กำเนิดเหล็กไหล
---ย้อนกาลเวลาไปนานแสนนาน ในสมัยอสงไขยแสนกัลป์กาลก่อนโน้น มหาฤาษีกไลย์โกษฐ์ผู้สำเร็จญาณสมาบัติ เป็นผู้เพ่งฌาณเรียกแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะแข็งตัวได้ หลอมเหลวได้ สลายตัวได้และรวมตัวได้ มีลักษณะเหมือนเหล็กแต่ไม่ใช่เหล็ก
---ท่านเรียกให้มารวมตัวกันอยู่ตามถ้ำ ตั้งแต่สมัยแอตแลนติก ซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในยุคนั้น แต่ได้ล่มสลายหายไปจากแผนที่โลก เชื่อกันว่าทวีปนี้ได้จมหายไปในมหาสมุทร เมื่อคราวน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ และโนอาได้เป็นผู้สร้างเรือใหญ่หนีน้ำท่วม ตามเรื่องราวที่ได้ถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์โบราณ
---นอกจากนี้ยังมี ท่านมหาฤาษีกัสสปะและเหล่ามหาฤาษีผู้ทรงฌาณสมาบัติ บรรลุอภิญญาสูงสุด ท่านก็เป็นผู้ที่ได้เพ่งฌาณเรียกแร่ดังกล่าวมารวมกันที่ผนังถ้ำ เพื่อเป็นที่พำนักของวิญญาณ ได้เล็งเห็นด้วยอำนาจทิพยจักษุญาณว่า ภายใต้แผ่นดินนี้ลึกลงไปประมาณ 3 กม. มีแหล่งรวมของธาตุกายสิทธิ์มากมายหลายชนิด หล่อหลอมเหลวปะปนรวมกันอยู่ ในใจกลางโลก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในโลกวิทยาศาสตร์ ว่า “ลาวา” นั่นเอง แต่ภายใต้หินลาวาเหล่านั้นมี “แร่เหล็ก” ชนิดหนึ่งสมบูรณ์ด้วยคุณภาพ และเยี่ยมยอดเหนือกว่าเหล็กชนิดอื่น
*มหาฤาษีผู้ทรงฤทธิ์อภิญญา
---จึงใช้พลังจิตด้วยฤทธิ์อภิญญาของท่าน ดึงเอาแร่เหล็กดังกล่าวขึ้นมาจากใต้ลาวา อธิษฐานจิตให้เป็นของศักดิ์สิทธิ์สุดวิเศษ มีอำนาจกายสิทธิ์ มีฤทธิ์ คุ้มครองปกป้องสรรพภัยได้อย่างอัศจรรย์ ดัวยพลังอำนาจจิตชั้นสูงปลุกเสกบรรจุไว้ด้วยอำนาจแห่งฤทธิ์ของมหาฤาษีนั้น จากนั้นได้ใช้อำนาจอิทธิฤทธิ์ ตัดเหล็กวิเศษออกทำเป็นรูปเคารพของตน เช่น รูปพระอิศวร รูปพระนารายณ์ รูปพระพรหม แล้วอัดพลังเจโตสมาธิหรือพลังฌาณเข้าไปพร้อมกับอธิษฐานให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์
---แต่ก็มีมหาฤาษีบางตนมีศรัทธาแก่กล้า เข้าฌาณเต็มอัตราแล้วถอดจิตหรืออาตมันของตนเอง ด้วยมโนมัยฤทธิ์เข้าไปอยู่ในเทวรูปเหล็กวิเศษนั้นเลยทีเดียว ถือว่าเป็นการสละชีวิตบูชาองค์พระผู้เป็นเจ้าตามลัทธิความเชื่อถือ ฤาษีตนอื่นเห็นเข้าก็เอาแบบอย่าง เพราะถือว่าเป็นกุศลสูงสุดที่ได้เอาดวงจิตเข้าร่วมปรมาตมันของพระผู้เป็นเจ้าโดยทางลัด
---ต่อมาฤาษีอื่นๆ เห็นว่าการถอดจิตเข้าในเทวรูปนั้นมีมากแล้ว น่าจะเข้าสิงสู่ในรูปแบบอื่น ๆ ที่จะยังคงขลังและศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิม เพื่อให้สาธุชนได้ไว้สักการะบูชาเพื่อความเป็นศิริมงคล คุ้มครองป้องกันชีวิตและทรัพย์สมบัติ
---ฉะนั้น ฤาษีผู้บำเพ็ญญาณอื่น ๆ ที่บำเพ็ญบารมีถึงขั้นพรหมในถ้ำต่าง ๆ จึงได้ถือเป็นแบบอย่างสืบทอดกันมา ก็จะทำการเพ่งฌาณเรียกเอาแร่ธาตุกายสิทธิ์ดังกล่าวให้ไหลมารวมตัวกัน เป็นสังขารอมตะ สำหรับวิญญาณสิงสถิตย์ เมื่อกายเนื้อได้แตกดับทำลายลงไปตามกาลเวลา ด้วยเหตุนี้ตามถ้ำต่าง ๆ จึงมีเหล็กไหลซุ่มซ่อนแฝงเร้นกายสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
---นับได้ว่า เป็นต้นแบบของเหล็กไหลที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก จนในกาลต่อมาได้เป็นคติ นิยมสืบทอดกันมาในทางพระพุทธศาสนา ที่ผู้สำเร็จฌาณอภิญญาชั้นสูง นิยมถอดจิตตนเองด้วยวิธี มโนยิทธิ เข้าสิงในรูปปั้นพระพุทธปฏิมากร แล้วอธิษฐานให้พระพุทธรูปนั้นลอยไปตามน้ำ เห็นสถานที่ใดเหมาะสมที่จะให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา ชาวบ้านก็จะทำพิธีบวงสรวงชักลากขึ้นไปสักการบูชาได้สำเร็จ เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อทอง เป็นต้น
---เหล็กไหลนี้ จึงเปรียบได้กับร่างกายของท่านมหาฤาษีทั้งหลาย ที่มีวิญญาณอันเป็นอมตะของท่านมหาฤาษีครองอยู่ จึงได้เกิดอภินิหารเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง จนบางครั้งมีผู้เรียกขานกันว่า “ธาตุกายสิทธิ์”
*เหล็กไหล...
---ก้อนแร่เหล็กบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้น เองโดยธรรมชาติ ได้รับการอธิษฐานบรรจุฤทธิ์ โดยพระฤาษีผู้ทรงฌาณชั้นสูง เพื่อดำรงคุณงามความดี โดยมีธาตุกายสิทธิ์เป็นผู้คอยช่วยเหลือผู้ที่มีความทุกข์ยากให้พ้นภัย จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มีรังสีหรือพลังปราณที่ทรงอำนาจ ในการป้องกันตัว และสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวให้พ้นจาก ภัยอันตรายอันเกิดจากอาวุธปืนหรือของมีคม เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะและหายากยิ่งต้องมีพิธีกรรมมากมาย กว่าจะได้มา
---ฉะนั้น เหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตคน ที่มีเหล็กไหลพกติดตัว และ จะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัย จากอุบัติภัยร้ายแรง รวมถึงอาวุธร้ายแรงนานาชนิดได้อย่างน่าอัศจรรย์นั่นเอง
*คำว่า "ธาตุกายสิทธิ์" นั้น หมายถึง
---วัตถุธาตุบางชนิดที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ประกอบไปด้วยพลังงานอันมหาศาล อันเกิดจากเจตสิกผู้ครอบครองธาตุนั้นแฝงเร้นอยู่ ใช้สำหรับป้องกันภัยให้กับตนเองโดยธรรมชาติ แต่บางครั้งไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัดเจน กลับซึมลึกลงไปอยู่ใต้พื้นผิวโลก ตามป่าตามเขา ตามถ้ำ แม้แต่ห้วยหนอง คลองบึง
---รอจนกว่าผู้ที่มีภูมิจิต ภูมิธรรมสูง ไปพบเข้าแล้วหยิบยกเอาธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ เพื่อมวลมนุษยชาติและปกป้องคุ้มครองคนหมู่มาก ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า "เหล็กไหล” จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยธาตุที่สำคัญดังนี้
---1.ธาตุเหล็ก คือ ธาตุหลักเนื่องจากมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในยุคนั้น
---2.ธาตุดิน ที่ถูกความอัดแน่นของโลก จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพเป็นหินสีต่างๆ เช่น เพชร นิล จินดาอัญมณีหลากสี
---3.ว่านมหามงคล ที่มีฤทธิ์อำนาจในตัว เช่น ว่านต่างๆ ไพรดำ ซึ่งเป็นพืชที่ดูดซับเอาพลังต่างๆ จากผืนดินเก็บสะสมเอาไว้ในตนเอง จนเกิดฤทธิ์เดช
---4.ปรอท หรือธาตุอื่นๆ ที่สามารถเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ได้ด้วยตนเอง โดยการอ่อนตัวแล้วกลิ้งไหลไป มีฤทธิ์อำนาจทางความยืดหยุ่น หรือหดตัวเองได้ หลีกภัยได้เร็ว ปรับสภาพตนเองให้เป็นไปในลักษณะต่างๆ ได้
---ดังนั้น แร่เหล็กที่อยู่ภายใต้ลาวานั้น ย่อมได้รวบรวมเอาสรรพสิ่งจากธาตุกายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันไว้ในตัวเอง คือมีฤทธิ์ในการปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้น เมื่อมหาฤาษีได้ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงธาตุเหล่านี้ขึ้นมา แล้วถอดจิตด้วยฌาณสมาบัติเข้าแฝงตนอยู่ในธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ เพื่อฝึกฝนปฏิบัติทางจิตให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
---จึงทำให้เจตสิกของผู้ทรงฌาณนั้น เกิดพลังอันมหาศาล แม้แต่จะงอเหล็กก็ยังได้ จนมนุษย์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่ทราบว่ามันคืออะไร ก็เลยเรียกกันว่า "เหล็กไหล" ตามสภาวะการแสดงอิทธิฤทธิ์ที่ปรากฏต่อสายตาในขณะนั้นนั่นเอง คือลักษณะเหมือนก้อนเหล็กที่ยืดตัวได้ มีสีสรรต่างๆ กันหลายรูปแบบ เหล็กไหลจึงเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ จนกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนแสวงหาไม่รู้จักจบมาทุกยุคทุกสมัยตราบจนเท่า ทุกวันนี้
*"ดังนั้น "เหล็กไหล"
---จึงเป็นที่ปรารถนาและใฝ่ฝันของคนทั่วไป แม้บางที่จะต้องเสี่ยงภัยถึงขั้นเอาชีวิตแลกก็ยอม เรื่องราวของเหล็กไหลจึงดูเหมือนเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อน และหลายคนคงอยากจะรู้เหมือนกันว่า เหล็กไหลคืออะไร กันแน่... เกิดขึ้นมาได้อย่างไร... เหล็กไหลที่ทรงอิทธิฤทธิ์นี้ มีจริงหรือไม่... จึงเป็นปรัศนีที่ท้าทายความกระหายใคร่อยากรู้ตามลักษณะวิสัยของมนุษย์ จึงทำให้ต้องเที่ยวหาคำตอบจากผู้รู้ทั้งหลาย หรือผู้มีประสบการณ์ที่มีความรู้ที่พึงเชื่อถือได้ จนกลายเป็นตำนาน "เหล็กไหล" ที่เล่าขานสืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณตราบถึงปัจจุบัน
*สีสันและคุณประโยชน์
*1.สีเงินยวง
---เหล็กไหลชนิดนี้มีอริยเทพ อริยพรหมในระดับ อรูปฌาณ รักษาอยู่ เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมในชั้นสูงพบมากในแถบที่มีอากาศเย็นจัด พวกลามะทิเบตมักใช้พกติดตัว จึงพบมากในเขตเทือกเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม เช่น ประเทศทิเบต จีน แถบภาคเหนือของไทย ลาว
---ดีเด่นทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือดลใจให้ผู้ครอบครองมีจิตใจฝักใฝ่อยู่ในการสร้างบุญสร้างกุศล
---เหล็กไหลชนิดนี้จัดได้ว่า เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมสูงสุดในบรรดาผู้ครอบครองเหล็กไหลทุกชนิด สมัยโบราณมักจะนำไปจัดสร้างพระพุทธรูปหรือเครื่องรางของขลังในสมัยโบราณ ดังนั้นเหล็กไหลชนิดนี้จึงมักจะอยู่ในความครอบครองของนักบวชต่างๆ เช่น ฤาษี ชีไพร ภิกษุสงฆ์ผู้ท่องเที่ยวหาความวิเวกตามป่าเขา
*2.สีเขียวปีกแมลงทับ
---เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับรูปฌาณ เป็นผู้ดูแลรักษา เพื่อมอบให้กับผู้ที่มีบุญบารมี และผู้ที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ในบุญกุศล เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นนั้
---ส่วนใหญ่จะมีบริวารเป็นจำนวนมากคอยอารักขาหลายชั้น ผู้พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประพฤติธรรมที่บังเอิญผ่านเข้า ไปพบเข้าโดยบังเอิญหรือเกิดจากการลองใจของเทพผู้รักษาเหล็กไหลก็แล้วแต่ บุคคลธรรมดาทั่วไปอย่าหมายว่า จะครอบครองเป็นเจ้าของได้โดยง่าย
---ดีเด่นในทุกๆ ทาง ไ ม่ว่าเป็นเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย ล่องหนหายตัว มหาอุด คงกระพัน ยืดได้หดได้ เล่นกับไฟ กินน้ำผึ้ง
*3.สีทอง หรือ สีน้ำตาลอ่อน
---เหล็กไหลชนิดนี้จะมีเทวดาจำพวกคนธรรพ์และเหล่าเพชรพญาธร เป็นผู้ดูแลรักษา มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับเหล่าพญานาค แต่มีฤทธิ์อำนาจพิเศษกว่า คือ สามารถที่จะลื่นไหลไปมาได้ สามารถที่จะกำบังกายได้ มีอยู่ตามป่าเขาทั่วไป
---ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และความรักเด่นเป็นพิเศษ
*4.สีเขียวอมดำ
---เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยะเทพ อริยะพรหม ในระดับ รูปพรหมเป็นอริยะธรรมในระดับสูง ที่มุ่งบำเพ็ญบารมีรักษาพระพุทธศาสนา จะอยู่เฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุหรืออรหันตธาตุที่สำคัญไว้ จึงมักจะปรากฏเป็นลูกไฟดวงใหญ่หลากสี คุ้มครองรักษาธาตุศักดิ์สิทธิ์ ไม่ให้ผู้คนเข้าไปรบกวน
---เด่นทางด้านอิทธิฤทธิ์ เนรมิตภาพมายา ส่งเสริมผู้ใฝ่ในการปฏิบัติธรรมในรูปแบบการชี้แนะผ่านทางนิมิตสมาธิ หรือความฝัน จัดเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง
*5.สีชมพู
---เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ รักษาอยู่ เป็นเหล็กไหลที่มี บารมีธรรมในระดับสูงรองลงมาจาก อรูปฌาณ
---พบมากในเขตป่าเขาที่มีความชุ่มชื้น มักอยู่ตามถ้ำภูผาที่ลึกลับ พบเห็นได้ยาก นอกจากผู้มีบารมีธรรมเข้าถึงสัจจะธรรมเท่านั้น
---ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาด กันภัย ช่วยเหลือผู้เป็นสัมมาทิฏฐิให้สำเร็จในสิ่งที่อธิษฐานไว้ โดยไม่ขัดกับกฏแห่งกรรม
*6.สีเหลือง
---เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของภูมิจิตภูมิธรรม ของเหล่าอริยเทพ อริยพรหม ในระดับรูปฌาณ ที่ปรารถนาพุทธภูมิในระดับ พระปัจเจกพุทธเจ้า สีสันเหมือนกับแสงนวลของพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มักแฝงเร้นในที่สงบด้วยป่าเขา ลำเนาไพร ถ้ำคูหาที่สงบเยือกเย็นบนภูเขาสูงๆ เรียกลมเรียกฝนได้ มีอิทธิฤทธิ์ทำให้เกิดปาฏิหารย์ได้มากมาย เช่น ดวงรัศมีกลมใหญ่ส่องสว่างทั่วภูเขา จะพบเห็นได้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
---เหล็กไหลประเภทนี้สามารถอธิษฐานขออาราธนาบารมีจากพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้ แต่จะไม่มีเทพเข้าไปสิงสถิตอยู่ แต่เทพพรหมในระดับจ่างๆ จะเข้าไปอธิษฐานของบารมีและเฝ้ารักษาอยู่ภายนอกเท่านั้น ไม่มีใครจะบังคับหรืออัญเชิญท่านด้วยอิทธิฤทธิ์หรือวิชาคาถาอาคมใดๆ เว้นแต่ขอชมบารมี ขอคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป โดยมาปรากฏในลักษณะนิมิตต่างๆ ในขณะนั่งสมาธิ
*7.สีฟ้าอ่อน
---เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยเทพ ในระดับมหาเทพชั้นสูง ผู้ครอบครองเหล็กไหลชนิดนี้ จะเป็นผู้มีบารมีเดิมที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน เพื่อช่วยส่งเสริมด้านบารมีธรรมทั้งนักบวชและฆราวาสให้เป็นผู้สอนธรรมในระดับปานกลาง จนถึงระดับสูงขึ้นไป
---มีฤทธิ์อำนาจในการขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ ดับพิษร้อน ป้องกันภูตผีปีศาจ แต่มีขอบเขตและรัศมีที่จำกัด สามารถล่องหนหายตัวได้ กันฟ้าผ่า มีความเย็นจนสามารถกำจัดไฟได้ในรัศมีของมัน
*8.สีน้ำตาลอมแดง
---เหล็กไหลชนิดนี้มีพวก นาค นาคา ผู้บำเพ็ญศีลเฝ้ารักษาอยู่ จึงมีฤทธิ์อำนาจในทางความร้อนแรงด้วยพิษแห่งนาคทั้งหลาย จึงทำให้เหล็กไหลประเภทนี้มีสีออกทางน้ำตาลเข้มและน้ำตาลอมแดง
---มีฤทธิ์อำนาจในการทำลายล้างพวกมนต์ดำ อวิชชา ป้องกันภูตผีปีศาจได้
*9.สีดำเหมือนนิล
---เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ เหล่าเทพ คนธรรพ์ บังบด เพชรพญาธร ยักษ์ ผู้ปรารถนาจะสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ยังติดอยู่ในระดับโลกียฌาณ คือ ยังมีความ โลภ โกรธ หลง ติดอยู่ จึงทำให้มีบารมีทางธรรมน้อยกว่าเหล็กไหลชนิดอื่นๆ
---มีฤทธิ์อำนาจทางการคุ้มครอง แคล้วคลาด กันภัย เป็นมหาอุด คงกระพัน
*10.เจ็ดสีประกายรุ้ง
---เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยเทพ อริยพรหมผู้รักษาเหล็กไหล ที่ปฏิบัติจนสภาวะจิตเป็นสีประกายรุ้งรัศมีสวยสดงดงาม เป็นธาตุที่หาได้ยากที่สุดและมี อำนาจครอบจักรวาลประหนึ่งแก้วสารพัดนึก แต่สิ่งที่จะอธิษฐานนั้นจะสำเร็จได้โดยไม่เกินอำนาจของกฏแห่งกรรมตามวาสนา เท่านั้น
*คาถาอัญเชิญเหล็กไหล
---เมื่อตัดเหล็กไหลได้แล้วก็ต้องใช้คาถาอันเชิญธาตุกายสิทธิ์มาอยู่ด้วยเพื่อความเป็นสิริมงคล
*คาถาอันเชิญเหล็กไหลไว้บูชามีดังนี้...(นะโม 3 จบ
---พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ ( 3 ) จบ
"สะกะพะจะ ปูชาจะ บูชาท่านผู้ดูแลรักษา ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงฤทธิ์อานุภาพ อิสะวาสุ อิติปิโส ภะคะวา เหล็กไหลเจริญมา เจริญยิ่ง เจริญดี สิ่งดี ๆ ทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหาข้าพเจ้า สัมมะ สัมมา สัมมา สัมมะ มะอะอุ
นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ"
---พระคาถาอาคมต่างๆ ที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือนี้ยังไม่เคยปรากฏการตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน นับเป็นโชคดีของท่านผู้สนใจเพราะหาผู้รู้เรื่องเหล่านี้ยาก ไม่มีตำราจะให้ศึกษา เพราะคนโบราณจะหวงวิชา จะให้วิชาที่ตนรู้ - ทำได้ - ตายไปพร้อมกับตนเอง เว้นแต่จะถ่ายทอดให้ลูกหลานเท่านั้น คนไหนเกเรก็ไม่ได้อีกเช่นกัน บางครั้งก็ถ่ายทอดให้ไม่หมด เพราะกลัวศิษย์คิดล้างครูก็มีเหมือนกัน
*เทพเทวาเป็นผู้มอบให้
---เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากการอธิษฐานจิตของผู้ที่มีคุณธรรม ที่มีความประสงค์ จะขอบารมีจากเหล็กไหล เพื่อประโยชน์ในการทำนุบำรุงพระศาสนา โดยมิได้ใช้เวทมนต์วิชาการต่าง ๆ ไปบีบบังคับหรือแย่งชิงเอา แต่อาศัยบุญบารมีที่ตนเองได้เคยบำเพ็ญมาแต่ครั้งอดีตชาติและเคยเป็นเจ้าของสิ่งนี้มาก่อน
---เมื่อถึงเวลาเหล่าเทพเทวา นาคนาคา คนธรรพ์ ยักษ์ ผู้ดูแลรักษาสิ่งเหล่านี้ จะนิมิตบอกให้รู้ เพื่อให้มารับเอาของสิ่งนี้ซึ่งเป็นของคู่บารมีไปรักษา เพราะผู้มีบารมีในที่นี้ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่รักษาศีลหรือปฏิบัติมาก่อน จึงมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอดีตตนเองได้ค่อนข้างมาก จึงสามารถเป็นเจ้าของเหล็กไหลนี้ ซึ่งจะเป็นการพบโดยบังเอิญหรือได้มาด้วยความศรัทธาจากการบูชาหรือจะด้วยแรงอธิษฐาน หรือนิมิตบอกก็ตาม แผ่บารมีทิ้งไว้เมื่อถึงเวลาจุติ
---เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากเทพพรหมเทวา ผู้รักษาเหล็กไหลได้บำเพ็ญบารมีธรรมจนเข้าสู่อริยมรรค หรือ พ้นจากวิบากกรรมบางอย่าง จะจุติในภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็จะทิ้งธาตุขันธ์หรือสิ่งที่เคยรักษาไว้อยู่ โดยการอธิษฐานจิตทิ้งเอาไว้ในถ้ำหรือสถานที่ลึกลับ ให้เทพเทวาหรือยักษ์ คนธรรพ์ คอยเฝ้ารักษา จนกว่าจะพบผู้ที่มีบารมีธรรมพอจะรักษาสิ่งเหล่านี้ให้ ก็จะมอบให้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้
---1.เหล็กไหลที่เคยไหลผ่านไปมาตามซอกถ้ำซอกผา มีลักษณะเป็นแผ่น ๆ เป็นปื้น เป็นก้อนขนาดต่าง ๆ ฝังตัวอยู่ตามซอกหินในถ้ำที่ลี้ลับ รอเวลาผู้มีวาสนาเอาไปทำประโยชน์ เหล็กไหลประเภทนี้ จะไม่ไหลย้อยเคลื่อนที่ไปไหนอีก แต่จะถูกพรางตาจากบุคคลผู้ไร้วาสนาหากผู้มีวาสนาได้พบเห็นและทำพิธีให้ถูกต้อง ก็จะมีฤทธิ์อำนาจเป็นเหล็กไหลชั้น 1 ได้เหมือนกัน
---2.องค์เหล็กไหล สำหรับผู้มีบารมีที่เข้าไปบำเพ็ญฌาณตามป่าเขาหรือถ้ำลึกลับ เทพผู้รักษาจะมอบให้ ถ้าต้องการตัดเหล็กไหลคือเหล็กไหลประเภท “ธาตุสาเร็จ” ที่กระจัดกระจายอยู่ในส่วนต่างๆ ตามป่าเขาลำเนาไพร
---ที่สามารถไหลไปตามส่วนต่างๆ ของซอกถํ้าซอกเขา เกิดจากเทพพรหมในระดับ “รูปพรหม” อาศัยเป็นก้อนธาตุในรูปทรงแบบต่างๆ ลักษณะแกร่งพอสมควร อาศัยธาตุเหล็กเป็นธาตุหลัก สีออกค่อนข้างเขียวจนถึงสีปีกแมงทับขาวเงินยวงหรือหลายสีในก้อนเดียวกัน รูปทรงเป็นไปตามที่เทพปรารถนา สีสันแตกต่างกันไปเนื้อค่อนข้างมัน วาว สามารถยืดได้ หดได้และลื่นไหลแทรกไปในวัตถุแข็งทึบได้ แต่ไม่สามารถล่องหนไปในอากาศได้ด้วยตนเอง ต้องอาศัยผู้ที่มีวิชาอาคมเรียกเอาหรือติดต่อกับผู้ที่เฝ้ารักษาอยู่คือ เทพ นาคราช คนธรรพ์ อสูร ยักษ์ ฤาษี เป็นต้น เมื่อผู้เฝ้ารักษา ยินยอมให้แล้วผู้มีวิชาอาคมจึงใช้วิชาตัดเอาเรียกเอา
*พิธีกรรมตัดเหล็กไหล
---การตัดเหล็กไหลเป็นพิธีกรรม ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล อุปกรณ์ที่จะใช้ประกอบพิธีกรรมจึงอาจจะมีสิ่งแตกต่างกันไปตามบุรพาจารย์ผู้กำหนด เพราะส่วนสำคัญในการตัดเหล็กไหล บางอาจารย์ก็ใช้หวายผูกลูกนิมิต, มีดผ่านไฟ, ใบตาล, เส้นผมสาวพรหมจารี, ขวาน, เทียนเข้าพรรษา, รกเด็กแรกเกิด เป็นต้น
---ผู้จะทำพิธีตัดเหล็กไหลต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ประพฤติปฏิบัติรักษาศีลได้มั่นคงไม่มีจิตละโมบ คือต้องขออนุญาตจากเทพผู้ดูแลรักษาเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอา
---มิฉะนั้น หากเราขืนด้วยกำลังหมายแย่งชิงเอาโดยพละการ ถือดีในพระเวทย์ ก็อาจมีเพทภัยถึงแก่ชีวิตหรือเกิดความขัดแย้งในหมู่คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง
---พิธีกรรมในที่นี้จึงเป็นเพียงแนวทางสำหรับผู้สนใจในพระเวทย์เพื่อใช้ในการนี้โดยเฉพาะ ขอให้ท่านได้ลองพิจารณาศึกษาดูเพราะโอกาสจะเรียนรู้ในเรื่องราวเหล่านี้จากครูบุรพาจารย์ผู้รู้นั้นหายาก
*อุปกรณ์ในการตัดเหล็กไหล
---1.สายสิญจ์จากปากหลุมลูกนิมิต
---2.ไม้ตาขอ 9 อัน ใหญ่พิเศษ 1 อัน
---3.มีดหมอลงอาคมเพื่อใช้ตัดเหล็กไหล
---4.นํ้าผึ้งป่า
---5.คาถาเรียกเหล็กไหล
---6.คาถาผูกเหล็กไหล
---7.คาถาตัดเหล็กไหล
---8.คาถาอัญเชิญเหล็กไหล
*เครื่องบวงสรวง
---1.บายศรีเทพบายศรีพรหมอย่างละ 1 คู่ สำหรับตั้งศาลเอก
---2.ฉัตรเงินฉัตรทอง 9 ชั้น 4 ทิศ
---3.ตั้งศาลเอก 1 ศาล ศาลเพียงตา 4 ทิศ
---4.ผลไม้ 7 อย่างทั้ง 4 ศาล
---5.อาหารเจพร้อมผลไม้ชุดใหญ่หน้าศาลเอกพร้อมบายศรี
---6.บายศรีตองตั้งที่ศาลเพียงตาแห่งละ 1 คู่
---7.เครื่องกระยาบวชข้าวตอกดอกไม้
---8.อาหารคาวหวาน เช่น หัวหมู เป็ดไก่ ปลา เนื้อมะพร้าวอ่อน 1 คู่ กล้วยน้ำว้า 1 คู่ ขนมต้มแดง- ต้มขาว ถั่วชนิดต่าง ๆ งาดำ งาขาว ขนม ผลไม้ เหล้าขาว เหล้าแดง หมากพลู บุหรี่สำหรับเทวดาที่ถือศีล 5 ที่ยังชอบเหล้ายาปลาปิ้ง ของสด ของคาวจัดแยกไว้ที่หน้าศาลเอก อีกโต๊ะต่างหาก
*เมื่อถึงเวลาก็จุดธูป 9 ดอกเทียนขี้ผึ้งแท้สีขาว 9 เล่ม
*ตั้งนะโม๓จบ
---กล่าว สัคเคฯชุมนุมเทวดาจบแล้ว
---ต่อด้วยบทสวดดังนี้
---สัพเพธัมมานาลังอภินิเวสายะ 3 จบ
---เอกายะโนอะยังภิกขเวมัคโคสัตตานังวิสุทธิยา
*โองการบวงสรวง
---ข้า แต่เทพยดาผู้มีความเป็นทิพย์มีฤทธานุภาพเหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลาย ตลอดจนพระภูมิเจ้าที่ ณ. บริเวณนี้และบริเวณใกล้เคียง ตลอดจนเจ้าป่าเจ้าเขาภูมิเทวดา รุกขเทวดา ท่านผู้เป็นหัวหน้าพร้อมบริวาร
---ข้าพเจ้าขอเชิญทุกท่านมารับเครื่องเซ่นสังเวย อาหารคาวหวาน ขอเชิญท่านทั้งหลาย รับประทานได้ตามอัธยาศัย ขอเทพยดาทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าออกนามมาข้างต้นและมิได้ออกนาม เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ได้เมตตาแก่ข้าพเจ้า อวยชัยให้พรแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้ามีแต่ความสุขความเจริญทำกิจการงานใดขอให้สำเร็จตามที่ใจมุ่งหมาย
---พร้อมกันนี้ข้าพเจ้าและคณะ ขอชมบารมีเหล็กไหลและขออนุญาตอันเชิญเหล็กไหลไปสักการะบูชาเพื่อเป็นสิริมงคล แก่ตัวข้าพเจ้าและครอบครัวสักระยะหนึ่ง ในอนาคตถ้าเหล็กไหลก้อนนี้จะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ ทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนา ทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์ด้วยกัน ข้าพเจ้าจะนำไปให้เขาบูชาเมื่อสมปรารถนาแล้วเงินที่ได้มานั้น ข้าพเจ้าจะทำประโยชน์แก่ชาติและเพื่อนมนุษย์ 40% ทำประโยชน์ในพระพุทธศาสนา 40% อีก 20% ขอไว้ใช้เป็นส่วนตัว
---หากข้าพเจ้า ทรยศคดโกงไม่ทำตามสัจจะสาบานไว้ ขอเทวดาและดวงวิญญาณ รวมทั้งบริวารของท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย จงลงโทษข้าพเจ้า ให้พบกับความวินาศดับสูญ ล่มจมถึงแก่ชีวิต.
---การที่จะต้องให้สัจจะสาบาน แบ่งผลประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนามากกว่าผลประโยชน์ ส่วนตัว ก็เพื่อให้เจ้าของเหล็กไหลหรือผู้ดูแลเหล็กไหลก้อนนั้น มีใจเมตตา ยอมมอบให้กับคณะผู้ค้นหา เพราะอาจจะเห็นว่า จะดูแลไว้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ถ้าให้คนเหล่านี้ได้ไปและขายได้ ก็จะได้บุญจากคณะค้นหาที่สาบานไว้จะทำบุญ 80% จึงทำให้เทพผู้รักษานั้นไม่หวงสมบัติหรือเสียดายอย่างไรเพราะอยากได้บุญ
---แต่ถ้า เทพผู้รักษาตรวจดูด้วยฌานและมองเห็นว่า ในอนาคตคณะค้นหาจะเกิดความโลภ ไม่ทำตามสัจจะ ที่ให้ไว้เพื่อไม่ให้เป็นบาปกรรมที่ต้องฆ่าคน ท่านก็อาจจะไม่มอบเหล็กไหลให้ก็ได้ เพราะท่านเหล่านี้ย่อมมีอำนาจที่จะพาของเหล่านี้ล่องหนหรือซุกซ่อนหาที่ใหม่ได้หรืออาจจะกำบังตาก็ได้
---ด้วยเหตุนี้ ผู้มีวิชาอาคม ที่มีพลังจิตแก่กล้าบางครั้งก็จะถือโอกาสเข้าแย่งชิงด้วยความโลภ เพียงว่าใคร จะเก่งกว่ากัน ระหว่างเทพหรือวิญญาณผู้รักษาเหล็กไหลหรือเจ้าของเหล็กไหลนั้น จะอนุญาตหรือไม่ก็ต้องทำการเสี่ยงทายกันด้วยไหวพริบปฏิญาณอีกครั้งโดย อธิษฐานกล่าวออกมาดังๆว่า
---"ข้าพเจ้านาย.......นามสกุล.........ขอ เหล็กไหลที่อาศัยอยู่ในก้อนหินนี้ ถ้าท่านผู้เป็นเจ้าของเหล็กไหลก้อนนี้หรือท่านผู้ดูแลเหล็กไหลก้อนนี้ อนุญาตให้แก่ข้าพเจ้า ขอให้ได้ยินเสียงว่า ให้ (เว้นระยะนิดหนึ่งแล้วพูดว่า"ให้") เป็นการพูดเองเออเอง วิธีนี้ตามตาราไสยศาสตร์โบราณนิยมใช้กันมากเพราะถือเคล็ดที่ว่าถ้าหูเราได้ยินบอกว่า"ให้" ก็ ถือว่าใช้ได้ แสดงว่าเจ้าของอนุญาตแล้วละครับฯ
................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว รดา)
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 25 กันยายน 2558
ความคิดเห็น