฉัตตะ ๑๐ ภาวะที่ผิด)
---มิจฉาสมาธิ - มิจฉาฌาน - ตั้งใจผิด ได้แก่จดจ่อ ปักใจแน่วในราคะ เช่น จดจ่อในความสุข,ความสงบ,ความสบาย ที่เกิดขึ้นจากอำนาจของสมาธิหรือองค์ฌานจากฌาน (ดังแสดงออกด้วยอาการจิตส่งใน), ความจดจ่อ ปักใจ แน่วในกามราคะ ในพยาบาท เป็นต้น (ข้อ ๘. ใน มิจฉัตตะ ๑๐) ; มิจฉัตตะ - ความเป็นผิด, ภาวะที่ผิดมี ๑๐ อย่าง คือ ๑. มิจฉาทิฏฐิ ๒. มิจฉาสังกัปปะ ๓. มิจฉาวาจา ๔. มิจฉากัมมันตะ ๕. มิจฉาอาชีวะ ๖. มิจฉาวายามะ ๗. มิจฉาสติ ๘. มิจฉาสมาธิ ๙. มิจฉาญาณ ๑๐. มิจฉาวิมุตติ; ตรงข้ามกับ สัมมัตตะ ๑๐ หรือบางทีเรียกมรรคองค์ ๑๐ ที่มีในพระอริยเจ้า
---โมหะ - ความหลง, ความไม่รู้ตามเป็นจริง, อวิชชา, ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อโมหะ คือ ความรู้จริง ได้แก่ ปัญญา
*ย
---ยถาภูตญาณ - ความรู้ความเป็นจริง, รู้ตามที่มันเป็นไป, รู้ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ดังเช่น จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ, จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ ฯ.
---ยถาภูตญาณทัสนะ -ความรู้ความเห็นตามเป็นจริง
---โยคะ - 1. กิเลสเครื่องประกอบ คือประกอบสัตว์ไว้ในภพ หรือผูกสัตว์ดุจเทียมไว้กับแอก มี ๔ คือ กาม ภพ ทิฏฐิ
---อวิชชา 2. ความเพียร
---โยคาวจร - ผู้หยั่งลงสู่ความเพียร, ผู้ประกอบความเพียร, ผู้เจริญภาวนา คือกำลังปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เขียน โยคาพจรก็
---โยนิ - กำเนิดของสัตว์ มี ๔ จำพวก คือ ๑. ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น คน แมว ๒. อัณฑชะ เกิดในไข่ เช่น นก ไก่ ๓. สังเสทชะ เกิดในไคล คือที่ชื้นแฉะสกปรก เช่น หนอนบางอย่าง ๔. โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น เช่น เทวดา สัตว์นรก
---โยนิโสมนสิการ - การพิจารณาในใจโดยละเอียดและแยบคายคือตามความเป็นจริงของสภาวธรรม(ธรรมชาติ)นั้นๆ อย่างชาญฉลาด เช่นคิดค้นหาข้อสงสัย เปรียบเทียบสภาวะธรรมอื่นๆอันเห็นได้ชัดแจ้งกับสภาวธรรมอื่นๆที่ติดขัด ฯลฯ. อันสามารถทําได้ในทุกอิริยาบถ หรือทุกขณะ และดีที่สุดคือในระดับวิปัสสนาสมาธิ หรือในขณิกสมาธิอันคือสมาธิอ่อนๆระดับใจที่แน่วแน่ ไม่วอกแวก ไม่ซัดส่ายไปในเรื่องคิดนึกปรุงแต่งอื่นๆคือฟุ้งซ่าน หรือภายหลังจากการถอนออกมาจากสมาบัติคือสมาธิในระดับประณีตต่างๆ, ในบันทึกธรรมนี้กล่าวไว้บ่อยครั้งที่สุด เพราะเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่งในการเข้าใจธรรม หรือธรรมะวิจยะอันถูกต้องแท้จริง, ไม่ใช่เพราะทิฎฐิ(ความเชื่อ,ความยึด)หรือด้วยอธิโมกข์, อคติใดๆ มานําให้เห็นผิด
*ร
---ราคานุสัย - กิเลส อันเป็นความกําหนัดในทางโลกที่แฝงนอนเนื่องในสันดาน; ดูอนุสัย
---ราคะ - ความกำหนัด, ความยินดีในกาม, ความติดใจหรือความย้อมใจติดอยู่ในอารมณ์
---รูป - ในขันธ์๕ หมายถึง ส่วนร่างกายตัวตน, ในอายตนะหมายถึง "ภาพ หรือรูป "ที่เห็น ซึ่งในบางครั้งใช้ครอบคลุมถึง "สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลาย" คือรูป, รส, กลิ่น, เสียง, สัมผัส, ความคิด(ธรรมารมณ์)ทั้ง๖, คือใช้แทนอายตนภายนอกทั้งหมด
---รูป ๑.สิ่งที่จะต้องสลายไปเพราะปัจจัยต่างๆ อันขัดแย้ง, สิ่งที่เป็นรูปร่างพร้อมทั้งลักษณะอาการของมัน, ส่วนร่างกาย จำแนกเป็น ๒๘ คือ มหาภูตหรือธาตุ ๔ และอุปาทายรูป ๒๔ (= รูปที่เกิดสืบเนื่องจากมหาภูตรูป,) ๒.อารมณ์ที่รู้ได้ด้วยจักษุ, สิ่งที่ปรากฏแก่ตา (ข้อ ๑ ในอารมณ์ ๖ หรือในอายตนะภายนอก ๖) ๓.ลักษณนาม ใช้เรียกพระภิกษุสามเณร เช่น ภิกษุรูปหนึ่ง สามเณร ๕ รูป; ในภาษาพูดบางแห่งนิยมใช้ องค์รูปกาย ประชุมแห่งรูปธรรม, กายที่เป็นส่วนรูป โดยใจความได้แก่รูปขันธ์หรือร่างกาย
---รูปฌาน - ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ มี ๔ คือ ๑) ปฐมฌาน ฌานที่ ๑ มีองค์ ๕ คือ วิตก (ตรึก) วิจาร (ตรอง) ปีติ (อิ่มใจ) สุข (สบายใจ) เอกัคคตา (จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง) ๒) ทุติยฌาน ฌานที่ ๒ มีองค์ ๓ คือ ปีติ, สุข, เอกัคคตา ๓) ตติยฌาน ฌานที่ ๓ มีองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา ๔) จตุตถฌาน ฌานที่ ๔ มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา, เอกัคคตา
---รูปตัณหา - ความอยากในรูป
---รูปธรรม - สิ่งที่ถูกรู้หรือสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง๕ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ยกเว้น ใจ - สิ่งที่มีรูป, สภาวะที่เป็นรูป คู่กับ นามธรรม
---รูปกัมมัฏฐาน - กรรมฐานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์
---รูปวิจาร - ความตรองในรูป เกิดต่อจาก รูปวิตก
---รูปวิตก - ความตรึกในรูป เกิดต่อจากรูปตัณหา
---รูปสัญเจตนา - ความคิดอ่านในรูปเกิดต่อจากรูปสัญญา
---รูปสัญญา - ความหมายรู้ในรูป เกิดต่อจากจักขุสัมผัสสชา เวทนา
---รูปพรหม - พรหมในชั้นรูปภพ, พรหมที่เกิดด้วยกำลังรูปฌาน มี ๑๖ ชั้น ดู พรหมโลก
---รูปภพ - โลกเป็นที่อยู่ของพวกรูปพรหม หรือ ภพของผู้เข้าถึงรูปฌาน
---รูปราคะ - ความติดใจในรูปธรรม คือติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณีต (ข้อ ๖ ในสังโยชน์ ๑๐)
---รู้แจ้งในอารมณ์ - เวทนา - ในความหมายของผู้เขียน(webmaster)หมายถึง การรับรู้พร้อมทั้งความจําได้ในอารมณ์อันคือสิ่งที่มากระทบหรือสัมผัส(ผัสสะ) (ในบางทีบางท่านหมายถึงวิญญาณ) รู้เท่าทัน หมายถึงรู้เท่าทันตามความเป็นจริงที่มันเกิด เช่นจิตมีโทสะ ก็รู้เท่าทันว่าจิตหรือจิตสังขารหรือความคิดนั้นเกิดขึ้น และเป็นโทสะหรือความโกรธ(ตามหลักสติปัฏฐาน๔), แค่รู้และต้องหยุดคิดนึกปรุงแต่งต่อจากความรู้เท่าทันนั้นเพราะจะทําให้จิตมีโอกาสปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวออกไปอีก
*ล
---โลก - แผ่นดินเป็นที่อาศัย, หมู่สัตว์ผู้อาศัย; โลก ๓ คือ ๑. สังขารโลก โลกคือสังขาร ๒. สัตว์โลก โลกคือหมู่สัตว์ ๓. โอกาสโลก โลก คือ แผ่นดิน; อีกนัยหนึ่ง ๑. มนุษยโลก โลกมนุษย์ ๒. เทวโลก โลกสวรรค์ ทั้ง ๖ ชั้น ๓. พรหมโลก โลกของพระหรหม
---โลกธรรม - ธรรมที่มีประจำโลก, ธรรมดาของโลก, ธรรมที่ครอบงำสัตวโลก และสัตวโลกก็เป็นไปตามมัน มี ๘ อย่าง คือ มีลาภ ไม่มีลาภ, มียศ ไม่มียศ, นินทา สรรเสริญ, สุข ทุกข์ ดูรายละเอียด
---โลกธาตุ - แผ่นดิน; จักวาลหนึ่งๆ
---โลกิยะ - โลกียสุข - ความสุขอย่างโลกีย์หรือตามวิสัยแบบโลกๆ, ยังประกอบด้วยอาสวะคือ กิเลสหมักหมมเช่น กามสุข-ทางกาม, มนุษย์สุข-มนุษย์, ทิพยสุข-เทวดา,พรหม, ทางโลก, เนื่องในโลก, เรื่องของชาวโลก, ยังอยู่ในภพสาม, ยังเป็นกามาวจร รูปาวจร หรืออรูปาวจร
---โลกิยวิมุตติ - วิมุตติที่เป็นโลกีย์ คือความพ้นอย่างโลกๆ ไม่เด็ดขาด ไม่สิ้นเชิง กิเลสและความทุกข์ยังกลับครอบงำได้อีก ได้แก่วิมุตติ ๒ อย่างแรกคือ ตทังควิมุตติ และ วิกขัมภนวิมุตติ เช่น ฌาน สมาธิ ; มีความหมายเหมือนกับ โลกิยวิโมกข์ (วิโมกข์ = ความหลุดพ้นจากกิเลส)
---โลกุตระ - โลกุตตระ - พ้นจากโลก, เหนือโลก, พ้นวิสัยของโลกภาวะ ไม่เนื่องในภพทั้ง๓(กามภพ, รูปภพ, อรูปภพ) ดู ภพ
---โลกุตตรวิมุตติ - วิมุตติที่เป็นโลกุตตระ คือ ความหลุดพ้นที่เหนือวิสัยโลก ซึ่งกิเลสและความทุกข์ที่ละได้แล้ว ไม่กลับคืนมาอีก ไ ม่กลับกลาย, ดู โลกิยวิมุตติ
---โลกุตรธรรม - ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลกๆ,สภาวะพ้นโลกหรือเหนือโลก อันมี๙ อันมีมรรค ๔ เช่นโสดาปัตติมรรค, และ ผล ๔ เช่นโสดาปัตติผล, และ นิพพาน ๑ รวมเป็น ๙ (รายละเอียดอยู่ในบทสังโยชน์ ๑๐)
---โลกุตตรสุข - โลกุตรสุข - ความสุขอย่างโลกุตตระ, ความสุขที่เหนือกว่าระดับของชาวโลก, ความสุขที่เหนือกว่าระดับของชาวโลก, ความสุขเนื่องด้วยมรรคผลนิพพาน
---โลภะ - ความโลภ, โลภอยากได้ของเขา, ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับความโลภ คือ ความคิดเผื่อแผ่เสียสละ, จาคะ
*ถ
---ถีนมิทธะ - ความหดหู่และเซื่องซึม, ความที่จิตหดหู่และเคลิมเคลิ้ม, ความง่วงเหงาซึมเซา (ข้อ ๓ ในนิวรณ์ ๕) (ถีนะ - ความหดหู่, ความท้อแท้ใจ, มิทธะ - ง่วงงุน)
*ว
---วสี - ความชำนาญ มี ๕ อย่าง คือ
---๑.อาวัชชนวสี ความชำนาญคล่องแคล่ว ในการนึก ตรวจองค์ฌานที่ตนได้ออกมาแล้ว
---๒.สมาปัชชนวสี ความชำนาญคล่องแคล่ว ในการที่เข้าฌานได้รวดเร็วทันที
---๓.อธิฏฐานวสี ความชำนาญคล่องแคล่ว ในการที่ตั้งจิตหรือรักษาจิตไว้มิให้ฌานจิตต์นั้นตกภวังค์
---๔.วุฏฐานวสี ความชำนาญคล่องแคล่ว ในการจะออกจากฌานเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ
---๕.ปัจจเวกขณวสี ความชำนาญคล่องแคล่ว ในการพิจารณาทบทวนองค์ฌาน
---วิกขัมภนวิมุตติ - การพ้นด้วยข่มหรือสะกดไว้ ได้แก่ความพ้นจากกิเลสและอกุศลธรรมได้ด้วยกำลังฌาน อาจสะกดไว้ได้นานกว่าตทังควิมุตติ แต่เมื่อฌานเสื่อมแล้ว กิเลสอาจเกิดขึ้นอีก จัดเป็นโลกิยวิมุตติ ; มีความหมายเหมือนกันกับ วิกขัมภนนิโรธ
---วิศาขบูชา - การบูชาในวันเพ็ญเดือน ๖ เพื่อรำลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า เนื่องในวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระองค์; วิสาขบูชา ก็เขียน
---วิสัย - ภูมิ, พื้นเพ, อารมณ์, เขต, แดน, ลักษณะที่เป็น, ไทยใช้ในความหมายว่า ขีดขั้นแห่งความเป็นไปได้ หรือขอบเขตความสามารถ
---วิจิกิจฉา - ความคลางแคลงสงสัย
---วิจิตร - งาม, งดงาม, แปลก, ตระการ, หรู, แพรวพราว
---วิชชา - ความรู้แจ้ง, ความรู้วิเศษ; วิชชา ๓ คือ ๑. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรู้ที่ให้ระลึกชาติได้ ๒. จุตูปปาตญาณ ความรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย ๓. อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำอาสวะให้สิ้น; วิชชา ๘ คือ ๑. วิปัสสนาญาณ ญาณในวิปัสสนา ๒. มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ ๓. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ ๔. ทิพพโสต หูทิพย์ ๕. เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่นได้ ๖. ปุพเพนิวาสานุสติ ๗. ทิพพจักขุ ตาทิพย์ (= จุตูปปาตญาณ) ๘. อาสวักขยญาณ
---วิบาก - ผล, ผลที่จักได้รับ เช่น ผลแห่งกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน
---วิบากกรรม - ผลแห่งกรรม (การกระทำ) ที่ทำไว้แต่ปางก่อน, ผลที่จักได้รับจากการกระทํา (กรรม)
---วิญญาณ - ในปฏิจจสมุปบาทและขันธ์๕ อันหมายถึง การรับรู้จากอายตนะ หรือความรู้แจ้งอารมณ์ หรือระบบประสาทอันทําหน้าที่ในการสื่อสาร ดังเช่น จักขุวิญญาณ ระบบประสาทรับรู้ของตา กล่าวคือ การรับรู้หรือรู้แจ้งในรูป ที่มากระทบตา
---ความรู้แจ้งอารมณ์, จิต(ก็เรียกกัน), ความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่ออายตนะภายในและอายตนะภายนอกกระทบกัน เช่น รูปอารมณ์ ในเวลาเมื่อรูปมากระทบตา เป็นต้น ได้แก่ การเห็น การได้ยิน เป็นอาทิ;
---วิญญาณ ๖ คือ
---๑.จักขุวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางตา (เห็น)
---๒.โสตวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางหู (ได้ยิน)
---๓.ฆานวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจมูก (ได้กลิ่น)
---๔.ชิวหาวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น (รู้รส)
---๕.กายวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางกาย (รู้สิ่งต้องกาย)
---๖.มโนวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางใจ (รู้เรื่องในใจ)
---วิญญาณาหาร - อาหารคือวิญญาณ, วิญญาณเป็นอาหาร คือเป็นปัจจัยอุดหนุนหล่อเลี้ยงให้เกิดนามรูป (ข้อ ๔ ในอาหาร ๔)
---วิภวตัณหา - ความทะยานอยากในความไม่มี ไม่เป็น อยากไม่เป็นนั่น อยากไม่เป็นนี่ หรือ อยากดับสูญ หรือพอสรุปง่ายๆเป็นความ"ไม่อยาก"นั่นเอง
---วิปัสสนา - วิปัสนา - ความเห็นแจ้ง, ทำให้เห็นเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง คือ เห็นตามความเป็นจริงของสภาวธรรม (ธรรมชาติ), การเห็นตามความเป็นจริง ดังเช่น ปัญญาเห็นไตรลักษณ์อันให้ถอดถอนความหลงผิดรู้ผิดในสังขารเสีย, ปัญญาเห็นการเกิดขึ้นและเป็นไปของทุกข์ในปฏิจจสมุปบาท, ปัญญาเห็นการเกิดขึ้นและเป็นไปในขันธ์ ๕ ฯลฯ. (ข้อ ๒ ในกรรมฐาน ๒ หรือภาวนา ๒)
---วิปัสสนาญาณ - ญาณที่นับเข้าในวิปัสสนาหรือญาณที่จัดเป็นวิปัสสนามี ๙ อย่าง คือ ๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณ คือ ความปรีชา, ความหยั่งรู้หรือก็คือ ปัญญาตามเห็นความเกิดและความดับแห่งนามรูป ๒. ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นจำเพาะความดับเด่นขึ้นมา ๓. ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว ๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณคำนึงเห็นโทษ ๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณคำนึงเห็นด้วยความหน่าย ๖. มุจจิตุกัมยตาญาณ ญาณหยั่งรู้อันให้ใคร่จะพ้นไปเสีย ๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณอันพิจารณาทบทวนเพื่อจะหาทาง ๘. สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดย ความเป็นกลางต่อสังขาร ๙. สัจจานุโลมิกญาณ ญาณเป็นไปโดยควรแก่การหยั่งรู้อริยสัจจ์; ดู ญาณ ๑๖ หรือญาณโสฬส
---วิปัสสนูปกิเลส - อุปกิเลส ๑๐ ที่เกิดจากการวิปัสสนา คือ กิเลสที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติสมถวิปัสสนา ที่มักมาจากการปฏิบัติสมถสมาธิหรือฌานแต่ฝ่ายเดียว (ดูรายละเอียดในบทวิปัสสนูปกิเลส) อุปกิเลสแห่งวิปัสสนาในหัวข้อทั้ง ๑๐ ดูจากชื่อแล้ว น่าเป็นสภาพที่น่าชื่นชมแต่ที่แท้เป็นโทษ กล่าวคือ ให้ผลที่ไม่ถูกต้องกับข้อธรรมนั้นๆ เป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งวิปัสสนา ซึ่งเกิดแก่ผู้ได้วิปัสสนาอ่อนๆ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่า ตนบรรลุมรรคผลขั้นใดแล้ว ไม่ดำเนินก้าวหน้าต่อไปในวิปัสสนาญาณ และยังก่อโทษก่อภัยให้แก่ผู้ปฏิบัติอย่างร้ายแรงได้ มี ๑๐ คือ ๑. โอภาส แสงสว่าง,นิมิตแล้วงมงายอย่างเพลิดเพลินหรือติดเพลิน(นันทิ) ๒. ปีติ ความอิ่มเอิบใจ แต่อย่างติดเพลิน ๓. ญาณ ความรู้ แต่อย่างเข้าใจผิดหรือมิจฉาญาณ ๔. ปัสสัทธิ ความสงบกายและจิต แต่อย่างแช่นิ่งอยู่ภายในอย่างขาดสัมปชัญญะ ๕. สุข ความสบายกายสบายจิต แต่อย่างติดเพลิน ๖. อธิโมกข์ ความน้อมใจเชื่อแต่อย่างขาดเหตุผลหรือปัญญา ๗. ปัคคาหะ ความเพียรที่เกินพอดี ๘. อุปัฏฐาน สติชัดเกินพอดี ๙. อุเบกขา ความวางจิตเป็นกลางแต่แบบอวิชชา ๑๐. นิกันติ ความพึงพอใจอย่างงมงายหรือลุ่มหลง ในผลต่างๆที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ
---วิปัสสนาสมาธิ - คือ ขณิกสมาธิที่นำไปใช้ในการเจริญวิปัสสนา คือ การเจริญปัญญาหรือการพิจารณานั่นเอง และบางครั้งเมื่อสติอ่อนลงก็สามารถเจริญงอกงามเป็นสมาธิระดับประณีตขึ้นไปเป็นลำดับ ในขณะเจริญวิปัสสนาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
---วิราคะ - ความสิ้นกําหนัด, ธรรมเป็นที่สิ้นราคะ, ความคลายออกได้หายติด, เป็นอีกชื่อหนึ่งของนิพพาน
---วิมุตติ - ความหลุดพ้น, ความพ้นจากกิเลส มี ๕ อย่าง คือ
--- ๑.ตทังควิมุตติ พ้นด้วยธรรมคู่ปรับหรือพ้นชั่วคราว เช่น โทสะพ้นได้ด้วยการเจริญเมตตา อันเป็นธรรมคู่ปรับ, เกิดความสังเวช จึงพ้นจากความกำหนัด เป็นต้น
---๒.วิกขัมภนวิมุตติ พ้นด้วยข่มหรือสะกดได้ เช่น การพ้นหรือสะกดได้ด้วยอำนาจของฌาน อรูปฌาน, ยังเป็นโลกิยวิมุตติ กลับกลายหายสูญได้
---๓.สมุจเฉทวิมุตติ พ้นด้วยตัดขาด ได้แก่ พ้นจากกิเลสด้วยอริมรรค กิเลสเหล่านั้นขาดเด็ดไป ไม่กลับเกิดขึ้นอีก, เป็นโลกุตตรวิมุตติ
---๔.ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยสงบระงับ ได้แก่ การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอริยผล เป็นการหลุดพ้นที่ยั่งยืน ไม่ต้องขวนขวายเพื่อละอีก เพราะกิเลสนั้นสงบไปแล้ว เป็นโลกุตตรวิมุตติ
---๕.นิสฺสรณวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยออกไปเสีย หรือสลัดออกได้ เป็นการพ้นที่ยั่งยืนตลอดไป เป็นโลกุตตรวิมุตติ ๒ อย่างแรก เป็นโลกิยวิมุตติ กล่าวคือ เป็นการพ้นไปอย่างชั่วคราวหรือระยะหนึ่ง, ส่วน ๓ อย่างหลัง เป็น โลกุตตรวิมุตติ เป็นการพ้นไปอย่างเด็ดขาด
---วิเวก - ความสงัด มี ๓ คือ อยู่ในที่สงัดเป็น กายวิเวก จิตสงบเป็น จิตวิเวก หมดกิเลสเป็น อุปธิวิเวก
---เวทนา - การเสวยอารมณ์ (ทั้งต่อใจและกาย), ความรู้สึก,ความรู้สึกในรสของอารมณ์ (Feeling) ; ความรู้สึกจากการรับรู้ ที่ย่อมต้องเกิดขึ้น เมื่อมีการกระทบสัมผัส(ผัสสะ)กับอารมณ์ต่างๆ อันมี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สัมผัสทางกาย) ความคิดนึก(ธรรมมารมณ์) ด้วยอายตนะภายในอันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ; หรือ ความรู้สึกรับรู้(รวมทั้งจําและเข้าใจ)ในสิ่งที่มากระทบสัมผัสทั้งทางใจและกาย อันหมายถึงความรู้สึกรับรู้พร้อมทั้งความจําได้ในสิ่งที่มากระทบสัมผัส หรือ เวทนา คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการกระทบสัมผัส(ผัสสะ)อันพร้อมด้วยความจําได้หรือมีประสบการณ์ในสิ่งที่ผัสสะนั้นๆ (อ่านรายละเอียดในบทเวทนา)
---เวทนูปาทานขันธ์ - เวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทาน จึงยังให้เร่าร้อนเผาลนเป็นทุกข์, เวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทาน ที่เกิดวนเวียนในองค์ธรรมชราในปฏิจจสมุปบาท
---เวทนา ๓ - ความเสวยอารมณ์, ความรู้สึก, ความรู้สึกสุขทุกข์ มี ๓ อย่าง คือ
---๑.สุขเวทนา ความรู้สึกสุขสบาย
---๒.ทุกขเวทนา ความรู้สึกไม่สบาย
---๓.อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึกไม่สุข ไม่ทุกข์ คือ เฉยๆ เรียกอีกอย่างว่า อุเบกขาเวทนา;
---อีกหมวดหนึ่งจัดเป็น เวทนา ๕ คือ แยกเป็นเวทนา ฝ่ายกายและจิต โดยพระอรรถกถาจารย์ ในภายหลัง
---๑.สุข สบายกาย
---๒.ทุกข์ ไม่สบายกาย
---๓.โสมนัส สบายใจ
---๔.โทมนัส ไม่สบายใจ
---๕.อุเบกขา เฉยๆ;
---ส่วนในภาษาไทย เวทนาใช้ไปในความหมายว่า เจ็บปวดบ้าง สงสารบ้าง อันมีความหมายไม่เหมือนกัน
---เวทนานุปัสสนา - สติตามดูเวทนา คือสติตามดูคือระลึกรู้เท่าทัน ในความรู้สึกสุข, ทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอารมณ์ โดยรู้เท่าทันด้วยว่าเวทนานี้ ก็สักว่าเวทนา ไม่ใช่อัตตา สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
จึงล้วนไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราแท้จริง
---เวไนยสัตว์ - สัตว์ผู้ควรแก่การแนะนำสั่งสอน, สัตว์ที่พึงแนะนำได้, สัตว์ที่พอดัดได้สอนได้
*ศ
---ศรัทธา - สัทธา ความเชื่อ; ในทางธรรม หมายถึง เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ, ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล, ความมั่นใจในความจริงความดีสิ่งดีงามและในการทำความดี ไม่ลู่ไหลตื่นตูมไปตามลักษณะอาการภายนอก หรือไม่เป็นไปอย่างงมงายไร้เหตุผล ท่านแสดงสืบๆ กันมาหรืออรรถกถาว่า มี ๔ อย่างคือ
---๑.กัมมสัทธา เชื่อกรรม
---๒.วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม
---๓.กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
---๔.ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต
---ถ้าเป็นความเชื่อที่ไม่ประกอบด้วยเหตุผล เป็นไปอย่างงมงายแล้ว ไม่จัดว่าเป็นศรัทธา แต่เป็นอธิโมกข์ อันเป็นหนึ่งในวิปัสสนูปกิเลส อันให้โทษนัก
*ส
---สมุจเฉท - การตัดขาด
---สมุทัย-ทุกขสมุทัย-ทุกขสมุทัยอริยสัจจ์ - ความหมายเดียวกันหมายถึง เหตุให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา คือความทะยานอยาก เช่น อยากได้นั่นได้นี่ อยากเป็นโน่นเป็นนี่ อยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ (ข้อ ๒ ในอริยสัจ ๔); ทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ หมายถึง ตัณหา ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
---สงสาร - ๑. การเวียนว่ายตายเกิด, การเวียนตายเวียนเกิด ๒. ในภาษาไทยมักหมายถึงรู้สึกในความเดือดร้อนหรือความทุกข์ของผู้อื่น (= กรุณา)
---สงสารทุกข์ - ทุกข์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด
---สงสารวัฏฏ์ - วังวนแห่งสงสาร คือ ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า; ดูสงสาร
---สติ - ตามความหมายในทางพุทธศาสตร์แปลว่า ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้อง จำการที่ทำและคำที่พูดแล้ว แม้นานได้ (เป็นอาการหนึ่งของจิต จึงเป็นจิตตสังขารอย่างหนึ่ง จัดอยู่ในเจตสิก ๕๒ ข้อ ๒๙), บางทีก็เรียกกันไปว่า ผู้รู้ ตัวรู้ ธาตุรู้
---สติปัฏฐาน - ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ, ข้อปฏิบัติมีสติเป็นประธาน, การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริง, การมีสติกำกับดูสิ่งต่างๆ และความเป็นไปทั้งหลาย โดยรู้เท่าทันตามสภาวะของมัน ไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย ที่ทำให้มองเห็นเพี้ยนไปตามอำนาจกิเลส มี ๔ อย่างคือ
---๑.กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันกายและเรื่องทางกาย
---๒.เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันเวทนา
---๓.จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันจิตหรือสภาพและอาการของจิต
---๔.ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันธรรม;
เรียกกันสั้นๆ ว่า มีสติรู้เท่าทันใน กาย เวทนา จิต ธรรม
---สติรู้เท่าทัน - ความระลึกได้ตามที่มันเกิดหรือเป็นจริง เช่น จิตมีราคะ(ความอยากในสิ่งใดๆ) ก็รู้เท่าทันราคะที่เกิดขึ้นนั้น และรู้ว่าเป็นราคะอันเป็นโทษ(ตาม หลักสติปัฏฐาน๔) เมื่อรู้แล้วต้องหยุดคิดนึกปรุงแต่งต่อจากสติรู้เท่าทันนั้นๆเพราะจะทําให้ จิตมีโอกาสปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวออกไป
---สมถะ - สมถกรรมฐาน-สมถสมาธิ - สมาธิ - ธรรมเป็นเครื่องสงบระงับจิต, ธรรมยังจิตให้สงบระงับจากนิวรณูปกิเลส, การฝึกจิตให้สงบเป็นสมาธิ (ข้อ ๑ ในกรรมฐาน ๒ หรือภาวนา ๒)
---สมถวิปัสสนา - สมถะและวิปัสสนา หมายถึงการปฏิบัติพระกรรมฐาน ที่ใช้สมถสมาธิเป็นบาทฐานหรือเป็นปัจจัยเครื่องสนับสนุนการวิปัสสนา
---สมมติสัจจะ - จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้ว ก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น; ตรงข้ามกับ ปรมัตถสัจจะ
---สมมติสัจจะ จะกล่าวหรือหมายความดังนี้ก็ได้ว่า "ความจริงหรือเป็นจริงในระดับหนึ่ง หรือความเป็นจริงแค่ในระยะขณะเวลาหนึ่ง"
---ส่วนปรมัตถสัจจะนั้น จึงหมายถึง ความจริงขั้นสูงสุด หรือจริงแท้อยู่เยี่ยงนั้นเป็นธรรมดา ดังเช่น ชีวิตเกิดแต่เหตุปัจจัยของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดังนี้เป็นปรมัตถสัจจะ, ส่วนผู้อ่าน ชีวิตของตัวผู้ที่กำลังอ่านอยู่นี้ เป็นเพียงสมมติสัจจะ กล่าวคือ แม้จริงแท้ในขณะนี้นั้น ก็จริงอยู่ แต่ก็เป็นจริง แบบเพียงขณะระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
---สมาบัติ - ภาวะสงบประณีตซึ่งพึงเข้าถึง ; สมาบัติมีหลายอย่าง เช่น ฌานสมาบัติ ผลสมาบัติ อนุปุพพวิหารสมาบัติ เป็นต้น สมาบัติที่กล่าวถึงบ่อยคือ ฌานสมาบัติ กล่าวคือ สมาบัติ ๘ อันได้แก่ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ ถ้าเพิ่มนิโรธสมาบัติต่อท้ายสมาบัติ ๘ นี้ รวมเรียกว่า อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙
---สมาธิ - ความมีใจตั้งมั่น, ความตั้งมั่นแห่งจิต, การทำให้ใจสงบแน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่าน, การมีจิตกำหนดแน่วแน่อยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ(อารมณ์), มักใช้เป็นคำเรียกง่ายๆ สำหรับอธิจิตตสิกขา ; สมถะ ก็เรียก
---สมาธิ ๓ - คือ ๑.ขณิกสมาธิ ๒. อุปจารสมาธิ ๓.อัปปนาสมาธิ
---สมาธิ ๓ อีกอย่างใช้ไปในการเจริญวิปัสสนา คือ
---๑.สุญญตสมาธิ สมาธิอันพิจารณาเห็นความว่าง ได้แก่ วิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยกำหนดอนัตตลักษณะ
---๒.อนิมิตตสมาธิ สมาธิอันพิจารณาธรรมไม่มีนิมิต คือ วิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยกำหนดอนิจจลักษณะ
---๓.อัปปณิหิตสมาธิ การเจริญสมาธิที่ทำให้ถึงความหลุดพ้นด้วยการวิปัสสนากำหนดทุกขลักษณะ
---สภาวธรรม - หลักแห่งความเป็นเอง, สภาวะหรือปรากฏการณ์ของธรรมชาติ เป็นเพียงสภาวะที่ยังไม่เกิดการปรุงแต่งกันเป็นตัวเป็นตนเป็นรูปเป็นร่างคือเป็นสังขารขึ้นนั่นเอง, สภาวะที่จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ จึงเที่ยงแท้ คงทนต่อทุกกาล คือ อกาลิโก
---สอุปาทิเสสนิพพาน - นิพพานยังมีอุปาทิเหลือ, ดับกิเลสแต่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ คือ นิพพานของพระอรหันต์ผู้ยังมีชีวิตอยู่, นิพพานในแง่ที่เป็นภาวะดับกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ
---ส่งจิตออกนอก - มีความหมายว่า ส่งจิตออกไปนอกกาย เวทนา จิต ธรรม (ในสติปัฏฐาน๔นั่นเอง) คือหมายถึง จิตฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งนอกกาย เวทนา จิต ธรรม มีความหมายเดียวกันก็คือ จิตฟุ้งซ่านหรือคิดนึกปรุงแต่ง,คิดนึกปรุงแต่งไปภายนอกนั่นเอง เป็นธรรมคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่ดีงามและแพร่หลาย
---สีลัพพตุปาทาน - เป็นหนึ่งในอุปาทาน๔, ความยึดมั่นในศีล(ข้อบังคับ)และวัตร(ข้อปฏิบัติ)ด้วยอํานาจกิเลส เป็นเหตุให้งมงาย เป็นหนึ่งในอุปาทาน ๔ ; ดู สีลัพพตปรามาส
---สีลัพพตปรามาส - ความหมายเดียวกันกับสีลัพพตุปาทาน เพียงแต่ไม่กล่าวเกี่ยวเนื่องกับอุปาทาน (ข้อ ๓ ในสังโยชน์ ๑๐)
---สีลัพพตปรามาส ความยึดมั่นถือว่า บุคคลจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ด้วยศีลและวัตร (คือถือว่าเพียงประพฤติศีลและวัตรให้เคร่งครัด ก็พอที่จะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ไม่ต้องอาศัยสมาธิและปัญญาก็ตาม ถือศีลและวัตรที่งมงายหรืออย่างงมงายก็ตาม)
---ความถือศีลพรต โดยสักว่า ทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลังว่าศักดิ์สิทธิ์ ไม่เข้าใจความหมายและความมุ่งหมายที่แท้จริง
---ความเชื่อถือศักดิ์สิทธิ์ด้วยเข้าใจว่า จะมีได้ด้วยศีลหรือพรตอย่างนั้นอย่างนี้ล่วงธรรมดาวิสัย
---สังขตธรรม - ธรรมหรือสิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ตรงกับสังขารในคำว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดังนี้เป็นต้น; ตรงข้ามกับ อสังขตธรรม หรือนิพพาน
---สังขตลักษณะ - ลักษณะแห่งสังขตธรรม, ลักษณะของปรุงแต่ง มี ๓ อย่าง ๑. ความเกิดขึ้น ปรากฏ ๒. ความดับสลาย ปรากฏ ๓. เมื่อตั้งอยู่ ความแปร ปรากฏ
---สังขาร - สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น, สิ่งที่เกิดแต่เหตุปัจจัย, สิ่งหรือผลที่เกิดขึ้น มาจากการที่มีเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยคือเครื่องสนับสนุน ปรุงแต่งกันขึ้น จึงครอบคลุมสังขารทั้งฝ่ายรูปธรรม และ นามธรรม ได้แก่ ขันธ์ ๕ ทั้งหมด, จิต, สิ่งของวัตถุ, ตัวตน ฯลฯ. กล่าวคือจึงครอบคลุมทั้งหมดทั้งสิ้น พึงยกเว้นแต่เพียงเหล่าอสังขตธรรมเท่านั้น อันคือ สภาวธรรม ทั้งปวง ดังเช่น พระนิพพาน. (ในภาษาไทย บางทีใช้คำว่า สังขาร ในความหมายว่าร่างกาย เช่น "สังขารแก่เฒ่าลงไปทุกวัน" ที่หมายถึงรูปสังขารคือร่างกาย จนบางครั้งก่อความสับสนในการพิจารณาธรรม คือ คิดนึกถึงตีความไปหมายถึงแต่ร่างกายเสียแต่ฝ่ายเดียว จนเสียการ)
---อธิบายสังขารที่ทำหน้าที่ต่างๆ เพื่อการพิจารณา ป้องกันการสับสนในการพิจารณา พอจะแยกได้เป็น ๓
---ในขันธ์ทั้ง ๕ มีสังขารขันธ์ ที่หมายถึง การกระทำ กล่าวคือ สภาพที่ปรุงแต่งทางใจ ให้เกิดการกระทำ(กรรม)ขึ้น, เจตนาที่แต่งกรรม หรือปรุงแต่งการกระทำ มี ๓ อย่าง คือ กายสังขาร (ทางกาย) วจีสังขาร (ทางวาจา) มโนสังขารหรือจิตตสังขาร(ทางใจ); นอกจากนั้นแล้วในภาษาไทย ร่างกาย ก็ยังเรียกกันโดยทั่วไปว่าสังขาร ก็มีที่หมายถึงสังขารร่างกาย หรือรูป,รูปขันธ์, ส่วนกายสังขาร หมายถึง การกระทำทางกาย
---สังขารในปฏิจจสมุปบาท หมายถึง สิ่งปรุงแต่งทางใจตามที่ได้สั่งสม,อบรมไว้แต่อดีต จนเกิดสังขารการกระทำต่างๆ เช่น ความคิด,การกระทําทางกาย,วาจา,ใจ ด้วยเครื่องปรุงที่มีคุณสมบัติต่างๆที่เป็นความเคยชิน เคยประพฤติ เคยปฏิบัติ หรือตามที่ได้เคยอบรมหรือสั่งสมไว้มาก่อน(อดีต)จึงนอนเนื่องซึมซาบย้อมจิต หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นสังขารวิบาก คือ สังขารที่เกิดจากผลของการเคยกระทําหรือเคยประพฤติปฏิบัติทั้งทางกาย,วาจา,ใจ อันได้สั่งสมไว้ อบรม เก็บบ่มไว้ หรือสังขารวิบากก็คือผลที่รับจากการกระทํา(กรรม)ในอดีตนั่นเอง และเป็นสังขารกิเลสด้วย หมายถึง สังขารที่ประกอบด้วยกิเลส (กิเลสที่นอนเนื่องในอาสวะกิเลสนั่นเอง)
---สังขารในไตรลักษณ์หมายถึงทุกๆสรรพสิ่งที่เกิดแต่เหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา จึงครอบคลุมทั้งรูปธรรม,นามธรรมและธรรมทุกชนิดรวมทั้งโลกุตรธรรม อันยกเว้นเพียงอสังขตธรรม ดังเช่น นิพพาน อันเป็นสภาวะหรือสภาวธรรม หรือสภาวะของธรรมชาติ, ดังนั้นจึงครอบคลุมทั้งสังขารในขันธ์ ๕ และสังขารในปฏิจจสมุปบาท และทุกสรรพสิ่ง ยกเว้นแต่นิพพานและสภาวธรรมหรือสภาวะของธรรมชาติ
---สังขาร (จากพจนานุกรม)
---๑. สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง, สิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัย เป็นรูปธรรมก็ตาม นามธรรมก็ตาม ได้แก่ขันธ์ ๕ ทั้งหมด ตรงกับคำว่า สังขตะหรือสังขตธรรม ได้ในคำว่า “สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง” ดังนี้เป็นต้น
---๒.สภาพที่ปรุงแต่งใจให้ดีหรือชั่ว, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานที่ปรุงแต่ง ความคิดการพูดการกระทำมีทั้งที่ดีเป็นกุศลที่ชั่ว เป็นอกุศลและที่กลางๆ เป็นอัพยาฤต ได้แก่ เจตสิก ๕๐ อย่าง (คือ เจตสิกทั้งปวง เว้นแต่เพียงเวทนาและสัญญา)เป็นนามธรรมอย่างเดียว
---ตรงกับสังขารขันธ์ ในขันธ์ ๕ ได้ในคำว่า “รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง” ดังนี้เป็นต้น;
---อธิบายอีกปริยายหนึ่ง สังขารตามความหมายนี้ยกเอาเจตนาขึ้นเป็นตัวนำหน้า ได้แก่ สัญเจตนา คือ เจตนาที่แต่งกรรมหรือปรุงแต่งการกระทำ มี ๓ อย่างคือ สังขาร ๓
---๑.กายสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย คือ กายสัญเจตนา
---๒.วจีสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางวาจา คือ วจีสัญเจตนา
---๓.จิตตสังขาร หรือ มโนสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางใจ คือ มโนสัญเจตนา
---สามสภาพที่ปรุงแต่งชีวิตมี ๓ คือ
---๑.กายสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งกาย ได้แก่ อัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
---๒.วจีสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งวาจา ได้แก่ วิตกและวิจาร
---๓.จิตตสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งใจ ได้แก่ สัญญาและเวทนา
---สังขารวิบาก - ผลที่ได้รับ(วิบาก)จากการกระทําต่างๆ(สังขาร)ที่ได้กระทํามาแล้ว
---ผลที่ได้รับอันเนื่องจากเจตนาหรือเจตจํานงที่กระทํา (เช่นความคิดคือทางใจ,หรือทางกาย,วาจา) อันเป็นผลจากการที่เคยประพฤติปฏิบัติอันได้สั่งสม อบรม ประพฤติ ปฏิบัติไว้ในอดีต หรือสังขารในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง
---สังสารวัฏ - การเวียนว่ายตายเกิดในโลกหรือภพ
---สังโยชน์ - กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรม(สิ่ง)ที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ มี ๑๐ อย่างคือ
---ก.โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องตํ่า ๕ ได้แก่ ๑. สักกายทิฏฐิ ความคิดความเห็นว่ากายเป็นอัตตาตัวตน ๒. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ๓. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต ๔. กามราคะ ความติดใจในกามคุณ ๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ ความขุ่นเคือง
---ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แก่ ๖. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต เช่น รูปฌาน ๗. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม เช่น อรูปฌาน ๘. มานะ ความถือว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่ ๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน ๑๐. อวิชชา ความไม่รู้จริง ดูรายละเอียดได้ในบทสังโยชน์๑๐
---พระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้, พระสกิทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ให้เบาบางลงด้วย, พระอนาคามี ละสังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้หมด, พระอรหันต์ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ, ในพระอภิธรรมท่านแสดงสังโยชน์อีกหมวดหนึ่ง คือ ๑. กามราคะ ๒. ปฏิฆะ ๓. มานะ ๔. ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ๕.วิจิกิจฉา ๖. สีลัพพตปรามาส ๗. ภวราคะ (ความติดใจในภพ) ๘. อิสสา (ความริษยา) ๙. มัจฉริยะ(ความตระหนี่) ๑๐. อวิชชา
---สังวร - ความสำรวม,การระวังปิดกั้นบาป อกุศล มี ๕ อย่าง คือ ๑. ปาฏิโมกขสังวร สำรวมในปาฏิโมกข์ (บางแห่งเรียก สีลสังวร สำรวมในศีล) ๒. สติสังวร สำรวมด้วยสติ ๓. ญาณสังวร สำรวมด้วยญาณ ๔. ขันติสังวร สำรวมด้วยขันติ ๕. วิริยสังวร สำรวมด้วยความเพียร; ดู สำรวม
---สัจจะ - ความจริง มี ๒ คือ
---๑.สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ เช่น คน พ่อค้า ปลา แมว โต๊ะ เก้าอี้ คุณ ก. คุณ ข.
---๒.ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์ เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
---สัญญา - การกำหนดหมาย, ความจำได้ ความหมายรู้ คือ หมายรู้ไว้ ซึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและอารมณ์ที่เกิดกับใจว่า เขียว ขาว ดำ แดง ดัง เบา เสียงคน เสียงแมว เสียงระฆัง กลิ่น ทุเรียน รสมะปราง เป็นต้น และจำได้ คือ รู้จักอารมณ์นั้นว่าเป็นอย่างนั้นๆ ในเมื่อไปพบเข้าอีก
---สัญญา เป็นหนึ่งในขันธ์ ๕, สัญญามี ๖ อย่าง ตามอารมณ์ที่หมายรู้หมายจำนั้น เช่น รูปสัญญา หมายรู้รูป, สัททสัญญา หมายรู้เสียง, ธรรมสัญญา หมายรู้ในธรรมารมณ์หรือความนึกคิด เป็นต้น; ในภาษาไทย มักไปใช้ในความหมายถึง ข้อตกลง, คำมั่น บางครั้งจึงทำให้สับสน
---สันตติ - การสืบต่อ คือ การเกิดดับต่อเนื่องกันไปโดยอาการที่เป็นปัจจัยส่งผลแก่กัน ในทางรูปธรรม ที่พอมองเห็นอย่างหยาบ เช่น ขนเก่าหลุดร่วงไปขนใหม่เกิดขึ้นมาแทน ความสืบต่อแห่งรูปธรรม จัดเป็นอุปาทายรูปอย่างหนึ่ง; ในทางนามธรรม จิตก็มีสันตติ คือเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับๆเป็นปัจจัยสืบเนื่องต่อกันไป
---สัมผัส - ความกระทบ,การถูกต้องที่ให้เกิดความรู้สึก,ความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอกและวิญญาณ มี ๖ เริ่มแต่จักขุสัมผัส สัมผัสทางตา เป็นต้น จนถึง มโนสัมผัส สัมผัสทางใจ (เรียงตามอายตนะภายใน ๖); ผัสสะ ก็เรียก
---สัมมา - โดยชอบ, ดี, ถูกต้อง, ถูกถ้วน, สมบูรณ์, จริง, แท้
---สัมมาญาณ - สัมมาญาณะ - รู้ชอบ จนเกิดผลญาณ ได้แก่ ญาณอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากมรรคญาณ เช่น โสดาปัตติผล เป็นต้น และปัจจเวกขณญาณ (ข้อ ๙ ในสัมมัตตะ ๑๐)
---สัมมาวิมุตติ - หลุดพ้นชอบ ได้แก่ อรหัตตผลวิมุตติ (ข้อ ๑๐ ในสัมมัตตะ ๑๐)
---สัมมาทิฏฐิ - ปัญญาอันเห็นชอบ คือเห็นอริยสัจ ๔, เห็นชอบตามคลองธรรมว่าทำดีมีผลดี ทำชั่วมีผลชั่ว มารดาบิดามี (คือ มีคุณความดีควรแก่ฐานะหนึ่งที่เรียกว่ามารดาบิดา) ฯลฯ, เห็นถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าขันธ์ ๕ ไม่เที่ยงเป็นต้น (ข้อ ๑ ในมรรค)
---สัมมาสติ - ระลึกชอบ คือระลึกใน สติปัฏฐาน ๔ (ข้อ ๗ ในมรรค)
---สัมปชัญญะ - ความรู้ตัวทั่วพร้อม, ความรู้ตระหนัก, ความรู้ชัดเข้าใจชัด ซึ่งสิ่งที่นึกได้; มักมาคู่กับ สติ (ข้อ ๒ ในธรรมมีอุปการะมาก ๒)
---ขยายความ สัมปชัญญะ หมายถึง การมีสติทั่วพรัอม ไม่ใช่การมีสติอยู่แต่ในสิ่งๆเดียวที่กำหนด(อารมณ์) แต่เป็นสติชนิดทั่วพร้อม ที่หมายถึงยังมีสติเนื่องสัมพันธ์ในสิ่งอื่นๆอีกด้วย กล่าวง่ายๆก็คือ ยังมีสติเท่าทันต่อเนื่องในสิ่งอื่นๆอีกด้วยนั่นเอง ไม่เฉพาะเจาะจงแต่สติในอารมณ์นั้นๆแต่ฝ่ายเดียว, หรือการรู้ตัวทั่วพร้อมในกิจหรืองานที่ทำนั่นเอง
---สฬายตนะ - ดู อายตนะภายใน ๖ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความหมายเดียวกัน
---สัญเจตนา - ความจงใจ, ความแสวงหาอารมณ์, เจตนาที่แต่งกรรม, ความคิดอ่าน ;
---มี ๓ คือ กายสัญเจตนา วจีสัญเจตนา มโนสัญเจตนา; ดู สังขาร ๓;
---มี ๖ คือ รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพสัญเจตนา และธัมมสัญเจตนา;
---สัปปายะ - สิ่ง สถาน หรือบุคคล ซึ่งเป็นที่สบาย เหมาะกัน เกื้อกูล หรือเอื้ออำนวยโดยเฉพาะที่ช่วยเกื้อกูลแก่การบำเพ็ญและประคับประคองรักษา สมาธิ
---ท่านแสดงไว้ ๗ อย่าง คือ
---อาวาส (ที่อยู่,สถานที่)
---โคจร (ที่บิณฑบาต หรือแหล่งอาหาร)
---ภัสสะ (เรื่องพูดคุยที่เสริมการปฏิบัติที่ถูกต้อง)
---บุคคล (ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยแล้วช่วยให้จิตผ่องใสสงบมั่นคง เช่น กัลยาณมิตร)
---โภชนะ (อาหาร)
---อุตุ (สภาพแวดล้อมและอุณหภูมิ)
---อิริยาบถ;
---ทั้ง ๗ นี้ที่เหมาะกันเป็นสัปปายะ ที่ไม่สบายเป็นอสัปปายะ
---สัญชาตญาณ - สัญชาติญาณ-ความรู้,หรือสัญญา อันติดตัวมาโดยเนื่องมาจากการเกิด เช่นหิว, เจ็บปวดทางกาย, อิ่ม, กระหายนํ้า ฯลฯ.
---สัมโพชฌงค์๗ - โพชฌงค์๗ - องค์ หรือธรรมที่เป็นเครื่องตรัสรู้มี ๑. สติ ๒. ธรรมวิจัย(ธรรมวิจยะ-การพิจารณาธรรม) ๓. วิริยะ ๔.ปีติ ๕.ปัสสัทธิ ๖.สมาธิ ๗.อุเบกขา (รายละเอียดในบท โพชฌงค์๗)
---สัมมัตตะ - มรรคองค์ ๑๐ - ความเป็นถูก, ภาวะที่ถูกมี ๑๐ อย่าง, ภาวะที่ถูกต้องในการปฏิบัติ, ๘ ข้อต้นตรงกับองค์มรรคทั้ง ๘ ข้อ เพิ่มอีก ๒ ข้อท้าย คือ ๙.สัมมาญาณ รู้ชอบ,ปัญญาชอบจนเกิดผลญาณ ได้แก่ผลญาณทั้ง ๔ มีพระโสดาบัน พระสกิทาคามี ฯ. และปัจจเวกขณญาณ ๑๐.สัมมาวิมุตติ พ้นชอบได้แก่อรหัตตผลวิมุตติ; เรียกอีกอย่างว่า อเสขธรรม ๑๐ ; ธรรมตรงข้ามมิจฉัตตะ ๑๐ (รายละเอียดของ สัมมัตตะ ๑๐)
--- สัสสตทิฏฐิ - ความเห็นว่าเที่ยง คือความเห็นว่า อัตตาและโลก เป็นสิ่งเที่ยงแท้ยั่งยืน คงอยู่ตลอดไป เช่น เห็นว่าคนและสัตว์ตายไปแล้ว ร่างกายเท่านั้นทรุดโทรมไป ส่วนดวงชีพหรือเจตภูตหรือมนัสเป็นธรรมชาติไม่สูญ ย่อมถือปฏิสนธิในกำเนิดอื่นสืบไป เป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างหนึ่ง; ตรงข้ามกับ อุจเฉททิฏฐิ
---สำเหนียก - กำหนด, จดจำ, คอยเอาใจใส่, ฟัง, ใส่ใจคิดที่จะนำไปปฏิบัติ, ใส่ใจสังเกตพิจารณาจับเอาสาระ เพื่อจะนำไปปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน์ (คำพระว่า สิกขา หรือ ศึกษา) สำรวม - ระมัดระวัง, เหนี่ยวรั้ง, ระวังรักษาให้สงบเรียบร้อย เช่น สำรวมตา, สำรวมกาย, ครอง เช่น สำรวมสติ คือครองสติ, ดู สังวร;
---เสขะ - ผู้ยังต้องศึกษา ได้แก่ พระอริยบุคคลที่ยังไม่บรรลุอรหัตตผล โดยพิสดารมี ๗ คือ ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ในโสดาปัตติผล ในสกทาคามิมรรค ในสกทาคามิผล ในอนาคามิมรรค ในอนาคามิผล และในอรหัตตมรรค, พูดเอาแต่ระดับเป็น ๓ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี
---โสกะ - ดูอาสวะกิเลส (รวมปริเทวะ,ทุกข์,โทมนัส,อุปายาส)
---โสดาบัน - ผู้ถึงกระแสที่จะนำไปสู่นิพพาน, มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ย่อมถึงที่สุดแห่งทุกข์ในกาลต่อไปอย่างแน่นอน, พระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผล มี ๓ ประเภทคือ ๑. เอกพีชี เกิด(หรือมรรคสามัคคี!)อีกครั้งเดียว ๒. โกลังโกละ เกิดอีก ๒-๓ ครั้ง ๓. สัตตักขัตตุปรมะ เกิดอีก ๗ ครั้ง เป็นอย่างมาก ดูบทสังโยชน์
---โสดาปัตติผล - ผลคือการถึงกระแสสู่นิพพาน, ผลที่ได้รับจากการละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ด้วยโสดาปัตติมรรค ทำให้ได้เป็นพระโสดาบัน ดูโลกุตรธรรม
---โสดาปัตติมรรค - ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผล คือความเป็นพระโสดาบัน, ญาณคือความรู้เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส(รายละเอียดอยู่ในบทสังโยชน์), เมื่อโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะมรรคจิตเท่านั้น พ้นจากนั้นก็จะเกิดผลจิตคือโสดาปัตติผล กลายเป็นผู้ตั้งอยู่ในผล คือเป็นพระโสดาบันนั่นเอง ; ดูโลกุตรธรรม
---โสตวิญญาณ - ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะเสียงกระทบหู, เสียกระทบหู, เกิดความรู้ขึ้น, การได้ยิน
---โสตสัมผัส - อาการที่หู เสียง และโสตวิญญาณประจวบกัน เกิดการได้ยิน
---โสตสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เพราะการที่หู เสียง และโสตวิญญาณกระทบกัน
---โสมนัส - ความดีใจ, ความสุขใจ, ความปลาบปลื้ม ดู เวทนา
*ห
---เหตุปัจจัย - สิ่ง(เหตุ) ที่เป็นเครื่องสนับสนุน(ปัจจัย) ให้เกิดสิ่งอื่นหรือผลอื่นขึ้น
---เหตุ - สิ่งที่ให้เกิดผล, สิ่งที่ก่อเรื่อง, เค้ามูล, เรื่องราว
*อ
---อกาลิโก - พระธรรมไม่ประกอบด้วยกาล, ให้ผลไม่จำกัดกาล คือ ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ไม่จำกัดด้วยกาล ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติทุกเวลา ทุกโอกาส บรรลุเมื่อใด ก็ได้รับผลเมื่อนั้น ไม่เหมือนผลไม้ที่ให้ผลตามฤดู, อีกอย่างหนึ่งว่า เป็นจริงอยู่อย่างไร ก็เป็นจริงอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป
---อจินไตย ๔-มีพุทธพจน์แสดงไว้ดังนี้ ในอจินตสูตรความว่า "ประการนี้อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิดพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อนอจินไตย ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลายพุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย๑ ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน๑ วิบากแห่งกรรม๑ ความคิดเรื่องโลก๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายอจินไตย ๔ ประการนี้แลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิดพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้าเดือดร้อน ฯ "
---องค์ฌาน - (บาลี ว่า ฌานงฺค) ฌานมีสมาธิคือความมีจิตแน่วแน่ในสิ่งที่กำหนดเป็นองค์ประกอบหลัก แล้วยังมีองค์ประกอบของฌานอีก ๖ ; องค์ธรรมทั้งหลาย ที่ประกอบกันเข้าเป็นฌานขั้นหนึ่งๆ เช่น ปีติ สุข เอกัคคตา รวมกันเรียกว่า ฌานที่ ๒ หรือทุติยฌาน; องค์ฌานทั้งหมดในฌานต่าง ๆ นับแยกเป็นหน่วยๆ ไม่ซ้ำกัน มีทั้งหมด ๖ อย่างคือ ๑.วิตก-ความตรึก,ดำริ,คิดในอารมณ์ หรือก็คือการตรึงจิตไว้กับอารมณ์ ๒.วิจาร-ความตรอง,ฟั้นอารมณ์,เคล้าอารมณ์ให้เข้ากันหรือกลมกลืนกัน ๓.ปีติ-ความอิ่มใจ ๔.สุข-ความสุข ๕.อุเบกขา-ความมีจิตเรียบสมดุล เป็นกลาง ๖.เอกัคคตา-ความมีอารมณ์หนึ่งเดียว ; ดู ฌาน ; อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบท ฌานสมาธิ
---อนัตตลักขณสูตร - ชื่อพระสูตรที่แสดงลักษณะแห่งเบญจขันธ์ว่าเป็นอนัตตา ไม่มีตัวไม่มีตน จึงไม่ใช่อะไรๆของใครๆอย่างแท้จริง, พระศาสดาทรงแสดงแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ และภิกษุปัญจวัคคีย์ได้สำเร็จพระอรหัต ด้วยได้ฟังอนัตตลักขณสูตรนี้
---อนัตตา - ไม่ใช่อัตตา, ไม่ใช่ตัวใช่ตน, ไม่มีตัวตน ที่หมายถึง ไม่มีตัวไม่มีตนอย่างแท้จริง, ตัวตนคือสิ่งที่เห็น หรือตัวตนที่ผัสสะด้วยอายตนะใดๆก็ตามที ล้วนเป็นเพียงกลุ่มก้อนมวลรวม(ฆนะ)ของเหตุ(สิ่ง)ต่างๆที่มาเป็นปัจจัยกัน หรือประชุมกันเท่านั้น จึงขึ้นหรืออิงอยู่กับเหตุปัจจัย จึงไม่ใช่ตัวใช่ตนที่หมายถึงเราหรือของเราอย่างแท้จริง จึงไม่ขึ้นอยู่กับใครหรือตัวตนเราเองเลย แต่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยนั้นๆนั่นเอง, ดังนั้นตัวตนทั้งหลายรวมทั้งตัวตนของตนเอง จึงต่างล้วนไม่ใช่เรา เราก็ไม่ใช่นั่น นั่นก็ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเราอย่างแท้จริง : ดู อนัตตลักษณะ
---อนัตตลักษณะ - ลักษณะที่เป็นอนัตตา, ลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าเป็นของมิใช่ตัวตน ได้แก่
---๑. เป็นของสูญ คือ ฆนะ (กลุ่มก้อน) เป็นเพียงการประชุมเข้าขององค์ประกอบที่เป็นส่วนย่อยๆทั้งหลายเท่านั้น ความจริงแท้แล้วจึงไม่ ใช่สิ่งๆเดียวกันอย่างแท้จริง จึงว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หรือการสมมติเป็นต่างๆ
---๒.เป็นสภาพหาเจ้าของมิได้ ไม่เป็นของใครจริง เพราะเมื่อไม่มีตัวตนแท้จริงจึงไม่มีใครครอบครองเป็นเจ้าของได้อย่างแท้จริง
---๓.ไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ไม่ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของใครๆทั้งสิ้น แต่เป็นไปตามธรรมคือตามเหตุ
---๔.เป็นสภาวธรรมอันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ขึ้นหรืออิงต่อเหตุปัจจัย ไม่มีอยู่โดยลำพังตัว จึงเป็นไปโดยสัมพันธ์อิงอาศัยกันอยู่กับสิ่งอื่นๆ
---๕.โดยสภาวะของมันเองก็แย้งหรือค้านต่อความเป็นอัตตา มีแต่ภาวะที่ตรงข้ามกับความเป็นอัตตา
---อนัตตานุปัสสนา - การพิจารณาเห็นในสภาพที่เป็นอนัตตา คือหาตัวตนเป็นแก่นสารมิได้ ดู อนัตตา
---อนันตริยกรรม - กรรมหนัก, กรรมที่เป็นบาปหนักที่สุด ตัดทางสวรรค์ ตัดทางนิพพาน, กรรมที่ให้ผลคือ ความเดือดร้อนไม่เว้นระยะเลย มี ๕ อย่าง คือ ๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา ๒. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา ๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ๔. โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป ๕. สังฆเภท ทำสงฆ์ให้แตกกัน
---อนาคตังสญาณ - ญาณหยั่งรู้ส่วนอนาคต, ปรีชากำหนดรู้คาดผลข้างหน้าอันสืบเนื่องจากเหตุในปัจจุบันหรือในอนาคตก่อนเวลานั้น (ข้อ ๒ ในญาณ ๓)
---อนาคามิผล - ผลที่ได้รับจากการละสังโยชน์ คือ กามราคะ และปฏิฆะด้วยอนาคามิมรรค อันทำให้เป็นพระอนาคามี
---อนาคามิมรรค - ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผลคือความเป็นพระอนาคามี, ญาณคือความรู้ เป็นเหตุละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ทั้ง ๕ (คือ ละได้เด็ดขาดอีก ๒ อย่าง ได้แก่ กามราคะ และปฏิฆะ เพิ่มจาก ๓ อย่างที่พระโสดาบันละได้แล้ว)
---อนาคามี - อริยบุคล พระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุอนาคามิผล มี ๕ ประเภท คือ ๑. อันตราปรินิพพายี ผู้ปรินิพพานในระหว่างอายุยังไม่ถึงกึ่ง (หมายถึงโดยกิเลสปรินิพพาน) ๒. อุปหัจจปรินิพพายี ผู้ปรินิพพานเมื่อจวนจะถึงสิ้นอายุ ๓. อสังขารปรินิพพายี ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้ความเพียรนัก ๔. สสังขารปรินิพพายี ผู้ปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก ๕. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี ผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ
ดูโลกุตรธรรม
---อนุสติ - ความระลึกถึง, อารมณ์ที่ควรระลึกถึงเนืองๆ มี ๑๐ อย่างคือ ๑. พุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ๒. ธัมมานุสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรม ๓. สังฆานุสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ ๔. สีลานุสติ ระลึกถึงศีลที่ตนรักษา ๕. จาคานุสติ ระลึกถึงทานที่ตนบริจาคแล้ว ๖. เทวตานุสติ ระลึกถึงคุณที่ทำคนให้เป็นเทวดา(ไม่ใช่ระลึกถึงเทวดา) ๗. มรณัสสติ ระลึกถึงความตายที่จะต้องมีเป็นธรรมดา ๘. กายคตาสติ ระลึกทั่วไปในกายให้เห็นว่าไม่งาม ๙. อานาปานสติ ตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออก(อย่างมีสติ ไม่เลื่อนไหลไปสู่ฌาน) ๑๐. อุปสมานุสติ ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบระงับกิเลสและความทุกข์ คือนิพพาน
---อนุสัย - กิเลสที่แฝงตัวนอนเนื่องอยู่ในสันดาน มี ๗ คือ ๑. กามราคะ ความกำหนัดในกาม ๒. ปฏิฆะ ความหงุดหงิด ๓. ทิฏฐิ ความเห็นผิด ๔. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ๕. มานะ ความถือตัว ๖. ภวราคะ ความกำหนัดในภพ ๗. อวิชชา ความไม่รู้จริง
---อนุโลม - ในปฏิจจ. หมายถึงพิจารณาการเกิดของทุกข์ตามลําดับ
---อนุปาทิเสสนิพพาน - นิพพานไม่มีอุปาทิเหลือ, ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์(ขันธ์ ๕)เหลือ คือ สิ้นทั้งกิเลสและชีวิต หมายถึง พระอรหันต์สิ้นชีวิต, นิพพานในแง่ที่เป็นภาวะดับภพทั้งปวง หรือดับทั้งภพจิตและภพกาย;
---อสุภ, อสุภะ - สภาพที่ไม่งาม, พิจารณาร่างกายของตนและผู้อื่นให้เห็นสภาพที่ไม่งาม; ในความหมายเฉพาะ หมายถึง ซากศพในสภาพต่าง ๆ ซึ่งใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน รวม ๑๐ อย่าง คือ ๑. อุทธุมาตกะ ซากศพที่เน่าพอง ๒. วินีล กะ ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำ ๓. วิปุพพกะ ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลออกอยู่ ๔. วิจฉิททกะ ซากศพที่ขาดกลางตัว ๕. วิกขายิตกะ ซากศพที่สัตว์กัดกินแล้ว ๖. วิกขิตตกะ ซากศพที่มีมือ เท้า ศีรษะขาด ๗. หตวิกขิตตกะ ซากศพที่คนมีเวรเป็นข้าศึกกัน สับฟันเป็นท่อน ๆ ๘. โลหิตกะ ซากศพที่ถูกประหารด้วยศัตรามีโลหิตไหลอาบอยู่ ๙. ปุฬุวกะ ซากศพที่มีตัวหนอนคลานคล่ำไปอยู่ ๑๐. อัฏฐิกะ ซากศพที่ยังเหลืออยู่แต่ร่างกระดูก
---อรรถกถา - ปกรณ์(ตำรา,คัมภีร์,หนังสือ)ที่พระอาจารย์ทั้งหลายในภายหลังแต่งแก้อรรถแห่งบาลี, คัมภีร์อธิบายความในพระไตรปิฎก
---อรรถกถาจารย์ - อาจารย์ผู้แต่งอรรถกถา(ตำรา,คัมภีร์,หนังสือ) แต่งขึ้นเพื่อแก้อรรถ(ความหมาย, ความมุ่งหมาย, เนื้อความ, ใจความ, ผล, ประโยชน์)แห่งบาลี
---อรหันต์ - ผู้สําเร็จธรรมสูงสุดในพุทธศาสนา โลกุตรธรรม
---อธิโมกข์ - ความปลงใจ, ความตกลงใจ, ความปักใจในอารมณ์, ความน้อมใจเชื่อ, ความซาบซึ้งศรัทธาหรือเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ซึ่งทำให้จิตใจเจิดจ้าหมดความเศร้าหมอง แต่ไม่เป็นไปตามแนวทางแห่งเหตุผล กล่าวคือ ไม่เป็นไปในแนวทางแห่งปัญญา (เป็นหนึ่งในวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ สิ่งที่ทำให้จิตหลง ทำให้รับธรรมได้ยาก); แต่ถ้าเป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล จัดเป็นสิ่งที่ดีงามเรียกว่า ศรัทธา
---อริยสัจ-อริยสัจจ์ - ความจริงอย่างประเสริฐ, ความจริงของพระอริยะ, ความจริงที่ทำคนให้เป็นพระอริยะ มี ๔ อย่าง คือ ทุกข์ (หรือ ทุกขสัจจะ) สมุทัย (หรือ สมุทัยสัจจะ) นิโรธ (หรือ นิโรธสัจจะ) มรรค (หรือ มัคคสัจจะ) เรียกเต็มว่า ทุกข(อริยสัจจ์) ทุกขสมุทัย(อริยสัจจ์) ทุกขนิโรธ(อริยสัจจ์) และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา(อริยสัจจ์)
---อนิฎฐารมณ์ - อารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนา
---อริยบุคคล - บุคคลซึ่งเป็นอริยะ, ท่านผู้บรรลุธรรมวิเศษมีโสดาปัตติมรรค จึงเกิดโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบัน เป็นต้น มี ๔ คือ พระโสดาบัน๑ พระสกทาคามี๑ พระอนาคามี๑ พระอรหันต์๑ ; ดูโลกุตรธรรม
---อภิธรรม - หมวดแห่งคำสอนของพระพุทธศาสนา ฝ่ายปรมัตถธรรม ว่าด้วยจิต เจตสิก รูป นิพพาน
---อภิชฌา - โลภอยากได้ของเขา, ความคิดเพ่งเล็งจ้องจะเอาของของคนอื่น
---อภิสังขาร - สภาพที่ปรุงแต่งผลแห่งการกระทำของบุคคล, เจตนาที่เป็นตัวการในการทำกรรม มี ๓ อย่างคือ ๑. ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารที่เป็นบุญ ๒. อปุญญาภิสังขาร อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญ คือ บาป ๓. อาเนญชาภิสังขาร อภิสังขารที่เป็นอเนญชา คือ กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร ๔; เรียกง่าย ๆ ได้แก่ บุญ บาป ฌาน
---อัตตวาทุปาทาน - ความยึดมั่นในวาทะ (คําพูด) จนเกิดมายาจิตไปยึดว่าเป็นตัวตน ของตนขึ้นในจิต เป็นหนึ่งในอุปาทานทั้ง ๔ ชนิด (รายละเอียดอยู่ในปฏิจจสมุปบาท)
---อวิชชา - ความไม่รู้จริง, ความหลงอันเป็นเหตุไม่รู้จริง มี ๔ คือความไม่รู้อริยสัจ ๔ แต่ละอย่าง (ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดแห่งทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ทางให้ถึงความดับทุกข์),
---อวิชชา๘ - ความไม่รู้จริง, ความหลงอันเป็นเหตุไม่รู้จริงมี ๘ คือ ความไม่รู้อริยสัจทั้ง๔ และเพิ่ม ๕.ไม่รู้อดีต ๖.ไม่รู้อนาคต ๗.ไม่รู้ทั้งอดีตและอนาคต ๘.ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท
---อวิชชานุสัย - กิเลสที่แฝงตัวนอนเนื่องในสันดานอันเกิดจากความไม่รู้ตามความเป็นจริง, อันจักอาจทําให้เกิด การกระทําหรือการประพฤติ,ปฏิบัติโดยไม่รู้ตามความเป็นจริงในสภาวะธรรมนั้นๆ อันอาจก่อทุกข์; ดูอนุสัย
---อวิชชาผัสสะ - ผัสสะที่ยังไม่มีวิชชาในเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ จึงไม่รู้และไม่มีสติรู้เท่าทันว่าจะมีสัญญาความจําอันแฝงไว้ด้วยกิเลส(อาสวะกิเลสนั่นเอง)เกิดขึ้นด้วยเป็นธรรมดา จึงยอมให้อาสวะกิเลสนั้นแฝงติดมากับการกระทบผัสสะนั้น อันพร้อมที่จะทํางานเมื่อถูกกระตุ้นเร่งเร้าจากตัณหา
---อรูป - ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ ได้แก่ อรูปฌาน, ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงอรูปฌาน, ภพของอรูปพรหม มี ๔ คือ ๑. อากาสานัญจายตนะ (กำหนดที่ว่างหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์) ๒. วิญญาณัญจายตนะ (กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์) ๓. อากิญจัญญายตนะ (กำหนดภาวะที่ไม่มีอะไร ๆ เป็นอารมณ์) ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่)
---อรูปฌาน - ฌานมี อรูปธรรม เป็นอารมณ์ มี ๔ ดู อรูป
---อรูปภพ - ภพของผู้เข้าถึงอรูปฌาน, โลกเป็นที่อยู่ของพรหมไม่มีรูป
---อรูปราคะ - ความติดใจใน อรูปธรรม, ความติดใจในอารมณ์แห่ง อรูปฌาน, ความปรารถนาใน อรูปภพ (ข้อ ๗ ในสังโยชน์ ๑๐)
---อรูปาวจร - ซึ่งท่องเที่ยวไปในอรูปภพ, ยังเกี่ยวข้องอยู่กับอรูปธรรม, รูปาวจร-ซึ่งท่องเที่ยวไปในรูปภพ, ยังเกี่ยวข้องอยู่กับรูปธรรม
---อสังขตธรรม - ธรรมอันมิได้ถูกปรุงแต่ง กล่าวคือสภาวธรรมหรือธรรมชาตินั่นเอง ได้แก่ นิพพาน, มีองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งคือ มีความเที่ยง คงทนต่อทุกกาล แต่ก็เป็นอนัตตา ดังแสดงไว้ในบทพระไตรลักษณ์
---อายตนะภายใน - อวัยวะที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารอันมี ตา, หู, จมูก, ลิ้น,กาย, ใจ, ทั้ง๖
---อายตนะภายนอก - สิ่งที่ถูกรู้โดยอายตนภายในอันมี รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สัมผัส,ธรรมารมณ์(สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยใจหรือความคิด) ทั้ง ๖ เรียกทั่วๆ ไปอีกอย่างในทางธรรมว่า "อารมณ์ ๖"
---อานิสงส์ - ผลแห่งความดี, ผลแห่งบุญกุศล, ประโยชน์, ผลดี
---อามิส - เครื่องล่อใจ หรือกิเลส, เหยื่อ, สิ่งของ
---อามิสบูชา - การบูชาด้วยอามิส คือ ด้วยสิ่งของมีดอกไม้ ของหอม อาหาร และวัตถุอื่นๆ (ข้อ ๑ ในบูชา ๒)
---อารมณ์-ในทางธรรมหมายถึง สิ่งที่จิตไปยึดหน่วงหรือยึดเป็นหลัก หรือสิ่งที่เป็นที่กำหนดของจิตในขณะนั้น ๆ อันมีรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสธรรมารมณ์ (อายตนะภายนอก ๖)นั่นเอง; เครื่องยึดหน่วงของจิต, สิ่งที่จิตยึดหน่วงไว้ในขณะนั้นๆ, สิ่งที่ถูกรู้หรือถูกรับรู้ในขณะนั้นๆได้แก่อายตนะภายนอก ๖ คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะและธรรมารมณ์; ในภาษาไทยหรือในทางโลก มีความหมายเลือนไปหรือแปลไปว่า เป็นความรู้สึกหรือความเป็นไปแห่งจิตใจ ในขณะหรือช่วงเวลาหนึ่ง ๆ เช่นว่าอย่าทำตามอารมณ์วันนี้อารมณ์ดี ตอนนี้อารมณ์เสียเป็นต้น จึงทำให้ตีความหรือจำแนกแตกธรรม ในการทำความเข้าใจในธรรมต่างๆ ไม่ได้หรือไม่ถูกต้อง
---อานาปานสติ - อานาปานสติกัมมัฏฐาน-กัมมัฏฐานที่ใช้สติกำหนดลมหายใจเข้าออก
---อาสาฬหบูชา - “การบูชาในเดือน ๘” หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน ๘ เพื่อรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นการพิเศษ เนื่องในวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ทำให้เกิดมีปฐมสาวก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ และเกิดสังฆรัตนะคำรบพระรัตนตรัย
---อาโลกสัญญา - ความสำคัญในแสงสว่าง, กำหนดหมายแสงสว่าง คือ ตั้งความกำหนดหมายว่า กลางวันไว้ในใจ ให้เหมือนกันทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เป็นวิธีแก้ง่วงอย่างหนึ่ง
---อาสวะ - กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน ไหลซึมซ่านไปย้อมจิตเมื่อประสบอารมณ์ต่างๆ ถ้าแบ่งตามเหตุที่ทำให้เกิดมี ๓ อย่าง คือ
---๑.กามาสวะ อาสวะคือกาม อาสวะอันเกิดแต่ กามคุณ ๕
---๒.ภวาสวะ อาสวะ คือ ภพ อาสวะอันเกิดแต่ภาวะของจิต ทำให้อยากเป็น อยากเกิด อยากมี อยู่คงอยู่ตลอดไป
---๓.อวิชชาสวะ อาสวะ คือ อวิชชา อาสวะอันเกิดแต่ความไม่รู้หรืออวิชชา
---อีกหมวดหนึ่งมี ๔ คือ ๑. กามาสวะ ๒. ภวาสวะ ๓. ทิฏฐาสวะ อาสวะ คือ ทิฏฐิ ๔. อวิชชาสวะ
---อาสวะกิเลส - สิ่งที่ทําให้จิตขุ่นมัวที่หมักหมมหรือนอนเนื่องอยู่ในจิต รอเวลาซึมซ่านขึ้นมาย้อมจิตเมื่อประสบกับอารมณ์ (หรืออาจพูดได้ว่าคือสัญญาหรือความจําที่สั่งสมอันมีกิเลสสิ่งที่ทําให้จิตขุ่นมัวแฝงอยู่อันเนื่องจากทุกข์และสุขในอดีต) ถ้าแบ่งตามผลหรืออาการที่เกิดขึ้น อันมี โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส; ดูอาสวะ
---โสกะ-ความโศกโศรก เศร้าแห้งใจ หดหู่ใจ โศรกเศร้าจากการเสื่อมหรือสูญเสียต่าง ๆ เช่นโศกเศร้าของผู้ที่เสื่อมสุขเสื่อมญาติ เสื่อมทรัพย์ เสื่อมเกี่ยวด้วยโรคเสื่อม ศีลเสื่อมทิฏฐิ เสื่อมยศ ฯลฯ.
---ปริเทวะ - ความครํ่าครวญ โหยหา รํ่าไรรําพัน พิรี้พิไรรําพัน อาการของความอาลัยอาวรณ์คิดคํานึงถึงในสุขหรือทุกข์ในอดีตที่เสื่อมหรือสูญเสียไปแล้ว เช่นโหยหา, อาลัย, ครํ่าครวญถึงสุข, ความสนุก, ญาติ, ทรัพย์, เกียรติ ฯลฯ.ที่รุ่งเรืองหรือเสื่อมหรือดับไปแล้วแต่อดีต อันอยากให้เกิดหรือไม่เกิดขึ้นอีก
---ทุกข์ - ความทุกข์ทางกาย ความไม่สบายกายทั้งหลาย ความจดจําได้ ความกลัว ในความเจ็บปวด ความป่วยไข้ การบาดเจ็บ
---โทมนัส - เศร้าใจ เสียใจ ความทุกข์ทางจิต ความไม่สําราญทางจิต อารมณ์ไม่ดีเป็นทุกข์เกิดแต่ใจ ไม่ได้ดังใจ ไม่ได้ตามใจปรารถนา
---อุปายาส-ความคับแค้นใจ, ความสิ้นหวัง, ความขุ่นเคืองคับแค้นใจขุ่นข้อง เช่นความโกรธความอาฆาตพยาบาทขุ่นเคือง หรือเกิดจากความคับแค้นใจหรือถูกเบียดเบียน รังแก เอาเปรียบ
---อาสวักขยญาณ - ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ, ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย, (ข้อ ๓ ในญาณ ๓ หรือวิชชา ๓) อาหาร - ปัจจัยอันนำมาซึ่งผล, เครื่องค้ำจุนชีวิต, หรือเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต มี ๔ คือ
---๑.กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าว เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงร่างกาย
---๒.ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะ เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงเวทนา
---๓.มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือมโนสัญเจตนา เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงให้เกิดกรรม(การกระทำ)
---๔.วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงนาม-รูป
---อาหาเรปฏิกูลสัญญา - กำหนดหมายความเป็นปฏิกูลในอาหาร, ความสำคัญหมายในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล พิจารณาให้เห็นว่าเป็นของน่าเกลียด โดยอาการต่างๆ เช่น ปฏิกูล โดยบริโภค, โดยประเทศที่อยู่ของอาหาร, โดยสั่งสมอยู่นาน เป็นต้น (ข้อ ๓๕ ในกรรมฐาน ๔๐)
---อิทธิบาท - คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ, คุณเครื่องสำเร็จสมประสงค์, ทางแห่งความสำเร็จมี ๔ คือ ๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น ๒. วิริยะ ความพยายามทำสิ่งนั้น ๓. จิตตะ ความเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น ๔. วิมังสา ความพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผลในสิ่งนั้น, จำง่าย ๆ ว่า มีใจรัก พากเพียรทำ เอาจิตฝักใฝ่ ใช้ปัญญาสอบสวน
---อิทัปปัจจยตา - หลักธรรมที่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ อันกล่าวถึงกฏเหตุปัจจัยดังนี้
---เมื่อเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี เพราะเหตุนี้เกิดขึ้น ผลนี้จึงเกิดขึ้น
---เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้จึงไม่มี เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ
---กล่าวคือ เมื่อดับเหตุลงไป ผลนั้นย่อมต้องดับไปด้วยเป็นธรรมดา, ส่วนการดับที่ผลนั้น เมื่อเหตุยังคงอยู่ จึงย่อมเกิดผลขึ้นใหม่ได้อีกเป็นธรรมดา
---อิริยาบถ - การเคลื่อนไหวของร่างกาย อิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน
---อุคคหนิมิต - นิมิตติดตา หมายถึงนิมิต(อารมณ์กรรมฐาน) ที่นึกกําหนดจนแม่นใจ หรือเพ่งดูจนติดตา แม้หลับตาก็เห็น อุทธัจจกุกกุจจะ - ความฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ)และรำคาญ(กุกกุจจะ), ความฟุ้งซ่านและความเดือดร้อนใจ (ข้อ ๔ ในนิวรณ์ ๕)
---อุทธัจจะ - ความฟุ้งซ่าน, จิตต์ส่าย, ใจวอกแวก (พจนานุกรมเขียน อุทธัจ); (ข้อ ๙ ในสังโยชน์ ๑๐)
---อุทธัจจกุกกุจจะ - ความฟุ้งซ่านและรำคาญ, ความฟุ้งซ่านและความเดือดร้อนใจ (ข้อ ๔ ในนิวรณ์ ๕)
---อุทาน - วาจาที่เปล่งขึ้นโดยความเบิกบานใจ มักเป็นข้อความสั้นๆเพียง ๑ หรือ ๒ คาถา ; ในภาษาไทย หมายถึงเสียงหรือคําพูดที่เปล่งออกมาเวลาดีใจหรือตกใจ อุภโตภาควิมุต - “ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน” คือ พระอรหันต์ผู้บำเพ็ญสมถะมาเป็นอย่างมากจนได้สมาบัติ ๘ แล้ว จึงใช้สมถะนั้นเป็นฐานบำเพ็ญวิปัสสนาต่อไปจนบรรลุอรหัตตผล;
---หลุดพ้นทั้งสองส่วน (และสองวาระ) กล่าวคือ หลุดพ้นจากรูปกายด้วยอรูปสมาบัติ (เป็นวิกขัมภนะ) หนหนึ่งแล้ว แล้วจึงหลุดพ้นจากนามกายด้วยอริยมรรค (เป็นสมุจเฉท) อีกหนหนึ่ง
---อุบาย - อุบาย วิธีสำหรับประกอบ, หนทาง, วิธีการ, กลวิธี, (ภาษาไทยใช้ไปในความหมายถึง เล่ห์เหลี่ยมด้วย)
---อุเบกขา - การเป็นกลางวางทีเฉย กล่าวคือ มีสติรู้เท่าทันสภาวธรรมที่เกิดขึ้นนั้นๆตามเป็นจริง และเมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นผลอันเกิดขึ้นโดยสมควรแก่เหตุ และพึงปฏิบัติต่อไปตามธรรม หรือตามควรแก่เหตุนั้นแล้ว แต่ก็ย่อมเกิดความรู้สึกเป็นสุขบ้าง,ทุกข์บ้าง,อทุกขมสุขบ้าง(คือเวทนา) อย่างไรก็รู้สึกอย่างนั้นอันย่อมเป็นไปตามธรรม ไม่ต้องฝืน แต่ต้องเป็นกลางโดยการวางทีเฉยต่อธรรมหรือสิ่งที่ควรเหล่านั้นเสีย เป็นกลางวางทีเฉย ที่หมายถึง เจตนากระทำโดยอาการไม่เอนเอียง ไม่แทรกแซง ไม่พัวพันเข้าไปคิด,นึก,ปรุงแต่ง ไม่ว่าในฝ่ายที่ว่า เราเขา, ดีหรือชั่ว, ถูกหรือผิด บุญบาป ฯ. ก็ตามที เพราะมักเป็นการหลอกล่อของจิต ให้ไปปรุงแต่ง (เพราะการปรุงแต่งต่างๆล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาต่างๆ อันอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา อุปาทานต่างๆ จึงยังให้เกิดทุกข์อุปาทานอันแสนเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายยิ่งกว่าทุกขเวทนา(อันเป็นเพียงทุกข์ธรรมชาติ) และย่อมเป็นไปอย่างต่อเนื่องแสนยาวนานในชรา และเกิดอาสวะกิเลส อันล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรมนั่นเอง), อุเบกขาเป็นองค์ธรรมข้อสุดท้ายในสัมโพชฌงค์๗ ที่ยังให้ทั้งวิชาและวิมุตติบริบูรณ์ได้เท่านั้น
---อุเบกขาเวทนา-หรืออทุกขมสุข ชื่อเดียวกันของเวทนาชนิดไม่สุขไม่ทุกข์ หรือความรู้สึกเฉยๆ แต่ยังไม่ประกอบด้วยการรู้เห็นตามความเป็นจริง ในธรรมนั้น ๆ ดังอุเบกขาในสัมโพชฌงค์ ๗
---อุปกิเลส - โทษเครื่องเศร้าหมอง, สิ่งที่ทำจิตใจให้เศร้าหมองขุ่นมัว รับคุณธรรมได้ยาก มี ๑๖ อย่าง คือ ๑. อภิชฌาวิสมโลภะ(โลภะ) ละโมบ จ้องจะเอาไม่เลือกควรไม่ควร ๒. โทสะ คิดประทุษร้าย ๓. โกธะ โกรธ ๔. อุปนาหะ ผูกโกรธไว้ ๕. มักขะ ลบหลู่คุณท่าน ๖. ปลาสะ ตีเสมอ ๗. อิสสา ริษยา ๘. มัจฉริยะ ตระหนี่ ๙. มายา เจ้าเล่ห์ ๑๐. สาเถยยะ โอ้อวด ๑๑. ถัมภะ หัวดื้อ ๑๒. สารัมภะ แข่งดี ๑๓. มานะ ถือตัว ๑๔. อติมานะ ดูหมิ่นท่าน ๑๕. มทะ มัวเมา ๑๖. ปมาทะ เลินเล่อหรือละเลย (ดู อุปกิเลส ๑๐ แห่งวิปัสสนา)
---อุปจารสมาธิ - สมาธิจวนจะแน่วแน่, สมาธิที่ยังไม่ดิ่งถึงที่สุด แต่เป็นขั้นทำให้กิเลส มีนิวรณ์เป็นต้นระงับได้ดี ก่อนจะเป็นอัปปนาสมาธิ คือถึงฌาน
---อุปธิ - สิ่งนุงนัง, สภาวะกลั้วกิเลส, สิ่งที่ยังระคนด้วยกิเลส ๑.ร่างกาย ๒.สภาวะอันเป็นที่ตั้งที่ทรงไว้แห่งทุกข์ได้แก่ กาม กิเลส เบญจขันธ์ และอภิสังขาร
---อุปาทิ
---๑.สภาพที่ถูกกรรมกิเลสถือครอง, สภาพที่ถูกอุปาทานยึดไว้มั่น, เบญจขันธ์
---๒.กิเลสเป็นเหตุถือมั่น, ความยึดมั่นถือมั่น, อุปาทาน
---อุปาทาน - ความยึดมั่น,ความถือมั่นด้วยอำนาจของกิเลสตน ก็เพื่อสนองความพึงพอใจของตนเป็นเอก หรือเป็นสำคัญนั่นเอง
---ความยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจของตัวของตนด้วยกิเลสเป็นสําคัญ (รายละเอียดอยู่ในบทปฏิจจสมุปบาท), แบ่งออกเป็น ๔
---ความยึดมั่น, ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส มี ๔ คือ ๑. กามุปาทาน ความถือมั่นในกามทั้ง๕ ๒. ทิฏฐุปาทาน ความถือมั่นในทิฏฐิ คือความเชื่อ,ความเข้าใจ,ทฤษฎีของตน ๓. สีลัพพตุปาทาน ความถือมั่นหรือความเชื่อในศีลและพรตอย่างงมงาย ๔. อัตตวาทุปาทาน ความถือมั่นในวาทะ (คำพูดจา) จนเกิดมายาแก่จิตหลงผิดไปว่า เป็นตน เป็นตัวตน เป็นของตัวของตนอย่างแท้จริง
---อุปาทานขันธ์ ๕ - ขันธ์ ๕ ที่ประกอบด้วยอุปาทานคือความยึดมั่นด้วยกิเลส อันมี รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ และวิญญาณูปาทานขันธ์ กล่าวคือขันธ์ ๕(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ที่เกิดขึ้นโดยมีความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสเพื่อความพึงพอใจหรือสุขของตนเองเป็นสำคัญ แอบแฝงหรือนอนเนื่องอยู่ในขันธ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น ถ้ามองในมุมของปฏิจจสมุปบาท ก็คือขันธ์ ๕ ที่เกิดใน"ชาติและชรา" อันผ่านการครอบงําหรือประกอบด้วยอุปาทานหรือการยึดมั่นด้วยกิเลสแล้วนั่นเอง
---ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน, ขันธ์ที่ประกอบด้วยอุปาทานได้แก่ ขันธ์ในเบญจขันธ์ คือ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ ที่ล้วนประกอบด้วยอาสวะ หรือมีอาสวะหรืออุปาทานแฝงอยู่นั่นเอง เมื่อประกอบด้วยอุปาทานแล้ว เรียกใหม่เป็น รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ และวิญญาณูปาทานขันธ์
---อุปาทายรูป ๒๔ - รูปอาศัย, รูปที่เกิดสืบเนื่องจากมหาภูตรูป, อาการของมหาภูตรูป, ตามหลักฝ่ายอภิธรรมว่ามี ๒๔, จึงเป็นเหตุให้มีลักษณะรูปร่าง เพศ สวยไม่สวย ฯลฯ. ลักษณะจึงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
---เอกัคคตา - ความมีอารมณ์เป็นอันเดียว คือ ความมีจิตแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว ได้แก่สมาธิ (พจนานุกรม เขียน เอกัคตา) ดู ฌาน
---อัตตา - ตัวตน, อาตมัน ; ปุถุชนย่อมยึดมั่น มองเห็นขันธ์ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมดเป็นอัตตาหรือตัวตน หรือยึดถือว่าอัตตา(ตัวตน)เนื่องด้วยขันธ์ ๕ โดยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง : ตรงข้ามกับ อนัตตา
---อัปปนาสมาธิ - สมาธิแน่วแน่, จิตตั้งมั่นสนิท เป็นสมาธิในฌาน
---อัพยากฤต - “ซึ่งท่านไม่พยากรณ์”, บอกไม่ได้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล คือ เป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล
---อัพโพหาริก - กล่าวไม่ได้ว่ามี, มีแต่ไม่ปรากฏ จึงไม่ได้เป็นการเล่นโวหารที่ว่า มี, มีเหมือนไม่มี เช่น สุราที่เขาใส่ในอาหารบางอย่างเพื่อฆ่าคาวหรือชูรส ก็ถือว่าไม่มีเจตนาในการเสพสุรา, เจตนาที่มีในเวลาหลับเช่นอสุจิเคลื่อนโดย ฝันในขณะหลับ เป็นต้น แม้มีเจตนาที่แอบนอนเนื่องโดยไม่รู้ตัว ก็ไม่ถือว่ามีเจตนา เพราะเป็นเจตนาที่โดยไม่ได้ตั้งใจอย่างแท้จริงแต่เป็นไปโดยธรรมหรือธรรมชาติ
---เอกพีซี - ผู้มีพืชคืออัตภาพอันเดียว หมายถึง พระโสดาบันซึ่งจะเกิดอีกครั้งเดียวก็จะบรรลุพระอรหัตตผลในภพที่เกิดขึ้น
---เอกายนมรรค - ทางอันเอก คือ ข้อปฏิบัติอันประเสริฐที่จะนำผู้ปฏิบัติไปสู่ความบริสุทธิ์หมดจด หมดความทุกข์ และบรรลุนิพพาน ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔; อย่างกว้าง เช่น ในมหานิทเทส หมายถึง โพธิปักขิยธรรม ด้วย
---เอตทัคคะ - พระสาวกที่ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ยอดเยี่ยมในทางใดทางหนึ่ง เช่น เป็นเอตทัคคะ ในทางธรรมกถึก หมายความว่าเป็นผู้ยอดเยี่ยมในทางแสดงธรรม เป็นต้น
---โอกกันติกาปีติ - ปีติเป็นระลอก, ความอิ่มใจเป็นพักๆ เมื่อเกิดขึ้นทำให้รู้สึกซู่ซ่าเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง (ข้อ ๓ ในปีติ ๕)
---โอวาทปาฏิโมกข์ - หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา)
---โอภาส - ๑. แสงสว่าง, แสงสุกใสผุดผ่อง (ข้อ ๑ ในวิปัสสนูปกิเลส ๑๐) จัดเป็นนิมิตอย่างหนึ่ง ๒. การพูดหรือแสดงออกที่เป็นเชิงเปิดช่องทางหรือให้โอกาส เช่นที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำโอภาส ณ ที่ต่างๆ หลายแห่ง ซึ่งถ้าพระอานนท์เข้าใจ ก็จะทูลขอให้ทรงดำรงพระชนม์อยู่ตลอด (อายุ) กัป
---โอปปาติกะ - สัตว์เกิดผุดขึ้น คือ เกิดผุดขึ้นมาและโตเต็มตัวในทันใด ตายก็ไม่ต้องมีเชื้อหรือซากปรากฏ เช่นเทวดาและสัตว์นรก เป็นต้น (ข้อ ๔ ในโยนิ ๔); บาลีว่า รวมทั้งมนุษย์บางพวก
kahuna@g-cnfh.org hbd@tlv-apmhet.net isa@gdzfwwd.us vau-oic@vjpcazj.org qcapiqa@l-admz.us omz-eniac@g-tby.org vac@gvz-nrefgq.us
---อธิบายศัพท์ ส่วนใหญ่ใจความคัดลอกมาจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ และฉบับประมวลธรรม
---โดย ท่านพระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต) และจาก พจนานุกรมฉบับราชบัณทิตยสถาน แต่เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมบรรยาย ในเว็บหรือโฮมเพจนี้จึงมีการแทรกความคิด, ความเห็น, ความเข้าใจของWebmaster "ปฏิจจสมุปบาท" นี้ลงไปด้วย สำหรับการตรวจดูต้นฉบับ ท่านสามารถ Link ไปที่ พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ และประมวลธรรมหรือที่นี่ และที่ พจนานุกรมฉบับราชบัณทิตยสถาน
---ความผิดพลาดใดๆที่อาจเกิดขึ้นเพราะความรู้น้อยของผู้เขียน ผู้เขียนกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้
พนมพร
ส่วนบนของฟอร์ม
ส่วนล่างของฟอร์ม
..................................................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 30 สิงหาคม 2558
ความคิดเห็น