/music/.mp3 http://www.watkaokrailas.com
สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

 ติดต่อเรา-แผนที่

ความกตัญญูกตเวที=คลิป

ความกตัญญูกตเวที=คลิป

ปุจฉา-วิสัชชนาความกตัญญูกตเวที




โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)

เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง  DMC




 

Q1.คนโบราณบอกไว้ว่าคนที่มีความกตัญญูกตเวที ชีวิตของเขาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น


Q2.ความกตัญญูจะทำให้เกิดปัญญาได้อย่างไร


Q3.จะมีวิธีสอนให้ลูกหลานของเราเป็นคนดี มีความกตัญญูได้อย่างไร

(กดลิงค์-บน) 

---คำถาม. กราบ นมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ  ลูกขอเรียนถามท่าน คนโบราณบอกไว้ว่าคนที่มีความกตัญญูกตเวที  ชีวิตของเขาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง  ลูกอยากทราบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นคะ 

 

---คำตอบ. เจริญพร คนที่มีความกตัญญูกตเวทีก็คือคนที่รู้คุณ แล้วก็รักที่จะประกาศคุณ  ซึ่งเคยได้รับมาจากผู้อื่น  พูดอีกทีหนึ่ง  คนที่มีความกตัญญูกตเวที  เขาเป็นคนโชคดีตั้งแต่เริ่มต้น  โชคดีตรงไหน  โชคดีตรงที่เขาเกิดมา  เขาก็ได้เจอคนดี คนมีน้ำใจ  เพราะเขาเคยได้รับน้ำใจมาจากคนดี 

 

---บางคนตลอดชีวิตไม่เคยมีใครหยิบยื่นพระคุณมาให้กับเขาเลย  ไม่ว่าเขาจะตกทุกข์ได้ยากอย่างไร  ไม่เคยมีใครหยิบยื่นมาโอบอุ้ม มาช่วยเหลือ มาหอบหิ้วเขาเลย  เมื่อเป็นเช่นนั้น  เขามีความรู้สึกอย่างไร  เขาจะรู้สึกว่าโลกทั้งโลกมีแต่ความแห้งแล้ง  มีแต่คนใจแคบ  มีแต่ตัวใครตัวมัน  แต่ว่าเขาเป็นคนโชคดี เขาได้เจอคนดี ที่พร้อมจะหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้  แล้วเขาก็ได้รับด้วยตัวของเขาเอง 

 (กดลิงค์-บน)

---ถ้าคนๆ นี้เขาได้คิดอย่างที่ว่านี้  เพราะว่าเขาได้รับความมีน้ำใจมาแล้ว  เมื่อเขาได้รับความมีน้ำใจมาแล้ว  เขาก็รู้คุณค่าของความมีน้ำใจนั้นด้วย  นั่นแหละเขาเรียกว่า คนมีความกตัญญู  คือ คนรู้คุณ ที่เขาเคยทำให้กับตัวเอง

 

---แต่ถ้าคนไหน ทั้งๆ ที่เขายื่นมือมาช่วยเหลือ  ทำให้ตัวพ้นทุกข์พ้นยาก  แล้วก็ยังนึกถึงคุณเขาไม่ออก  ฟ้องว่าอะไร  ฟ้องว่าคนนี้ใจบอดเสียแล้ว  ตาของเขาอาจจะยังดีอยู่  แต่ใจของเขามันบอด  บอดตรงที่มองความดีของคนอื่นไม่เห็น  ทั้งๆ ที่ความดีนั้นได้ถูกหยิบยื่นมาให้ตัวเขาเอง  คนประเภทนี้อันตราย  ทำไม

 

---๑.เพราะเขาจะมองคนทั้งหลายที่ไม่เคยหยิบยื่นความสุข  ความสะดวกสบายให้เขามาเลย  เหมือนคนไม่รู้จัก หรือบางทีอาจเห็นเป็นศัตรูไปเลย

 

---๒.แม้แต่คนที่หยิบยื่นให้ความช่วยเหลือเขามาแล้ว เขาก็ยังมองไม่เห็นความดีอีก  เมื่อเป็นเช่นนี้  โลกทั้งโลกได้กลายเป็นโลกมืดสำหรับเขาเสียแล้ว  คนประเภทนี้จึงไม่มีความสุขตลอดชีวิต  นี่คือสภาพจิตใจของคนเรา ที่มันแตกต่างกันระหว่างคนมีความกตัญญู กับคนไม่มีความกตัญญู 

 

---๓.บางคนมีความกตัญญู  รู้ว่าเขามีคุณกับเรา  แต่ว่าแค่นี้ยังไม่พอ  มันต้องยิ่งกว่านั้น  เช่น สุนัขบางตัวที่เราเลี้ยงให้อาหาร  ถึงเวลามันยังรู้คุณเรา  เพราะฉะนั้นถ้าคนไหน  ใครเขาทำความดีให้แล้วไม่รู้คุณ   คนไทยหรือว่าคนโบราณจึงมีคำพูดหนักๆ กับคนไม่รู้คุณคน  เขาเปรียบเทียบเอาไว้มาก  ในขณะที่สุนัขบางตัวอีกเหมือนกัน นอกจากรู้คุณเจ้าของแล้ว   มันยังช่วยเฝ้าบ้านได้ด้วย  นั่นก็เป็นวิธีตอบแทนคุณอย่างหนึ่งของสุนัข  มันทำได้แค่นั้น

 

---คนเรานั้น เมื่อรู้คุณแล้วไม่คิดตอบแทนคุณ  ตรงนี้มันไม่ใช่แล้ว  เขาก็มีจิตใจดีงาม  ดีงามขนาดไหน  ขนาดรู้คุณนั่นก็คือขนาดชั้นอนุบาล  เมื่อรู้คุณแล้ว  แต่ว่าถ้าเมื่อไหร่คิดตอบแทนคุณ  แค่คิดตอบแทนคุณเท่านั้น เพราะเขามีพระคุณต่อเรา  เมื่อมีโอกาสเราต้องตอบแทนคุณเขา นี่คือ ธรรมะประจำใจ หรือจิตใจของเขา   ระดับธรรมะในจิตใจของเขาก็ยกขึ้นสู่ชั้นประถมได้แล้ว  เมื่อไหร่ลงมือประกาศคุณของผู้ที่มีพระคุณแก่เรา ให้ชาวโลกรู้ ประกาศคุณก่อน  ว่าท่านผู้นั้นหรือท่านผู้นี้ เคยมีพระคุณกับเราอย่างนั้นอย่างนี้  จิตใจหรือธรรมะประจำใจของคนๆ นี้ จะยกระดับอีกขั้นขึ้นสู่ระดับชั้นมัธยมเลย 

(กดลิงค์-บน) 

---ถ้าจะให้ดีเยี่ยม  ระดับอุดมศึกษาเลย เป็นอย่างไร ลงมือตอบแทนพระคุณท่านให้สมกับที่ท่านเคยมีพระคุณต่อเรา  คนที่มีจิตใจระดับนี้ฟ้องว่าอย่างไร  ฟ้องว่าในใจของเขาไม่เคยคิดเรื่องร้าย   คิดแต่เรื่องดี  มองโลกในแง่ดี ตรงตามความเป็นจริง โลกนี้สวยงาม  มองคนก็มองในแง่ดี  โลกนี้ยังมีคนดีอยู่  แล้วเราเองก็จะต้องเป็นคนดีอีกคนหนึ่งในโลกนี้ให้ได้   แล้วเมื่อความคิดอย่างนี้เกิดขึ้น การทุ่มเทค้นหาศักยภาพในตัวเองไปทำความดีมันก็เกิด  เมื่อคนเราค้นหาศักยภาพในตัวเองให้ทำแต่เรื่องดีๆ  คนๆ นั้นจะไม่มีเวลาฟุ้งซ่าน  หรืออิจฉาตาร้อนใคร มีแต่เวลาสำหรับคิดดี พูดดี ทำดี แล้วก็จะต้องได้อย่างเดียว  คือ ได้ดี ได้ความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป

 

---เพราะฉะนั้น บรรพบุรุษของเราพูดถูก  ว่าคนมีความกตัญญูกตเวทีแล้วจะต้องรุ่งเรือง  เรามีปู่ย่าตายายดีๆ ฉลาดๆ อย่างนี้  ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะเชื่อท่าน  แล้วก็ทำตามท่านให้ดีที่สุด  แล้วบ้านเมืองไทยจะเจริญ

 

---คำถาม: หลวงพ่อเจ้าค่ะ  หลวงพ่อเคยเทศน์ไว้ว่า   ความกตัญญูทำให้เกิดปัญญา  อยากถามว่า ความกตัญญูจะทำให้เกิดปัญญาได้อย่างไรคะ

 

---คำตอบ: เจริญพร  “ความกตัญญู” เป็นต้นเหตุสำคัญที่จะทำให้คนเกิดปัญญา  ซึ่งในที่นี้จะยกตัวอย่างขั้นต้น   พระสารีบุตร ได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปรียบเสมือนแขนขวาของพระองค์  เลิศด้วยปัญญา   ตลอดชีวิตของพระสารีบุตร  ท่านมีแต่ความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์ของท่านเป็นอย่างยิ่ง 

(กดลิงค์-บน) 

---เรื่องได้เคยบันทึกเอาไว้ในพระไตรปิฎก  ก่อนที่ท่านจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ท่านเคยมีครูอยู่ในศาสนาอื่น  ต่อมาท่านก็พบว่าคำสอนในลัทธิศาสนานั้น ช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้ ท่านก็ลาอาจารย์เที่ยวแสวงหาอาจารย์ใหม่ จนกระทั่งมาเจอพระอรหันต์รูปหนึ่ง  พระอรหันต์รูปนั้นสอนพระสารีบุตรสั้นๆ แล้วก็ได้  บรรลุธรรมขั้นต้นเป็นพระโสดาบัน 

 

---พอบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันขั้นต้นแล้ว   ท่านก็รีบไปหาอาจารย์เก่าของท่าน  พยายามไปชักชวนให้อาจารย์เก่าของท่าน ไปหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้พ้นทุกข์ตามมา  แต่ว่าไปด้วยอำนาจแห่งความกตัญญูกตเวทีของท่าน  แต่น่าเสียดายครูเก่าของท่านไม่ยอมไป  ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่า  พระสารีบุตรท่านทำดีที่สุดแล้ว

 

---จากนั้นมาเมื่อท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว  ทุกคืนก่อนที่ท่านจะจำวัด ท่านจะต้องนั่งเข้าที่ทำสมาธิ(Meditation) ตรวจดูก่อนว่าอาจารย์ของท่านที่เป็นพระอรหันต์  ไปประกาศศาสนาอยู่ทางทิศไหน  ไปโปรดชาวโลกอยู่ทางทิศไหน  เมื่อพบแล้ว  ท่านก็หันศีรษะไปทางนั้นก่อนนอน  กราบเสร็จก็หันศีรษะไปทางครู  คือ ถ้ายังทำอะไรอยู่  อย่างน้อยก็เอาอวัยวะส่วนที่สูงที่สุดในร่างกาย คือ ศีรษะหันไปบูชาครู  นี่คือจิตใจของท่าน

(กดลิงค์-บน) 

---ส่วนอะไรที่ทำให้กับครูบาอาจารย์ท่านได้  ท่านทำเต็มที่  ถ้าวันนั้นทำไม่ได้  อย่างน้อยหันศีรษะไปบูชาครูก่อนนอนก็ยังดี  นี่คือจิตใจของท่าน และตรงนี้เองที่เป็นนิสัยติดตัวของท่านมาข้ามภพข้ามชาติ คือ มากด้วยความกตัญญูกตเวที ข้ามภพข้ามชาติ  มาชาตินี้จึงยิ่งด้วยปัญญา ยิ่งกว่าพระสาวกองค์อื่น

 

---ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  ทำไมความกตัญญู  จึงทำให้มีปัญญาขึ้นมาได้   ดูง่ายๆ อย่างนี้  คือ พระคุณของคนที่ทำกับเรา  ใครทำความดี ใครช่วยเหลือ ใครเกื้อกูลกับเรามาก่อน  นั่นคือ พระคุณที่เราได้รับ  ทีนี้เพราะได้รับพระคุณอย่างนั้น   ทำให้เราบางคนเมื่อได้พระคุณที่เขาทำมา ทำให้รอดชีวิตบ้าง บางทีก็ทำให้ได้ความรู้เพิ่มเติมบ้าง ให้ได้ธรรมะเพิ่มเติมบ้าง ให้ได้ความดี ความสามารถเพิ่มเติมบ้าง ก็ชีวิตของเรา ความรู้ ความดี ความสามารถ สิ่งเหล่านี้เงินซื้อไม่ได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของเรา ใครจะเอาสมบัติทั้งโลกมาแลก   เราก็ไม่เอา  เราเอาชีวิตดีกว่า  พระคุณชดใช้กันไม่หมด  เมื่อใครมีพระคุณต่อเราแล้ว ใช้ท่านไปตลอดชีวิต  ถ้ายังไม่ตาย  ท่านยังไม่ตาย หรือเรายังไม่ตาย   มีโอกาสเป็นต้องตอบแทนพระคุณกัน

 

---แม้ที่สุดท่านตายแล้ว  เรายังอยู่ก็ต้องหาทางตอบแทนพระคุณ เช่น  ทำบุญอุทิศ ส่วนกุศลไปให้ก็ยังดี  การที่เราจะต้องค้นหาศักยภาพในตัวของเราไปตอบแทนพระคุณท่านตลอดชีวิตนี่ แหละ  มันทำให้เราจะต้องเค้นสติปัญญา สะสมสติปัญญาเพิ่มพูน  เค้นสติปัญญาที่มีแต่เดิม  เอามาหาทางตอบแทนพระคุณท่านซึ่งเคยมีต่อเรา  เพียงท่านใดท่านหนึ่งมีพระคุณต่อเรา  เราก็ถูกบังคับให้ต้องเค้นสติปัญญาขึ้นมา  เพื่อหาทางไปตอบแทนพระคุณท่าน 

(กดลิงค์-บน) 

---สติปัญญา เป็นของแปลก  ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม  เหมือนอะไร  ก็เหมือนกับนักกีฬา ยิ่งออกกำลังกายยิ่งเหนื่อย ยิ่งได้กำลังกายเพิ่มขึ้น  ทำนองเดียวกัน  เราเค้นสติปัญญาออกมามากเท่าไหร่  เพื่อหาทางตอบแทนพระคุณท่าน  สติปัญญาของเราก็เพิ่มพูนขึ้นมาเท่านั้น 

 

---แต่คนเรานั้น  กว่าจะโตมาเป็นผู้ใหญ่ ได้รับพระคุณมาจากผู้อื่นนั้น  นับไม่ถ้วน  ตั้งแต่

 

---๑.พ่อแม่ จนกระทั่งลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตาทวด  นั่นสายหนึ่งแล้ว นับตัวตนไม่ถ้วนเลย

 

---๒.สายครูบาอาจารย์ นับอีกไม่ไหวทีเดียว  กว่าจะจบการศึกษามาได้  โบราณเรานับจนกระทั่งถึงแม้เป็นวัวควาย ที่มาช่วยไถนาให้เรา  ยังถือว่าเป็นสัตว์มีพระคุณ   เมื่อผู้มีพระคุณต่อเราที่เป็นคน  และสัตว์มีคุณต่อเรา ก็ยังนับไม่ไหวเหมือนกัน

 

---ดังนั้น คนที่มีความกตัญญูกตเวทีแล้ว แทบจะทุกลมหายใจเข้าออก เป็นเรื่องการหาช่องทาง ทุ่มเทสติปัญญาความรู้ความสามารถ ไปตอบแทนคุณ จึงเป็นการเพิ่มพูนสติปัญญาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ  นี่คือที่มา

 

 

---คำถาม.หลวง พ่อเจ้าขา  สังคมปัจจุบันนี้เกิดปัญหาลูกขาดความกตัญญูต่อพ่อแม่มากขึ้น   หลวงพ่อจะมีวิธีสอนให้ลูกหลานของเราเป็นคนดี  มีความกตัญญูได้อย่างไรบ้างคะ

 

---คำตอบ.การที่ลูกหลานยุคนี้ไม่ค่อยจะมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ ปู่ย่าตาทวดของตัวเอง   ถ้าจะว่าไปแล้ว ประเด็นใหญ่ๆ ยังมี ๒ ประเด็นก็คือ

 

---๑.เขานึกถึงคุณของพ่อแม่ไม่ออก  และ


---๒.แม้นึกออก  แต่ว่าไม่รู้วิธีที่เหมาะสมที่จะไปตอบแทนพระคุณพ่อแม่


*พ่อแม่มีพระคุณต่อลูก เรื่องหลักๆ ๓ เรื่องด้วยกัน

 

---๑.ให้ชีวิต  เมื่อท่านรู้ตัวว่าเราอยู่ในครรภ์ท่าน  ถ้าท่านไม่คิดจะเอาเราไว้แล้ว   มีวิธีทำให้ตายมากมาย  แล้วเขาก็ทำกันมาเยอะแล้ว ไม่ต้องอธิบาย  แต่คุณพ่อคุณแม่เรา ให้เรามีชีวิตอยู่มาถึงขนาดลืมตาดูโลกได้  พระคุณข้อที่ ๑. คือ เปิดโอกาสให้เรามีชีวิตมาลืมตาดูโลกนี้

 

---๒.ท่านให้ต้นแบบร่างกายที่เป็นคน   ซึ่งเหมาะในการที่จะประกอบ  คุณงามความดีทั้งหลาย  ต่างกว่ารูปร่างที่เป็นสัตว์โลกชนิดอื่น 

 

---๓.เมื่อคลอดแล้ว ท่านก็ไม่ได้ดูดาย  คอยสอนจิตใจที่เป็นมนุษย์ให้  ให้เรารู้ดี รู้ชั่ว รู้ผิด รู้ถูก รู้บุญ รู้บาป คือเป็นต้นแบบทางจิตใจให้

 

---บางคนคุณพ่อมาตายก่อนที่ตัวเองจะคลอด  เกิดมาก็ไม่เคยเห็นหน้าพ่อ  ถึงกระนั้น คุณพ่อก็ยังมีพระคุณ  มีตรงไหน  ก็ให้ชีวิตมา ไม่เช่นนั้น เราก็เกิดไม่ได้ แล้วก็ให้ต้นแบบร่างกายมนุษย์แก่เรามา พระคุณเพียง ๒ ข้อแรกนี้ ก็มากล้นแล้ว  แต่มนุษย์ยุคนี้ มองพระคุณหลักนี้ไม่ออก อุตริไปดูของเล็กๆ น้อยๆ ว่าเป็นเรื่องใหญ่ ท่านมีสมบัติ มีมรดกให้  ให้การศึกษา ให้โน่นให้นี่ นั่นเรื่องรอง  นี่เรื่องหลักนะ ให้ชีวิต ให้กายมนุษย์  ตรงนี้ต้องจำไว้ให้ดี     แล้วให้จิตใจที่มีศีลมีธรรม ตรงนั้นพระคุณหลัก

 

---ทำอย่างไร  จะให้ลูกเกิดความซาบซึ้งในพระคุณ แล้วก็คิดจะตอบแทนคุณกัน  ตรงนี้ก็ต้องมีต้นแบบกันคือ  ต้นแบบทางความประพฤติ ก่อนนี้ได้กายมนุษย์  คือได้ต้นแบบทางร่างกาย  ส่วนต้นแบบทางจิตใจเป็นอย่างไร  คุณพ่อคุณแม่เองก็จะต้องแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อปู่ย่าตาทวด   ต่อคุณตาคุณยายให้ลูกของตัวเองดู  แล้วก็จับลูกฝึกตั้งแต่เล็ก  พอลูกรู้ความ ก็พาลูกนั่นแหละไปกราบปู่ กราบย่า กราบตา กราบยาย  สำหรับคนที่อยู่ต่างบ้านกัน  ถ้าอยู่บ้านเดียวกัน ก่อนนอนพาไปกราบถึงเท้าเลย  กราบถึงเท้าปู่ย่าตายายเสียให้เรียบร้อย  แล้วค่อยมากราบเท้าแม่ กราบเท้าพ่อ แล้วค่อยนอน 

 

---ยังไม่พอ  เราเองถ้าพ่อแม่อยู่ด้วยกันกับเรา  สิ่งที่ต้องจำไว้เสมอ  ทุกเช้าเมื่อเราเป็นเด็กพ่อแม่มักจะให้เรากินข้าวกินนมก่อนที่ท่านจะกินข้าว เอง  วันนี้เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ทำให้สมกัน ก่อนเราจะกินข้าว อาหารเช้า  ให้เรารีบเอาไปให้พ่อให้แม่ก่อน  เพราะนั่นคือพระอรหันต์ในบ้าน  เอาอาหารไปให้พ่อแม่ ก็คือไปให้ปู่ ให้ย่า ให้ตา ให้ยาย ของลูกเรานั่นแหละ  เอาไปให้ท่านก่อนเลย  ทำให้ลูกเราดูเป็นตัวอย่าง  ให้เขาเห็นตั้งแต่เล็กๆ

 

---พอลูกรู้ความขึ้นมาอีกหน่อย ก็บอกลูกยกข้าวปลาอาหารไปให้คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย   ค่อยๆฝึกทีละขั้น  นอกจากสอนให้รู้  ทำให้ดู แล้วก็เคี่ยวเข็ญจนกระทั่งลูกเป็น  เมื่อเราทำอย่างนี้  ลูกเราก็จะรู้คุณพ่อคุณแม่  แต่ว่าที่เป็นปัญหาก็คือ  บัดนี้มักจะเป็นครอบครัเล็ก  พ่อแม่อยู่ทาง ลูกอยู่ทาง  บางทีพ่อแม่เราอยู่ต่างจังหวัด  เราอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง  หรือบางทีก็มาทำงานในกรุงเทพฯ  แล้วเราก็มาตั้งครอบครัวใหม่  ลูกของเราเกิดมานี่  ไม่เคยเห็นว่าเราปรนนิบัติดูแลปู่ย่าของเขาอย่างไร  เราดูแลพ่อแม่เราอย่างไร   ปู่ย่าตายาย ลูกของเราอย่างไร   ลูกเราไม่เห็น  เพราะฉะนั้นเขาจึงทำไม่เป็น

 (กดลิงค์-บน)

---ตรงนี้ต้องบอกว่า  แม้บ้านใกล้เรือนเคียง ที่เขามีคนอายุรุ่นพ่อรุ่นแม่  หรือ เขามีปู่ มีย่า มีตา มียายอยู่ข้างบ้าน  ก็พาลูกของเราไปดูข้างบ้านเขาดูแลปู่ย่าตายายเขาอย่างไร  แม้เราเองสังคมไทย  ถือกันว่าอย่างไร  ถ้าเป็นเพื่อนบ้านกัน  สนิทชิดชอบกัน  แม้พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเพื่อน ก็เหมือนกับเป็นพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา  เราก็ดูแลท่านเหล่านั้นเหมือนอย่างกับเราดูแลพ่อแม่ ปู่ย่าตายายของเราเองด้วยเมื่อมีโอกาส  แล้วก็พาลูกตัวเล็กๆ ของเราไปด้วย เขาก็จะได้รู้หน้าที่ เรียนรู้หน้าที่ไป  ว่าเขาจะต้องทำอย่างไรกับเรา  เมื่อตอนเราแก่ชรา

 

---และแน่นอน  ถึงเวลาเราก็ต้องพาลูกของเรา  ไปเยี่ยมปู่ ย่า ตา ยาย ตัวจริงของเขา  แล้วเราเองก็ดูแลปู่ย่าตายายของลูกเรา หรือก็คือพ่อแม่ของเราเองให้ดีที่สุดให้ลูกเห็น  ยิ่งกว่านั้นหากมีโอกาส  ก็เชิญคุณพ่อคุณแม่ของเรามาค้างที่บ้านเราบ้าง  แม้จะเป็นชั่วครั้งชั่วคราวก็ดูแลท่านให้เต็มที่  แล้วก็ใช้ลูกของเรานั่นแหละให้ช่วยกันปรนนิบัติให้เต็มที่ด้วย 

 

---ถ้าทำอย่างนี้ ก็กลายเป็นการถ่ายทอดความรู้ความดี ถ่ายทอดศีลธรรมอัน ดี คือความกตัญญูกตเวที  จากชั่วคนหนึ่งไปสู่อีกชั่วคนหนึ่งด้วยวิธีง่ายๆ อย่างนี้   เริ่มทำตั้งแต่วันนี้  อยากจะให้ลูกของเราดีต่อเราอย่างไร  ก็ให้เราทำต่อพ่อ ต่อแม่ของเราให้ดีอย่างนั้น  แล้วเราจะไม่ผิดหวัง   

(กดลิงค์-บน) 



*ความกตัญญูและการบูชาเป็นมงคลอันสูงสุด


---เจริญพร ญาติโยมสาธุชนผู้ฟังทุกท่าน


---วันนี้อาตมภาพก็ได้มาพบกับท่านผู้ฟังอีกเช่นเคยในรายการปาฐกถาธรรมทางสถานี วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เช้าวันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 3 ของเดือน สำหรับเช้าวันนี้ อาตมภาพจะได้แสดงเรื่อง “ความกตัญญู” และ “การบูชาบุคคลผู้ควรบูชา” ว่า เป็นมงคลอันสูงสุด คือ เป็นข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุขแห่งชีวิต ความจริงธรรมปฏิบัติ 2 ข้อนี้ อยู่ในพระคาถาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแก่เทพบุตรผู้มาทูลถาม ปัญหาเรื่องอะไรเป็นมงคลแล้ว  พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงมงคล 38 ข้อ เป็นพระคาถา รวม 10 แก่เทพบุตรนั้น


---มงคลข้อการบูชานั้น อยู่ในพระคาถาที่ 1 ที่ตรัสว่า การไม่คบคนพาล 1 การคบแต่บัณฑิต 1 และการบูชาคนที่ควรบูชา 1 นี้เป็นมงคลอันสูงสุด


---ส่วนเรื่องความกตัญญูนั้น อยู่ในพระคาถาที่ 7 ที่ตรัสว่า ความเคารพ 1 ความสุภาพอ่อนน้อม 1 ความสันโดษ 1 และความกตัญญู 1 นี้เป็นมงคลอันสูงสุด


---เฉพาะในการแสดงปาฐกถาธรรมในวันนี้ อาตมภาพจะขอยกเอามงคล ข้อ “ความกตัญญู” กับ “การบูชาคนที่ควรบูชา” มาแสดงก่อน เพราะเป็นธรรมปฏิบัติที่ใกล้เคียงกัน แต่ต่างประเด็นกัน กล่าวคือ ความกตัญญู นั้นคู่กับ บุญคุณ หรือ อุปการคุณ ส่วน การบูชา นั้นคู่กับ คุณธรรม หรือ คุณความดี ซึ่งอาตมภาพจักได้อธิบายขยายความมงคล 2 ข้อนี้ ตามลำดับ และตามสมควรแก่เวลาต่อไป


*ข้อ 1 ความกตัญญู


---“ความกตัญญู” นั้น หมายถึง การรู้พระคุณท่านที่เคยมีอุปการะคุณ หรือที่เคยมีบุญคุณต่อเราก่อน แล้วตอบแทนหรือสนองพระคุณท่านผู้มีอุปการคุณนั้น


---ผู้เคยให้ความอุปการะหรือมีบุญคุณนั้น ภาษาพระท่านเรียกว่า “บุพการี”  ภาษาพูดโดยทั่วไปว่า “ผู้มีพระคุณ” ผู้รู้จักคุณท่านผู้มีอุปการะคุณ แล้วตอบแทนคุณท่านผู้มีพระคุณนั้น ชื่อว่า “กตัญญูกตเวที” มีคำเพิ่มขึ้นมาอีกคำหนึ่ง คือ “กตเวที” หมายความว่า “ผู้กระทำตอบแทนหรือทดแทน” เมื่อรวมสองคำนี้เข้าด้วยกัน คือ “กตัญญู” กับ “กตเวที” จึงเป็น “กตัญญูกตเวที” ซึ่งมีความหมายรวมว่า “ผู้รู้คุณและตอบแทนคุณท่านผู้มีอุปการะคุณ”


---ใคร่จะชี้แจงซักนิดว่า ตามที่เคยได้ยินคำกล่าวว่า “บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ” นั้น คำแรกว่า “บุญคุณต้องทดแทน” นั้นจัดเป็นข้อปฏิบัติที่เป็นอุดมมงคล เป็นเครื่องหมายของคนดี มีคุณธรรมตามพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้ ซึ่งจะให้ผลเป็นความเจริญและสันติสุขแก่ชีวิตแต่ถ่ายเดียว แต่คำที่ 2 ว่า “ความแค้นต้องชำระ” นั้นเป็นข้อปฏิบัติที่ไม่ดี เป็นความอัปมงคล เป็นเครื่องหมายของคนพาล ปัญญาโฉดเขลา คือ คนโง่ จัดเป็นอธรรมที่มีแต่จะยังผลให้ผู้ปฏิบัติถึงความทุกข์เดือดร้อน ต่อๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด ตามอำนาจของกิเลส คือความโกรธ พยาบาท อาฆาต จองเวร เหมือนบุคคลบางคน บางพวกในยุคปัจจุบันนี้ ที่ลุแก่อำนาจความโกรธ พยาบาท อาฆาต จองเวร ตามพิฆาตเข่นฆ่ากัน ก่อให้เกิดความทุกข์เดือดร้อนแก่กันและกัน ไม่มีที่สิ้นสุด ดังที่มีข่าวได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ ในทุกวันนี้


---คุณธรรมข้อ“กตัญญูกตเวทิตาธรรม”คือการรู้คุณและตอบแทนคุณท่านผู้มีอุปการคุณ   นี้จึงเป็นคุณธรรมหรือข้อปฏิบัติที่คู่กับบุญคุณหรืออุปการคุณที่ท่านได้ทำอุปการคุณให้แล้วก่อน ไม่ว่าท่านผู้กระทำอุปการคุณนั้น จะมีความประพฤติปฏิบัติอื่นที่ดีหรือไม่เพียงไรก็ตาม ก็ชื่อว่า “บุพการี” ของผู้ได้รับอุปการคุณนั้น ที่ผู้เคยได้รับอุปการคุณนั้นพึงรู้คุณ พึงระลึกถึงและตอบแทนพระคุณท่านผู้มีอุปการคุณนั้น ตามกำลังและโอกาสจะอำนวยให้ ก็จะเป็นอุดมมงคลแก่ผู้ทรงกตัญญูกตเวทิตา-ธรรม นี้ให้ถึงความเจริญและสันติสุขในชีวิตได้เสมอ ดังเช่น


---พ่อแม่ เป็น บุพการี คือ ผู้มีพระคุณอย่างยิ่งใหญ่ของลูกๆ ด้วยว่า ท่านเป็นผู้ให้กำเนิด  ทนุถนอมกล่อมเลี้ยงลูกด้วยความรัก ด้วยเมตตาและกรุณาธรรม มีแต่ความปรารถนาจะให้ลูกรักมีความสุขและความเจริญ ลูกมีทุกข์ก็ปรารถนาจะให้ลูกพ้นทุกข์ แม้ความทุกข์เดือดร้อนของลูกนั้น  มาตรว่าพ่อแม่จะรับหรือไถ่เอามาไว้ที่ตัวเองได้ พ่อแม่ก็จะทำเพื่อลูก เมื่อลูกมีความสุขความเจริญก็ไม่คิดเบียดเบียนแย่งความสุขของลูกมาไว้เฉพาะ เพื่อตน คอยเป็นนายประกันให้ลูกเมื่อลูกผิดพลาดล่วงเกิน แม้จะเจ็บใจ ช้ำใจ เพราะลูกชั่วช้าเพียงใด ก็มีแต่อภัยให้ลูก ตลอดมา  พ่อแม่จึงชื่อว่าเป็น “พรหม” คือ ผู้ประเสริฐของลูก


---พ่อแม่นั้นเป็นผู้ให้คำแนะนำสั่งสอนลูกด้วยเจตนาที่จะให้ลูกได้รู้วิธีการ ดำเนินชีวิตที่ดี ตามภูมิปัญญาของท่าน มาตั้งแต่ลูกเริ่มเกิดมาจนเติบใหญ่ ไม่มีเจตนาที่จะแนะนำสั่งสอนให้ลูกประพฤติปฏิบัติไปในทางที่จะเป็นโทษ หรือความทุกข์เดือดร้อน พ่อแม่จึงชื่อว่าเป็น “บุรพเทพ” ของลูก คือเป็นผู้ชี้แสดงโลกนี้ คือการดำเนินชีวิตแก่ลูกก่อนใครๆ ทั้งนั้น และด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ของพ่อแม่เช่นนั้น พ่อแม่จึงเป็นเสมือนวิสุทธิเทพ คือ เสมือนพระอรหันตขีณาสพ ผู้หวังแต่ความสุขความเจริญของชนทั้งหลาย โดยไม่คำนึงถึงความเป็นพาล คือกระทำผิด หรือการล่วงละเมิดต่อท่าน ฉันใด พ่อแม่ก็ปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของลูกโดยส่วนเดียว


---โดยไม่คำนึงถึงความผิดหรือความละเมิดล่วงเกินที่ลูกกระทำต่อพ่อแม่ ฉันนั้น  เพราะเหตุนั้น พ่อแม่จึงเป็น “อาหุไนย หรือ ทักขิไนยบุคคล” คือ เป็นบุคคลที่ควรแก่การรับทักษิณา บูชาสักการะ กระทำความกตัญญูกตเวทิตาธรรม คือ รู้คุณและตอบแทนคุณของท่าน แล้วลูกกตัญญูเช่นนั้นก็จะมีแต่ความสุขความเจริญแต่ถ่ายเดียว   ส่วนลูกอกตัญญูไม่รู้คุณพ่อแม่ ไม่ตอบแทนคุณพ่อแม่ตามควรแก่กำลังและโอกาส  กลับมีจิตคิดร้าย กล่าวร้าย กระทำร้ายพ่อแม่ ย่อมจะถึงความเสื่อมแห่งชีวิต ถึงความทุกข์เดือดร้อน และ/หรือ ถึงความพินาศฉิบหายไม่นานเกินรอ ตามความหนักเบาแห่งความชั่วของตน


---ลูกชายลูกหญิง เมื่อรู้และระลึกถึงพระคุณของพ่อแม่แล้ว พึงปฏิบัติดีตอบแทนพระคุณท่าน โดยประการต่างๆ เป็นต้นว่า


---ช่วยทำกิจของท่านด้วยความเต็มใจ ไม่บิดพลิ้วหรือคอยหลีกเลี่ยง


---ดำรงวงศ์สกุลของท่านไว้ให้ดี ไม่ทำให้เสื่อมเสีย


---ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาทของท่าน


---ปรนนิบัติและรักษาน้ำใจท่าน ไม่ทำให้ท่านต้องเสียน้ำตา เสียน้ำใจ เพราะความประพฤติไม่ดีของตน


---ท่านเลี้ยงดูเรามาแล้ว เมื่อเรามีกำลังพอก็เลี้ยงดูท่านตอบ


---ท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศให้


---ดังนี้เป็นต้นแม้นี้ก็ยังไม่คุ้มหรือยังไม่เท่าเทียมพระคุณของพ่อแม่ที่มีต่อลูกโดยเหตุนี้ บูรพาจารย์มีท่านพระสิริมังคลาจารย์ เป็นต้น ได้อรรถาธิบายขยายความในมงคลสูตร ปรากฏในหนังสือปกรณ์พิเศษ ชื่อ “มังคลัตถทีปนี” ข้อ 297 มีความเปรียบเทียบโดยย่อว่า  แม้ลูกจะอุปถัมภ์บำรุงพ่อแม่โดยประการว่า วางแม่ไว้อยู่บนบ่าขวา วางพ่ออยู่บนบ่าซ้าย ท่านจะถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดก็ไม่รังเกียจ ประคับประคองบำรุงท่านแม้ตลอด 100 ปี ก็ไม่นับว่าได้ตอบแทนคุ้มพระคุณของพ่อแม่ หรือแม้จะตั้งพ่อให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ตั้งแม่ไว้ในความเป็นพระมเหสีพระเจ้าจักรพรรดิ บำรุงท่านให้เสวยสุขอยู่จนตลอดชีวิตเช่นนั้น ก็ยังตอบแทนไม่คุ้มพระคุณของท่าน นี้เพราะเหตุไร 


---เพราะเหตุว่า แม้ลูกชายลูกหญิงจะทำนุบำรุงพ่อแม่ด้วยอุปการะอันเป็นโลกิยะ อยู่เช่นนั้น จนตลอดชีวิตของท่าน ท่านก็จะได้รับโลกิยสุขเพียงชาติเดียว แต่ถ้าท่านยังเป็นผู้ไม่รู้คุณพระรัตนตรัย คือไม่รู้คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ จึงไม่รู้บาป-บุญ คุณ-โทษ ตามที่เป็นจริง เป็น “มิจฉาทิฏฐิ” คือ เป็นผู้มีความเห็นผิดทำนองคลองธรรม เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ คือ ตายไป ก็ไม่พ้นอบายภูมิ คือ ไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี ที่ไม่เจริญ ได้แก่ ในภพภูมิของเปรต สัตว์นรก อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน ได้  


---แต่ถ้าลูกชายลูกหญิงได้ชักนำพ่อแม่ที่ยังไม่มีศรัทธาในพระรัตนตรัย ให้มาเรียนรู้และศรัทธาในพระรัตนตรัย มาประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ที่มีศรัทธาน้อยก็ให้มีศรัทธามากขึ้น ที่มีศรัทธามากอยู่แล้ว ก็ให้เจริญด้วยศรัทธาอย่างมั่นคงยิ่งๆ ขึ้นไป ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมให้ยิ่งขึ้นไป ลูกชายลูกหญิงนั้น จึงชื่อว่า ได้ตอบแทนพระคุณพ่อแม่คุ้มพระคุณพ่อแม่แล้ว เพราะการที่พ่อแม่ได้มีศรัทธาในพระรัตนตรัยแล้ว ย่อมได้มีโอกาสศึกษาทำความเข้าใจในพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ได้รู้บาป-บุญ คุณ-โทษ ตามที่เป็นจริง ก็จะได้เลิกละทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด และเลิกละความประพฤติผิดๆ นั้นเสีย แล้วกลับประพฤติปฏิบัติธรรมที่เป็นบุญเป็นกุศล มีทานกุศล ศีลกุศล และภาวนากุศล เป็นต้น ดำเนินชีวิตไปสู่ความเจริญและสันติสุขถึงมรรคผลนิพพานที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ และที่เป็นบรมสุขอันถาวรสืบต่อไปได้ ดังที่พระสิริมังคลาจารย์ได้ยกพระพุทธดำรัสตรัสไว้ในมาตาปิตุคุณสูตร ทุกนิบาต อังคุตตรนิกาย (องฺ.ทุก.20/87) มาแสดงไว้ว่า


---“ภิกษุทั้งหลาย  ก็บุตรใดแล ยังบิดามารดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานดำรงตั้งอยู่ในสัทธาสัมปทา   ยังบิดามารดาผู้ทุศีล ให้สมาทานดำรงตั้งอยู่ในสีลสัมปทา   ยังบิดามารดาผู้ตระหนี่ ให้สมาทานดำรงตั้งอยู่ในจาคสัมปทา    ยังบิดามารดาผู้มีปัญญาทรามให้สมาทานดำรงตั้งอยู่ในปัญญาสัมปทา   ภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุประมาณเท่านี้แล กิจนั้น จึงชื่อว่า เป็นอันบุตรทำแล้ว ทำตอบแทนแล้ว และทำยิ่งแล้ว แก่มารดาบิดา.”


---นอกจากลูกๆจะพึงรู้คุณและตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ดังกล่าวแล้วสัทธิวิหาริกหรืออันเตวาสิก ก็พึงรู้คุณและตอบแทนพระคุณของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ และศิษยานุศิษย์ ก็พึงรู้คุณและตอบแทนคุณครู อาจารย์ และแม้ชนทั้งหลาย ก็พึงรู้คุณและหาโอกาสตอบแทนพระคุณผู้เคยมีอุปการคุณแก่ตน ด้วยเช่นกัน


---อนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้พระอริยสัจธรรมโดยชอบ ด้วยพระองค์เอง แล้วได้ทรงแสดงพระอริยสัจธรรมโดยตรัสแนะนำสั่งสอนพระสัทธรรมนั้นแก่สัตว์โลก ให้รู้ความจริงอย่างประเสริฐในทุกข์ และเหตุปัจจัยแห่งความทุกข์ อันพึงเลิกละ และให้รู้เหตุปัจจัยแห่งความเจริญและสันติสุข อันพึงปฏิบัติตาม และได้ตรัสสอนให้รู้ถึงหนทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ได้ถึงมรรค ผล นิพพาน ที่สิ้นสุดแห่งทุกข์และเป็นบรมสุขอย่างถาวรอีกทั้งพระภิกษุสงฆ์สาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า สืบบวรพระพุทธ-ศาสนา และแนะนำสั่งสอนสาธุชนพุทธบริษัทให้รู้แจ้งเห็นจริงตามธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมของชาวโลกนั้น บัณฑิตผู้มีปัญญาจึงรู้และระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในพระธรรมวินัยนี้ แล้วตอบแทนพระคุณ ด้วยการปฏิบัติอุปถัมภ์บำรุงพระรัตนตรัย ด้วยทั้งอามิสบูชามี ปัจจัย 4 เป็นต้น และทั้งปฏิบัติบูชา มีการปฏิบัติทานกุศล ศีลกุศล และภาวนากุศล เป็นต้นเช่นนี้ ย่อมยังความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุขแก่ชีวิตตนได้อย่างดีที่สุด


---ผู้ทรงคุณธรรมข้อ“กตัญญูกตเวทิตาธรรม”คือผู้รู้คุณและตอบแทนคุณผู้เคยมีอุปการคุณ นั้น ย่อมจะเป็นผู้เจริญในทุกที่และทุก เมื่อ แม้ชีวิตจะตกต่ำบ้าง ก็จะสามารถฟื้นคืนตัวได้เร็ว ไม่นานเกินรอ เพราะเขาย่อมเป็นที่รักใคร่นับถือ เชื่อถือ จากสาธุชนทั่วไป ใครผู้ใดที่คิดจะให้ความอุปการะ หรือความอุปถัมภ์ค้ำชูคนผู้เช่นนี้ ย่อมสบายใจได้เลยว่า อุปการคุณนั้นจักไม่สูญเปล่า  แม้ ผู้รับความอุปการะจะยังไม่มีโอกาสหรือยังไม่มีกำลังพอที่จะกระทำตอบแทนคุณ ได้ในวันนี้ต่อไปในวันหน้า   ผู้มีคุณธรรมเช่นนี้ เมื่อมีโอกาสและกำลังพอจะสนองคุณหรือตอบแทนคุณได้ เขาย่อมกระทำทันที   อย่างน้อย เขาก็จะเป็นผู้มีน้ำใจและย่อมจะแสดงกิริยาวาจาที่เปี่ยมด้วยอาการของผู้รู้คุณท่านผู้มีพระคุณ แม้เพียงเท่านี้ บุพการี คือ ผู้ให้อุปการคุณก็ชื่นใจแล้ว ดังที่เราเคยได้ยินได้ฟังข่าวลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ผู้ยากจนหรือพิกลพิการต่างๆ ก็จะได้รับความอุปการคุณจากสาธุชนอย่างมากมายอยู่เสมอ


---เพราะเหตุนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสมงคลข้อ “ความกตัญญู” ซึ่งหมายความรวมทั้ง “กตัญญูกตเวทิตาธรรม” นี้ว่า เป็น “อุดมมงคล” คือ เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความเจริญและสันติสุขในชีวิตได้เป็นอย่างดีที่สุด ข้อหนึ่ง


*2.การบูชาคนที่ควรบูชา


---คำว่า “การบูชา” หมายถึง การทำความสักการะ การเคารพ นอบน้อม กราบไหว้ นับถือ เชื่อถือ บุคคลที่ควรบูชา 1 ข้อปฏิบัติที่ควรบูชา 1 สถานที่และ/หรือ สิ่งที่ควรบูชา 1


---ณ ที่นี้ บุคคลที่ควรบูชา ชื่อว่า “ปูชนียบุคคล” นั้น หมายถึง บุคคลดี มีคุณธรรม คือ บุคคลผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีศีลมีธรรม มีความบริสุทธิ์กาย วาจา และใจ บุคคลผู้มีคุณธรรมประเสริฐสูงสุด คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่รองลงไป ได้แก่ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยสาวก ผู้มีคุณธรรมรองลงไปอีก ได้แก่ พระสมมติสงฆ์ สามเณร ผู้ตั้งใจปฏิบัติศีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา ถึงบิดา มารดา ครู อาจารย์ และบุคคลอื่นๆ ผู้ตั้งตนปฏิบัติตนอยู่ในคุณความดี ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เป็นต้น


---ข้อปฏิบัติที่ควรบูชานั้น ก็สืบเนื่องแต่บุคคลที่ควรบูชานั้นแหละ เพราะบุคคลที่ควรบูชาเป็นผู้มีคุณธรรม ทรงศีล ทรงธรรม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอยู่ ฉะนั้น วัตรปฏิบัติและคำแนะนำคำสั่งสอนของท่านผู้เช่นนั้น จึงเป็นข้อปฏิบัติที่ควรบูชา คือควรแก่การเคารพนับถือ ควรแก่การศึกษาและปฏิบัติตามด้วย  ข้อปฏิบัติที่ควรบูชาสูงสุด คือ พระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ ตรัสรู้ คือ ทรงรู้แจ้งเห็นแจ้งอย่างถูกต้องแล้วด้วยพระองค์เอง แล้วได้ทรงแนะนำสั่งสอนเวไนยสัตว์ คือ ผู้ที่พอแนะนำสั่งสอนให้รู้ ให้เข้าใจและปฏิบัติตามได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง


---พระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ ให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง และได้รับผลดีจริง ถึงได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน ตามรอยบาทพระพุทธองค์ แล้วพระสงฆ์สาวกผู้ศึกษาและปฏิบัติพระสัทธรรมจนได้รับผลดีตามสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติแล้ว นั้นนั่นแหละ เป็นทั้งผู้ปฏิบัติพระสัทธรรมเอง และเป็นทั้งผู้แนะนำสั่งสอนเวไนยสัตว์สืบบวรพระพุทธศาสนาต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ส่วนข้อปฏิบัติที่ควรบูชาชั้นรองๆ ลงมา ก็ ได้แก่ ความประพฤติปฏิบัติของคนดี มีความรู้ความสามารถ และมีคุณธรรมที่รองๆ ลงมาจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์สาวก ได้แก่ บิดา มารดา ครู อาจารย์ เป็นต้น และคำแนะนำสั่งสอนของท่านโดยชอบ คือที่ถูกที่ควรตามทำนองคลองธรรม ตามกฎหมายของบ้านเมือง ก็ควรแก่การศึกษาทำความเข้าใจและพิจารณาเลือกนับถือ และปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่ดี และคำแนะนำสั่งสอนที่ดี ที่ชอบ นั้นด้วยเช่นกัน


*สถานที่ที่ควรบูชา นั้นชื่อว่า “ปูชนียสถาน”  และ/หรือ สิ่งที่ควรบูชา ชื่อว่า “ปูชนียวัตถุ”  ทั้ง 2 ประการนี้ รวมเรียกว่า “เจดีย์” ได้แก่


---1.พระธาตุเจดีย์ คือ สถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ  รวมทั้งที่บรรจุพระธาตุต่างๆ อีกด้วย  คำว่า “พระบรมสารีริกธาตุ” หมายถึง พระอัฐิธาตุ คือ กระดูกพระพุทธเจ้าคำว่า “พระธาตุ” หมายถึง พระธาตุส่วนอื่นๆ ของพระพุทธเจ้า (นอกจากพระอัฐิธาตุ)  ได้แก่ พระเกศาธาตุ (พระธาตุเส้นผม) พระหทัยธาตุ (พระธาตุส่วนหัวใจ) พระนหารุธาตุ  (พระธาตุส่วนเส้นเอ็น) พระโลหิตธาตุ (พระธาตุส่วนโลหิต) พระบุพโพธาตุ (พระธาตุส่วนน้ำเหลือง) ฯลฯ  


---2.ส่วนคำว่า “ธาตุ” เช่น เกศาธาตุ อัฐิธาตุ หมายถึงธาตุของพระอริยสาวก  และ/หรือของพระโพธิสัตว์ ต่างๆ บริโภคเจดีย์ คือ สถานที่ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เคยใช้สอย ชื่อ “สังเวช-นียสถาน” 4 ตำบล ได้แก่ ชาตสถาน ที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือที่อุทยานลุมพินี ในประเทศเนปาล ในปัจจุบัน


---3.อภิสัมพุทธสถาน ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือที่ใต้ต้นโพธิ์ ตำบลพุทธคยา ในประเทศอินเดีย ธัมมจักกัปปวัตนสถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาคือที่อิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ปัจจุบันเรียก สารนาถ ในประเทศอินเดีย


---4.ปรินิพพุตสถาน ที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน คือที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา ปัจจุบันเรียก กาเซีย ในประเทศอินเดีย ธรรมเจดีย์ คือ สถานที่บรรจุพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า


---5.อุทเทสิกเจดีย์ คือ สิ่งที่สร้างขึ้นเจตนาอุทิศ คือเจาะจงต่อพระพุทธเจ้า ยกเว้นพระธาตุเจดีย์แล้ว เรียกว่า อุทเทสิกเจดีย์ทั้งสิ้น ได้แก่ พระพุทธรูป รูปสลักและรูปวาดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า และไม้โพธิ คือ ต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าได้เคยประทับบำเพ็ญสมณธรรม แล้วได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นต้น


---อนึ่ง รูปเปรียบ รูปเหมือน หรือรูปวาด เกี่ยวกับพระภิกษุสงฆ์สาวก และพระมหาโพธิสัตว์เจ้า ก็นับเนื่องในอุทเทสิกเจดีย์ ในฐานะผู้เป็น “อนุพุทธะ” ได้ด้วยเหมือนกัน


---พระสิริมังคลาจารย์ ได้อธิบายความหมายของ “การบูชา” ใน มงคลสูตร ที่สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว มีปรากฏในปกรณ์พิเศษ ชื่อ “มงคลัตถทีปนี” (ฉบับภาษาไทย) เล่มที่ 1 ข้อ 57 หน้า 81 มีความโดยย่อ ว่า


*การบูชา มี 2 อย่าง คือ อามิสบูชา 1   ปฏิบัติบูชา 1


---อามิสบูชา นั้นได้แก่ การบูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ของหอม และปัจจัย 4 มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เป็นต้น


---ปฏิบัติบูชา นั้นได้แก่ การปฏิบัติตามคำสั่งสอนโดยชอบ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว และการประพฤติปฏิบัติตามเยี่ยงอย่างปูชนียบุคคล ได้แก่ พระอริยเจ้าผู้ทรงศีลทรงธรรม ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นต้น


---จึงมีข้อสังเกตว่า การบูชานั้น คู่กับ คุณความดี คือ ความถูกต้องตามทำนองคลองธรรม นั่นเอง


*การบูชาทั้ง 2 ประการนี้ “ปฏิบัติบูชา” เป็นเลิศกว่า “อามิสบูชา” เพราะสัมมาปฏิบัติ คือ การ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้แล้วนั้น ย่อมยังผลให้ได้รับผลเป็นความสุขความเจริญในชีวิตทั้งโลกิยสุขและโลกุตตรสุข และย่อมดำรงพระพุทธศาสนาไว้ด้วย จึงเป็นการบูชาที่พระพุทธองค์โปรดปรานมากที่สุด และทรงยกย่องว่า เป็นการบูชาพระตถาคตด้วยบูชาอย่างยิ่ง ดังพระพุทธดำรัส (มังคลัตถทีปนี หน้า 114-115 ว่า)


---“อานนท์   ผู้ใดแล เป็นภิกษุก็ตาม ภิกษุณีก็ตาม อุบาสกก็ตาม อุบาสิกาก็ตาม เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง มีปกติประพฤติตามธรรมอยู่  ผู้นั้น ชื่อว่า สักการะ เคารพ นับถือ บูชาตถาคตด้วยบูชาอย่างยิ่งมีปกติประพฤติตามธรรมอยู่   อานนท์! เธอทั้งหลาย พึงศึกษาอย่างนี้แล.”


---พระพุทธดำรัสว่า “ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” นั้นหมายถึง


---“แต่ผู้ใด เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสรณะและศีล รักษาอุโบสถเดือนละ 8 ครั้ง ให้ทาน ทำการบูชาด้วยของหอมและการบูชาด้วยมาลาบำรุงมารดาบิดาและสมณะพราหมณ์ผู้ทรงธรรม ผู้นี้จึงเป็นผู้ชื่อว่า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม.”


---พระพุทธดำรัสว่า “ด้วยบูชาอย่างยิ่ง” ทรงหมายความถึงว่า


---“ธรรมดาว่า นิรามิสบูชา ย่อมอาจดำรงศาสนาของเราไว้ได้ เพราะว่าบริษัท 4 นี้ ยังจักบูชาเราด้วยปฏิบัติบูชานี้ตราบใด ศาสนาของเราก็จักรุ่งเรือง ดังพระจันทร์แจ่มอยู่กลางฟ้าตราบนั้น.”


---อย่างไรก็ตาม เฉพาะแต่อามิสบูชา คือ การบูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ของหอม และปัจจัย 4 ต่อปูชนียบุคคล ปูชนียสถาน และปูชนียวัตถุ ได้แก่ พระธาตุเจดีย์ ที่บรรจุพระบรม-สารีริกธาตุ ก็ดี พระธาตุต่างๆ ก็ดี ย่อมเป็นมหานิสงส์ คือ ให้ผลเป็นความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุข ทั้งระดับโลกิยสุข และโลกุตตรสุข อย่างนับประมาณมิได้ ดังตัวอย่าง


---เรื่อง พระธาตุปูชกเถระ พระเถระผู้บูชาพระธาตุของพระพุทธเจ้าสิทธัตถะ (พระสุตตันตปิฎก ภาษาไทยฉบับหลวง เล่มที่ 32 ข้อ 249 ขุททกนิกาย อปทาน) ได้กล่าวว่า


---“เมื่อพระโลกนาถพระนามว่าสิทธัตถะ ผู้สูงสุดกว่านระ เสด็จนิพพานแล้ว เราได้พระธาตุองค์หนึ่ง ของพระผู้มีพระภาคจอมสัตว์ ผู้คงที่ เราเก็บพระธาตุของพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ พระอาทิตย์นั้นไว้บูชาตลอด 5 ปี ดังพระองค์ผู้สูงสุดกว่านระยังดำรงอยู่ ในกัปที่ 94 แต่กัปนี้ เราได้บูชาพระธาตุใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้สึกทุคคติเลย นี้เป็นผลเพราะบำรุงพระธาตุ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 และอภิญญา 6 เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้ฯ


---จึงเห็นได้ว่า แม้การบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุ มีอานิสงส์มากมาย นับประมาณไม่ได้  ดังนี้  เพราะเป็นคุณธรรมทั้งกตัญญูกตเวทิตาธรรม และบูชาพระรัตนตรัยไปในตัวเสร็จ นั่นเอง


---ขอความสุขสวัสดี จงมีแด่ท่านผู้ฟังทุกท่าน    เจริญพร.




.........................................................................................................





 

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

รวบรวมโดย...แสงธรรม

อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 30 กันยายน 2558


Tags :

0 ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

*

*

view

ประวัติต่างๆ

ประวัติวัดเขาไกรลาศ

ประวัติของหลวงพ่อเทียน=คลิป

มาเช็คชื่อ-เช็คสกุลกันดีกว่า=คลิป

ประวัติพระอธิการชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน=คลิป

ขอเชิญผู้ร่วมบุญสร้างอาศรมเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก

ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร

ประวัติฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธองค์

ประวัติของนางวิสาขา=คลิป

ประวัติของอนาถปิณฑิกเศรษฐี=คลิป

ประวัติของเศรษฐีขี้เหนียว

ประวัติเหตุทำบุญที่ช้า=คลิป

ประวัติของผู้ร่วมบุญ=คลิป

ประวัติของพระไตรปิฎก=คลิป

ประวัติการสร้างพระพุทธรูปและพระเจ้า ๕ พระองค์

ประวัติง้วนดิน

ประวัติปู่ฤาษีนารอท

ประวัติพระปางมหาจักรพรรดิ์ ทรงปราบพระเจ้ามหาชมพูบดี

ประวัตินางห้าม..แห่งขอมโบราณ

ประวัติพญานาค

ความรู้และรายละเอียดพุทธเจดีย์

พระมหาโพธิสัตว์

สาระธรรม

ธรรมะส่องใจ

อานิสงส์แต่ละอย่าง

ประเพณีต่างๆ

ตำนานทั่วไป

สาระน่ารู้

ปกิณกะธรรม

วัตถุมงคล-สาระอื่นๆ

ข้อมูลทั่วไป

ปฎิทิน

« October 2024»
SMTWTFS
  12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031  

สมาชิก

ลืมรหัสผ่าน?
สมัครสมาชิก

สถิติ

เปิดเว็บ20/06/2011
อัพเดท02/06/2024
ผู้เข้าชม7,700,233
เปิดเพจ11,862,195
สินค้าทั้งหมด8

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

view