ไหว้ทิศทั้ง ๖
---ในพระไตรปิฏกสูตรว่าด้วยสิงคาลกมาณพ ว่าพระผู้มีพระภาคประทับ ณ เวฬุวัน (ป่าไผ่) ใกล้กรุงราชคฤห์ เช้าวันหนึ่งเสด็จสู่กรุงราชคฤห์ เพื่อบิณฑบาต ได้ทอดพระเนตรเห็นสิงคาลกมานพ มีผ้าเปียก มีผมเปียกไหว้ทิศทั้ง ๖ อยู่ ตรัสถามทราบว่าเป็นการทำตามคำสั่งของบิดา จึงตรัสว่า ในอริยวินัยไม่พึงไหว้ทิศแบบนี้ เมื่อมาณพกราบทูลถามว่าพึงไหว้อย่างไร จึงตรัสแสดงธรรมเป็นลำดับว่าให้ปฏิบัติตามทิศ ๖ อันได้แก่
---๑.ปุรัตถิมทิศ (ทิศเบื้องหน้า) คือ ทิศตะวันออก ได้แก่ มารดา บิดา เพราะเป็นผู้มีอุปการะแก่เรามาก่อน
---๒.ทักษิณทิศ (ทิศเบื้องขวา) คือ ทิศใต้ ได้แก่ ครูอาจารย์ เพราะเป็นบุคคลควรแก่การบูชาคุณ
---๓.ปัจฉิมทิศ (ทิศเบื้องหลัง) คือ ตะวันตก ได้แก่ บุตร ภรรยา เพราะติดตามเป็นกำลังสนับสนุนอยู่ข้างหลัง
---๔.อุตตราทิศ (ทิศเบื้องซ้าย) คือ ทิศเหนือ ได้แก่ มิตรสหาย เพราะเป็นผู้ ช่วยให้ข้ามพ้นอุปสรรคภัยอันตราย และเป็นกำลังสนับสนุนให้บรรลุผลสำเร็จ
---๕.เหฏฐิมทิศ (ทิศเบื้องล่าง) ได้แก่ คนรับใช้ คนงาน เพราะเป็นผู้ช่วยทำ การงานต่าง ๆ เป็นฐานกำลังให้
---๖.อุปริมทิศ (ทิศเบื้องบน) ได้แก่ สมณพราหมณ์ คือ พระสงฆ์ เพราะเป็นผู้สูงด้วยธรรม และเป็นผู้นำทางจิตใจ
*ทิศ ๖
*ทิศเบื้องหน้า
---ทิศเบื้องหน้า คือ บิดา มารดา พระพุทธองค์ท่านตรัสสอนว่า บุตรและธิดาทั้งหลายต้องมีกตัญญุตา คือ รู้คุณท่าน บำรุงพระคุณของท่านให้มีความเจริญ และต้องมีกตเวทิตา คือ ตอบแทนระคุณของท่าน โดยเลี้ยงดูอุปการะท่านให้มีความสุข ทั้งสามารถรักษาทรัพย์ทั้งหลายที่ท่านได้ให้ไว้ไม่ให้สูญไป หรือ ทำให้ทรัพย์ที่ท่านให้ไว้ได้เกิดประโยชน์งอกงามมีผลกำไร และดำรงยศศักดิ์สกุลวงศ์ของท่านให้เจริญรุ่งเรืองในทางที่ดี เมื่อท่านถึงแก่กรรมไปแล้วควรหมั่นบำเพ็ญกุศลให้ถึงท่านเป็นประจำ
*ก.บุตรธิดาพึงบำรุงมารดา บิดา ผู้เป็นทิศเบื้องหน้า ดังนี้
---๑)ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ
---๒)ช่วยทำการงานของท่าน
---๓)ดำรงวงศ์สกุล
---๔)ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท
---๕)เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน
*ข.บิดามารดาย่อมอนุเคราะห์บุตรธิดา ดังนี้
---๑)ห้ามปรามจากความชั่ว
---๒)ให้ตั้งอยู่ในความดี
---๓)ให้ศึกษาศิลปวิทยา
---๔)หาคู่ครองที่สมควรให้
---๕)มอบทรัพย์สมบัติให้ในโอกาสอันสมควร
*ทิศเบื้องหน้า
---มีบุพการี ที่ควรบูชา
---ด้วยกตเวทิตา มากล้นหฤทัย
---และด้วยกตัญญู รู้คุณท่านให้ได้
---ด้วยรักและอภัย ตลอดชีวิตนิจกาล
*ทิศเบื้องขวา
---ทิศเบื้องขวา คือ คุณอาจารย์ และคุณครูทั้งหลาย ศิษย์ที่ดีพึงบำรุงท่านให้มีความสุขด้วยความเคารพและนอบน้อม หมั่นเข้าพบท่านเพื่อรับใช้ด้วยความสุภาพสำรวมให้ท่านรักและเมตตา เมื่อท่านอบรมสั่งสอนสิ่งใดก็น้อมสมใจ เอาใจใส่จำและรับมาปฏิบัติให้เกิดผล ทั้งเรียนศิลปวิทยาทั้งหลายด้วยความสุจริต ด้วยความเคารพ ไม่ดูแคลนในสภาพชีวิต ความเป็นอยู่และฐานะของครู
---ส่วนครู และอาจารย์ท่านให้เมตตาต่อศิษย์ด้วยคำแนะนำและสั่งสอนในทางที่ดี ก่อประโยชน์ ให้การศึกษาดี บอกศิลปวิทยาให้รู้โดยไม่ล่วงและ ไม่ปิดบัง เมื่อศิษย์เรียนดีมีฝีมือก็พึงยินดียกย่องให้มีชื่อเสียงดีงามเป็นที่ปรากฏ ต่อโลก ทั้งอภิบาลรักษาศิษย์ไม่ให้ตกอยู่ในโทษใด ๆ
*ก. ศิษย์พึงบำรุงครูอาจารย์
---ผู้เป็นทิศเบื้องขวา ดังนี้
---๑)ลุกต้อนรับ
---๒)เข้าไปหา (เพื่อบำรุง คอยรับใช้ ปรึกษา ซักถาม และรับคำแนะนำ เป็นต้น)
---๓)ใฝ่ใจเรียน (คือ มีใจรัก เรียนด้วยศรัทธา และรู้จักฟังให้เกิดปัญญา)
---๔)ปรนนิบัติ ช่วยบริการ
---๕)เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ (คือ เอาจริงเอาจัง ถือเป็นกิจสำคัญ)
*ทิศเบื้องขวา
---มีพลังครู โปรดอยู่อภิบาล
---วิชชาความชำนาญ แรงพลังบารมี
---ฝีมือความสามารถ ฉลาดในพิธี
---ผลงานเจริญศรี เสน่ห์แรงวโรดม
*ทิศเบื้องหลัง
---ทิศเบื้องหลัง คือ ครอบครัว มีสามี ภริยา บุตร และธิดา ผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวต้องยกย่องภริยาให้สังคมได้รู้จักทั้งมีความเคารพ นับถือภริยา ไม่ดูหมิ่นภริยาไม่ล่วงเกินบุพการีของภริยา ทั้งเพิ่มพูนความรักโดยเฉพาะสำหรับภริยา ให้ภริยาเห็นได้ชัดเจนโดยไม่เคลือบแคลง ทั้งให้ภริยามียศศักดิ์ มีความเป็นใหญ่ในครอบครัว และอภินันทนาการของขวัญสวยงามที่มีราคมเช่นเครื่องแต่งตัวสำหรับภริยาตาม สมควรแก่วาระ และโอกาส ด้วยความรักและเมตตาโดยไม่มีความเบื่อตลอดชีวิต
---ภาระอุปการะบุตรและธิดานั้น ท่านสอนให้ประพฤติสร้างสมความดี ให้หมั่นศึกษาวิชา และศิลปะวิทยา ให้สมบัติที่เหมาะสมกับอารมณ์และอุปนิสัยของบุตรและธิดา เพื่อให้บุตรและธิดามีความรักที่จะรักษาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไว้ได้โดย ง่าย เมื่อถึงวัยที่จะมีคู่ก็อบรมปลูกอุปนิสัยให้เลือกคู่ครองที่มีความเหมาะสม ทั้งชาติตระกูล และความประพฤติไม่เป็นที่น่ารังเกียจ
---ทางฝ่ายภริยา ท่านสอนให้ปฏิบัติบำรุงสามีให้มีความสุขโดยจัดระเบียบการงานบ้านเรือนที่ อยู่ให้สวยงามน่ารื่นรมย์ มีความเอื้อเฟื้อเมตตาพระคุณทั้งหลายที่ได้กรุณาสามี มีความขยันกิจการทั้งหลายให้เกิดผลสำเร็จดีงามในทันทีโดยไม่ทิ้งค้างไว้ และด้วยความแคล่วคล่องเรียบร้อย มีความสุจริตรักษาทรัพย์สมบัติของสามีและที่สามีให้ไว้ให้อยู่ในสภาพดีโดย ไม่น่าไปสร้างหนี้
*ก. สามีพึงบำรุงภรรยา
---ผู้เป็นทิศเบื้องหลัง ดังนี้
---๑)ยกย่องให้เกียรติสมกับฐานะที่เป็นภรรยา
---๒)ไม่ดูหมิ่น
---๓)ไม่นอกใจ
---๔)มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้านให้
---๕)หาเครื่องประดับมาให้เป็นของขวัญตามโอกาส
*ข. ภรรยาย่อมอนุเคราะห์สามี ดังนี้
---๑)จัดงานบ้านให้เรียบร้อย
---๒)สงเคราะห์ญาติมิตรทั้งสองฝ่ายด้วยดี
---๓)ไม่นอกใจ
---๔)รักษาทรัพย์สมบัติที่หามาได้
---๕)ขยันไม่เกียจคร้านในงานทั้งปวง
*ทิศเบื้องหลัง
---มีครอบครัวพร้อมหน้า ภริยาเหมาะสม
---ธิดาสวยน่าชม ทั้งบุตรมีสีลมัย
---ความดีงามเด่น ใครเห็นประทับใจ
---สรรเสริญเลื่อมใส ด้วยเห็นแจ้งประจักษ์จริง
*ทิศเบื้องซ้าย
---ทิศที่ ๔ ทิศเบื้องซ้าย คือ เพื่อนและมิตรทั้งหลาย ท่านสอนว่าควรบำรุงมิตรให้มีความสุขด้วยวาจา และด้วยความไพเราะนุ่มนวลประกอบด้วยความจริงใจ ไม่มีเล่ห์ และด้วยความประพฤติที่งาม เป็นกุศลในความสัมพันธ์ สิ่งใดที่ทำเป็นการเอื้อประโยชน์แต่มิตรก็จงทำ ทั้งไม่ใส่ร้ายต่อมิตร และไม่แกล้งมิตร ทั้งพร้อมเสมอที่จะได้ช่วยมิตรให้พ้นจากความประมาท แต่ถ้ามิตรพลั้งเผลอก็ช่วยดูแลไม่ให้ใครมาทุจริตต่อสมบัติของมิตร และสามารถเป็นที่พึ่งของมิตรได้เป็นอย่างดี ทั้งให้ความเคารพนับถือสกุลวงศ์ของมิตร ไม่ดูแคลนในฐานะของมิตร รวมถึงไม่ข่มมิตรด้อยกว่าตน
*ก. บุคคลพึงบำรุงมิตรสหาย
---ผู้เป็นทิศเบื้องซ้าย ดังนี้
---๑)เผื่อแผ่แบ่งปัน
---๒)พูดจามีน้ำใจ
---๓)ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
---๔)มีตนเสมอ ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน
---๕)ซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน
*ข. มิตรสหายย่อมอนุเคราะห์ตอบ ดังนี้
---๑)เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาป้องกัน
---๒)เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อน
---๓)ในคราวมีภัย เป็นที่พึ่งได้
---๔)ไม่ละทิ้งในยามทุกข์ยาก
---๕)นับถือตลอดถึงวงศ์ญาติของมิตร
*ทิศเบื้องซ้าย
---มีกัลยาณมิตร สุจริตครบสิ่ง
---น้ำใจเป็นยอดยิ่ง น่ารักมหัศจรรย์
---เอื้อเฟื้อสารพัด เลิศสัตย์ในสัมพันธ์
---ด้วยความหฤหรรษ์ แสนสนุกในไมตรี
*ทิศเบื้องบน
---ทิศเบื้องบน คือ สมณพราหมณ์รวมถึงผู้มีศีลทั้งหลาย ท่านสอนให้คนดีทั้งหลายได้ปฏิบัติรักษาพระคุณของท่านด้วยความเมตตาเปี่ยม อภัยในกรรมและผล ไม่กล่าวโทษไม่กล่าวร้ายใด ๆ สำหรับท่าน แม้แต่บาปสนองก็มิให้พึงมี เมื่อท่านมาถึงก็ให้ต้อนรับด้วยวรามิสทาน เช่น เงินทอง สิ่งของเครื่องอุปโภค บริโภคล้วนเป็นของดีมีราคา พร้อมน้ำใจไมตรีมีความเคารพนอบน้อมแสดงให้เห็นถึงความปิติที่ได้พบท่าน และเมื่อท่านได้กล่าวสิ่งใดเป็นบุญก็ให้รับไว้ด้วยความศรัทธา
---ส่วนทางสมณพราหมณ์ ท่านสอนว่าให้สอนญาติโยมทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในความดี มีน้ำใจดีงามตอบต่อความศรัทธา และไมตรีของญาติโยมทั้งหลาย เมื่อสนทนาก็กล่าวถึงสิ่งที่น่าสนใจที่เป็นเรื่องจริง หรืออิงปรัชญา ทำให้บุญเกิดเป็นผลดีจริง ทั้งไม่มีการปด และไม่มีความเท็จ
---หน้าที่ของพราหมณ์ทั้งหลายท่านมีหน้าที่บอกทางสวรรค์และบอกผลานิสงศ์สำหรับญาติและโยมทั้งหลายด้วยสัจจะสุจริต โดยไม่ล่วงและไม่หลอก
*ก. คฤหัสถ์ย่อมบำรุงพระสงฆ์
---ผู้เป็นทิศเบื้องบน ดังนี้
---๑)จะทำสิ่งใด ก็ทำด้วยเมตตา
---๒)จะพูดสิ่งใด ก็พูดด้วยเมตตา
---๓)จะคิดสิ่งใด ก็คิดด้วยเมตตา
---๔)ต้อนรับด้วยความเต็มใจ
---๕)อุปถัมภ์ด้วยปัจจัย ๔
*ข. พระสงฆ์ย่อมอนุเคราะห์คฤหัสถ์ ดังนี้
---๑)ห้ามปรามจากความชั่ว
---๒)ให้ตั้งอยู่ในความดี
---๓)อนุเคราะห์ด้วยความปรารถนาดี
---๔)ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
---๕)ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง
---๖)บอกทางสวรรค์คือทางชีวิตที่มีความสุขความเจริญได้
*ทิศเบื้องบน
---มีสมณพราหมณ์ อธินามบารมี
---สัมฤทธิ์ความโชคดี มากหลายยิ่งกว่าเดิม
---ผลานิสงส์ได้เกิด เป็นเลิศทั้งบุญเพิ่ม
---เทวโลกส่งเสริม ให้สมหวังบริบูรณ์
*ทิศเบื้องล่าง
---ทิศเบื้องล่าง คือ คนทำงาน หรือคนรับใช้ ท่านสอนว่าผู้เป็นนายทั้งชายหรือหญิงต้องจัดงานให้ทำตามความเหมาะสม ให้อาหาร ที่อยู่ เครื่องใช้ รายได้ ยา เครื่องอุปโภคบริโภค และให้บางสิ่งบางอย่างที่ดีงามเป็นของแปลกที่พวกเขาหรือไม่เคยได้มาก่อน ให้ทั้งเวลาที่พวกเขาจะได้พักผ่อน และให้อิสรภาพในการที่เขาจะไปไหนมาไหมได้ตามวันและเวลาที่กำหนดตกลงกันไว้
---ส่วนคนงานและคนรับใช้ ท่านให้บำรุงนายด้วยความขยัน ตื่นก่อนนาย นอนทีหลังนาย ประพฤติสุจริต ไม่เป็นขโมย นำคุณของนายไปสรรเสริญด้วยความเคารพและพัฒนาทางแรงงานฝีมือความสามารถให้ เป็นไปในทางที่ดีกว่าเดิม
*ก. นายพึงบำรุงคนรับใช้และคนงาน
---ผู้เป็นทิศเบื้องล่าง ดังนี้
---๑)จัดการงานให้ทำตามความเหมาะสมกับกำลังความสามารถ
---๒)ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งานและความเป็นอยู่
---๓)จัดสวัสดิการดี มีช่วยรักษายาบาลในยามเจ็บไข้ เป็นต้น
---๔)ได้ของแปลก ๆ พิเศษมา ก็แบ่งปันให้
---๕)ให้มีวันหยุดและพักผ่อนหย่อนใจตามโอกาสอันควร
*ข. คนรับใช้และคนงานย่อมอนุเคราะห์นาย ดังนี้
---๑)เริ่มทำการงานก่อนนาย
---๒)เลิกงานทีหลังนาย
---๓)ถือเอาแต่ของที่นายให้
---๔)ทำการงานให้เรียบร้อยและดียิ่งขึ้น
---๕)นำเกียรติคุณของนายไปเผยแพร่
*ทิศเบื้องล่าง
---มีคุณบริวาร ทำงานไม่เคยสูญ
---น้ำใจมีเกื้อกูล ปฏิบัติกตัญญู
---เลิศสัตย์สุจริต เป็นทั้งมิตรเคียงคู่
---ใครเห็นและได้รู้ สดุดีว่ามีบุญ
*ความสำคัญของทิศทั้ง ๖
---หน้าที่สำคัญของทิศทั้ง ๖ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้โดยย่อมีอยู่ ๓ เรื่องใหญ่ ๆ
---๑.เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังนิสัยใจคอ นิสัยของคนเรานั้นได้มาจากทิศ ๖ ซึ่งเมื่อสรุปแล้วจะเหลือแค่ บ้าน วัด โรงเรียนนี่เอง ไม่ใช่ตกลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่หลั่งไหลมาเองเหมือนอย่างกับน้ำฝนบนท้องฟ้า คือตอนเล็ก ๆ เราก็ได้คุณพ่อคุณแม่ ครูบาอาจารย์ ลุงป้าน้าอา หลวงปู่ หลวงพ่อ ช่วยกันอบรมให้จนกระทั่งกลายมาเป็นนิสัยใจคอของเรา
---ส่วนว่าท่านจะอบรมได้ดีขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะไม่มีใครจะอบรมบ่มนิสัยใจคอ หรือคุณงามความดี ให้กับผู้อื่นได้มากกว่าที่ตัวเองมีอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านมีสติปัญญาเท่าไร ท่านก็อบรมให้เราได้เท่านั้น
---ยกตัวอย่าง เวลาลูกกินข้าวแล้วไม่ล้างจาน คุณแม่ก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะให้คนรับใช้เอาไปล้าง นั่นเริ่มเพาะนิสัยไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเองให้ลูกแล้ว เด็กคนนี้พอโตขึ้นมาก็เลยรับผิดชอบอะไรไม่เป็น แล้วอย่างนี้จะหวังให้มารับผิดชอบวงศ์ตระกูล หวังจะให้รับผิดชอบต่อทรัพย์สมบัติ เขาจะไปรับผิดชอบได้อย่างไร ในเมื่อแค่จานข้าวที่ตัวเองกินก็ยังไม่ล้างเลย
---๒.เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความเก่งความดี
---ทิศ ๖ เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความเก่งความดี หรือความรู้ ความสามารถและคุณธรรมประจำใจ แต่ว่าอย่างเอาเรื่องของนิสัยใจคอ กับความเก่งความดีมาปนกัน เพราะไม่ว่าใครจะเป็นคนหยาบ เป็นคนละเอียด เป็นคนทำอะไรประณีต เป็นคนทำอะไรทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ก็ตาม นั่นเป็นนิสัยไม่ดีเกี่ยวกับความรู้ ความสามารถ ยังไม่เกี่ยวกังเรื่องว่าดีหรือเลว ความรู้ความสามารถตลอดจนความเก่งความดีของมนุษย์ ก็ได้มาจากทิศ ๖ อีกเหมือนกัน อย่าคิดว่าเก่งได้ด้วยตัวเอง ถ้าใครคิดอย่างนั้นแสดงว่าเป็นคนเนรคุณ ทั้งต่อพ่อแม่และครูบาอาจารย์ทีเดียว
---เพราะว่าคุณพ่อคุณแม่จะอบรมเลี้ยงดูมาก็แทบแย่ กว่าครูบาอาจารย์จะเคี่ยวเข็ญสั่งสอนมาก็แทบแย่ แต่พอโตขึ้นมาเป็นคนที่มีทั้งความรู้ความสามารถ กลับบอกว่าคนนั้นเก่งได้ด้วยตัวเอง
---เมื่อทิศ ๖ เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความเก่งความดีให้กับเราอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เวลาประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรก็ตาม นึกถึงพระคุณทิศ ๖ ของเราด้วย เช่นเวลากีฬาชนะ ก็ให้หันหน้าไปทางทิศที่คุณพ่อคุณแม่ของเรอยู่ แล้วกราบท่านสักทีหนึ่ง โรงเรียนของเราอยู่ทิศไหน หันหน้าไปทางทิศนั้น กราบครูบาอาจารย์สักทีหนึ่งแล้วหลวงปู่ หลวงพ่อ ที่เราเคารพนับถือท่านอยู่ทิศไหน กราบไปทางทิศนั้นสักทีหนึ่ง แล้วจะมีแต่ความสุขความเจริญ ไม่ใช่ไปกระโดดโลดเต้น ร้องกรี๊ด ๆ ดีใจ อย่างนั้น
---๓.เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความสุขความเจริญ
---ทิศ ๖ เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความสุขความเจริญของคนในสังคม ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ไม่ใช่เพียงเฉพาะของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น เพราะจากนิสัยใจคอ จากความเก่งความดีที่มีอยู่นั่นเอง ทำให้คน ๆ นั้น คิด พูด ทำ ในทางที่ดี ในสิ่งที่ถูก จึงกลายเป็นความสุขความเจริญ ทั้งชาตินี้และชาติหน้า แต่ถ้าเขาเอาไป คิด พูด ทำ ในทางไม่ดี ในสิ่งที่ผิด ก็จะกลายเป็นความทุกข์ความเสื่อม ทั้งชาตินี้และชาติหน้าอีกเหมือนกัน.
...............................................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 30 กันยายน 2558
0 ความคิดเห็น