ในปาฏิหาริย์ 3 อย่าง
---พระพุทธเจ้าทรงโปรด อนุสาสนีปฏิหาริย์ กว่า ปาฏิหาริย์อื่นอีกสองอย่าง เพราะอะไร
---เพราะไม่ใช่ตัวแท้ของพระพุทธศาสนาและไม่จำเป็นสำหรับการเข้าถึงพระพุทธศาสนา สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการเกิดของพระพุทธศาสนา และเป็นตัวพระพุทธศาสนา คือ ความรู้ที่ทำให้ดับกิเลสดับทุกข์ได้ เรียก ชื่ออย่างหนึ่งว่า "อาสวักขยญาณ" แปลว่า ญาณที่ทำอาสวะให้สิ้นไป แต่มนุษย์จะสนใจปาฏิหาริย์ข้อ 1- 2 มากกว่า
*ปาฏิหาริย์ 3 อย่างดังนี้
---1.อิทธิปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ คือ การแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ
---2.อาเทศนาปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ คือ การทายใจคนอื่นได้
---3.อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ คือ คำสอนที่เป็นจริง สอนให้เห็นจริงและนำไปปฏิบัติได้ผลสมจริง
---การปฏิบัติตามหลักการและการเข้าถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนา ย่อมเป็นไปได้ โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งเหนือวิสัยและอิทธิปาฏิหาริย์เลย พึงอ้างพุทธพจน์นี้
---พระพุทธเจ้านี่แน่ะสุนักขัตต์ เธอเข้าใจว่าอย่างไร เมื่อเราทำอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมของมนุษย์ยิ่งยวดก็ตาม ไม่ทำก็ตาม ธรรมที่เราแสดงแล้ว เพื่อประโยชน์มุ่งหมายใด จะนำออกไปเพื่อประโยชน์ที่มุ่งหมายนั้น คือ ความหมดสิ้นทุกข์โดยชอบได้หรือไม่
---สุนักขัตต์พระองค์ ผู้เจริญ เมื่อพระองค์ทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมของมนุษย์ที่ยิ่งยวดก็ตาม ไม่กระทำก็ตาม ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว เพื่อประโยชน์มุ่งหมายใด ก็ย่อมจะนำออกไปเพื่อประโยชน์ที่มุ่งหมายนั้น คือ ความหมดสิ้นทุกข์โดยชอบได้
*1.อิทธิปาฏิหาริย์
---บางท่านประกอบฤทธิ์ต่างๆ ได้มากมายหลายอย่าง คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายก็ได้ ทะลุฝากำแพง ไปได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้น ดำลง แม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ใช้มือจับต้องลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีกำลังฤทธิ์เดชมากมายถึงเพียงนี้ก็ได้ ใช้อำนาจทางกายจนถึงพรหมโลกก็ได้
*2.อาเทศนาปาฏิหาริย์
---ภิกษุย่อมทายใจ ทายความรู้สึกในใจ ทายความนึกคิด ทายความไตร่ตรองของสัตว์อื่น บุคคลอื่นได้ว่า ใจของท่านเป็นอย่างนี้ ใจของท่านเป็นไปโดยอาการนี้ จิตของท่านเป็นดังนี้ อย่างนี้ว่าตาม เกวัฏฏสูตรในทีฆนิกาย
---แต่ในที.ปา. 11/78/112 ฯลฯ ให้ความหมายละเอียดออกไปอีกว่า “บางท่านทายใจได้ด้วยสิ่งที่กำหนดเป็นเครื่องหมาย (นิมิต) ว่า ใจของท่านเป็นอย่างนี้ ใจของท่านเป็นไปโดยอาการอย่างนี้ จิตของท่านเป็นดังนี้ ถึงหากเธอจะทายเป็นอันมาก ก็ตรงอย่างนั้นไม่พลาดเป็นอื่น
---บางท่าน ไม่ทายด้วยสิ่งที่กำหนดเป็นเครื่องหมายเลย แต่พอได้ฟังเสียงของมนุษย์ อมนุษย์ หรือเทวดาแล้ว ก็ทายใจได้ว่า ใจของท่านเป็นอย่างนี้...
---บางท่านไม่ทายด้วยนิมิต ไม่ฟังเสียง...แล้วจึงทาย แต่ฟังเสียงวิตกวิจารของคนที่กำลังตรึกกำลังตรองอยู่ ก็ทายใจได้ว่า ใจของท่านเป็นอย่างนี้...
---บางท่านไม่ทายด้วยนิมิต ไม่ฟังเสียง...แล้วจึงทาย แต่ใช้จิตกำหนดใจของคนที่เข้าสมาธิ ซึ่งไม่มีวิตกไม่มีวิจารแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า ท่านผู้นี้ตั้งมโนสังขารไว้อย่างไร ต่อจากความคิดนี้แล้ว ก็จะคิดความคิดโน้น ถึงหากเธอจะทายมากมาย ก็ตรงอย่างนั้น ไม่พลาดเป็นอื่น”
(อาเทศนาปาฏิหาริย์นี้ ดูคล้ายเจโตปริยญาณหรือปรจิตตวิชานน์ แต่ไม่ตรงกันทีเดียว เพราะยังอยู่ ในขั้นทาย ยังไม่เป็นญาณ)
*3.อนุสาสนีปาฏิหาริย์
---บางท่านย่อมพร่ำสอนอย่างนี้ว่า จงตรึกอย่างนี้ อย่าตรึกอย่างนี้ จงมนสิการอย่างนี้ อย่ามนสิการอย่างนี้ จงละสิ่งนี้ จงเข้าถึงสิ่งนี้อยู่เถิด
(เฉพาะในเกวัฏฏสูตร ในทีฆนิกายอธิบายเพิ่มเติม โดยยกเอาการที่พระพุทธเจ้าอุบัติในโลก แล้วทรงสั่งสอนธรรม ทำให้คนมีศรัทธาออกบวชบำเพ็ญศีล สำรวมอินทรีย์, มีสติสัมปชัญญะ, สันโดษ, เจริญฌาน, บรรลุอภิญญาทั้ง 6, ซึ่งจบลงด้วยอาสวักขัยเป็นพระอรหันต์ ว่าการสอนได้สำเร็จผลอย่างนั้นๆ ล้วนเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์)
---ในสมัยพุทธกาล เคยมีบุตรคฤหบดีผู้หนึ่ง ทูลให้พระพุทธเจ้าแสดงอิทธิปาฏิหาริย์เขากราบทูลว่า
---“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมืองนาลันทานี้เจริญรุ่งเรือง มีประชาชนมาก มีผู้คนกระจายอยู่ทั่ว ต่างเลื่อมใสนักในองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า ขออัญเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้โปรดทรงรับสั่ง พระภิกษุไว้สักรูปหนึ่ง ที่จะกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมเหนือมนุษย์ โดยการกระทำเช่นนี้ ชาวเมืองนาลันทานี้ ก็จักเลื่อมใสยิ่งนักในองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าสุดที่จะประมาณ”
---พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบบุตรคฤหบดีผู้นั้นว่า
---“นี่แน่ะเกวัฏฏ์ เรามิได้แสดงธรรม แก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า มาเถิดภิกษุทั้งหลายพวกเธอ จงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมเหนือมนุษย์แก่คนนุ่งขาวชาวคฤหัสถ์”
*พระองค์ได้ตรัสแสดงเหตุผลต่อไปว่าในบรรดาปาฏิหาริย์ 3 อย่างนั้น
---ทรงรังเกียจ ไม่โปรด ไม่โปร่งพระทัยต่ออิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทศนาปาฏิหาริย์ เพราะทรงเห็นโทษว่า "คนที่เชื่อก็เห็นจริงตามไป" "ส่วนคนที่ไม่เชื่อ ได้ฟังแล้ว ก็หาช่องขัดแย้งคัดค้านเอาได้"
---ว่า ภิกษุที่ทำปาฏิหาริย์นั้นคงใช้คันธารีวิทยาและมณิกาวิทยา ทำให้คนมัวทุ่มเถียงทะเลาะกันและได้ทรงชี้แจงความหมายและคุณค่าของอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ได้เห็นว่า เอามาใช้ปฏิบัติเป็นประโยชน์ประจักษ์ได้ภายในตนเอง จนบรรลุถึงอาสวักขัยอันเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา
---นอกจากนั้น ยังได้ทรงยกตัวอย่าง ภิกษุรูปหนึ่งมีฤทธิ์มาก อยากจะรู้ความจริง เกี่ยวกับจุดดับสิ้นของโลกวัตถุธาตุ จึงเหาะเที่ยวไปในสวรรค์ ดั้นด้นไปแสวงหาคำตอบ จนถึงพระพรหม ก็หาคำเฉลยที่ถูกต้องไม่ได้
---ในที่สุดต้องเหาะกลับลงมา แล้วเดินดินไปทูลถามพระองค์ เพื่อความรู้จักโลกตามความเป็นจริงและถึงความที่อิทธิปาฏิหาริย์มีขอบเขตจำกัด อับจนและมิใช่แก่นธรรม
---พระพุทธเจ้าได้ตรัสปาฏิหาริย์ 3 อย่าง คือ อิทธิปาฏิหาริย์, อาเทศนาปาฏิหาริย์, อนุสาสนีปาฏิหาริย์
---ในที่สุดได้ตรัสถามพราหมณ์ว่า ชอบใจปาฏิหาริย์อย่างไหน ปาฏิหาริย์ใดดีกว่า ประณีตกว่า.
---พราหมณ์ได้ทูลตอบว่า อิทธิปาฏิหาริย์และอาเทศนาปาฏิหาริย์ คนใดทำ คนนั้นจึงรู้เรื่อง คนทำได้ก็เป็นของคนนั้นเท่านั้น มองดูเหมือนเป็นมายากล, : อนุสาสนีปาฏิหาริย์จึงจะดีกว่า ประณีตกว่า
---คนอื่นพิจารณารู้ เข้าใจ มองเห็นความจริงด้วยและนำไปปฏิบัติได้ แก้ทุกข์แก้ปัญหาได้.
(หมายเหตุ เป็นความชอบและเชื่อส่วนบุคคล)
.....................................................................
ที่มา.....พระไตรปิฎก
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว ป.)
อัพเดทครั้งที่ 6 วันที่ 1 ตุลาคม 2558
0 ความคิดเห็น