อาทิสมานกายศักดิ์สิทธิ์ สถิต ณ ภูเขาไกรลาศ
(วัดเขาไกรลาศ ๕๕๕ หมู่ ๒ ต.บ้านโข้ง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี72160)
---เทือกเขาติดกันเป็นพืด บางแห่งเป็นภูเขาสูงเสียดฟ้าใครจะรู้บ้างว่าเมื่อหลายพันปีก่อน ภูเขาไกรลาศแห่งนี้ เป็นป่าดงดิบ และก่อนจะมามีสภาพเป็นป่าดงดิบ สถานที่บริเวณนี้ เคยเป็นห้วงมหาสมุทรอันไพศาลสุดขอบฟ้า บนยอดเขาสูงสุด เป็นภูเขาหินโผล่ เป็นเกาะกลางมหาสมุทร ครั้นกาลเวลาผ่านไป พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ น้ำทะเลยค่อยๆ เหือดแห้งจนกลายเป็นพื้นดิน
---ภูเขากลางมหาสมุทร กลายเป็นภูเขา ท่ามกลางป่าดงดิบอันหนาแน่น ด้วยมวลพฤกษาชาติ ชุกชุมด้วยสัตว์ร้าย อสรพิษร้าย ภูติผีไพร เป็นที่อยู่อาศัยของวิทยาธร และนางอัปสร รวมทั้งเป็นที่บำเพ็ญพรตของฤาษีชีไพร
---กาลเวลาล่วงเลยไปอีกหลายร้อยปี ได้มีผู้คนอพยพเข้ามาสร้างถิ่นฐาน ปักหลักทำมาหากิน พื้นที่ป่าดงดิบค่อยสลายไปด้วยฝีมือมนุษย์ มีบ้านเรือนประชาชน มีท้องที่ถูกปรับสภาพเป็นท้องนาท้องไร่ นับวันแต่จะมีประชาชนเพิ่มจำนวนมากขึ้น ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำมาหากิน ชนิดปกครองกันเอง แม้มีหัวหน้าหมู่บ้าน ก็ไม่อาจปกครองดูแลให้ประชาชน มีความเป็นปกติสุขได้เท่าที่ควร
---หัวหน้าหมู่บ้าน ได้รับการยกย่องจากชาวบ้านกันเอง เป็นชายอยู่ในวัยชรา มีอายุเลยกลางคนมานานหลายปี ใครๆ เรียกหัวหน้าหมู่บ้านวัยชราว่า "ตาอิน" แกเป็นคนมีวิชาความรู้ทางไสยศาสตร์ มีเวทมนต์ อาคมขลัง ต่อมาได้มีบุรุษ 3 พี่น้อง เข้ามาอยู่ท่าทางองอาจ มีความรู้ความสามารถ เหนือประชาชนธรรมดา คนพี่มีนามว่า อินทร์ คนที่สองมีนามว่า ยม คนที่สามสุดท้องมีนามว่า พรหม สามพี่น้องเข้ามาพบตาอิน หัวหน้าหมู่บ้าน
---พวกเรามาจากเมืองอื่น" คนพี่ชื่ออินทร์ตอบ
---"ข้าเป็นพี่คนโตชื่ออินทร์ น้องคนรองชื่อยม และคนเล็กชื่อพรหม"ชายชรามองหน้าสำรวจทีละคนแล้วพูดตอบ "ยินดีที่รู้จัก ดูพวกเจ้าเป็นคนดีมีฝีมือ หมู่บ้านเรายินดีต้อนรับ" หันมาทางคนพี่ "เออ เอ็งนี่มันชื่อเดียวกับข้าเลยนิ"ตาอินต้อนรับขับสู้บุรุษทั้งสามเป็นอันดี ดุจเครือญาติให้ที่พักอาศัยในเรือนเสียด้วยกัน ยิ่งอยู่นาน สามพี่น้องแสดงความสามารถด้านต่างๆ แก่ชาวบ้าน เหนือชาวบ้านธรรมดา จัดอยู่ในบุญญาธิการ จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีความสามารถ ยอมรับนับถือ พากันปรึกษาตาอิน หัวหน้าหมู่บ้านถึงเรื่องชุมชนแห่งนี้ มีจำนวนประชาชนพลเมืองมากมาย อยู่กันแบ่งพวกแบ่งเผ่า แยกกลุ่มไม่รวมกัน จึงเห็นว่าควรจะสร้างเมืองขึ้น รวมเป็นอาณาจักรเดียวกัน เพื่อความสันติสุขในภายหน้า ขอความเห็นชอบจากประชาชน
---เมื่อได้รับการเห็นชอบแล้ว จึงร่วมแรงร่วมใจกันสร้างเมืองขึ้น จนสำเร็จให้ชื่อว่า "เมืองวังแก้ว" สถาปนา อินทร์ ผู้พี่ชายคนโตขึ้นครองเมือง มีนามว่า "องค์อินทร์อธิราช" ส่วนองค์น้องรองลงมาคือ ยม สถาปนาเป็นมหาอุปราช มีนามว่า "อุปราชยม" ส่วนองค์น้องคือ พรหม ไม่ประสงค์จะอยู่เมือง ไม่ต้องการรับตำแหน่งใดๆ ขออยู่อย่างสงบและสันติตามลำพัง
---วันหนึ่งพรหม หรือ "องค์พรหม" ได้มาพบตาอินที่บ้านพัก เพื่อปรึกษาเรื่องสำคัญ "องค์พรหมมาถึงที่พักมีธุระอันใดฤา" พูดจบจัดหาที่นั่งพัก ปูลาดอาสนะ ให้สมกับเป็นน้องเจ้าเมืองอันทรงเกียรติ
---"ไม่ต้องวุ่นวายใดๆ ตาอิน เราคนกันเองแท้ๆ"
---องค์พรหมมีอุปนิสัยใฝ่ธรรม ชอบความสงบ ไม่ปรารถนาในลาภยศสรรเสริญ ไม่สนใจในโลกภายนอก มาชวนตาอินมีอุปนิสัยคล้ายกัน ไปบวชเป็นพระฤาษี ณ ป่าเขาอึมครึ่ม ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองวังแก้ว ทางด้านทิศใต้ ตาอิน ตอบตกลง เห็นดีเห็นชอบ พร้อมที่จะตามองค์พรหมปลีกวิเวกไปถือศีลปฏิบัติธรรม ณ ป่าเขาอึมครึ่มที่มีความสงบ
---ก่อนที่องค์พรหมจะมาชวนตาอิน ไปบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญพรต ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก "เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก" แห่งฟากฟ้าป่าหิมพานต์ ได้มาถ่ายทอดสรรพวิชา ให้กับองค์พรหมเป็นการเฉพาะในยามราตรีกาล องค์พรหมจึงได้ชื่อว่า เป็นลูกศิษย์ของเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก (ผู้เป็นพระมหาโพธิสัตว์และบรมครูแห่งฤาษีทั้งปวง) แห่งฟากฟ้าป่าหิมพานต์
---เมื่อสรรพวิชาอยู่ในตัวจนพอเพียงแล้ว จึงเหลือเพียงภาคปฏิบัติ เพื่อให้ถึงมรรคผลในพระโพธิญาณภายหน้า
---องค์พรหมกับตาอินเก็บสัมภาระจำเป็นใส่ย่ามออกจากเมืองวังแก้ว มุ่งสู่ป่าเขาอึมครึม อันสงบวิเวก ห่างไกลผู้คนนับแต่นั้น
---เมืองวังแก้ว ปกครองโดยองค์พรหมอธิราช มีความอยู่เย็นเป็นสุข ในทศพิศราชธรรม อาณาเขตถูกขยายจนกว้างใหญ่ไพศาล มีเมืองต่างๆ เข้ามาสวามิภักดิ์เป็นอันมาก แม้มีเมืองอื่นยกกองทัพมารุกราน ก็ต้องมีอันพ่ายแพ้ยกทัพกลับไปด้วยฝีมือของจอมทัพคือ อุปราชองค์ยมอธิราช ทำสงครามด้วยความเหี้ยมหาญ มิมีกองทัพเมืองใดเสมอเหมือน
---องค์ยมอธิราชฮึกเหิมลำพองใจยิ่งนัก เข้าสู่วัยชรา ร่างกายอ่อนแอ ทำให้การปกครองอ่อนแอลงไปด้วย ดังนั้นหน้าที่การงานบริหาร จึงอยู่กับอุปราชองค์ยมอธิราช เสียเป็นส่วนใหญ่ องค์อินทร์อธิราชวัยชรา จึงเสมือนหุ่นเชิดอำมาตย์ แม่ทัพนายกองบางคน ซึ่งเป็นพวกเดียวกับองค์ยมอธิราช ยุยงส่งเสริมให้ยึดราชสมบัติเสียเลย แล้วปราบดาภิเษกเป็นเจ้าเมืองเสียเอง
---องค์ยมอธิราชเห็นดีเห็นงาม ต่อการยุยงส่งเสริม จึงร่วมมือกับทหารเอกคู่ใจ จับองค์อินทร์อธิราชฆ่าทิ้งเสีย ยึดมเหสีข่มขืนน้ำใจ ตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองเสียเองในนาม "องค์ยมอธิราช" นับแต่เปลี่ยนเจ้าเมืองนครเวียงแก้วใหม่ ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า เจ้าเมืองปกครอง หาได้อยู่ในทศพิศราชธรรมไม่ มีการรีดนาทาเร้น กดขี่ข่มเหงสุจริตชน ผู้ใดประจบสอพลอจะได้ดิบได้ดี บ้านเมืองอ่อนแอลง มีข้าศึกยกทัพเข้ามาประชิดเมือง ทำศึกสงครามหลายครั้งหลายหน แม้จะไม่ชนะกลับไป แต่ก็ทำให้เมืองวังแก้วอ่อนแอลง รี้พลล้มตายและอ่อนล้า
---การปกครองบ้านเมืองด้วยวิธีอยุติธรรม กดขี่ข่มเหงประชาชน ล้วนได้รับความเดือดร้อน เริ่มทยอยเดินทางออกจากเมืองไปอยู่เมืองอื่น แต่ละวันจำนวนมาก...
... จบตอนที่ 1
ที่มา : นิตยสารแม่นาคฉบับที่ 226 ปีที่ 9 ปักษ์หลัง กรกฎาคม 2551
---"ตาอิน"
---"ขอรับกระผม"
---"เมืองวังแก้วคราวนี้เห็นที่จะยุ่ง่ยากแล้ว"
---"กระไรหรือท่านฤาษี"
"บัดนี้มีข้าศึกยกทัพมาประชิดจำนวนมหาศาล โดยรวมกันมาถึง 7 เมือง วังแก้วรับศึกคราวนี้ไม่ไหวแน่"
---คำว่าไม่ไหวแน่ มาจากการคาดคะเเนของเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก นอกจากจำนวนทัพมหาศาล ที่ยกกันมาหวังทำลายเมืองวังแก้วให้พินาศมิให้เหลือซาก ขณะนี้กองทัพยังไม่พร้อมที่จะรับศึกหนังครั้งนี้ได้ เนื่องด้วยกำลังทัพอ่อนแอลง แม่ทัพนายกองหาเข้มแข้งเหมือนกาลก่อนไม่ ต่างสิ้นขวัญกำลังใจ ไหนจะอ่อนล้า หลังจากทำสงครามตลอดกาล ทหารเลว มีตาย บาดเจ็บพิการ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เหน็ดเหนื่อย ปานสายตัวจะขาด แต่นายทหารระดับหัวหน้าหมู่ นายกองกลับสบาย ใครประจบสอพลอนาย ใส่ร้ายคนอื่นจะได้ดิบได้ดี
---องค์ยมอธิราชแตกต่างกับแต่ก่อน ลุ่มหลงมัวเมายศอำนาจ หลงคำสรรเสริญเยินยอ ลืมตนลืมตัว ฝักใฝ่แต่อิสตรี ไม่สนใจงานบริหารบ้านเมือง แม้จะรู้ว่าศึกคราวนี้ สาหัสสากรรจ์ขนาดไหน คงปล่อยให้บรรดาแม่ทัพนายกอง ป้องกันเมืองเองแบบตามใจฉัน ไม่ออกคำสั่งต่อแผนการรบแต่อย่างใด รำ เสพน้ำจันทน์อยู่เป็นนิจ
---เห็นทีเมืองวังแก้ว จักล่มสลายเสียแน่แท้ ประชาชนต่างหวาดวิตก ไม่แน่ใจต่อการดำรงชีวิต บางคนบางกลุ่มหลบหนี เล็ดลอดออกจากเมือง หวังไปตายเอาดาบหน้า
---ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ ตาอินนั่งหมอบสงบนิ่งอึ้ง ตรงกับความคิดของแก วังแก้วถึงคราดับขัน ณ บัดนี้จะทำเช่นไร แม้ทุกวันนี้เหมือนอยู่คนละโลก ประพฤติธรรม บำเพ็ญตบะ อยู่บนยอดเขาอึมครึม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก แต่ก็อยู่ในอาณาเขตของเมืองวังแก้ว หากพินาศแล้วจะอยู่ได้อย่างไร
---"จะทำฉันใดกันเล่าพระคุณเจ้า"
---"แม้เราไม่ช่วย ย่อมไม่หนีความพินาศ"
---"เราจะช่วยอย่างไร"
---"ตาอินนั่นแหละช่วยได้"
---"ได้ยินชัดหู เล่นเอาตาเฒ่าผวา ตาเหลือกไปมา"
---"อันตัวข้านี้นะหรือ"
---"ใช่แล้วตาอิน"
---"ก็ข้าแก่เกินแกง จะไปทำอะไรได้"
---"ก็ไม่ต้องทำอะไร เพียงแต่คุมภูติไพร ไปราวีพวกข้าศึกสักสามคืน ย่อมเรียบร้อย"
---"ทั้งจำนวนมหาศาลเช่นนั้นหรือ"
---"ใช่ เอาแค่บาดเจ็บ หวาดกลัว อย่าให้ถึงตายเป็นอันขาด มันจะเป็นบาปนะตาอิน"
---"ขอรับ กระผมไอ้อินจะปฏิบัติตาม ที่ท่านแนะนำทุกประการ"
---ตาอิน เทวดา ก่อนที่จะได้รับฉายา "เทวดา" จากชาวเมือง ก็เนื่องจากแกมีวิชาอาคมขลัง ไม่มีใครสู้แกได้ ปลูกกระต๊อบอยู่ชายป่าแต่เพียงลำพัง เป็นคนไร้ญาติขาดมิตร แต่ทุกคนรักแกเหมือนญาติ และตัวแกเองก็รักทุกคนเหมือนลูกหลาน ที่ได้ชื่อเป็นฉายาว่า "เทวดา" พ่วงท้ายเพราะแกมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เหนือคนธรรมดาในบางครั้ง โดยเฉพาะตอนช่วยเหลือผู้คน บางครั้งช่วยได้เหมือนเทวดามาโปรดหรือมาช่วย
---ตาอิน พูดต่อ "ท่านอาจารย์ขอรับ" พนมมือยิ้มแห้งๆ ข้ายังไม่รู้ว่าจะช่วยเมืองวังแก้วด้วยวิธีใด วิชาอาคมอิทธิฤทธิ์ก็มีแค่หางอึ่ง จะสู้กับกองทัพตั้งเจ็ดเมืองได้ฉันใด
---"ภูติไพร" ลืมตาโพลง เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ "ใช่แล้ว ข้าจะต้องเรียกไอ้โขมดไพร ให้มันเกณฑ์พวกภูติไพรทั้งหลายทั่วป่าและขุนเขา โจมตีพวกทหารข้าศึก ทั้งเจ็ดกองทัพในคืนนี้"
---"อย่าลืมแค่ขับไล่ แค่เจ็บปวดพอหอมปากหอมคอ อย่าให้ถึงแก่ชีวิต จะเป็นบาป แกจะไม่สำเร็จฌาณ จะต้องตกนรกหมกไหม้ จำไว้นะตาอิน"
---เสียงสำทับอย่างนุ่มนวลจากเสด็จปู่พระบรมพรหมไตรโลก แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจของผู้บำเพ็ญตบะ ตาอินเทวดากราบลาจากไป
---ดึกสงัดคืนนั้น เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก บำเพ็ญเพียรภาวนาถอดกายทิพย์ หายวับไปที่อยู่ของพระมหาพรหมโพธิสัตว์ ณ.ชั้นพรหมโลก พระพรหมผู้เป็นอธิบดีแห่งพรหมโลกในตอนนั้น นั่งหลับตานิ่งไม่ไหวติงอยู่ในท่ามกาศอากาศ เบื้องหน้ากองกูณฑ์อัคคีลุกโชติช่วง โดยมีแต่เปลวเพลิงมิได้มีเชื้อเพลิงแต่อย่างใด
---เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก กราบ นมัสการเบื้องหน้าแล้วนั่งขัดสมาธินิ่ง เสียงเล็ดลอดออกมาอย่างแผ่วเบา โดยปากหาได้เผยอขยับไม่มีแต่น้อย "ฤาษีพรหม ให้ตาอินไปช่วยเมืองวังแก้วน่ะดีแล้ว อาตมาเห็นชอบ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราขอบอกเจ้า"
"อันใดหรือท่านอาจารย์"
"เมืองวังแก้ว อีกไม่นานก็จะถึงกาลวิบัติ ตามกำหนดของฟ้าดิน"
"ข้าทราบแล้วท่านอาจารย์
---"พระมหาพรหมโพธิสัตว์ "สนทนากับเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลกในเรื่องต่างๆ นานพอสมควร ข้อความสำคัญตอนหนึ่งท่านบอกว่า ต่อไปจะต้องเข้าสู่แดนสุขาวดีชั้นพรหมโลก จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสามโลกอีก ขอให้เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก อย่าเพิ่งสู่แดนวุมติใดๆ ให้ช่วยสงเคราะมวลมนุษย์ชาติ ไปตามควรแก่เวลา มนุษย์กำลังตกอยู่ในห้วงของกิเลสดุจไฟ 3 กอง คือ โลภะ โทสะ โมหะ ด้วยกันทั้งสิ้น ช่วยเหลือตามแรงความสามารถอิทธิฤทธิ์ และบุญญาบารมี เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของพรหมลิขิต ตามกรรมกำหนดละฟ้าดินผ่านพ้นจนสิ้นแล้ว จงไปดูแลแฝงร่างตามโอกาส อันเหมาะสมของเด็กชายคนหนึ่ง ยามถือกำเนิดขึ้นแล้วในโลกภูมิ เด็กชายผู้นี้มีบุญญาบารมี รับสื่อเทพอันเป็นทิพย์ได้ เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ ผู้มีทุกข์ร้อนต่อไป โดยให้ตาอินเป็นผู้ช่วยอีกแรงหนึ่ง".
---แต่ก็ได้เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก หรือองค์พรหมอธิราช นักพรตผู้วิเศษ สั่งให้ตาอินคนสนิทยกทัพผีไพร นำโดยเจ้าโขมดไพร นำสมุนมานับไม่ถ้วน เข้าต่อต้านข้าศึกอย่างเป็นสามารถ โดยตาอินเทวดา เหยียบเมฆลอยฟ้ากำกับอยู่ อย่างไม่รู้สึกตื่นเต้นใดๆ กำชับพวกภูติไพรไว้แล้ว อย่าทำอันตรายถึงตาย ให้หลาบจำ หลบหนี ยกทัพกลับไป
---คนหรือจะสู้ผีได้ พวกภูติไพรเข้าราวีจับพวกทหารโยนบ้าง เหวี่ยงบ้าง หลอกหลอนด้วยอาการต่างๆ น่าหวาดกลัว อย่าว่าแต่บรรดาทหารทั้งหลาย แม้แต่นายทัพนายกอง ช้างม้าต่างได้รับบาดเจ็บน้อยบ้างมากบ้าง ไม่มีใครล้มตาย แตกตื่น หวาดกลัวผีไพรหลบหนีกันหมดสิ้น ไม่คิดต่อสู้ ตั้งแต่พระอาทิตย์ไม่ทันโผล่ขอบฟ้า ตาอิน เทวดา หัวเราะชอบใจ เสร็จงานแล้วเข้าพบพระอาจารย์ปู่ฤาษี
"เรียบร้อยใช่ไหมตาอิน"
---"ขอรับกระผม พวกข้าศึกเปิดแน่บหมดแล้ว เวียงแก้วไม่มีศัตรูมาย่ำยีอีก มาทีไรอันตัวข้าตาอิน จะทำหน้าที่ จัดการเอง มิให้ขาดตกบกพร่อง มีไอ้โขมดไพรและภูติไพรซะอย่าง ต่อให้พวกมันเก่งแค่ไหน ก็ต้องพ่ายวันยังค่ำ"
---ทันใดนั้น เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก ปรากฎร่างขึ้นตรงหน้าศิษย์ฤาษี และศิษย์ฆราวาส ก้มลงกราบอย่างนอบน้อม ร่างของจอมพระฤาษี สงบนิ่งใบหน้าราบเรียบ ฉายแววเมตตากรุณา
"ถึงอย่างไรเมืองวังแก้ว ไม่พ้นภัยพิบัติ เกิดจากแรงอาเพศ ไม่ช้านี้แล้ว"
"เป็นอย่างไรหรือพระคุณเจ้า" ตาอินพนมมือถามด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง
"ก็บอกแล้วไงตาอิน"
"ข้าสมควรบวชเป็นฤาษีได้หรือยัง"
"ช้าก่อนตาอิน เจ้าสมควรเป็นศิษย์รับใช้ของเราไปก่อน บารมียังไม่พอที่อยู่ในเพศฤาษี"
---ย้อนมาทางเมืองวังแก้ว จากการปกครองบ้านเมืองขององค์ยมอธิราช ผู้ยังหลงมัวเมาในกิเลสตัณหา อุปาทาน ไม่คิดสนใจกระทำให้ราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข มีแต่รีดนาทาเร้น กดขี่ข่มเหง เดือดร้อนไปทั่วหย่อมหญ้า
---คิดกำเริบเสิบสานอย่างทรนง ในการมีอำนาจถึงขั้นข่มเหงน้ำใจพี่สะใภ้ ขณะอยู่ในเพศเนกขัมในวัดแห่งหนึ่ง ให้ทหารไปฉุดนำมาทั้งที่นุ่งขาวห่มขาว แล้วย่ำยีไม่คำนึงถึงบาปกรรม
---วันแห่งความวิบัติมาถึง เกิดวาตภัย ฝนฟ้าตกคะนองทั้งวันทั้งคืน ติดต่อกันไม่มีวันหยุด พายุพัดคะนองถล่มอย่างหนัก อสุนีบาต ฟาดฟ้าลงพสุธาเปรี้ยงปร้าง สุดสยองขวัญ ทำให้เกิดอุทกภัย น้ำทะเลหนุนเนื่องท่วมบ้านเมือง ผู้คนสัตว์เลี้ยงล้มตายหมดสิ้น น้ำลดเหือดแห้งเข้าสู่สภาวะปกติ พื้นที่ป่าอดีตเมืองวังแก้ว กลายเป็นป่าดงดิบอีกวาระหนึ่ง.
*ต่อไปนี้เป็นเรื่องนอกตำนาน...
---กาลเวลาผ่านไปอีกพันกว่าปี พื้นที่บริเวณเทือกเขาไกรลาศที่เคยเป็นป่าดงดิบ เริ่มมีผู้คนอพยพเข้ามาอยู่ สร้างถิ่นฐานทำมาหากินภาคการเกษตร เปลี่ยนสภาพพื้นที่ในไร่นาของประชาชน ป่าดงดิบสมัยโบราณ เปลี่ยนสภาพเป็นป่าโปร่ง มีชุมชนจำนวนมากขึ้น
---แน่นอน สมัยดึกดำบรรพ์เคยเป็นเมืองวังแก้ว ปัจจุบันไม่มีร่องรอยให้เห็นแม้แต่ซากสถาน เหลือเพียงตำนานให้เล่าขาน แต่วิญญาณกายทิพย์ หรืออาทิสมานกายของปู่ฤาษี หรือเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก กับวิญญาณของลูกศิษย์รับใช้ ตาอินเทวดายังคงอยู่ ยังคงไว้ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ อภินิหาร ตามคำสั่งขององค์ท้าวมหาพรหม ก่อนเข้าสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ให้ดำรงไว้ก่อนเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ชาติผู้ทุกข์ร้อนด้วยประการทั้งปวง
---เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก สถิต ประจำอยู่ ณ ถ้ำอึมครึม บนภูเขาอึมครึ่ม ตำบลหนองรี อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ป่าเขา มี
ความเงียบสงบตามธรรมชาติอันพิสุทธิ์
---เมื่อเสด็จปู่ฤาษีซึ่งเป็นอาทิสมานกาย มีความประสงค์จะช่วยเหลือผู้คนทุกข์ร้อนทั้งหลาย ด้วยจิตกุศล ก็ต้องแฝงร่างผู้ใดผู้หนึ่งเพื่อความบริสุทธิ์ในเพศพรหมจรรย์ ผู้ที่จะแฝงร่างได้ หรือรับการแฝงร่าง จากผู้มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เช่นปู่ฤาษี ผู้นั้นจะต้องมีบุญญาบารมีมากพอสมควร เป็นผู้บริสุทธิ์ มีความสามัคคี มีสัจจะ และเพรียบพร้อมด้วยคุณธรรม แต่มิใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ตามคุณสมบัติที่ต้องการ
---กายทิพย์ ตาอิน เทวดา พยายามสืบเสาะมานาน นับหลายร้อยปีก็ยังไม่พบ เวลาผ่านพ้นไป วันหนึ่งตาอินเข้ามาบอกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง
"ท่านอาจารย์ขอรับ"
"หือ ว่าอย่างไรตาอิน"
"ข้าเจอเด็กชายคนหนึ่ง แห่งเมืองสุพรรณบุรี มีชื่อว่าชิติสรรค์ "
"กระนั้นหรือ แล้วเป็นอย่างไร"
"เด็กคนนี้มีบุญบารมี ล้ำเลิศกว่าเด็กคนอื่น ท่านอาจารย์น่าจะใช้ร่างนี้แฝงได้ เพื่อช่วยเหลือผู้คน"
จบตอนที่ 3
ที่มา : นิตยสารแม่นาค ฉบับที่ 228 ปี่ที่ 10 ปักษ์หลัง สิงหาคม 2551ฯ
คุณบอกมา ตอนที่ 1
(เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก)
๕๕๕หมู่ ๒ วัดเขาไกรลาศ ต.บ้านโข้ง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี 72106
---ณ. เขาไกรลาศ เมื่อพันห้าร้อยปีล่วงแล้ว บริเวณพื้นที่แห่งนี้ เป็นห้วงมหาสมุทร อันไพศาล ส่วนของยอดเขาสูงสุด โผล่ให้เห็นเป็นเกาะกลางมหาสมุทร
---ครั้นกาลเวลาผ่านไป ความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเกิดขึ้น ทะเลตื้นเขินลงไปทุกทีจนแห้งหายกลายเป็นป่าดงพงไพร มีภูเขาน้อยใหญ่ เป็นพืดติดกันหลายลูก ยาวสุดหูสุดตา ป่าดงดิบ มีภูเขา หลืมถ้ำ ห้วงเหว และลำธาร สิงห์สาราสัตว์ชุกชม แฝงไว้ด้วยความลี้ลับ มหัศจรรย์ เป็นที่อยู่อาศัยของวิทยาธร นางอัปสร และวิญญาณไพร
---เป็นที่บำเพ็ญตบะของนักพรต ฤาษี ชีไพร ที่หนีความวุ่นวายจากโลกภายนอก เข้ามาหาความสงบวิเวก บำเพ็ญเพียรภาวนา หวังบรรลุธรรมในพระโพธิญาณ วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป ได้มีมนุษย์เข้ามาอยู่อาศัย ปักหลักทำมาหากิน ธรรมชาติถูกแผ้วถาง ดัดแปลงไปตามสภาพกาล ได้มีบุรุษสามคนพี่้น้อง เป็นผู้มีบุญญาธิการ เข้ามาอยู่ในชุมชน มีความรู้ ความสามารถ มีฝีมือ ลักษณะน่าเกรงขาม คนพี่ชื่อ "อินทร์" คนสองชื่อ "ยม" คนสามชื่อ "พรหม" สามพี่น้องมีอุปนิสัยแตกต่างกัน
---คนพี่มีอุปนิสัยใฝ่ธรรม ซื่อตรง ชอบช่วยเหลือผู้อื่น คนที่สองมีอุปนิสัยห้าวหาญ มุทะลุดุดัน ตรงไป ตรงมา ส่วนคนที่สามน้องสุดท้อง มีวิชาดี ฝีมือดีกว่าพี่ทั้งสอง รักความเป็นธรรม และยุติธรรม ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ไม่ค่อยสนใจโลกภายนอกเท่าใด มีความเมตตา กรุณา ทั้งบุคคลทั่วไปและสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะใฝ่ธรรม ชอบเผยแพร่ธรรมะ แก่ผู้คนทั้งหลาย
---สามพี่น้อง อินทร์ ยม และพรหม ได้ตั้งตนเป็นใหญ่ ปกครองดูแลชาวบ้าน และเกณฑ์ผู้คนสร้างเมืองขึ้นมา ให้ชื่อว่า "เมืองวังแก้ว" เป็นเมืองขนาดเล็ก ขึ้นกับเมืองสุวรรณภูมิ
---ผู้ปกครองเมืองวังแก้ว คือ คนพี่ให้ชื่อว่า "องค์อินทร์อธิราช" ส่วนคนกลาง คือ ยม ได้เป็น มหาอุปราช และแม่ทัพใหญ่ ส่วนคนเล็กสุดท้อง คือ พรหม ได้แยกตนแต่เพียงลำพัง บวชเป็นฤาษี ขึ้นไปบำเพ็ญพรตในป่าดงดิบ ณ ยอดเขาไกรลาศ มิได้ยุ่งกับโลกภายนอก
---ซึ่งก่อนหน้านั้น องค์อินทร์อธิราชผู้เป็นพี่ เสนอให้อยู่รับราชการ เป็นอุปราชฝ่ายซ้าย และแม่ทัพด้านทิศเหนือ หากไม่ต้องการก็จะสร้างเมืองให้อยู่ใหม่ตามลำพัง แต่พรหมได้ตอบปฏิเสธต่อผู้พี่ทั้งสองอย่างนิ่มนวลว่า
---"ข้าแต่เสด็จพี่ทั้งสอง ข้าขอขอบใจอย่างยิ่งในความหวังดี แต่ข้าขอปฏิเสธ ด้วยเห็นว่า โลกเรานี้หนอ หาสิ่งจริงแท้แน่นอนใดๆ มิได้ มีแต่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นมิรู้จบ มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย"
---"เจ้ามิมองโลกไปในแง่ร้ายไปสักหน่อยหรือ"
---องค์อินทร์อธิราชพูดเปรย" นั่นนะซี มนุษย์เราใช่แต่วุ่นวาย สับสนไปเสียหมดก็หาไม่ ทุกชีวิต การครองชีวิตร่วมกัน ต้องมีกฏเกณฑ์ หนักเบา ต้องว่ากันไปตามเหตุนั้น"
---ทุกครั้งที่ยื่นข้อเสนอ ด้วยความหวังดีต่อพี่ๆ พรหมก็มีแต่ตอบปฏิเสธความหวังดีนั้นๆ ทุกครั้ง
---"ข้าขอบใจพี่ทั้งสองในความหวังดี แต่ข้าไม่ต้องการ ขอแยกตนไปเป็นนักพรต ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดนับแต่นี้"
---พรหมบวชเป็นฤาษี บนยอดเขาไกรลาศ อยู่กับเสด็จปู่พระบรมพมหมฤาษีไตรโลก มอบตนเป็นลูกศิษย์ ร่ำเรียนวิชาอาคม การฝึกจิต บำเพ็ญพรต ด้วยการบูชาอัคคี มีนามว่า พรหมฤาษี" เฝ้าปฏิบัติวัตรฐากเสด็จปู่พระบรมพมหมฤาษีไตรโลก ผู้เป็นพระอาจารย์ด้วยดีตลอดมา มิให้ขาดตกบกพร่อง สร้างอาศรมไว้ไกล้กัน การบำเพ็ญพรต อยู่ในความควบคุมดูแลของพระอาจารย์ ชั่วระยะแรกๆ เห็นว่าวางใจได้แล้ว จึงปล่อยให้บำเพ็ญเพียรภาวนาตามลำพัง
---ส่วนทางองค์อินทร์อธิราช ผู้พี่คนโตได้ปกครองเมืองวังแก้ว ด้วยทศพิธราชธรรม มีจิตเมตตา อันบริสุทธิ์เป็นที่ตั้ง ประชาชนพลเมืองอยู่กันอย่างสันติสุข ร่มเย็นภายใต้บรมโพธิสมภาร
---ครั้งกาลเวลาล่วงเลยไป องค์อินทร์อธิราชล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย การปกครองเริ่มแปรเปลี่ยน ด้วยองค์ยมอธิราชนั้นคิดใหญ่ใฝ่สูง สำแดงตนกระด้างกระเดื่อง ต่อผู้เป็นพี่ผู้ครองเมือง
---อีกทั้งองค์อินทร์อธิราช นับแต่อภิเษกสมรสกับพระมเหสี หาได้มีพระราชบุตร พระราชธิดา สืบสกุลก็หาไม่ทหารคู่พระทัยผู้เป็นขุนศึก ก็มีใจเอนเอียง เข้ากันอับองค์ยมอธิราชเสียแล้ว ไม่บำรุงเอาใจใส่กองทัพอย่างจริงจังเหมือนก่อน ทำให้กองทัพอ่อนแอ ถูกข้าศึกยกทัพมาย่ำยีบ่อยครั้ง แต่ก็ยังรักษาเมืองไว้ได้ ด้วยแม่ทัพกลุ่มอื่น ที่ยังเหนียวแน่นเกาะกลุ่มกันรักษาเมือง
---ครั้งเมื่อเจ้าเมืองอ่อนแอลง ความกระด้างกระเดื่องของอุปราชนับวันจะเพิ่มมากขึ้น บรรดาขุนนาง ขุนศึกนายทัพ แบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ขาดความสามัคคีปรองดอง นับวันจะถูกผู้มีอำนาจ กำจัดออกไปทีละคนสองคน เป็นเหตุให้ข้าศึกเข้าล้อมกรุง ด้วยกองทัพจำนวนมหาศาล
---องค์อินทร์อธิราช มอบอำนาจหน้าที่ให้ผู้เป็นอนุชา ทำหน้าที่รักษาเมือง มีอาญาสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว แค่นั้นยังไม่เป็นที่พอใจ
---"เสด็จพี่มอบราชสมบัติให้แก่ข้าเถิด"
---"ก็อำนาจหน้าที่อยู่กับเจ้าหมดแล้ว"
---"แต่ข้าอยากนั่งบัลลังเยี่ยงกษัตริย์"
---"เจ้ามักใหญ่ใฝ่สูงเกินไปแล้ว"
---"หมายความว่าเสด็จพี่ไม่ยกราชสมบัติให้ข้าใช่ไหม"
---ทรงนิ่งอึ้งครุ่นคิดอย่างหนัก"พระราชประเพณีไม่มี ในเมื่อเราผู้ครองนครยังมีชีวิตอยู่ เพียงอยู่ในวัยชราภาพเท่านั้น ซึ่งเรายังออกมาว่าราชการได้"
---องค์ยมอธิราช รีบผลุนผลันออกไปอย่างหัวเสียข้าศึกจากเมืองอื่น เพิ่มกำลังกองทัพไพร่พลหนุนเมืองเข้ามาอย่างหนัก เห็นทีนครวังแก้ว จะถูกทำลายเสีย ไม่เกินเจ็ดวันเป็นแน่แท้ ด้วยเหตุการณ์เป็นดังนี้ ทำให้ปุโรหิตกับพวกจำนวนหนึ่ง เดินทางขึ้นไปบนยอดเขาไกรลาศ เข้าไปพบกับเสด็จพระบรมพรหมฤาษีซึ่งเป็นผู้น้องสุดท้อง กำลังบำเพ็ญพรตอยู่เบื้องหน้ากองอัคคี
---"ข้าแต่ท่านนักพรต พวกข้าพระพุทธเจ้า มีเรื่องเดือดร้อนใจเหลือเกิน จึงมากราบขอความเมตตาจากท่าน"
---"พรหมฤาษี ลืมตา หยุดการบำเพ็ญเพียรภาวนา ไว้ชั่วระยะ
---"ท่านปุโรหิต เจ้ามีเหตุอันใดหรือ ทำไมถึงมารบกวนอาตมา ซึ่งไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกแล้ว"
---"พวกข้าพเจ้าทราบดี และมีเหตุจำเป็นจริงๆ บัดนี้เมืองวังแก้วกำลังจะถึงเทวพินาศแล้ว เพราะพระอนุชา ไม่คิด
---รักษาเมือง ขับไล่ศัตรูอย่างจริงจัง กำเริบเสิบสาน มักใหญ่ใฝ่สูง เรื่องนี้ผู้ที่จะแก้ไขได้สำเร็จ เห็นมีแต่ท่านนักพรตผู้เดียวเท่านั้น โปรดเห็นแก่ประชาชนเถิด".............
จบ คุณบอกมา ตอนที่1
ที่มา : นิตยสาร แม่นาค ฉบับที่ 221 ปีที่ 9 ปักษ์แรก พฤษภาคม 2551
*คุณบอกมา ตอนที่ 2
---องค์ เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีได้ยินท่าน ปุโรหิต แห่งเมืองวังแก้ว ถึงกับอึ้งไป ครุ่นคิดอย่างหนัก เรามีกันสามพี่น้อง ได้อพยพมาจากถิ่นอื่น มาอยู่ที่แห่งนี้ สร้างบ้าน สร้างเมือง ขึ้นมา ฟันฝ่าอุปสรรคนานับประการ จนเป็น "เมืองวังแก้ว" สำเร็จ
---ผู้พี่ขึ้นครองเมือง มีนามว่าองค์อินทร์อธิราช องค์น้องรองลงมา คือ องค์ยมอธิราช เป็นมหาอุปราช ส่วนตนแยกมาบวชเป็นฤาษี บำเพ็ญพรตอยู่บนยอดเขาไกรลาศ หวังสำเร็จมรรคผลในภายหน้า
---บัดนี้บ้านเมืองทุกร้อนแสนสาหัส ด้วยข้าศึกย่ำทัพเข้ามาล้อมพระนคร ด้วยกำลังพลอันมหาศาล อีกไม่นานเมืองวังแก้วย่อมไม่พ้น กาลพินาศเสียเป็นแน่แท้
---"โปรดเห็นแก่บ้านเมือง และประชาชนตาดำๆ ด้วยเถิด" ปุโรหิตอ้อนวอน
---"ช่วยด้วยเถิดพระคุณเจ้า"
---"ช่วยด้วยเถิด เลือดจะนองแผ่นดิน"
---เสียงอึงคะนึงของพลพรรคที่ร่วมเดินทาง กล่าวอ้อนวอนให้องค์เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีช่วยแก้ไข เห็นว่าไม่มีใครอีกแล้วนักพรตมีใบหน้าเคร่งขรึม ใช้ความคิดพลางขัดสมาธิ มือทั้งสองข้างวางบนหัวเข่า หลับตานิ่ง สื่อทางจิตไปยังพระอาจารย์ องค์เสด็จปู่ที่อยู่อีกอาศรมหนึ่ง บริเวณเชิงเขาไกรลาศ ด้านทิศตะวันตก ขอความคิดเห็นเรื่องสำคัญ
---"องค์เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษี เหตุการณ์บ้านเมืองเข้ายุคเข็ญแล้ว หากละเลย ไม่อาจหนีพ้นความพินาศ ช่วยเขาเถิด เมืองวังแก้วจักได้อยู่คู่ฟ้าดิน ไปอีกระยะหนึ่ง ต่อจากนั้นหนีไม่พ้นชะตาเมือง ถึงกาลล่มสลาย"
---"จักให้ข้าพเจ้าทำอย่างไร"
---"ตอนนี้ ความสามารถของเจ้าเหลือเฟือ มีพลังอิทธิฤทธิ์ ปราบศัตรูให้พ่ายแพ้ได้"
---"ข้าพเจ้ามิต้องทำบาปมหันต์ ด้วยการทำลายชีวิตข้าศึกหรือ หากเป็นเช่นนั้น เป็นการปิดประตูมรรคผล"
---"ไม่ต้องทำลายชีวิตหรอก"
---"ทำอย่างไร"
---"ใช้ภูติไพร ขับไล่ศัตรู แค่ขับไล่สั่งสอนให้หวาดกลัว หลาบจำ ไม่กล้ายกทัพเข้ามาราวีอีก"
---"ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านอาจารย์
---คนทั้งหมด นำโดยปุโรหิตแห่งนครวังแก้ว นั่งเงียบกริบจ้องมองอากับกิริยาของนักพรตอย่างใจจดใจจ่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ ทุกคนยังนั่งอยู่กับที่ มิได้เยื้องกรายออกจากกลุ่มแต่อย่างใด ทันใดนั้นองค์พรหมฤาษี ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปยังกลุ่มคนของปุโรหิต ด้วยสายตาอ่อนโยน แห่งความเมตตา
---"เอาเถิดปุโรหิต เพื่อบ้านเมือง เพื่อพี่ๆ ของอาตมา เพื่อประชาชน เราจะช่วย"
---"สาธุ"
---"สาธุ"
---"สาธุ พระฤาษีรับปากช่วยบ้านเมืองแล้ว"
---เสียงแซซ้องอึงคะนึง แสดงความยินดี เสียงแผ่วเบา แต่แฝงอำนาจออกมาจากนักพรตผู้ทรงศีล
"ปุโรหิต รีบไปเป่าประกาศชาวเมืองให้ทัน ก่อนพลบค่ำวันนี้ หลังพระอาทิตย์ตกดินให้ทุกคนอยู่แต่ในเคหา ห้ามออกจากชายคาบ้านเป็นอันขาด ประตูหน้าต่างปิดให้สนิท และห้ามเปิดดู เมื่อได้ยินเสียงผิดปกติ ใครฝ่าฝืนจะได้รับอันตรายถึงชีวิต"
---"น่ากลัว และอันตราย ขนาดนั้นเชียวหรือท่าน"
---"เช่นนั้นปุโรหิต เนื่องจากอาตมาจะใช้ภูติไพรออกรบ เพื่อขับไล่ข้าศึกให้พ้นไปจากพระนครในคืนนี้"
---ปุโรหิตกับคณะกราบลา องค์พรหมฤาษีลงมาจากยอดเขาไกรลาศ กว่าจะเดินทางถึงเมืองก็ล่วงเข้าเวลาบ่าย สั่งให้บรรดาทหารรีบไปเป่าประกาศ ห้ามประชาชนออกจากบ้าน หลังพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมกับสั่งให้ทหารที่รักษาการอยู่ด้านในพระนคร ให้อยู่ในสติมั่น เกิดอะไร เห็นอะไร ให้อยู่ในความสงบการกระทำเป็นความลับ โดยมิให้องค์อินทร์อธิราช ล่วงรู้ประการใด
---หลังพระอาทิตย์ตกดินของวันนั้น ภายในเมืองชั้นในแห่งเมืองวังแก้ว ตกอยู่ในความเงียบสงบ และสงัดจนดูวังเวงไปหมดทั้งเมือง
---ฝ่ายองค์ยมอธิราชรู้สึกแปลกใจ ทำไมชาวเมืองจึงเข้าบ้าน ปิดประตูหน้าต่างเงียบกันหมด รวมทั้งทหารรักษาเมือง แม้ถืออาวุธเตรียมพร้อม ก็ดูสงบเงียบอย่างน่าอัศจรรย์เก็บความสงสัยไว้ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา โดยมิได้เฉลียวใจว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ความมืดเข้าครอบคลุม ดุจม่านเมฆสีดำ ปิดบังไปทั่วบริเวณ ไร้สรรพสำเนียงกู่ร้องของนกกา หรือแม้แต่แมลงกลางคืน
---มันเป็นคืนแห่งความลี้ลับมหัศจรรย์ที่ชวนฉงนสนเท่ห์ ของชาวเมืองวังแก้ว ที่หาคำตอบไม่ได้ นอกจากความสงบกลายเป็นบรรยากาศแฝงไว้ด้วยความพรั่นพรึ่งเหล่าข้าศึกทั้งหลาย มั่นหมายที่จะเข้าเมืองในคืนนี้ให้จงได้ ธนูไฟ น้ำมันเชื้อเพลิงที่สุมไว้กับกองพื้นรอบกำแพงเมือง กะเผาให้พินาศในตอนยามสาม แต่ยังไม่ถึงเวลา
---ทหารข้าศึกทั้งหลายแลเห็นชายชราคนหนึ่ง ยืนอยู่บนก้อนเมฆลอยอยู่บนฟ้า ด้วยแสงอร่ามเรืองสีเขียว เห็นชัดตัดกับความมืด
---ทันใดนั้น เหล่าบรรดาภูติไพรลอยตัวตรงดิ่งหน้า ที่พื้นดิน ก็ผุดขึ้นมามากมายมหาศาล เข้ากลุ้มรุมเหล่าทหารข้าศึก จับเหวี่ยงกระเด็น กระดอน แม้พวกมันฮึดสู้เหล่าผีไพร แต่ศัตราวุธไม่อาจทำอันตรายได้เลย
---ทีนี้ก็ขวัญกระเจิง เคยต่อสู้ข้าศึกคนด้วยกันมาโชกโชน แต่ไม่เคยสู้กับผี เห็นว่าอย่างไรเสีย ไม่อาจต้านทานได้แน่ จึงรวนเรทั้งกองทัพ อย่าว่าแต่ทหารเลย แม้ทั้งหมู่นายกองก็ต้องล่าถอยหนีอย่างไม่เป็นขบวน ชนิดขวัญหนีดีฝ่อ ตัวใครตัวมัน ทัพทั้งกองทัพสู้ทหารผีไม่ไหว จึงแตกพ่ายไปนับแต่เพลานั้นเอง
---ที่อาศรมองค์พรหมฤาษียังคงบำเพ็ญตบะอยู่หน้ากองไฟ ร่างกายไม่ไหวติง โดยมีคนแก่อายุ 70 กว่า เดินเข้ามาทรุดนั่งแล้วก้มลงกราบ หมอบนิ่งอยู่
---ชายแก่ผู้นี้คือ "ตาอิน เทวดา" เป็นคนแก่วิชา มีอิทธิฤทธิ์พอประมาณ ได้ขึ้นมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ องค์เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีอยู่นานปี แต่มักไม่ค่อยปรากฏตัวให้ใครเห็น ชอบทำตัวลึกลับ อยู่ปรนนิบัติรับใช้องค์เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษี
---"มาแล้วหรือตาอิน" เสียงแผ่วเบาดังออกมา จากริมฝีปากของนักพรตผู้วิเศษ
---"มาแล้วขอรับ ผมได้พาภูติไพร ไปสู้กับข้าศึกแตกพ่ายไปแล้ว"
---"เออดี ไม่ได้สร้างบาปกรรม ตามที่สั่งใช่ไหม"
---"ใช่ขอรับ พวกผีไพรไม่เอาพวกมันถึงตายสักคน ผมคอยดูแลมันอยู่"
---"เออดี ไปเหอะ ไปบำเพ็ญภาวนาต่อได้แล้ว"
---ตาอินเทวดากราบอีกครั้ง แล้วเดินจากมายังที่พักของตน เมืองวังแก้วไร้ข้าศึกล้อมเมือง พากันแตกทัพถอยกลับไปหมดสิ้น นับแต่วันนั้น....ฯ
คุณบอกมา ตอนที่2 จบ.
*เขาเล่าว่า..วัตถุมงคลของเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก
---พระอาจารย์ ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน เจ้าอาวาสวัดเขาไกรลาศ ก่อนอุปสมบท ทำงานเป็นช่างอุปกรณ์การแพทย์ของ USA กรุงเทพฯ บวชที่วัดสุวรรณภูมิ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี จำพรรษาอยู่ 1 พรรษา คืนหนึ่งเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ ขณะนั่งสมาธิธรรมอยู่ในกุฏิตามลำพัง นิมิตเห็นสตรีร่างใหญ่โตปานภูเขา แต่งกายชุดไทยโบราณ สวยงามมาก มาบอกว่าโยมคือ "เจ้าแม่เขาอึมครึม" ขออาธนาพระคุณเจ้า ไปอยู่เขาอึมครึ่มนับแต่นี้เถิด เพื่อปลดปล่อยวิญญาณที่นั่น และจะได้สื่อทิพย์กัน เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก เพื่อรับสรรพวิชาจากการถ่ายทอด เป็นโอกาสอันประเสริฐ ต่อไปจะได้ช่วยเหลือผู้ทุกข์ร้อน
---พระอาจารย์ ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน จึงเดินทางไปยังภูเขาอึมครึ่ม เข้าไปพำนักอยู่ในถ้ำอึมครึม ซึ่งเป็นสถานลี้ลับ มหัศจรรย์และศักดิ์สิทธิ์ มีวิญญาณสถิตอยู่มากมาย และเป็นหนทางสู่เมืองลับแลอีกทางหนึ่งได้สัมผัสกายทิพย์ เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก สั่งสอนวิชามนต์ศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจทิพย์ อันคุณวิเศษณ์อย่างเต็มพลัง เมื่อมาเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาไกรลาศ ปู่ฤาษียังมาประจำอยู่ ณ เทือกเขาไกรลาศ บางครั้งแฝงร่างพระอาจารย์ ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน ให้ความสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้คนด้วยประการทั้งปวง
---เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก เป็นเทพฤาษี ผู้ทรงคุณในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เป็นเจ้าแห่งเทพฤาษีทั้งปวง ท่านสื่อทิพย์มายังพระอาจารย์ ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน ให้สร้างพระเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่เสด็จมาเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เพื่อให้ประชาชนมาสักการะบูชา และอาศรมปู่ฤาษีด้วย
---ด้วยเหตุดังกล่าวทางวัดเขาไกรลาศ โดยพระอาจารย์ ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน ได้กำหนดงานก่อสร้าง และเริ่มก่อสร้างมาบ้าง พระมหาเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ ณ บริเวณเชิงเขาไกรลาศ ซึ่งต้องใช้วัตถุปัจจัยจำนวนมาก จึงต้องหารายได้เพื่อนำมาเพื่อการนี้ ด้วยการออกวัตถุมงคลเสด็จปู่ฤาษี หลายรูปแบบ ได้แก่ เนื้อผงปู่ฤาษีรูปแบบไพ่ตอง เหรียญแร่ธาตุภูเขาอึมครึ่ม พระพิฆเนศ กำไลแร่ธาตุเขาอึมครึม แหวนแร่ธาตุเขาอึมครึม เข้าพิธีมหาพุทธาภิเษก ณ วัดเขาไกรลาศ เมื่อ วันที่ 18-20 พฤษภาคม 2551 โดยมีพระเกจิอาจารย์ชั้นแนวหน้าจำนวน 108 รูป เช่น หลวง ปู่ทิม วัดพระขาว หลวงปู่ผาด วัดบ้านไร่ หลวงพ่อรวย วัดตะโก หลวงปู่เพิ่ม วัดป้อมแก้ว หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน ครูบากฤษณะ อินทวณฺโณ หลวงปู่ขุ้ย วัดชับตะเคียน (หลวงปู่จ้อย พุทฺธสโร) เป็นอันดับสุดท้าย ฯลฯ
---ด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก การประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษก ถูกต้องตามพิธีการ พระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง แผ่พลังอำนาจจิตอันศักดิ์สิทธิ์ ในวัตถุมงคลของวัดเขาไกรลาส
---วัตถุมงคลเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลกรูปแบบต่างๆ จึงมีพระพุทธคุณ เลิศล้ำยิ่งนัก ทาง ด้านเมตตามหานิยม คุ้มครองผู้มีไว้บูชาติดตัว คุ้มครองอาคารบ้านเรือน โชคลาภร่ำรวย ทำกิจการรับราชการหน้าที่การงานก้าวหน้ารุ่งเรือง แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ศิลปินแขนงต่างผลงานมีผู้นิยมมาก มีงานแสดงมากขึ้น
*เมตตามหานิยม
---คุณฤทธิไกร หนุ่มพ่อหม้ายลูกติดอายุ 36 ปี นับแต่ภรรยาเสียชีวิต ครองความเป็นหม้ายอยู่นาน ได้ติดพันสาวห้างผู้หนึ่ง รักอย่างจริงใจ หวังแต่ง แต่เขายากจน รายได้น้อย สาวห้างไม่ใยดี เขาเดินทางมาบูชา วัตถุมงคลเสด็จปู่ฤาษีเนื้อผงรูปแบบไพ่ตอง ที่วัดบางพูดนอก ปากเกร็ด ที่คุณธนบดี ดิษฐีพร เช่าบูชาไป 2 องค์ องค์ละ 299 บาท นำไปฝากสาวห้าง 1 องค์ ตนเองเลี่ยมห้อยคอ 1 องค์ หลังจากนั้นสาวห้างมีท่าทีเปลี่ยนไปในทางที่ดี มีไมตรีตอบรับ ขณะนี้ไปรับส่งกันแทบทุกวัน ยอมรับว่าด้านเมตตามหานิยม และเจ้าเสน่ห์ดีจริงๆ
---คุณพิเชษฐ์ อายุ 40 ปี บ้านอยู่ อ.เมืองนครปฐม ทำงานรับราชการ เจ้านายเลื่อนตำแหน่งงานให้ดีกว่าที่ทำอยู่มาก ได้รับความเมตตาอย่างคาดไม่ถึง ที่คอห้อยวัตถุมงคล ปู่ฤาษีเนื้อผง ไปทำงานทุกวัน เช่าบูชามาจากวัดเขาไกรลาศ อู่ทอง สุพรรณบุรี
*ด้านแคล้วคลาด
---คุณอรนุช อายุ 34 ปี อยู่่จังหวัดระยอง ทำงานเป็นเสมียน ลูกจ้างประจำการเมืองท้องถิ่นที่ อ.แกลง มาเยี่ยมญาติที่กรุงเทพฯ แล้วเดินทางไปวัดเขาไกรลาศกับญาติผู้ใหญ่สองคน ไปให้พระอาจารย์ ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโนแก้ไข ย้ายเทพที่แฝงร่างอยู่ออกไป เนื่องจากไม่ถูกบารมีกัน เจ็บป่วยบ่อย บางทีมีอาการเหมือนคนเสียสติเมื่อได้รับการแก้ไขย้ายเทพออกไปแล้ว รู้สึกสบาย
---ไม่ปวดหัว และได้บูชาวัตถุมงคลเสด็จปู่ฤาษี ขนาดตั้งบูชามา 1 องค์ ราคา 10,000 บาท ตั้งบูชาไว้ที่บ้าน คืนหนึ่งฝนตกพายุแรง กิ่งไม้ใหญ่หักลงมา แล้วลอยพ้นบ้านออกไปอย่างฉิวเฉียด หากหล่นลงมาโดนบ้านแน่นอน บ้านไม้ธรรมดาต้องเสียหายมาก คนในบ้านคงได้รับอันตรายไม่น้อยแน่ เชื่อว่าเป็นการคุ้มครอง แคล้วคลาดจากอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ของรูปหล่อบูชาเสด็จปู่ฤาษีนี้แน่นอน
*โชคลาภร่ำรวย
---คุณแม่นา อายุ 27 ปี ทำงานร้านอาหารตามสั่ง แถวตลาดอำเภอพนมทวน เมืองกาญจน์ เธอเป็นอีกคนที่เคยเดินทางมาขอความสงเคราะห์ต่อพระอาจารย์ชิติสรรค์ จิวฑฺฒโน ที่วัดเขาไกรลาศ ให้ท่านพรมน้ำมนต์ให้ เนื่องจากเป็นลมเพลมพัด และแขนขวาบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ มีคนบอกให้รู้ว่าโดนของหลังจากได้รับการพรมน้ำมนต์จากหลวงพ่อวัดเขาไกรลาศแล้ว อาการลมเพลมพัดหายไป พร้อมกับอาการบวมที่แขนขวา แสดงว่าของที่โดนออกไปแล้ว ด้วยอานุภาพของน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ แล้วบูชาแหวนหินแร่ธาตุเขาอึมครึ่มมา 1 วง ซื้อล็อตเตอรี่ถูกรางวัลที่ 4 หนึ่งคู่ ได้โชคจากอานุภาพของแหวนจากวัดเขาไกรลาศ.........
ที่มา : นิตยสารแม่นาค ฉบับที่ 233 ปีที่ 10 ปักษ์แรก พฤศจิกายน 2551
*เขาเล่าว่า.....วัตถุมลคลของเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลกตอนจบ
---พระอาจารย์ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน ปักกลดพำนักปฏิบัติธรรม อยู่ภายในถ้ำอึมครึม เป็นหลืบหินไม่ลึกนัก ออกเดินสำรวจอย่างถ้วนถี่ ล่วงเข้าวันที่สาม จิตสัมผัสได้ว่าภายในถ้ำอึมครึมแห่งนี้ มีสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์แฝงอยู่มากมาย แต่ก็มีความรู้สึกว่า มีความคุ้นเคยอย่างไรยากจะอธิบาย
---ขณะเดินสำรวจอยู่เพียงลำพัง เท้าเกิดพลาดตกลงไปในหลุมลึก แม้ตกใจ แต่สามารถครองสติได้ตามสัญชาตญาณ คงได้รับอันตรายไม่มากก็น้อย แต่ทันใดนั้น เหมือนมีมือมาคว้าร่างท่านไว้ ทำให้ลงถึงพื้นอย่างช้าๆ โดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ ภายในนั้นมืดสนิท พอแหงนหน้ามองเห็นปากหลุมอยู่สูงมาก ใช้ความพยายามค่อยปีนขึ้นมา รู้สึกเหมือนมีอะไรดันร่างขึ้นมาชข้างบนอย่างปลอดภัย มองซ้ายมองขวา ก็แลเห็นเงารางๆ ของฤาษี อยู่ตรงผนังถ้ำแล้วหายไป มิใช่ใครที่แสดงอภินิหารช่วยชีวิตไว้ "เสด็จปู่ฤาษีถ้ำอึมครึม" นั่นเอง
---พ่อปู่ฤาษีถ้ำอึมครึม คือเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก เจ้าแห่งศาสตร์สรรพวิชาที่พระพรหมส่งให้มาทำหน้าที่ช่วยเหลือมวลมนุษย์ โดยผ่านมาทางพระฤาษีนารอด แห่งฟากฟ้าป่าหิมพานต์ ที่กลางถ้ำอึมครึ่มมีทางลงเบื้องล่างเป็นชั้นล่างสุด แต่ชันมาก ต้องโหนเชือกลงไป แลเห็นปุ่มหินขนาดใหญ่ เป็นรูปพระฤาษี ความรู้สึกบอกว่า นี่คือเศียรของเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลกเนรมิตไว้ที่นี่
---พระอาจารย์ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน ได้นั่งลงเจริญสมาธิธรรมก็เกิดนิมิต เห็นผู้คนชายหญิงเดินเข้าออกตรงผนังถ้ำเบื้องหน้า มีหินเลื่อนเปิดปิดได้ รู้ว่าทางเข้าออกเมืองลับแลนั่นเอง คนพวกนั้นเวลาเดินผ่านจะนั่งลงกราบท่านก่อน แล้วเดินจากไป
---ทันใดนั้นปรากฏร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งกายแบบคนโบราณ หน้าตารูปร่างสวยงามมาก มาบอกว่า โยมคือเจ้าแม่แห่งถ้ำอึมครึม ขอให้พระคุณเจ้าอยู่ที่นี่สักชั่วระยะหนึ่งก่อน แล้วค่อยไปโปรดช่วยเหลือผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง ตามต้องการของเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก แล้วยังให้ช่วยปลดปล่อยวิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ภายในถ้ำ ตามแรงแห่งกรรมด้วยวิธีการแผ่ส่วนบุญให้
---สังเกตด้วยสัมผัสมิติที่หก ชั้นล่างของถ้ำเป็นสถานลี้ลับมหัศจรรย์ มีวิญญาณจำนวนมาก บางทีเป็นลำแสงพุ่งสวนกันไปมา บางทีปรากฏเป็นงูยั้วเยี้ยไปหมด บางทีส่งเสียงร้องโหยหวน ดุจได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส พระอาจารย์ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน ได้สวดมนแผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญให้ จนวิญญาณเหล่านั้นค่อยๆ หายไปจนหมด
---เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก ผู้แฝงร่าง พระอาจารย์ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโนมาตั้งแต่เด็ก เมื่อบวชเป็นพระภิกษุ และได้เข้ามาพำนัก ณ ถ้ำอึมครึ่ม ท่านได้มาปรากฏร่างในนิมิตสั่งสอนวิชาให้ โดยเน้นในด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน ด้านการสร้างพลังบารมี การปรากฏร่างของปู่ฤาษีจะเป็นรูปแบบของพระภิกษุสามร่าง คือ ร่างพระภิกษุชรา พระภิกษุวัยกลางคน และพระภิกษุหนุ่ม จีวรสีกลัก การปฏิบัติตามรอยบารมีธรรม ของเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลกให้ได้ผล ต้องเน้นการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีสมาธิแน่วแน่ สำคัญยิ่งคือ ต้องมีสัจจะเป็นหัวใจ ถ้าขาดสัจจะบุคคลนั้นมีความสำคัญแค่ไหนจะไม่ได้ผล ปู่ฤาษีไม่ช่วย ไม่สนใจ
---ในบางขณะ ถ้าเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก มีความประสงค์จะช่วยใคร ท่านก็จะช่วยผ่านวัตถุมงคล หรือสิ่งใดก็ตามที่เป็นมงคล บางครั้งปู่ฤาษีเมตตาให้ความช่วยเหลือคน ก็จะแฝงร่าง (บางทีก็เรียกว่าผ่าน) พระอาจารย์ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโนแล้วไปช่วยเหลือ เช่น บางครั้งไปช่วยเหลือคนที่จะใกล้สิ้นลมหายใจแล้วในโรงพยาบาล ขณะยังพอมีลมใจอยู่ (ผู้นั้นยังพอมีบุญเก่าเหลืออยู่) ท่านจะล้วงไปในย่าม หยิบวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งเท่าที่จะหยิบได้ ออกมากดที่ร่างนั้นตามจุดต่างๆ ครู่ใหญ่ก็จะฟื้นขึ้นมา รอดตายราวปาฏิหาริย์ ขณะปฏิบัติการจะกระทำโดยไม่เปิดเผย ไม่ทำขณะมีคนหลายคน โดยเฉพาะคนที่ไม่ใช่ญาติเป็นอันขาด
---ขณะที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเสด็จปู่ฤาษีรักษาคนป่วย พระอาจารย์ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน ขณะนั้นจะไม่เป็นตัวของตัวเอง คือ ไม่รู้ตัวเลย จะรู้ได้ต่อเมื่อมีคนพูดให้รู้ในภายหลัง สำหรับคนที่เสด็จปู่ฤาษีจะแผ่พลังบารมีไปช่วยให้ถึงที่นั้น บุคคลจะต้องเป็นคนดีมีศีลธรรม มีสัจจะ และข้อสำคัญจะต้องไม่ผิดศีลข้อกาเม (ไม่ประพฤติผิดในกาม) มาก่อน ถ้าคนป่วยเป็นชาย จะแผ่รัศมีสายรุ้งรักษา ถ้าเป็นหญิงจะรักษาผ่านชีด้วยรัศมีธรรม จะช่วยคนที่มาขอความช่วยเหลือ การย้ายกายองค์ที่แฝงร่างอยู่ให้ออกไป แล้วอัญเชิญองค์ใหม่เข้ามาอยู่แทน เรียกว่าการย้ายเทพ
---ชื่อเสียงเกียรติคุณของ พระอาจารย์ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน เริ่มขจรขจายด้านการปฏิบัติ เมตตาช่วยเหลือผู้คน ทำให้มีความเลื่อมใสศรัทธา บางคนขึ้นไปปฏิบัติธรรมในถ้ำเขาอึมครึม บางทีก็เป็นหมู่คณะ ภายใต้ร่มบารมีธรรม ของเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก
---พระอาจารย์ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน อยู่ที่ถ้ำอึมครึมถึง 14 พรรษา ต่อมา ได้มีผู้ศรัทธาได้บริจาคที่ดินจำนวนหนึ่ง ที่บริเวณเชิงเขาไกรลาศ ตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อให้สร้างวัด โดยได้รับการสนับสนุนจากทางคณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี
---ท่านไม่อาจขัดศรัทธาได้ ย้ายลงมาจากถ้ำเขาอึมครึม จังหวัดกาญจนบุรี มาสร้างวัดที่เชิงเขาไกรลาศ ตอนแรกสร้างกุฏิเจ้าอาวาส ๑ หลัง กุฏิพระ ๔ หลัง ห้องน้ำ ๑๐ ห้อง ได้ชื่อว่า วัดสุวรรณ คีรีวงษ์ แต่เทวดา เจ้าป่า เจ้าเขา มาปรากฏในนิมิตขอให้ใช้ชื่อวัดเขาไกรลาศ จึงใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน
---ต่อมา เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก หรือเรียกสั้นๆ ว่า ปู่ฤาษี มาบอกว่า ขอให้ทางวัดสร้างมหาเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ เพื่อเป็นสมบัติแก่พุทธศาสนาสืบไป ปัจจุบันปู่ฤาษีแฝงร่าง พระอาจารย์ชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน วัดเขาไกรลาศ ช่วยเหลือผู้คนผู้ทุกข์ร้อน อันควรแก่กรณี.
...............................................
ที่มา : นิตยสาร "แม่นาค" ฉบับที่ ๒๓๑ ปีที่ ๑๐ ปักษ์แรก ตุลาคม ๒๕๕๑
หมายเหตุ.. (ประวัติเสด็จปู่...นี้ถูกเขียนประพันธ์ขึ้นมาใหม่เป็นบางส่วนครับ)
ส่วนแท้จริงให้หาอ่านศึกษาใน.... เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก คือ....นะครับ.
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 26 สิงหาคม 2558
ขอบคุณที่แชร์เรื่องราวให้ได้อ่านกัน ดีมากเลย