รู้พลังจักรวาล
*พลังจักรวาล
---หลักสำคัญของพลังจักรวาลคือการเพิ่มพลังให้กับร่างกายทั้งกายธาตุและกายทิพย์ เพื่อเพิ่มพลังหรือชำระให้สะอาดหมดจด หรือทั้งสองอย่าง
---ความจริงแล้วไม่ใช้แค่วิชาพลังจักรวาลเท่านั้นที่ใช้หลักการนี้พวกเทวปูชาก็ใช้หลักการนี้มาแต่ดึกดำบรรพ์ พวกฤๅษีก็ใช้ แม่แต่พระสงฆ์องค์เจ้าก็ใช้ หลักการวิชาธรรมะเปิดโลกก็เป็นหลักการเดียวกัน เพียงแต่มีเป้าหมายสูงกว่าคือเพื่อรู้แจ้งโลกและหลุดพ้น
---ส่วนพลังจักรวาลที่ใช้ๆกันทั่วไปนั้นต้องการเพียงเพื่อผลทางสุขภาพกาย สุขภาพใจเป็นสำคัญ
*แหล่งพลังงาน
---พลังทุกอย่างต้องมีที่มา เช่นพลังแม่เหล็กโลกก็มาจากแกนโลก พลังหลุมดำก็มาจากศูนย์กลางแกแลกซี่ พลังจักรวาลก็มีที่มาเช่นกัน ขอบอกเพียงสั่นๆว่าเป็นพลังศักดิ์ จะศักดิ์สิทธิ์มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับผู้อัญเชิญเป็นสำคัญ
*จักรา
---จักราคือตำแหน่งที่ใกล้เคียงกลุ่มอวัยวะสำคัญหลักๆของร่างกายที่ง่ายต่อการมอบพลัง เพราะเชื่อมโยงกันด้วยระยะทางอันสั้น
---นิยามแพทย์จะเข้าใจได้ง่ายกว่าและตรงความจริงกว่าด้วย
---อวัยวะสำคัญ ๆ ในร่างกาย
---สมอง ใช้ตำแหน่ง ยอดศรีษะ
---ตา หู จมูก ลิ้น ใช้ตำแหน่ง หลังศรีษะ
---คอ หลอกลม กระเดือก ใช้ตำแหน่ง คอด้านหลัง
---หัวใจ ปอด ใช้ตำแหน่ง หลังตอนบน
---กระเพาะ ใช้ตำแหน่ง หลังตอนกลาง
---ตับ ไต ม้าม ใช้ตำแหน่ง หลังตอนกลางล่าง(ตรงกับสะดือ)
---ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ รังไข่ ใช้ตำแหน่ง หลังตอนล่าง
---ทวารหนัก ใช้ตำแหน่ง ก้นกบ(ซึ่งตำแหน่งนี้มักให้เจ้ตัวทำเอง)
---ดังนั้นจักราไม่จำเป็นต้องมี 7 อาจจะมีเท่าไรก็ได้ แล้วแต่ความละเอียดในการแบ่ง ซึ่งพวกหมอและพยาบาลจะแบ่งได้แม่นยำกว่า คนทั่วไปมาก
---ที่แบ่งจักราเป็น 7 จุดทั่วไปนั้นเป็นการแบ่งคร่าวๆ เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากล ซึ่งจัดแบ่งกันมาตั้งแต่สมัยก่อนยุคฮินดู และยังอยู่แม่ในปัจจุบันเพราะง่ายดีกระนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีระก็สามารถพัฒนาให้ละเอียดขึ้นได้
*วิธีปฎิบัติแบบพลังจักรวาล
---ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วเป็นวิธีการฝึกปฎิบัติกันมายาวนานแล้ว
---แท้จริงแล้วการเพิ้มพลังให้กับร่างกายทั้งกายธาตุและกายทิพย์นั้นนักปฎิบัติสามารถทำให้ตนเองด้วยตนเองได้ หรือจะรับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยตรงก็ได้ หรือจะรับจากผู้มีใจสูงก็ได้ ดังนี้
*การเพิ่มพลังให้ตนเอง
---สมัยโบราณนั้น นักฝึกฝนได้ทำการเพิ่มพลังให้แก่อวัยวะสำคัญต่างๆของตนเองด้วยพลังจิต โดยทำให้จิตเข้มข้นด้วยการกำหนดสติแล้วเคลื่อนไปยังตำแหน่งที่ใกล้อวัยวะสำคัญเหล่านั้น เพื่อกระตุ้นให้ทำงานดีและมีพลังโดยสมควร
---การฝึกจิตแบบนี้เป็นการฝึกจิตแบบดั้งเดิมของผู้มีใจสูงทั่วโลก ซึ่งชนโบราณได้ค้นพบว่าจุดต่างๆในร่างกายนั้น ถ้าเรารู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ ต่อจิตใจและร่างกายมากดังนี้
*จุดกลางกระหม่อม
---จุดกลางกระหม่อม หรือส่วนบนสุดของศรีษะ จุดนี้เป็นจุดที่คลายอารมณ์คลายความตึงตัวที่ดี เป็นจุดที่ทำให้เกิดปัญญาญาณและสติปัญญา เกิดความปีติแจ่มใสได้ง่าย ให้กำหนดความรู้ตัวที่นี้ให้แจ่มชัด
*จุดหว่างคิ้ว
---จุดหว่างคิ้วนี้เป็นจุดตื่น ทำให้ตื่นตัวได้ง่าย และมีประโยชน์ในการรวมพลังส่งไปให้ผู้อื่น กำหนดจิตไว้ที่นี้อย่างนุ่มเบาและมั่นคง อย่างเพ่งแรง ถ้าเพ่งแรงจิตจะตึง อาจมึนศรีษะได้ จำไว้ปฎิบัตินุ่มเบาและมั่นคง
*จุดที่ตา
---จุดที่ตา เป้นจุดที่หากประคองความรู้ตัวโดยไม่เพ่ง ไม่บีบจุดนี้จะทำให้เกิดจิตตานุภาพ ตานี้จะเป็นหน้าต่างของจิตใจ อาการทางตาเป็นยังไงจิตมักเป็นอย่างนั้น สังเกตดู ถ้าตารู้สึกตึงแสดงว่าจิตใจเรายังตึงตัวอยู่ ให้แผ่เมตตาออกไปจนรู้สึกเป็นที่สบาย
*จุดปลายจมูก
---จุดปลายจมูกนี้ จะเป็นจุดที่ทำให้เกิดปีติ ซาบซ่านได้ง่ายแต่ควรระมัดระวัง อย่าใช้ตาไปเพ่งดู ให้ใช้ความรู้ตัวรู้อยู่ตรงนั้น
*จุดเหนือลูกกระเดือก 2 นิ้ว
---จุดนี้ จะใกล้จุดที่รับรสต่างๆ ของลิ้นมาก เวลาหิวถ้าทำจุดนี้ให้สงบความหิวจะหายไป
*จุดใต้ลูกกระเดือก 2 นิ้ว
---ฐานนี้เป็นภวังค์ของการหลับ ไครมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับให้ประคอความรู้ตัวไว้ที่นี้ จนเป็นที่สบาย ค่อยๆ ผ่อนควายกำหนดตัวเองให้หลับได้ง่าย สังเกตดูเมื่อประคองจิตมาไว้ตรงนี้จะรู้สึกเคลิ้ม
*จุดที่หัวใจ
---จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญที่สุดคือจุดที่หัวใจ จุดนี้เป็นจุดแห่งความรู้แจ้งใหม่ๆ จะเห็นการเต้นของหัวใจได้ชัดผ่อนคลายอาการที่หัวใจนั้น ให้สงบระงับและประคองให้อยู่ในจิตเอง ให้มีสติ จิตรู้จิต จิตรู้ใจ เมื่อมาอยู่ตรงนี้คราใดจะมีความเบิกบานแจ่มใส มีแสงสว่างไสวอยู่ตรงนั้น ประคองไว้ให้มั่น ฐานนี้เป็นฐานที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นฐานที่ตั้งของใจโดยตรง ไม่ว่าจะฝึกจิตในอริยาบถใดก็ตามให้สังเกตและตั้งความรู้ตัวไว้ตรงนี้เสมอๆ
*จุดเหนือสะดือ
---จากนั้นขยับมาที่จุดเหนือสะดือประมาณ 2 นิ้ว หรือจุดก้นกบนั้นเอง จุดนี้เป็นจุดที่ให้ความกระปรี้กระเปร่า ความสดชื่นได้ดี เพราะเมื่อกำหนดจุดนี้ จะทำให้หายใจทั่วปอด เป็นจุดที่ทำให้เกิดปีติ จึงเป็นจุดที่พวกฟๅษีชีไพรติดกันมาก เชื่อว่าเป็นจุดที่นำไปสู่ความสำเร็จแต่จริงๆแล้วยังไม่ใช้ เพียงเป็นจุดที่ให้ความสุขอันละเอียด พึงระวังอย่าเพ่งอย่าบีบจิตฐานนี้จะทำให้ดิ่งจิตเข้าสู่ความสงบ ปล่อยให้คลายไปเลย
*จุดสะดือ
---เมื่อประคองความรู้วจนได้ความสงบพอสมควรแล้ว ต่อไปค่อยๆประคองความรูตัวมาไว้ที่สะดือ ที่สะดือเป็นจุดเริ้มต้นที่นำอาหารและอากาศมาล่อเลี้ยงร่างกายสมัยเป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดา ดังนั้น ประคองความรู้ตัวให้แจ่มใส เมื่อแจมใสได้ดีแล้ว จะเห็นขบวนการต่างๆ ของร่างกายภายในได้ชัดเจน
*จุดใต้สะดือ
---จุดต่อไปนี้เป็นจุดใต้สะดือสองนิ้ว เอาความรู้ตัวไปอยูที่นั้นอย่างสงบ น่มนวลและแผ่วเบา อย่าเพ่งอย่าบีบจิต ฐานนี้จะทำให้ดิ่งไปสู่ความสงบปแล่อยดิ่งไปเลยจนเป็นที่สบาย
*จุดก้นกบ
---จุดต่อไปนี้ให้กำหนดความรู้ตัวไว้ที่ก้นกบ จุดนี้เป็นจุดรับน้ำหนักของเราในขณะนี้ เป็นจุดที่สร้างความรู้สึกทางกายได้ชัด จะเกิดความเสียวซ่านไปยังประสาทส่วนต่างๆทำให้กำหนดความรู้ตัวทั่วพร้อมได้ง่าย
*จุดท้ายทอย
---ให้ประคองความรู้ตัวจากก้นกบขึ้นไปตามกระดูกสันหลัง ถึงตรงรอยต่อของกระดูกสันหลังกับสมองใกล้ Medulla Oblongataภาษาฤๅษีเรียกศูนย์วิสุทธิจักร จุดนี้เหมือนกับหัวเทียนในร่างกายของคนจะ spark พลังต่างๆมากมาย ถ้าทรงสติ ณ จุดนี้ให้มั่นคงต่อเนื่องจนเป็นสมาธิและผ่อนคลายให้โปร่งว่างสบายแล้ว กระบวนการสร้างพลังจะราบรื่นและสามารถดูดพลังละเอียดในบรรยากาศมาบริโภคได้ เช่น อีเธอร์หรือโอโซนในบรรยากาศ หรือรังสีทิพย์ในมิติทิพย์ เป็นต้น
---นั้นคือเทคนิคการเพิ้มพลังในตนด้วยตนเอง ซึ่งนักปฎิบัติตามพงไพรนิยมใช้กันเป็นประจำ
---แต่หากพลังของตนมีไม่พอ เพราะดูแลตัวเองไม่ดี ไม่บริหารเลยอาจเชิญพลังของศาสดาหรือครูบาอาจารย์ที่ตนนับถือ(ศาสนาไหนก็ได้)มาโปรดตนก็ได้….
......................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 25 กันยายน 2558
ความคิดเห็น