๑๓ มิถุนาคม ๒๕๕๔ นำหลักการที่เรียนรู้ ไปสู่การฝึกฝนกรรมฐานแบบเคลื่อนไหว
---เรื่องที่จะเขียนในบทนี้ ผมจะอธิบายวิธีการประยุกต์ใช้ โดยการนำหลักการที่เกี่ยวกับสมาธิมาใช้จริง ๆ ในการฝึกฝนที่เป็นกรรมฐานแบบเคลื่อนไหว ที่นิยมกันก็จะมี การเดินจงกรมและการเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน ผมจะอธิบายการนำไปใช้กับการเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน ถ้าท่านเข้าใจท่านก็สามารถนำไปใช้ประยุกต์กับการเดินจงกรมได้
---ท่านที่ไม่รู้จักการเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน การเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน มี 15 ท่าครับ ไม่ใช่ 14 ท่าอย่างที่คนทั่ว ๆไปเข้าใจกัน ท่าที่คนมักจะลืมกัน คือ ท่าเตรียม ที่เป็นท่านั่งนิ่งก่อน ผมจะเรียกว่าท่าที่ 1 ก็แล้วกัน
*มาเริ่มกันเลยครับ...
*ท่าที่ 1 ท่าเริ่มต้น
---ท่านี้ให้ท่านนั่งนิ่ง ยังไม่ต้องขยับอะไรทั้งสิ้น ให้เอาฝ่ามือวางบนหน้าตักทั้ง 2 ข้าง ท่านี้นอกจากนั่งนิ่งแล้ว ท่านสมควรรู้อาการนิ่ง ๆ ด้วยแล้วนิ่งมันเป็นอย่างไร ....
---ขอให้ท่านหายใจเข้าไปลึก ๆ ก่อนแล้วก็กลั้นลมหายใจไว้ ในขณะที่ท่านกลั้นลมหายใจอยู่ขอให้ท่านสังเกตดูครับว่าตา ท่านยังมองเห็นภาพข้างหน้าได้อยู่ (ท่านเพียงลืมตาขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องไปจ้องมองอะไร) หู ท่านยังได้ยินเสียงรอบ ๆ ได้อยู่ (ท่านอาจเปิดวิทยุเบา ๆ แต่เพียงมีเสียงพอได้ยินเบา ๆ) ร่างกาย ถ้ามีลมพัดมาโดนก็รู้สึกได้อยู่ (ท่านอาจใช้พัดลมช่วย แต่ให้พัดลมส่ายไปมา ) จิตใจ ท่านจะรู้สึกถึงการนิ่งๆ อยู่ ในขณะที่ท่านกำลังกลั้นลมหายใจ
---ขอให้ท่านลองกลั้นลมหายใจสัก 2 วินาที แล้วหายใจออก แล้วหายใจเข้ากลั้นไว้ 2 วินาที แล้วหายใจออก ทำอย่างนี้ก่อน สัก 10 เที่ยว แล้วสังเกตสิ่งที่ผมเขียน เรื่อง ตา หู ร่างกาย จิตใจ ว่าท่านเห็นอย่างที่ผมเขียนไหมว่าการรับรู้ ทางตา ทางหู ทางร่างกาย ทางจิตใจ จะเหมือนรู้ได้พร้อม ๆ กันคราวเดียว
---ถ้าท่านเห็นได้แล้ว นี่คือ ท่าเตรียม การที่ท่านรู้ได้เอง ทั้งตา หู ร่างกาย จิตใจ ตามที่ผมเขียนไว้ข้างบน ในขณะกลั้นลหายใจนี่แหละ จิตไม่เป็นปลาท่องโก๋ จิตรู้อยู่ที่ฐาน จิตไม่วิ่งไปวิ่งมาแล้วละครับ
---ทีนี้ขอให้ท่านนั่งอย่างเดิม แล้วหายใจเข้าออกตามปรกติ จิตใจท่านยังเป็นเหมือนเดิมได้ไหม ขอให้ท่านสังเกต ถ้าท่านมองไม่ออก ก็ขอให้กลับไปฝึกกลั้นลมหายใจใหม่ และหายใจเข้าออกปรกติใหม่ ขอให้ท่านฝึกท่าเตรียมนี้ จนเข้าใจและมองภาพออกว่า อาการจิตไม่เป็นปลาท่องโก๋จิตรู้อยู่ที่ฐาน จิตไม่วิ่งไปวิ่งมา นี่คืออาการอย่างไร
*ท่าที่ 2
---ท่าพลิกมือขวาตั้งฉากกับหน้าขา ท่านี้ผมจะไม่อธิบาย เพราะช่วงการพลิกมันสั้น ขอให้ท่านพลิกมือไป แต่ผมจะอธิบายในท่าที่ 3 แทน แต่ถ้าท่านเข้าใจ ท่าที่ 3 แล้ว ท่าอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ ก็ใช้หลักการของท่าที่สามได้ทั้งหมดในการฝึกฝน
*ท่าที่ 3
---ให้ยกมือขวาที่ได้พลิกตั้งฉากกับหน้าขาไว้ ขึ้นอย่างช้า ๆ ผมเน้นคำว่า อย่างช้าๆ ห้ามยกเร็ว เพราะท่านจะไม่เห็นสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นได้ ถ้าท่านเป็นคนใหม่ที่กำลังฝึกอยู่ สำหรับคนเก่าที่ชำนาญ ก็แล้วแต่ท่านก็แล้วกันการเคลื่อนมือขึ้นนี้ จะเหมือนกับท่านกำลังขึ้นลิฟท์โดยสาร มันจะรู้สึกได้ว่ามันไหวตัววูบขึ้นเบาๆ ในขณะที่มือกำลังเคลื่อนอย่างช้า ๆ ท่านอย่าได้มองที่มือ ตายังคงมองตรงไปข้างหน้าดังที่ผมเขียนไว้ ในท่าที่ 1 อยู่ ในขณะที่มือกำลังเคลื่อนอยู่นั้น ขอให้ท่านสังเกตว่า ท่านยังสามารถรู้สึกตัวได้อยู่หรือไม่ นั่นคือ ตายังมองเห็นข้างหน้าอยู่ หูยังได้ยินอยู่ ร่างกายรับรู้อยู่ จิตใจก็เฉยๆ อยู่เมื่อท่านเคลื่อนมือแล้วถึงจุดก็ให้หยุดเคลื่อน ในขณะที่ท่านหยุดเคลื่อน ขอให้ท่านสังเกตว่า ท่านยังสามารถรู้สึกตัวได้อยู่หรือไม่ นั่นคือ ตายังมองเห็นข้างหน้าอยู่ หูยังได้ยินอยู่ ร่างกายรับรู้อยู่จิตใจก็เฉยๆ อยู่
*คนที่เป็นคนใหม่
---เวลาฝึกเคลื่อน มักจะพบ 3 อาการขึ้นในขณะฝึก
---อาการที่ 1 ใขขณะที่เคลื่อนหรือหยุด จิตใจที่นิ่งอยู่ที่ฐาน จะพุ่งปราดเข้าไปจับที่มือที่กำลังเคลื่อน
---อาการที 2 ในขณะที่เคลื่อนหรือหยุด ความรู้สึกตัวจะขาดลงเป็นระยะ ๆ คือ เผลอไปเป็นระยะ ๆ
---อาการที่ 3 ในขณะที่เคลื่อนหรือหยุด มีความคิดเกิดแล้วเผลอไป เกิดอาการหลงเข้าไปในความคิด
---อาการทั้ง 3 นี่เป็นสิ่งที่คนใหม่จะพบกันเสมอ ถ้าท่านเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปเสียใจต่อว่าตัวเอง ว่าฝึกไม่ดี มันจะเป็นอย่างนี้เองสำหรับคนใหม่ ถ้าท่านเกิดอาการข้อใด ข้อหนึ่งขึ้น ก็ให้ฝึกต่อไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตอาการความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ ก็แล้วกันว่า ท่านยังรู้สึกตัวได้เสมอ ๆ หรือไม่
---อาการทั้ง 3 นี้ ถ้าท่านฝึกไปเรื่อยๆ มันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ทีละนิด ทีละนิด นี่คืออาการที่แสดงถึงการพัฒนาการต่อเนื่องของความรู้สึกตัวแล้ว แต่ถ้าท่านเคลื่อนมือเร็ว ท่านอาจไม่เห็นอาการทั้ง 3 นี้ ซึ่งจะแย่กว่าการที่ท่านเห็นว่ามีอาการทั้ง 3 เสียอีก แต่ถ้าท่านเป็นมือเก่า ที่ความรู้สึกตัวต่อเนื่องแล้ว ท่านจะเคลื่อนเร็วช้า ก็แล้วแต่ท่าน แต่ที่ผมสังเกต คนที่เขาฝึกมามาก ๆ ส่วนใหญ่เขามักจะเคลื่อนช้าแบบเนิบ ๆ คือไม่ช้ามาก แต่ไม่เร็ว
*ท่าที่ 4 ถึงท่า 15 ใช้วิธีการฝึกฝนดังที่เขียนไว้ในท่าที่ 3 นี้
---สำหรับการเดินจงกรมก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่า การเดินนั้น จะช้าแบบเคลือนมือไม่ได้เพราะจะเซ จะล้ม ก็ขอให้เดินให้ช้าที่สุดที่จะไม่เซ ไม่ล้ม เดินปรกติเหมือนเดินทอดน่องเดินดูตู้โชว์ตามห้างสรรพสินค้าแบบนั้น แล้วก็สังเกตอาการตามที่ผมเขียนไว้ในข้อ 3 ก็แล้วกัน
*ผมจะอธิบายเพิ่มถึงสภาวะให้ท่านเข้าใจ
---อาการที่ 1 ที่เวลาเคลื่อนมือหรือหยุด แล้วจิตรู้ วิ่งจากฐานที่นิ่งอยู่ไปจับเข้าทีมือที่กำลังเคลื่อนหรือกำลังหยุดอยู่ นี่คือ อาการที่จิตรู้ยังไม่ตั้งมั่น พอมีอาการไหวตัวของการเคลื่อนขึ้น จิตรู้ก็วิ่งออกจากฐานไปจับอาการนั้น ๆ ทันที
---ตอนที่คนทั่ว ๆ ไปกำลังจะโกรธ จะมีอาการไหวตัวทางจิตใจก่อน แล้วจิตก็ยิ่งไปจับอาการที่กำลังจะโกรธนั้น แล้วเกิดการยึดขึ้น ทำให้คนทั่ว ๆ หลงไปกับอาการโกรธ แล้วเป็นทุกข์
---แต่ถ้าท่านฝึกไปแล้วเห็นอาการไหวตัวของการเคลื่อนไหวได้อย่างชำนาญ จิตจะยังตั้งมั่นอยู่ที่ฐานอยู่ ทีนี้ในชีวิตจริง พอจะโกรธขึ้นมา คนที่ฝึกมาดี จิตจะไม่วิ่งไปยึดกับอาการโกรธแต่เขาจะเห็นอาการโกรธนั้นโผล่วูบขึ้นมาได้ แล้วเขาจะเห็นว่า อาการโกรธนี่ไม่ใช่ตัวเขา ไม่ใช่ของ ๆ เขา มันเป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น นี่คือการเห็นสังขารขันธ์ในขันธ์ 5 อันเป็นเบื้องต้น ที่เริ่มได้ผลในการปฏิบัติธรรม
---ผมเห็นว่า กรรมฐานเคลื่อนไหว นี้ได้ผลดีมากสำหรับการฝึกฝนเพื่อจับอาการการไหวตัวของจิตใจ เพราะการไหวตัวจากการเคลื่อนมือหรือเดินจงกรม มันจะเหมือนการไหวตัวของจิตใจ เพียงแต่การไหวตัวของจิตใจจะเบากว่าการไหวตัวทางร่างกายเท่านั้น แต่ถ้าท่านฝึกรับรู้การไหวทางร่างกายได้ดี มันก็ส่งผลถึงการรับรู้การไหวตัวทางจิตใจได้ดีเช่นเดียวกัน
---ผมหวังว่า บทความนี้ จะทำให้ท่านมองการปฏิบัติได้ชัดขึ้นครับว่าการปฏิบัตินั้น ไม่ใช่เพียงแต่เคลื่อน ๆ หยุด ๆ อย่างที่ท่านเห็นด้วยตาที่ท่านมองคนอื่นเขาทำกันมันมีอะไรมากกว่านั้น ที่ท่านมองไม่เห็น แต่ผู้ปฏิบัติจะรู้เห็นได้ด้วยตนเองสิ่งที่ผมเขียนข้างบนนี้ มันมาจากประสบการณ์ที่ผมพบเอง เข้าใจเอง ผมจึงนำมาแบ่งปันกับท่านที่สนใจทางนี้ ท่านอาจได้ฟังจากครูบาอาจารย์สายหลวงพ่อเทียนท่านอื่น ไม่กล่าวแบบนี้ก็ได้ครับ เพราะเทคนิคแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกันนั่นเอง
---สำหรับการดูลมหายใจ ผมไม่แนะนำสำหรับมือใหม่ เพราะจะยากกว่ามากแต่ถ้าท่านฝึกกรรมฐานเคลื่อนไหวไปมาก ๆ เข้า ท่านจะมีความรู้ความเข้าใจได้ดีในการฝึกการดูลมหายใจได้เอง
---บทความนี้ ผมเขียนขึ้นสำหรับท่านที่กำลังฝึกแบบหลวงพ่อเทียนผมจะไม่เขียนเกี่ยวกับการเคลื่อนมือว่าเป็นแบบใด
*1.ในการเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียนมี 15 ขั้นไม่ใช่ 14 ขั้น โดยจะต้องนับขั้นที่ 1 เป็นท่าที่เอามือทั้งสองไว้ที่หน้าขา
---ท่านี้เป็นท่าเริ่มต้นที่สำคัญ เพราะเป็นท่าเตรียมพร้อมก่อนจะเคลื่อนมือในท่านี้ มีสิ่งสำคัญที่ท่านควรเอาใจใส่ดังนี้
---1A.สายตา ท่านสมควรมองไปไกล ๆ แต่อย่าจ้องอะไร เหมือนมองไกลแต่ไม่มีจุดหมายในการมอง การมองไกล จะช่วย 2 สิ่ง คือการไม่จ้องไปที่มือที่กำลังเคลื่อน และ เป็นการแก้การเวียนศรีษะได้เป็นอย่างดีในการมองแบบนี้ ขอให้ท่านสังเกต ตาจะเหมือนเหม่อ ๆ นิดหน่อย
---1B.ปรับกายและปรับใจ ให้สบาย ผ่อนคลาย นั่งให้สบาย อย่าได้เกร็งทั้งกายและใจ สำหรับบางท่านที่กำลังสติค่อนข้างดี ท่านจะรู้สึกถึงลมหายใจได้ที่เบา ๆ ด้วย
---2.เมื่อปรับ 1A และ 1B แล้ว รู้สึกดี ผ่อนคลาย ก็ให้เริ่มต้นเคลื่อนมือตามแบบที่หลวงพ่อเทียนได้สอนไว้ในการเคลื่อนนี้ มีสิ่งที่ท่านควรสนใจดังนี้
---2A.การเคลื่อนต้องสบาย ๆ อย่าเคลื่อนเร็ว แต่อย่าช้ามากจนเกร็ง ให้เคลื่อนสบาย ๆ เหมือนกำลังซ้อมทำเล่น ๆ การทำจริงจังเกินไปจนเครียด ไม่เกิดผลดีต่อท่านเพราะท่านจะไม่ผ่อนคลาย
---2B.การเคลื่อนต้องมีการหยุดนิดหน่อยเป็นจังหวะ ถ้าไม่หยุด ไม่ใช่สิ่งที่หลวงพ่อเทียนท่านสอนไว้ การทำเป็นจังหวะ จะทำให้ท่านรู้สึกเหมือนเป็นหุ่นยนต์ ที่ทำอะไรเป็นขณะขณะ ไม่ต่อเนื่อง
---2C.ในการเคลื่อนและหยุด สมควรมี ความรู้สึกตัวเสมอ ๆ ท่านอาจมีเผลอบ้างก็ไม่เป็นไรมันจะเป็นอย่างนี้เอง ท่านควรเข้าใจว่า ไม่มีใครไม่เผลอ นอกจากพระอรหันต์เมื่อเลิกเผลอ ให้กลับมาที่ความรู้สึกตัวต่อไป
---2D.ท่านไม่ต้องมีความอยากที่อยากจะรู้อะไร ห้ามจ้องมือ ถ้าท่านมองไกล ๆ ตามที่เขียนไว้ในข้อ 1A ท่านจะไม่จ้องมือ และ เมื่อเคลื่อน-หยุด ก็จะรู้สึกได้ถึงการเคลื่อน การหยุดที่เป็นการรู้สึกที่แผ่วเบา แต่ถ้าท่านเป็นมือใหม่ ท่านอาจรู้สึกไม่ได้เพราะมันแผ่วเบามากแต่ในจังหวะที่ลูบลำตัว ความรู้สึกจะแรงกว่าในขณะเคลื่อน-หยุด ซึ่งมือใหม่จะรู้สึกถึงการลูบลำตัวนี้ได้อย่างแน่นอน นี่คือข้อดีที่ปรีชายิ่งของหลวงพ่อเทียนในการออกแบบการฝึก เพราะการรู้ความรู้สึกจะมีทั้งเบาและแรง การรู้ความรู้สึกที่แรงที่หยาบ จะดีเพราะเป็นกำลังแห่งสติให้ตั้งมั่น ความรู้สึกที่เบา จะทำให้สติมีความว่องไวในการรับรู้ความรู้สึก
---2E.ท่านสมควรเข้าใจด้วยว่า การฝึกฝนนี้ จะทำเพื่อให้เพิ่มกำลังแห่งสติสัมปชัญญะ ถ้าท่านฝึกแล้ว รู้สึกตัวได้ดี และ รู้ความรู้สึกในการเคลื่อน การหยุด การลูบตัว อย่างนี้ถือว่า การฝึกท่านได้ผลแล้ว ท่านอย่าไปหวังผลว่า จะต้องเห็นธรรม ต้องบรรลุธรรมเพราะถ้าท่านฝึกมาได้ผลดี นี่เป็นการสร้างเหตุที่ตรงในทางธรรม ผลคือการเห็นธรรมการบรรลุธรรม จะตามมาเองอันเป็นผลจากการสร้างเหตุที่ตรง
---3...ปัญหาที่มักเกิดในการฝึก
---3A.ฝึกแล้วเวียนศรีษะ สาเหตุมาจากการจ้องมือ การมองใกล้ๆ
*วิธีแก้ไข ให้มองไกล ๆ แบบที่เขียนไว้ในข้อ 1A
---3B.ฝึกแล้วรู้สึกเครียด หนัก หงุดหงิดสาเหตุอาจมาจากหลายอย่างด้วยกัน
---การไม่ปรับร่างกายและจิตใจ ให้ผ่อนคลาย ดังที่เขียนในข้อ 1B
---การหวังผลในการฝึก ต้องการรู้ธรรม ซึ่งท่านต้องไม่หวังผล แต่ให้ฝึกเพียงให้รู้สึกตัวก็พอ
---การฝึกเป็นหมู่คณะ นั่งเป็นกลุ่มใหญ่ การเคลื่อนมือของคนข้าง ๆ หรือ คนนั่งข้างหน้ารบกวนสมาธิของท่าน ถ้าหลีกเลี่ยงได้ ก็ให้หาสถานที่ฝึกที่ไม่มีคนอยู่ข้าง ๆ หรือ อยู่ข้างหน้าท่าน
---การได้ยินได้ฟังคนอื่นว่า ฝึกแล้วดีมาก โล่ง เบาสบาย สดชื่น ท่านเลยอยากได้อย่างเขาบ้าง พอเกิดความอยากในจิตใจ การฝึกจะทำให้ฝึกไม่ดี ไม่ผ่อนคลาย และเครียด ทันที (การฝึกฝนที่ดี ไม่ว่ากรรมฐานกองใดแบบใด)
---ผล ก็คือ การไม่หวังผลในการฝึก ฝึกแบบเล่น ๆ สบาย ๆ ผ่อนคลาย ยิ่งผ่อนคลายได้มากเท่าใด ผลที่ได้กลับได้ผลดีมากขึ้นกว่าการฝึกที่เคร่งเครียด
(เคลื่อนไหว)
*ประวัติหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
---หลวงพ่อเทียนเกิดที่บ้านบุฮม ตำบลบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมื่อวันที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๔๕ ตรงกับวันอังคาร เดือน ๑๐ ปีกุน ขึ้น ๑๓ ค่ำ บิดาชื่อว่านายจีน อินทผิว มารดาชื่อว่านางโสม อินทผิว บิดาเสียชีวิตตั้งแต่ท่านยังเด็ก ในสมัยนั้นหมู่บ้านบุฮมยังไม่มีโรงเรียน
---ท่านจึงไม่ได้เรียนหนังสือในวัยเด็ก จึงได้ช่วยมารดาทำไร่ทำนาเช่นเดียวกับเด็กอื่นๆ ในหมู่บ้านหลวงพ่อเทียนมีนามเดิมว่า พันธ์ อินทผิว สาเหตุที่รู้จักในนามหลวงพ่อเทียนนั้น เพราะในถิ่นที่อยู่อาศัยของท่านจะนิยมเรียกชื่อคนที่เป็นพ่อและแม่ ตามชื่อลูกคนหัวปี บุตรชายคนแรกมีชื่อว่าเทียน ดังนั้นชาวบ้านจึงนิยมเรียกว่าพ่อเทียน ส่วนผู้ที่เป็นภรรยาของพ่อเทียนนั้นมีชื่อว่า นางหอมแต่ชาวบ้านก็จะเรียกว่า แม่เทียนตามชื่อของบุตรคนหัวปีเช่นเดียวกัน ท่านมีพี่น้องทั้งหมด ๖ คนคือ
---๑.นายสาย อินทผิว
---๒.นายปุ้ย อินทผิว
---๓.นายอุ้น อินทผิว
---๔.นางหวัน พิมพ์สอน
---๕.นายพันธ์ อินทผิว (หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ)
---๖.นายผัน อินทผิว
---เมื่ออายุได้ ๑๐ กว่าปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร อยู่กับหลวงน้าที่วัดในหมู่บ้าน ได้มีโอกาสเรียนตัหนังสือลาวและตัวหนังสือธรรม พอที่จะอ่านออกและเขียนได้บ้าง และเริ่มฝึกกรรมฐานตั้งแต่คราวนั้นเป็นต้นมา ท่านได้ปฏิบัติหลายวิธี เช่น วิธีพุทโธ, วิธีพองหนอ ยุบหนอ สัมมาอรหัง วิธีนับหนึ่ง สองสาม… หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรได้ ๑ ปี ๖ เดือนก็ได้ลาสิกขาบท ออกมาช่วยทางบ้านทำงานเช่นเดิม พออายุได้ ๒๐ ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุตามประเพณี
---ได้ศึกษาวิธีการปฏิบัติธรรมกับหลวงน้าของท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากอุปสมบทได้ ๖ เดือนท่านก็ได้ลาสิกขาบทออกมา และแต่งงานมีครอบครัวเมื่ออายุได้ ๒๒ ปี มีบุตรชาย ๓ คน ในขณะที่ดำรงอยู่ในเพศฆราวาส ท่ามักจะได้เป็นผู้นำของคนในหมู่บ้านในการทำบุญต่าง ๆ จนเป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้าน จนกระทั่งได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านถึง ๓ ครั้ง แม้ภาระจะมากท่านก็ยังสนใจในการทำสมาธิและปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ
---ต่อมาท่านได้ย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอเชียงคาน เพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือ ท่านจึงได้หันมาประกอบอาชีพเป็นพ่อค้าเดินเรือ เป็นการค้าขายเดินเรือตามลำแม่น้ำโขงระหว่างอำเภอเชียงคาน – จังหวัดหนองคาย – และนครเวียงจันทน์ซึ่งเป็นเขตประเทศลาว บางครั้งก็ถึงหลวงพระบาง ทำให้ท่านมีโอกาสพบกับพระอาจารย์ที่เป็นพระกรรมฐานหลายรูป จึงเป็นเหตุให้ท่านมีความสนใจในเรื่องธรรมะมากขึ้นกว่าเดิม ช่วงที่ท่านมีโอกาสพบกับพระกรรมฐานนั้น ทำให้ท่านมีความคิดว่าแม้จะทำความดี ทำบุญ และปฏิบัติกรรมฐานมาหลายวิธีตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ทำไมท่านยังไม่สามารถเอาชนะความโกรธได้ ท่านจึงอยากค้นคว้าหาความจริงในเรื่องนี้ และเพื่อที่จะออกจากสิ่งเหล่านี้ด้วย
---ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เมื่ออายุได้ ๔๕ ปีเศษ ท่านได้ออกจากบ้านโดยตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่กลับจนกว่าจะพบธรรมะที่แท้ จริง ท่านได้เดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัดรังสีมุกดาราม ตำบลพันพร้าว อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย (ปัจจุบันคืออำเภอศรีเชียงใหม่) โดยการทำกรรมฐานแบบติง – นิ่ง โดยการใช้คำภาวนาเมื่อร่างกายขยับให้ภาวนาว่า “ติง” (แปลว่า ไหว) เมื่อหยุดให้ภาวนาว่า “นิ่ง” (แปลว่า หยุด)
---ต่อมาท่านได้เปลี่ยนวิธีการตามความคิดของท่านเอง โดยการใช้วิธีเคลื่อนไหวเหมือนเดิมแต่ไม่ได้บริกรรมภาวนา เพียงแต่ทำการเคลื่อนไหวโดยเอาสติไปกำหนดรู้ในขณะที่เคลื่อนไหวเท่านั้น ในชั่วเวลาเพียง๒ - ๓ วันหลังจากที่ท่านเปลี่ยนวิธีการฝึกกรรมฐาน ท่านก็สามารถเข้าใจหลักธรรมที่จะแก้ไขทุกข์ที่มีอยู่ได้อย่างอัศจรรย์ โดยไม่มีความสงสัยในเรื่องของการปฏิบัติ และมีความเข้าใจในเรื่องของชีวิตอย่างแท้จริง เมื่อเช้ามืดของวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๘ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐
---หลังจากนั้นท่านก็ใช้เวลาเผยแผ่ธรรม ในขณะที่ยังเป็นฆราวาสอีก ๒ ปี ๘ เดือน แก่ญาติพี่น้องและบุคคลที่สนใจ ต่อมาเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๓ ท่านจึงได้อุปสมบทอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่าการบวชเป็นพระภิกษุ คงจะเอื้อต่อการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธองค์ได้ง่ายกว่าการเป็นฆราวาส ตั้งแต่นั้นคำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ จึงได้แพร่ขยายไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมีผู้ปฏิบัติตามวิธีการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวมากขึ้นเรื่อยๆ
---หลวงพ่อเทียนได้อุทิศชีวิตให้กับการสอนธรรมะอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ด เหนื่อยของร่างกายและสุขภาพ จนกระทั่งอาพาธเป็นโรคมะเร็งที่กระเพาะอาหารเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ถึงแม้ว่าท่านจะอาพาธอย่างหนัก ก็ยังคงทำงานอย่างหนักต่อไปในการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธองค์ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
---หลวงพ่อเทียนได้ละสังขารอย่างสงบ ณ ศาลามุงแฝกบนเกาะพุทธธรรม สำนักปฏิบัติธรรมทับมิ่งขวัญ ตำบลกุดป่อง อำเภอเมือง จังหวัดเลย เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๑ เวลา ๑๘.๑๕ น. รวมอายุได้ ๗๗ ปี และท่านได้ใช้เวลาในการเผยแผ่ธรรมะ ตามวิธีการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแก่คนทั้งหลายเป็นเวลา ๓๑ ปี
*สถานที่จำพรรษาของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
---หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ หลังจากที่อุปสมบทแล้ว ท่านก็ได้นำวิธีการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว เป็นแนวทางแห่งการเผยแผ่ธรรม จนเป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับในการใช้หลักธรรม ในการดำเนินชีวิต ให้มีความสงบสุข ตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ในการออกเผยแผ่ธรรมตามสถานที่ต่างๆ โดยลำดับปีที่ใช้เป็นที่อยู่ในการจำพรรษารวมทั้งสิ้น ๒๙ ปี ดังนี้
*พรรษาที่ ๑ พุทธศักราช ๒๕๐๓
---จำพรรษาที่วัดบรรพตคีรี อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
*พรรษาที่ ๒ - ๓ พุทธศักราช ๒๕๐๔ - ๒๕๐๕
---จำพรรษาที่ประเทศลาว
*พรรษาที่ ๔ พุทธศักราช ๒๕๐๖
---จำพรรษาที่ผานกเค้า และได้พบกับพระมหาบัวทอง พุทฺธโฆสโก ซึ่งเป็นพระรูปแรกที่ได้ร่วมปฏิบัติตามแนวของท่าน และเผยแผ่ธรรมอย่างจริงจัง
*พรรษาที่ ๕ พุทธศักราช ๒๕๐๗
---จำพรรษาที่วัดโนนสวรรค์ ตำบลนาอ้อ อำเภอเมือง จังหวัดเลย
*พรรษาที่ ๖ พุทธศักราช ๒๕๐๘
---จำพรรษาที่วัดบรรพตคีรี อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
*พรรษาที่ ๗ - ๑๑ พุทธศักราช ๒๕๐๙ - ๒๕๑๓
---จำพรรษาที่วัดป่าพุทธยาน จังหวัดเลย หลวงพ่อได้เริ่มตั้งสำนักเผยแผ่อย่างจริงจังในที่แห่งนี้ ปัจจุบันวัดป่าพุทธยาน เป็นที่ตั้งของวิทยาลัยครูจังหวัดเลย ส่วนวัดป่าพุทธยานได้ย้ายมาอยู่ ที่บ้านกำเนิดเพชร อำเภเมือง จังหวัดเลย ณ ที่นี้เองหลวงพ่อได้พบกับพระอาจารย์บุญธรรม เมื่อปลายปีพุทธศักราช ๒๕๐๙ พบพระอาจารย์ทอง อาภากโร และพระอาจารย์คำเขียน สุวณฺโณ ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๐
*พรรษาที่ ๑๒ - ๑๔ พุทธศักราช ๒๕๑๔ - ๒๕๑๖
---จำพรรษาที่วัดโมกขวนาราม ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในขณะนั้นหลวงพ่อกำลังแสวงหาสถานที่ สำหรับเผยแผ่ธรรมในเขตจังหวัดขอนแก่น ชาวบ้านหัวทุ่งและบ้านคำไฮ จึงได้นิมนต์หลวงพ่ออยู่จำพรรษา และถวายให้หลวงพ่ออยู่จำพรรษาอยู่กับหลวงพ่อหา ระยะนี้เองที่ธรรมะและวิธีการปฏิบัติแนวการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวเริ่มเป็น ที่รู้จักมากขึ้น
*พรรษาที่ ๑๕ พุทธศักราช ๒๕๑๗
---จำพรรษาที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว
*พรรษาที่ ๑๖ - ๑๗ พุทธศักราช ๒๕๑๘ - ๒๕๑๙
---จำพรรษาที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ในช่วงนี้ได้มีโยมมานิมนต์หลวงพ่อให้ไปจำพรรษาที่วัดสนามใน ตำบลวัดชลอ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ซึ่งขณะนั้นวัดสนามในเป็นวัดร้าง หลวงพ่อจึงเริ่มมาดูสถานที่และทำการบูรณะปฏิสังขรณ์สถานที่ต่างๆ และปลูกกุฏิตอนปลายปี ๒๕๑๙ ท่านได้มอบหมาย ให้พระอาจารย์ทองล้วน อธิปญฺโญ มาจำพรรษาอยู่ก่อน ก่อนที่ท่านจะตามมา
*พรรษาที่ ๑๘ - ๑๙ พุทธศักราช ๒๕๒๐ - ๒๕๒๑
---จำพรรษาที่วัดสนามใน ตำบลวัดชลอ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี
*พรรษาที่ ๒๐ พุทธศักราช ๒๕๒๒
---จำพรรษาที่วัดสวนแก้ว อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี
*พรรษาที่ ๒๑ - ๒๓ พุทธศักราช ๒๕๒๓ - ๒๕๒๕
---จำพรรษาที่วัดสนามใน ตำบลวัดชลอ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ในปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ หลวงพ่อได้รับนิมนต์ให้ไปเผยแผ่ธรรมที่ประเทศสิงคโปร์ ๒ ครั้ง และในปีนี้เองท่านเริ่มอาพาธด้วยโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร
*พรรษาที่ ๒๔ พุทธศักราช ๒๕๒๖
---จำพรรษาที่วัดโมกขวนาราม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และในปีพุทธศักราช ๒๕๒๖ นี้เอง หลวงพ่อได้เริ่มก่อตั้งสำนักปฏิบัติธรรมทับมิ่งขวัญ ตำบลกุดป่อง อำเภอเมือง จังหวัดเลย
*พรรษาที่ ๒๕ - ๒๘ พุทธศักราช ๒๕๒๗ - ๒๕๓๐
---จำพรรษาที่วัดสนามใน ตำบลวัดชลอ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และในช่วงพุทธศักราช ๒๕๒๙ หลวงพ่อเริ่มปรับปรุงเกาะพุทธธรรม ซึ่งอยู่ถัดจากสำนักทับมิ่งขวัญให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรม
*พรรษาที่ ๒๙ พุทธศักราช ๒๕๓๑
---จำพรรษาที่สำนักทับมิ่งขวัญ หลวงพ่อจำพรรษาที่สำนักแห่งนี้เป็นพรรษาสุดท้าย ท่านได้ทุ่มเทเวลาที่เหลือทั้งหมดให้การอบรมสอนธรรมะแก่คณะศิษยานุศิษย์ และควบคุมดูแลการปรับปรุงเกาะพุทธธรรม เพื่อเป็นสถานที่ผลิตผู้รู้ธรรม ออกไปสั่งสอนธรรมะแก่บุคคลทั่วไปสืบไป
---(๓) อารมณ์ของการปฏิบัติตามวิธีการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว
---อารมณ์การปฏิบัติตามวิธีการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว ตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ แบ่งออกเป็น ๒ ขั้น คือ ขั้นอารมณ์สมมติ และขั้นอารมณ์ปรมัตถ์
*ขั้นที่ ๑ : อารมณ์สมมติ
---ต้องรู้รูป – นาม (ร่างกาย – จิตใจ) ต้องรู้รูป – ทำ นาม - ทำ ต้องรู้รูป – โรค นาม – โรค โรคมีสองชนิด คือ โรคทางร่างกาย เช่น ปวดท้อง ปวดหัว เราต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล โรคทางจิตใจ คือโทสะ โมหะ โลภะ (ความโกรธ, ความหลง, ความโลภ) ซึ่งต้องแก้ไขด้วยวิธีการเจริญสติ
---ต่อไปต้องรู้ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา (ภาวะที่ทนอยู่ไม่ได้, ไม่เที่ยง, บังคับควบคุมไม่ได้) ต่อไปต้องรู้สมมติ (สิ่งที่ยอมรับตกลงกัน) ไม่ว่าสมมติอะไรในโลก ให้รู้ถึงที่สุดแล้วก็รู้เรื่องศาสนา (คำสอน) รู้พุทธศาสนา (คำสอนของพระพุทธเจ้า) ศาสนาคือคนทุกคนไม่ยกเว้น ศาสนา หมายถึง คำสั่งสอนของท่านผู้รู้ รู้พุทธศาสนา คือพุทธะ หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม ซึ่งได้แก่สติ สมาธิ ปัญญา (การรู้ตัว, การตั้งใจ, การรู้) ดังนั้นจึงต้องเจริญปัญญา
---ต่อมาก็รู้เรื่องบาป (ความชั่ว, ความมัวหมอง) ต้องรู้บุญ (ความดี, คุณงามความดี) บาปคือความมืด ความโง่ การไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นอย่างไร บุญคือความฉลาด การรู้คือการรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
---หลังจากจบขั้นที่ ๑ จะเกิดอุปสรรคขึ้นที่จุดนี้ เพราะยึดติดในความรู้ของอารมณ์วิปัสสนู (เครื่องเศร้าหมองของความรู้ภายใน) คือ เมื่อเรารู้ออกนอกตัวเราจะไม่มีที่สิ้นสุด จะต้องถอนตัวออกมาจากอารมณ์นี้ จะต้องไม่เข้าไปในความคิด
*ขั้นที่ ๒ : อารมณ์ปรมัตถ์
---ใช้สติดูความคิด เมื่อความคิดเกิดรู้ เห็น เข้าใจ สัมผัสได้ ทันทีที่ความคิดเกิดขึ้นให้ตัดทิ้งทันที ทำเหมือนแมวตะครุบหนู หรือเหมือนนักมวยที่ขึ้นเวทีต้องชกทันที ไม่จำเป็นต้องไหว้ครู ไม่ว่าแพ้หรือชนะนักมวยต้องชก เราไม่ต้องคอยใคร หรือเหมือนกับการขุดบ่อน้ำ เมื่อเราค้นพบน้ำ เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องตักโคลนตักเลนออก ตักน้ำออกจนหมด น้ำเก่าเอาออกให้หมด
---บัดนี้ น้ำใหม่จากภายในจะไหลออกมา เราจะต้องกวนที่ปากบ่อ ล้างปากบ่อ ล้างโคลน ล้างเลนออกให้หมด ทำมันบ่อย ๆ น้ำจะใสสะอาดโดยตัวของมันเอง เมื่อน้ำใสสะอาดมีอะไรตกลงไปในบ่อ เราจะรู้เห็นและเข้าใจทันที การตัดความคิดก็เช่นเดียวกัน ยิ่งเราตัดเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
---ต่อมา ให้เห็นวัตถุ (สิ่งที่มีอยู่) เห็นปรมัตถ์ (สิ่งที่กำลังมีอยู่ เป็นอยู่ สัมผัสอยู่) เห็นอาการ (การเปลี่ยนแปลง ของสิ่งที่กำลังมีอยู่) วัตถุหมายถึงของที่มีอยู่ในโลก ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวคนและในจิตใจของคนและสัตว์ปรมัตถ์หมายถึงของที่มีอยู่จริง เรากำลังเห็นกำลังมีกำลังเป็นเดี๋ยวนี้ ต่อหน้าต่อตาของเราสัมผัสได้ด้วยจิตใจ อาการหมายถึงการเปลี่ยนแปลงสมมติ เรามีสีย้อมผ้าอยู่เต็มกระป๋องเดิมคุณภาพร้อยเปอร์เซ็น ถ้าเรานำมาย้อมผ้ามันจะติดร้อยเปอร์เซ็น เมื่อเรารู้เราเห็นเราสามารถสัมผัสได้ด้วยจิตใจ สียังเต็มกระป๋องเหมือนเดิมแต่คุณภาพได้เสื่อมไป แล้วนำไปย้อมผ้ามันจะไม่ติดเนื้อผ้าสิ่งนี้ เราต้องเห็นจริงๆต้องรู้จริงๆ
---ต่อมาให้เห็นโทสะ โมหะ โลภะแล้ว ให้เราเห็นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ (การรู้สึกการจำได้ การปรุงแต่งการรับรู้) ให้เห็นรู้และสัมผัสมันให้เข้าใจสิ่งนี้จริงๆ โดยไม่ต้องสงสัยบัดนี้จะเกิดปีติ (ความยินดี) ขึ้นเล็กน้อยแต่ปีติเป็นอุปสรรคของการปฏิบัติธรรมในชั้นสูง เราไม่ต้องสนใจกับปีตินั้น เราต้องมาดูความคิดนี้คือจุดเริ่มต้นของอารมณ์ปรมัตถ์ ของการเจริญสติแบบนี้ของผู้มีปัญญา
---หลังจากนั้นก็ให้ดูความคิดต่อไป จะเกิดความรู้หรือญาณ หรือญาณปัญญา (ความรู้ของการรู้) ขึ้น ต่อมาก็จะเห็น รู้ และเข้าใจกิเลส (ยางเหนียว) ตัณหา (ติด, หนัก) อุปาทาน (ความยึดถือ) กรรม (การกระทำหรือการเสวยผลกรรม) ดังนั้น ความยึดมั่นถือมั่นจะจืดลง จะหลุดตัวออก จะจางหายไปเหมือนดังสีที่คุณภาพเสื่อมไปแล้ว ไม่สามารถจะย้อมติดผ้าได้อีก
---ต่อไปก็จะเกิดปีติขึ้นอีก เราจะต้องไม่สนใจในปีตินั้น ถอนความพอใจและความไม่พอใจออกเสีย ให้ดูความคิดต่อไป ดูจิตใจที่กำลังนึกคิดอยู่ จะเกิดญาณชนิดหนึ่งขึ้น จะเห็น รู้ และเข้าใจศีล ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ หรืออธิศีลสิกขา (ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกหัดอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง) อธิจิตตสิกขา (ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกหัดอบรมในทางจิตเพื่อให้เกิดสมาธิอย่างสูง) อธิปัญญาสิกขา (ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกหัดอบรมในทางจิต เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูงในทางหลุดพ้นหรือถอนราก) ในคำว่าขันธ์นั้น หมายถึง รองรับหรือต่อสู้ สิกขา หมายถึง บดให้ละเอียดหรือถลุงให้หมดไป
---ดังนั้นศีล (ความเป็นปกติ) เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างหยาบ คือ โทสะ โมหะ โลภ กิเลสตัณหาอุปาทานกรรม เมื่อสิ่งเหล่านี้จืดลงจางลง และ คลายลงศีลจึงปรากฎสมาธิ เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลางกิเลสอย่างกลาง คือ ความสงบเห็นรู้ และ เข้าใจกามาสวะ (อาสวะ คือ ความใคร่ความอยาก) ภวาสวะ (อาสวะ คือ ความเป็น) และอวิชชาสวะ(อาสวะ คือ การไม่รู้) เพราะกิเลสนี้ เป็นกิเลสอย่างกลาง ซึ่งทำให้จิตใจไม่สงบ
---นี้คืออารมณ์หนึ่งของการเจริญสติวิธีนี้ เมื่อเรารู้และเห็นอย่างนี้ เราจะให้ทาน (การให้) การรักษาศีลและกระทำกรรมฐาน (การภาวนา) ทุกแง่ทุกมุม แล้วญาณปัญญาจะเกิดขึ้นในใจ
---สำหรับการทำชั่วทางกาย รู้ว่าเป็นบาปกรรมอย่างไร และถ้านรกมีจริง เราจะตกนรกขุมไหน
---สำหรับการทำชั่วทางวาจา รู้ว่าเป็นบาปกรรมอย่างไร และถ้านรกมีจริง เราจะตกนรกขุมไหน
---สำหรับการทำชั่วทางใจ รู้ว่าเป็นบาปกรรมอย่างไร และถ้านรกมีจริง เราจะตกนรกขุมไหน
---สำหรับการทำชั่วทางกาย วาจา และใจพร้อมกัน รู้ว่าเป็นบาปกรรมอย่างไร และถ้านรกมีจริง เราจะตกนรกขุมไหน
---สำหรับการทำดีทางกาย รู้ว่าเป็นบุญอย่างไร และถ้าสวรรค์หรือนิพพานมีจริงเราจะไปชั้นไหน
---สำหรับการทำดีทางวาจา รู้ว่าเป็นบุญอย่างไร และถ้าสวรรค์หรือนิพพานมีจริงเราจะไปชั้นไหน
---สำหรับการทำดีทางใจ รู้ว่าเป็นบุญอย่างไร และถ้าสวรรค์หรือนิพพานมีจริงเราจะไปชั้นไหน
---สำหรับการทำดีทางกาย วาจา และใจพร้อมกัน รู้ว่าเป็นบุญอย่างไร และถ้าสวรรค์หรือนิพพานมีจริง เราจะไปชั้นไหน
---จบอารมณ์ของการเจริญสติวิธีนี้ มันจะเป็นความมหัศจรรย์และยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งมีอยู่ในจิตใจของคนทุกคนไม่ยกเว้น ถ้าเรายังไม่รู้เดี๋ยวนี้ เมื่อใกล้จะหมดลมหายใจ เราต้องรู้อย่างแน่นอนที่สุด ผู้ที่เจริญสติ เจริญปัญญา มีญาณจะรู้ ส่วนผู้ที่ไม่เคยเจริญสติ เจริญปัญญา เมื่อใกล้จะหมดลมหายใจมันจะเป็นอย่างเดียวกัน แต่เขาไม่รู้เพราะเขาไม่มีญาณ รู้อย่างแจ่มแจ้ง และเห็นอย่างแท้จริง มิใช่เป็นเพียงการจำหรือการรู้จัก รู้ด้วยญาณปัญญาของการเจริญสติที่แท้ สามารถรับรองตัวเองได้
---กล่าวกันว่าเมื่อถึงที่สุดแล้วญาณย่อมเกิดขึ้น ให้ระมัดระวังความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น ให้รู้สึกตัวของเธอเอง อย่าได้ยึดติดในความสุขหรือสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้น ความสุขก็ไม่เอา ความทุกข์ก็ไม่เอา เพียงกลับมาทบทวนอารมณ์บ่อย ๆ จากรูป – นาม จนจบทีละขั้นๆ และรู้ว่าอารมณ์มีขั้นตอน
---ถ้าเจริญสติอย่างถูกต้อง การปฏิบัติอย่างนานที่สุดไม่เกิน ๓ ปี อย่างกลาง ๑ ปี และอย่างเร็วที่สุด ๑ วันถึง ๙๐ วัน เราไม่จำเป็นต้องพูดถึงผลของการปฏิบัตินี้ ความทุกข์ไม่มีจริงๆ
*วิธีการสอนธรรมะของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
---การสอนโดยการใช้อุปกรณ์ เป็นการสอนที่อยู่ในลักษณะของการใช้สื่อการสอน ในสมัยพุทธกาลเราก็จะเห็นพระพุทธองค์ใช้ในการสอนสาวกทั้งหลาย เช่นครั้งที่พระองค์แสดงธรรมในป่าประดู่ลาย พระองค์ก็ทรงใช้ใบประดู่เป็นอุปกรณ์ในการสอน และถือว่าเป็นการใช้วิธีอุปมาอุปไมยไปในตัวด้วย ส่วนหลวงพ่อเทียนนั้น ถือว่ามีความชัดเจนในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะวิธีการของท่านมีการใช้อุปกรณ์การสอนคือ การใช้มือเคลื่อนไหวแล้วให้มีสติกำหนดรู้ หรือเรียกอีกนามหนึ่งว่า “การสร้างจังหวะ"
---การใช้มือเป็นเครื่องมือในการฝึกโดยวิธีการเจริญสตินี้ เป็นผลมาจากการประยุกต์ของหลวงพ่อเอง โดยได้รับแบบอย่างมาจากพระมหาปาน อานนฺโท แล้วท่านจึงมาประยุกต์ทีหลัง และเข้าใจธรรมะด้วยวิธีการนี้ หลวงพ่อเทียนท่านเปรียบให้ฟังว่า การเจริญสติด้วยการเคลื่อนไหว เป็นการหาอุปกรณ์เป็นตัวดึงสติให้มีที่เกาะที่ยึด เมื่อสติมีที่ยึดแล้ว ก็จะมีการพัฒนาในทางที่เหมาะสมยิ่งขึ้น และมีปัญญาแก้ไขทุกข์ทั้งปวงได้ การใช้มือเป็นอุปกรณ์ในการสอน หรือที่เรียกว่าการเจริญสตินั้นมีทั้งหมด ๑๕ จังหวะคือ
---๑.เอามือวางไว้ที่ขาทั้งสองข้าง คว่ำไว้
---๒.พลิกมือขวาตะแคงขึ้น ทำช้าๆ ให้รู้สึก
---๓.ยกมือขวาขึ้นครึ่งตัว ให้รู้สึก มันหยุดก็ให้รู้สึก
---๔.เอามือขวามาที่สะดือ ให้รู้สึก
---๕.พลิกมือซ้ายตะแคงขึ้น ให้รู้สึก
---๖.ยกมือซ้ายขึ้นครึ่งตัว ให้รู้สึก
---๗.เอามือซ้ายมาที่สะดือ ให้รู้สึก
---๘.เลื่อนมือขวาขึ้นที่หน้าอก ให้รู้สึก
---๙.เอามือขวาออกมาตรงข้าง ให้รู้สึก
---๑๐.ลดมือขวาลงที่ขาขวาตะแคงไว้ ให้รู้สึก
---๑๑.คว่ำมือขวาลงที่ขาขวา ให้รู้สึก
---๑๒.เลื่อนมือซ้ายขึ้นที่หน้าอก ให้รู้สึก
---๑๓.เอามือซ้ายออกมาตรงข้าง ให้รู้สึก
---๑๔.ลดมือซ้ายลงที่ขาซ้ายตะแคงไว้ ให้รู้สึก
---๑๕.คว่ำมือซ้ายลงที่ขาซ้าย ให้รู้สึก
---เมื่อเจริญสติโดยการสร้างจังหวะมากเข้า สติก็จะพัฒนาจนเกิดเป็นสติที่มีพลังสามารถที่จะเข้าไปควบคุมระบบความคิด ต่างๆ ได้อย่างมหัศจรรย์ หลวงพ่อเทียนให้ทรรศนะว่า ความคิดเป็นรากเหง้าของความโลภ ความโกรธ และความหลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเศร้าหมองในตัวของมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกัน มนุษย์ก็สามารถที่จะเอาชนะสภาวะที่เกิดขึ้นในใจได้ ด้วยการมีสติเป็นตัวควบคุม
---ท่านจึงแนะนำว่า เราไม่อาจกดทับภาวะที่มันเกิดขึ้น ด้วยการรักษาศีลหรือด้วยกฎระเบียบทางพระวินัยได้ และ เราก็ไม่สามารถที่จะให้อารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นหายไปด้วยการเพ่ง หรือ ทำให้เกิดความสงบด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งถึงแม้ว่า วิธีดังกล่าวที่เราพยายาม ที่จะฝึกฝนเพื่อให้สลัดอารมณ์ดังกล่าวออกไป ก็ตามแต่สิ่งที่มนุษย์สามารถที่จะสลัดอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ ก็ต้องศึกษาให้เข้าใจที่ไปที่มาของปัญหานั้นก่อน แล้วจะสามารถตัดความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นได้ อย่างหมดจดสิ่งที่หลวงพ่อเทียนต้องการ ทำความเข้าใจ ก็ คือการเจริญสติเพราะการเจริญสติ เมื่อเจริญให้มากๆความรู้สึกตัว หรือ ที่เรามักเรียกว่ามีสตินั้น จะเข้าไปกำกับความคิดที่มีอยู่ ให้เป็นไปด้วยความเข้าใจ เพราะเมื่อเข้าใจกระบวนการของความคิดแล้ว เราก็จะควบคุมความคิดได้ โดยอัตโนมัติจนกระทั่งว่า ตัดความคิดที่เป็นรากเหง้าของ
---ความทุกข์ในใจทิ้งไปได้เลย หรือที่หลวงพ่อเทียนชอบเรียกว่าตัดความคิด การที่หลวงพ่อเทียนชี้ให้ผู้ปฏิบัติเห็นความสำคัญของสติ เพราะท่านเห็นว่าการมีสติมากๆ จะเป็นเครื่องกั้นอกุศลที่จะเข้ามาได้ ยิ่งมีมากเท่าใดก็จะมีเกราะสำหรับป้องกันตัวเองมากเท่านั้น หลวงพ่อเทียนกล้าที่จะรับประกันวิธีการที่ท่านปฏิบัติว่า ทำให้ผู้ปฏิบัติพ้นจากทุกข์ได้จริงตามมหาสติปัฏฐาน ๔ ครับ.
............................................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย....แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 20 สิงหาคม 2558
ความคิดเห็น