/music/.mp3 http://www.watkaokrailas.com
สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

 ติดต่อเรา-แผนที่

แจ้งข่าวดีมากๆๆ หนทางเลือกอีกแนวทาง ในการบรรเทาโรคต่างๆ

แจ้งข่าวดีมากๆๆ  หนทางเลือกอีกแนวทาง ในการบรรเทาโรคต่างๆ

          แจ้งข่าวดีมากๆๆ

          หนทางเลือกอีกทาง ในการบรรเทาโรคต่างๆ ด้วยนิ้วมือเดียว โดยญาณบารมีพ่อปู่ชีวกโกมารภัจจ์

(การช่วยเหลือที่จะประสบผลสำเร็จได้หรือไม่นั้น ประเด็นสำคัญ คือ บุญหรือกรรมที่เขาและเธอได้เคยทำร่วมกันไว้แต่ปางก่อนเป็นตัวชี้วัด ครับ)


ติดต่อ คุณเปีย ทับโชติ โทร..080-439-8740 ได้ทุกวัน

(เว้นวันพระ)

ถ้าหายแล้ว ก็อย่าลืมแบ่งบุญกุศลให้กระผมด้วยนะครับ.

ประวัติของหมอชีวกโกมารภัจจ์

(เป็นพระอนาคามีบุคคลในพระพุทธศาสนา)




โดย.....หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


---ความ มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในตอนนั้นก็มีท่านผู้หนึ่งที่เราได้ยินกันอยู่เสมอ คือ ท่านหมอ ชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งเป็นหมอสำคัญขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ คอยรักษาโรคและก็เป็นหมอที่มีความรู้พิเศษจริง ๆ การไปศึกษาของท่านนั้น ปรากฎว่าการไปศึกษาวิชาเวชศาสตร์มีความฉลาด สามารถยิ่งกว่าลูกศิษย์ใด ๆ จากสำนัก ตักสิลา



---เป็นอันว่าท่านชีวกโกมารภัจจ์นี้ มีประวัติอยู่ว่า เป็นลูกพิเศษของเจ้าใน กรุงราชคฤห์ คำว่าเป็นลูกพิเศษนี้ก็หมายความว่า อาจจะเป็นเมียพิเศษ ที่เจ้าย่องไปเจ้าชู้นอกเขตพระราชฐาน ผู้หญิงคนนั้นก็เลยมีลูกขึ้นมา 2 คน คือคนแรกชื่อว่า โกมารภัจจ์ เป็นลูกคนหัวปี คนที่สองมีนามว่า สิริมา เป็นคนสวยที่สุดในสมัยนั้น



---ต่อมาเมื่อโตขึ้น แต่ความจริงเกิดขึ้นมาแล้ว เจ้าก็ไม่ได้รับว่าเป็นบุตรโดยตรง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ โดยความในด้านจิตใจก็คือสงเคราะห์ตลอดเวลา แต่เป็นการสงเคราะห์แบบลับ ๆ ฉะนั้นชื่อของท่านโกมารภัจจ์ก็ดี ของสิริมาก็ดี ไม่ได้ชื่อเป็นเจ้า แต่ว่าฐานะก็ดีเข้าขั้นในฐานะดีมาก และก็เป็นคนใกล้ชิดกับพระราชฐานตลอดเวลา เพราะเจ้ารู้ว่าเป็นลูกแต่ก็ยอมรับไม่ได้ ประกาศเปิดเผยไม่ได้ แลก็เลี้ยงอย่างลูก สงเคราะห์อย่างลูกเหมือนกัน เมื่ออายุได้ 16 ปี ก็ส่งไปอยู่เมืองตักสิลา ท่านตั้งหน้าตั้งใจศึกษาวิชาเวชศาสตร์เอาอย่างเดียว


 ---ครั้นเมื่อ เวลาเรียนจบก็ลาอาจารยืกลับบ้าน อาจารย์ก็อยากทดลองความสามารถ จึงได้บอกให้ท่านโกมารภัจจ์จัดกระจาดเข้า 2 ลูก ทำด้วยหวายใส่สาแหรกหาบไป และมีมีด 1 เล่ม มีเสียม 1 เล่ม มีฆ้อน 1 อัน


 ---แล้วว่าเจ้าจงเดิน ไปด้าน 4 ทิศ ทิศละ 1 โยชน์ ดูหญ้าก็ดี ดูผักหญ้าต้นไม้ พืชพันธ์ธัญญาหาร ดินทราย หรือว่าแม้แต่แร่เหล็กต่าง ๆ แร่ต่าง ๆ ว่าดูว่า ถ้าสิ่งไหนมันไม่เป็นยาแล้วก็ตัดเอามาให้อาจารย์ดู หรือขุดมาให้อาจารย์ดู


 ---ท่าน โกมารภัจจ์ใช้เวลาแบบนี้ประมาณเดือนเศษ พอเดินไป 1 โยชน์ กว่าจะถึง 1 โยชน์ก็ต้องเดินดูไปตลอดทุกอย่างตามทิศที่อาจารย์บอก เมื่อไปครบทุกทิศทุกด้านทาง 1 โยชน์ ก็ปรากฎว่ากลับมาหาบเปล่า หาอะไรที่เป็นยาไม่ได้เลย ครั้นมาถึงก็มารายงานอาจารย์ บอกว่ามันไม่มี ไม่มีสิ่งที่มันไม่เป็นยา จะเป็นดิน จะเป็นทราย เป็นหิน เป็นกรวด เป็นต้นไม้ เป็นต้นหญ้า ไม่ว่าอะไรทั้งหมดมันเป็นยาทั้งหมด


 ---ปราก ฎว่าอาจารย์ก็ชมเชย บอกดีแล้ว อย่างนั้นกลับบ้านได้ ถ้ายังหาพวกทุกสิ่งทุกอย่าง หรืออย่างใดอย่างหนึ่งไม่เป็นยาในโลกนี้ ก็กลับบ้านไม่ได้ ถือว่าเรียนไม่จบ แล้วท่านก็ลากลับ กลับก็เดินมาในระหว่าทางไม่ทันจะถึงกรุงราคฤห์มหานคร



*รักษาภรรยาท่านเศรษฐี



---เวลา ตอนเย็นวันหนึ่งมันใกล้ค่ำ ท่านก็พักอยู่ในโคนต้นไม้ใกล้บ้านมหาเศรษฐี พอดีท่านมหาเศรษฐีเดินลงไปพบเข้า ถามว่า ไปไหนมา ม่านก็บอกว่า ไปเรียนวิชาเวชศาสตร์ ท่านมหาเศรษฐีก็บังเอิญภรรยาของท่านเป็นโรคปวดศรีษะมา 3 ปี ทำงานไม่ได้ ใช้สมองไม่ได้ ถามว่าจะรักษาหายไหม เห็นว่าเป็นหมอ ท่านก็บอกว่าต้องดูอาการก่อน เมื่อเข้าไปดูอาการท่านก็บอกว่าจะทดลองดู เพราะว่าเรียนหมอมาใหม่ ๆ ยังไม่มั่นใจว่าจะรักษาหายหรือไม่หาย แต่ว่ายาไม่มีติดมือเลย



---ท่านเศรษฐีก็ถามว่าต้องการอะไรบ้าง ก็บอกว่ามี แกก็ถามท่านมหาเศรษฐีว่า ไอ้หญ้าประเภทนี้มีไหม อาตมาก็ลืมชื่อหญ้า ท่านบอกว่ามี ถ้าบอกชื่อก็หาไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จักกัน ถ้าเอาของ 2อย่างเอาหญ้ามาโขลกเข้ากัน แล้วเลยใส่เข้าไปละลายคั้นเอาน้ำออกมากรองให้ดี แล้วก็หยอดไปในจมูกของภรรยาท่านมหาเศรษฐี



---พอหยอดลงไปเท่านี้ ก็ปรากฎว่าภรรยาท่านมหาเศรษฐี มีทั้งน้ำมูก มีทั้งสเลดออกจมูก ออกทั้งปาก ออกมาอย่างมาก ในที่สุดขนะเดียวกันก็ปรากฎว่าหายปวดทันที ท่านมหาเศรษฐีก็จัดรางวัลเป็นการใหญ่ แต่ว่าท่านโกมารภัจจ์ท่านก็รับ เวลาจะกลับท่านก็มอบคืน เขาไม่บอกว่าคืน มอบของทั้งหลายเหล่านี้ไว้สงเคราะห์คนจนต่อไป นี่ประวัติต้นแล้วก็เดินทางกลับ


*ประกอบยาถวายพระพุทธเจ้า


---เมื่อ กลับมาก็ขอเทศน์ลัด พูดมากเวลามันไม่ค่อยพอเทศน์ เรื่องนี้มันต้องเทศน์กันเต็มวันทั้ง 3วัน เป็นอันว่าในต่อมา ก็ได้เป็นหมอประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประชวรด้วยเรื่องอะไรก็ตามท่านโกมารภัจจ์ประกอบยาแค่เม็ดเดียวก็ หายทันที นี่จะได้มองเห็นว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาเป็นพระอรหันต์ และเป็นยอดอรหันต์คือ จอมอรหันต์ก็ยังป่วยไข้ไม่สบาย ก็ยังแก่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นท่านทั้งหลายก็จะคิดว่าพระอรหันต์ไม่ป่วย



---เป็น อันว่าต่อมาในกาลครั้งหนึ่ง เมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกพระเทวทัตกลิ้งหินลงมา มีความปราถนาจะทับสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ตายที่ยอดเขาคิชฌกูฏ พระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่เชิงเขา พระเทวทัตขึ้นไปยอดเขาแล้วกลิ้งหินให้ทับแต่ก็เป็นการบังเอิญที่มีหินก้อนใหญ่มหึมาก้อนหนึ่ง ปรากฎโผล่ขึ้นมากันหินที่พระเทวทัตกลิ้งมาแตกกระจาย เศษหินไปถูกพระบาทขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาที่นิ้วพระบาทห้อพระโล้หิต



---เมื่อ องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรอาการอย่างนั้น ท่านโกมารภัจจ์ก็ประกอบยาถวายปิดลงไปที่ห้อพระโลหิต แล้วก็เอาผ้าผูกไว้ พอเสร็จแล้วก็ลาองค์สมเด็จพระจอมไตรไปภายนอกกำแพงวัง คุยกับเพื่อนเพลินไป โอกาศเวลานั้นประตูเมืองก็ปิดหกโมงเย็น เข้าประตูเมืองไม่ได้ ก็ร้อนใจคิดว่า โอ้หนอ...ยาที่ถวายองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นยาแรง เวลานี้แผลก็คงจะหายแล้ว อีกประการหนึ่ง เมื่อแผลหาย ยาที่ยังพันอยู่ที่นิ้วพระบาทขององค์สมเด็จพระจอมไตรจะทำให้พระองค์ทรงมี ความลำบาก เพราะยามีความร้อน



---ตอนนั้นเอง องค์สมเด็จพระชินวร ทรงทราบวาระจิตของท่านโกมารภัจจ์ว่ามีความลำบาก คิดว่ายาจะเป็นโทษกับเรา จึงได้เรียก พระอานนท์ มาบอก อานันทะดูก่อนอานนท์ เธอจงแก้ผ้ามัดนิ้วตถาคตออกไป แล้วจงเอายาออก พอเอาออกแล้วพระอานนท์ก็เอาน้ำที่สะอาดมาล้างให้ ตอนรุ่งขึ้นท่านโกมารภัจจ์เข้าเมืองได้ก็รีบมาเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตร



---ถาม ว่า ยามีอันตรายแก่พระองค์ไหม พระพุทธเจ้าเลยบอกว่าไม่มี เวลานี้ตถาคตให้พระอานนท์แก้ออกหมดแล้ว ถามว่าเวลาไหน ท่านถามว่าเวลาไหน พระพุทธเจ้าก็ตอบแก้เวลาที่เธอลำบากใจ คิดว่าจะมีอันตรายสำหรับฉัน นี่เป็นตอนหนึ่ง ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระภัควันต์บรมศาสดาป่วยเป็นโรคอะไร ท่านโกมารภัจจ์ก็รักษาหายทันทีทันใด



*มาเที่ยวเมืองทวาราวดี



---ตอน นี้จะขอพูดเรื่องของท่านเหมือนกัน เป็นการแยกออกไปสักนิดหนึ่งจากการรักษา ในสมัยหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระศาสดาประทับสำราญอิริยาบถ ท่านโกมารภัจจ์ได้ยินข่าวว่า ชาวเมืองไอ้เมืองนี้ ทวาราวดีเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีขนบธรรมเนียมประเพณีดี มีภาษาพูดเพราะ ก็อยากจะมาเที่ยวเมืองทวาราวดี



---คือเขตไทยทาง ด้านของ นครปฐม แต่ทวาราวดีเวลานั้นกินเขตแดนของทั้งหมดของเมืองไทยนี่เอง เวลานั้นเขาไม่เรียกเมืองไทย เขาเรียกตามชื่อเมืองว่าเมืองทวาราวดี ทูลลาองค์สมเด็จพระชินศรีจะมาเที่ยวเมืองทวาราวดีเกือบ 2 ปี แต่ความจริงอรรถกถาจารย์เขียนไว้ถึง 22 ปี อันนี้เห็นว่าท่าจะไม่ถูกต้อง 2 ปี เพราะท่านโกมารภัจจ์ไม่สามารถจะทิ้งพระพุทธเจ้าได้ ในตอนนั้นท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว ถือว่าการเป็นพระโสดาบันนี่เป็นไม่ยากคือ



---1.นึกถึงควมตายเป็นอารมณ์


---2.เคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์


---3.มีศีล 5 บริสุทธิ์


---4.จิตใจต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์พระโสดาบัน เขาเป็นแค่นี้นะ ทุกคนก็เป็นได้



---เมื่อ มาถึงทวาราวดี อยู่ครบประมาณ 2 ปี ท่านก็กลับ กลับแล้วท่านก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าชาวเมืองทวาราวดีนี้มีภาษาพูดที่เพราะมาก เป็นภาษาโดด คือพูดเป็นคำ ๆ คำว่าไปก็ไป คำว่ากินก็กินอย่างเวลานั้น ภาษาแขกหรือชาว มคธคำว่า "ไป" เขาก็พูดว่า "คันตวา" มันเป็นคำคู่ "กิน" ก็ "ภุญชติ" ภุญชติล่อเข้าไป 3 คำ กลั้วกัน คันตวาล่อเข้าไป 3 คำ ของเราไป ของเรากินมันเป็นคำโดด



---พอกราบ ทูลองค์สมเด็จพระพุผู้มีพระภาคเจ้าว่าภาษาของชาวทวาราวดีเขาพูดเพราะ พูดช้าๆ ฟังสบายๆ และก็เป็นภาษาโดด พระพุทธองค์จึงถามว่า ทวาราวดีเขาพูดกันอย่างไร ลองพูดให้ฟังซิ ท่านโกมารภัจจ์ก็พูดให้ฟัง เมื่อพูดให้ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี คุยกับท่านโกมาภัจจ์อยู่พักหนึ่งรู้สึกว่าสนุกสนานมาก ท่านโกมารภัจจ์ก็สนุก ทว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะสนุกหรือไม่สนุกก็ไม่ทราบ แต่เวลาคุยกับท่านโกมารภัจจ์ท่านคุยเป็นกันเอง คงจะสนุกเป็นพิเศษ



*พระพุทธเจ้าเป็นคนไทยอาหม



---คุย กันไปคุยกันมา โกมารภัจจ์นึกขึ้นมาได้ว่า สมเด็จพระจอมไตรนี้เป็นลูกชาวกรุงกบิลพัสดุ์ อยู่อินเดีย ที่พูดภาษาทวาราวดีนี้ได้เพราะอาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือความรู้เดิมกันแน่ แล้วความจริงนี่ปฏิสัมภิทาญาณนี่เขารู้ภาษาทุกภาษา แม้แต่ภาษาสัตว์ทุกประเภท จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า ที่พระองค์ทรงตรัสภาษาทวาราวดีนี่รู้ได้เป็นภาษาเดิม หรือเรียนมาจากไหน


---องค์ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงตรัสว่า โกมารภัจจ์ ภาษาทวาราวดีนี่เป็นภาษาเดียวกับชาวกรุงกบิลพัสดุ์ใช้เป็นภาษาพื้นเมือง ฉะนั้นท่านโกมารภัจจ์ก็ถามว่า ถ้าเช่นนั้น ชาวกรุงกบิลพัสด์ก็เป็นเชื้อสายเดียวกับทวาราวดีใช่ไหม องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ทรงตรัสว่าใช่ คือ ชาวกบิลพัสด์ก็ดี ชาวทวาราวดีก็ดี เป็นเชื้อสายเดียวกัน คือพูดภาษาไทยเหมือนกัน นี่ขอบรรดาท่านทั้งหลายได้โปรดทราบว่า พระพุทธเจ้าท่านความจริงเป็นคนไทย เขาเรียกว่าไทยอาหม ตอนนี้ก็รู้ไว้


---ต่อมาก็เทศน์เรื่องของท่านในเรื่องของหมอต่อไป ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ประกาศพระศาสนาได้ครบ  45 ปี  มีอายุ 80 พอดี   ตามอายุขัยของพระองค์   เวลานั้นพระองค์ประทับอยู่ที่ ปาวาลเจดีย์     ท่าน โกมารภัจจ์ไม่ได้อยู่ด้วย ไปธุระเสีย เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร คือปลงอายุสังขาร กำหนดวันนับต้องแต่เวลานี้ไป 3 เดือน เราจะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่แห่งเมือง กุสินารามหานคร



---เมื่อ องค์สมเด็จพระชินวรปรงปลงอายุสังขาร ตัดสินพระทัยว่าจะนิพพานแน่ เวลานั้นเกิดเหตุอัศจรรย์แผ่นดินไหว พระอานนท์เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรถามเหตุแผ่นดินไหวก็ตรัสว่า เพราะตถาคตปลงอายุสังขาร ตั้งใจไว้อีก 3เดือนข้างหน้าจะนิพพาน คือวันวิสาขบูชา ที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ แห่งเมืองกุสินารามหานคร พระอานนท์ก็อาราธนาองค์สมเด็จพระชินวรให้อยู่ต่อ ขอเทศน์ลัดเลยนะเวลาเหลือน้อย



*พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับยา



---ท่าน ก็บอกไม่ได้ ต้องนิพพานแน่ ฉะนั้นก็ปรากฎว่าท่านโกมารภัจจ์กลับมาเห็นสมเด็จพระบรมศาสดาเศร้าหมองลงไป มาก ซุบซีดผอม ฉันอาหารก็ไม่ได้ แสดงว่าโรคภัยไข้เจ็บรบกวนมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทนพระวรกาย ผืนการเจ็บปวดทุกขเวทนาทั้งหมด สอนวันนั้น เวลานั้นคนก็ดี สอนพระก็ดี สมเด็จพระชินศรีไม่ทรงเทศน์เรื่องพระสูตรเลย เทศน์เฉพาะ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเป็นการตัดฉากใกล้นิพพาน



---ท่าน   โกมารภัจจ์ก็ไปถามองค์สมเด็จพระพิชิตมารถึงโรคท่านก็ไม่ตอบ   ท่านโกมารภัจจ์ก็เสียใจว่าถ้าเรารู้ชื่อโรคนิด อาการโรคนิดเดียวรักษาด้วยยาเม็ดเดียวให้หาย ต่อมาก็ได้ปรุงยาขึ้นเม็ดหนึ่งเพื่อถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระองค์เสวยยาเม็ดนั้นท่านจะรู้อาการโรคทันที เป็นยาพิสูจน์โรค พระพุทธเจาก็ไม่ทรงรับเสียอีก ถวาย 3 ครั้ง ท่านก็คว่ำมือถึง 3 ครั้ง



---ท่าน โกมารภัจจ์ก็เสียใจ จึงเอายาไปใส่ในบ่อน้ำ คิดว่าจะให้ใครกินก็ไม่สมควร ยานี้เป็นยาถวายพระพุทธเจ้า ไปใส่ในบ่อน้ำ พระอรรถกถาจารย์ หรือพระฏีกาจารย์ แก้อธิบายว่าน้ำในบ่อนั้นมันลึกอยู่แล้ว มันฟูขึ้นไปเลยบ่อเจ็ดชั่วลำตาลอัศจรรย์มาก ต่อมาเมื่อได้พบท่านโกมารภัจจ์ถามท่าน ท่านบอกว่านานๆ เข้ามันก็ยาวเหมือนกัน เมื่อต้นไม้ปลูกนานๆ เข้ามันก็ยาว แต่ควมจริงมันฟูขึ้นมาถึงปากบ่อ ไม่ได้เลยปากบ่อถึงเจ็ดชั่วลำตาล นี่เป็นอันว่าอรรถกถาจารย์ พระฏีกาจารย์เขาเขียนยาวมากเกินไป พาให้คนไม่เชื่อ




*หนีเข้าป่าเจริญสมณธรรม



---หลัง จากนั้นมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานแล้ว เมื่อเขาเก็บพระบรมสารีริกธาตุเสร็จ ท่านโกมารภัจจ์ก็ไปงานสมเด็จองค์พระประทีปแก้วเหมือนกัน เวลานั้นท่านก็คิดว่า เราคิดว่าเราจะตายก่อนพระพุทธเจ้า จะถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แต่เวลานี้พระพุทธเจ้ามานิพพานเสียก่อน เราก็หมดที่พึ่ง เวลานี้เราเป็นคนไม่มีอะไรแล้ว



---ลูกก็ดี เมียก็ดี ทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็ดี ข้าทาสหญิงชายก็ดี เราไม่มีเพราะเราสิ้นหวัง เราหมดที่พึ่ง ไอ้ร่างกายของเรานี่มันก็ใช้อะไรไม่ได้ ไม่ต้องการมันต่อไป ออกจากงานศพแทนที่จะเข้าบ้าน ก็เปิดเข้าป่าไปเลย ไปนอนอยู่ในถ้ำ ไปนั่งนอนคิดว่าเวลานี้สมเด็จพระธรรมสามิสรที่เป็นที่พึ่งใหญ่ของเรานิพพาน   เราก็ไม่เอาอะไรมันทั้งหมด  นอนให้มันตายอย่างนี้ล่ะ ข้าวปลาอาหารก็ไม่กิน



---แต่ ท่านก็เล่าต่อไปว่า ถึงมันจะหลบเข้าไปแบบนั้น คนก็เห็นแก่ตัวไปรบกวนท่าน ไปขอยาท่าน ท่านก็เลยเข้าป่าลึกเข้าถ้ำให้มันลึกเข้าไปอีก แล้วก็ไปนอน นอนเฉยๆ คิดว่าเราหมดที่พึ่ง เราเป็นคนไม่มีอะไร ร่างกายเราก็ไม่ต้องการมันให้มันตายไปแบบนี่แหล่ะ มันอยากตายเมื่อไรก็ให้มันตายถ้ามันไม่ตายก็ไม่ลุก จะอยู่มันที่นี้ตลอดไป พอตัดสินใจแบบนี้ก็มีเสียงเหมือนฟ้าผ่าลงมา 3 ครั้ง ครั้งแรกก็เรียกว่า "โกมารภัจจ์ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม..."


---ท่าน ก็บอกว่าใช่ ท่านไม่เห็นตัว ฟ้าแลบเข้ามาก็มีเสียงเหมือนฟ้าผ่าอีก ก็บอกอย่างนั้น ท่านก็ตรัสอย่างนั้น แล้วเสียงนั้นก็หายไป สายฟ้าก็หายไป ท่านก็เลยบอกว่า หลังจากนั้นแล้วผมก็เลยนอนหลับ หลับแล้วผมก็หลับเลยไม่ตื่น รวมความว่าเวลานั้นท่านเป็นอรหันต์แล้วก็นิพพานทันที



*อารมณ์ถึงอรหันต์



---เอา เรื่องนี้มาพูดให้เห็นว่า ความกตัญญูกตเวทีของท่านโกมารภัจจ์เป็นของดี แต่ว่าท่านโกมารภัจจ์นี้ไปนิพพานคือเป็นอรหันต์ได้ เพราะมีความรู้สึกอะไร ฉะนั้นขอท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จงจำไว้ว่า คำว่าถึงอรหันต์น่ะมันมีอยู่คำเดียว หรืออย่างเดียว คือ เราไม่ติดอะไร ทั้งหมด จิตกำหนดว่าวัตถุธาตุต่างๆ คนก็ดี ใครก็ตาม ไม่ได้เนื่องถึงเรา คือไม่ใช่เป็นของเรา แต่เขาเนื่องถึงเราจริงเราสงเคราะห์หรือทำงานสงเคราะห์ให้ตามหน้าที่ ทุกอย่างแต่เราไม่ผูกพัน คิดว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แม้แต่ร่างกายเราก็ไม่ต้องการ



---ถ้าคิดอย่างนี้ก็ตรงกับคำที่ องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสในตอนท้ายมหาสติปัฏฐานสูตรว่า เธอจงอย่าสนใจกายภายใน คือกายตัวเอง อย่าติดในกายภายนอก คือ กายคนอื่น และก็จงอย่าติดในวัตถุธาตุใดๆ จงปลงกำลังใจว่า แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา เพียงเท่านี้ทุกคนก็จะเป็นอรหันต์



---ฉะนั้น ท่านโกมารภัจจ์ท่านเป็นคนผิดหวังในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าท่านจะตายก่อน แต่เมื่อองค์สมเด็นพระชินวรบรมศาสดานิพพานแล้ว ท่านก็ตัดสินใจว่าเราเป็นคนไม่มีอะไรทั้งหมด ลูกไม่มี เมียไม่มี ทรัพย์สมบัติไม่มี ร่างกายไม่มีความหมาย



---เมื่อมันอยากจะตาย ช้าที่หลังพระพุทธเจ้า มันก็ปล่อยให้มันตายด้วยความอดอยากก็ช่างมันปะไร เราไม่ต้องการมันต่อไป อันนี้เป็นอารมณ์ของอรหันต์ เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้วท่านก็เป็นอรหันต์ทันที ฆราวาสถ้าเป็นอรหันต์วันนี้วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน แล้วท่านก็นิพพานจนกระทั่งบัดนี้.









(หมายเหตุ..เป็นความเชื่อในส่วนบุคคล)


..................................................................................







ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

รวบรวมโดย...แสงธรรม

อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 1 ตุลาคม 2558


Tags :

0 ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

*

*

view

ประวัติต่างๆ

ประวัติวัดเขาไกรลาศ

ประวัติของหลวงพ่อเทียน=คลิป

มาเช็คชื่อ-เช็คสกุลกันดีกว่า=คลิป

ประวัติพระอธิการชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน=คลิป

ขอเชิญผู้ร่วมบุญสร้างอาศรมเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก

ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร

ประวัติฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธองค์

ประวัติของนางวิสาขา=คลิป

ประวัติของอนาถปิณฑิกเศรษฐี=คลิป

ประวัติของเศรษฐีขี้เหนียว

ประวัติเหตุทำบุญที่ช้า=คลิป

ประวัติของผู้ร่วมบุญ=คลิป

ประวัติของพระไตรปิฎก=คลิป

ประวัติการสร้างพระพุทธรูปและพระเจ้า ๕ พระองค์

ประวัติง้วนดิน

ประวัติปู่ฤาษีนารอท

ประวัติพระปางมหาจักรพรรดิ์ ทรงปราบพระเจ้ามหาชมพูบดี

ประวัตินางห้าม..แห่งขอมโบราณ

ประวัติพญานาค

ความรู้และรายละเอียดพุทธเจดีย์

พระมหาโพธิสัตว์

สาระธรรม

ธรรมะส่องใจ

อานิสงส์แต่ละอย่าง

ประเพณีต่างๆ

ตำนานทั่วไป

สาระน่ารู้

ปกิณกะธรรม

วัตถุมงคล-สาระอื่นๆ

ข้อมูลทั่วไป

ปฎิทิน

« October 2024»
SMTWTFS
  12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031  

สมาชิก

ลืมรหัสผ่าน?
สมัครสมาชิก

สถิติ

เปิดเว็บ20/06/2011
อัพเดท02/06/2024
ผู้เข้าชม7,700,252
เปิดเพจ11,862,215
สินค้าทั้งหมด8

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

view