ท่านที่จะเป็นผู้พิพากษาทั้งหลาย
---หัวข้อที่อาตมาได้รับมอบหมายสำหรับทำการอบรมในที่นี้นั้น เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า คือ “หลักพระพุทธศาสนา, วิธีการปฏิบัติ, และศีลธรรม” จากหัวข้อนี้ เราจะเห็นได้ว่ามีการแยกเป็น พุทธศาสนา และ ศีลธรรม ทั้งสองหัวข้อนี้ กล่าวได้ว่าเป็นวิชาความรู้ที่จำเป็นแก่บุคคลทั่วไปทุกประเภท และจำเป็นแก่บุคคลที่กำลังจะปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญโดยตรงของคนทุก ๆ ประเภทด้วย.
---แต่สำหรับในวันแรกนี้, อาตมาอยากจะชี้ให้เห็น ความแตกต่างในระหว่างของสองสิ่งนี้เป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้น จึงให้หัวข้อคำอบรมในวันนี้ว่า “พุทธศาสนานั้นคืออะไร ” เพื่อเราจะได้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าพุทธศาสนาให้ชัดเจนเป็นประการแรก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากจะทำการเปรียบเทียบเบื้องต้น ในระหว่างสิ่งที่เรียกว่า “ศาสนา” กับ “ศีลธรรม” พอเป็นหลักประกันความปนเปฟั่นเฝือเสียก่อน.
---พอได้ยินคำว่า "ศาสนา" ท่านทั้งหลายก็คงจะรู้สึกหรือสันนิษฐาน เอาได้ว่า คำว่า "ศาสนา"มีความหมายเป็นไปได้กว้างหรือลึกกว่าคำว่า "ศีลธรรม"
---คำว่า ศีลธรรม หมายถึง ข้อปฏิบัติซึ่งเกี่ยวกับประโยชน์สุขในโลกนี้ ในชั้นที่เป็นพื้นฐานทั่วไปมากกว่าอย่างอื่น; และศีลธรรม เป็นหลักปฏิบัติที่กล่าวได้ว่ามีอยู่ตรง ๆ กัน ทั่ว ๆ ไปแทบทุกศาสนา
---ส่วน คำว่า ศาสนา นั้น หมายถึง ระเบียบวิธีปฏิบัติในขั้นสูง และมีความผิดแผกแตกต่างกันออกไปโดยเฉพาะเป็นศาสนาหนึ่ง ๆ ทีเดียว
---ที่เห็นได้ชัด ๆ ง่าย ๆ เราจะเห็นได้ว่า คำว่า "ศีลธรรม" ย่อมหมายถึง ระเบียบการปฏิบัติเพียงเท่าที่เราจะเรียกได้ว่า เป็นการทำให้เป็นคนดี เช่น มีศีล มีสัจจะ มีกตัญญูกตเวที มีการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนหรือคนอื่น ตามหลักที่สังคมทั่ว ๆ ไปต้องการ แต่เมื่อได้ปฏิบัติครบถ้วนตามนั้นแล้ว คือ มีศีลธรรมดีแล้ว ปัญหาก็ยังคงมีเหลืออยู่ว่า คนนั้นยังไม่พ้นทุกข์ หรือหมดปัญหาที่เกิดมาจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ยังไม่พ้นทุกข์ ไม่พ้นการเบียดเบียนของกิเลส โดยเฉพาะคือ โลภะ โทสะ โมหะ.
---อำนาจของศีลธรรมได้สิ้นสุดลงเสียก่อนที่จะกำจัดโลภะ โทสะ โมหะให้สิ้นไปได้ และไม่สามารถจะกำจัดความทุกข์ อันเกิดจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้นได้ ส่วนขอบเขตหรือหน้าที่ของศาสนานั้น ยังไปได้ไกลต่อไปอีก โดยเฉพาะพุทธศาสนาของเราย่อมมุ่งหมายโดยตรง ที่จะกำจัดกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ ให้สิ้นเชิง หรือดับความทุกข์ทั้งหลายที่จะเกิดเป็นปัญหาขึ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น ให้สูญสิ้นไป.
---สิ่งที่เรียกว่า "ศาสนา" ไปไกลกว่าศีลธรรมเช่นนี้ จึงเป็นการชี้ให้เห็นได้ชัดๆ ว่า ศาสนากับศีลธรรมนั้น ต่างกันอย่างไร โดยเฉพาะพุทธศาสนาไปได้ไกลกว่าศีลธรรมสากลของโลกทั่วๆ ไป อย่างไร
---เมื่อเราเข้าใจความแตกต่างระหว่างคำว่า ศาสนา กับคำว่า ศีลธรรม ดังนี้แล้ว เราจะได้สนใจกับสิ่งที่เรียกว่า "พุทธศาสนา" โดยเฉพาะกันสืบไป
---เมื่อตั้งปัญหาว่า พุทธศาสนาคืออะไร อาตมาอยากจะให้คำจำกัดความ หรือบทนิยามที่เหมาะสมแก่ท่านทั้งหลายในที่นี้ ที่สุดว่า “พุทธศาสนา" คือ วิชารวมทั้งระเบียบปฏิบัติสำหรับให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร” เท่านั้นเอง ผู้ที่จำเป็นจะต้องรับการอบรมทางพุทธศาสนาอาจจะเข้าใจว่า ถ้าอย่างนั้น ตัวเองก็เป็นผู้ที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้นหรือ.
---อาตมาก็อยากจะยืนยันว่า เรื่องมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถ้าใครรู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยถูกต้องครบถ้วน ลึกซึ้งถึงที่สุดแล้ว คนนั้นชื่อว่า รู้พุทธศาสนาถึงที่สุดด้วยเหมือนกัน ขอให้ทำความเข้าใจ ในคำจำกัดความที่ว่า "พุทธศาสนา" คือวิชาและระเบียบปฏิบัติสำหรับให้รู้อะไรเป็นอะไร ให้มากเป็นพิเศษ
---ที่ได้วางหลักเกณฑ์ดังนี้ ก็เพื่อประโยชน์ที่จะให้ท่านทั้งหลาย เข้าใจพุทธศาสนาได้โดยเร็ว หรือโดยง่ายนั่นเอง ไม่ใช่เป็นการเล่นโวหาร ให้เปลืองเวลาและว่าโดยที่แท้จริงแล้ว ก็เป็นคำจำกัดความที่ถูกต้อง ที่สุด ตามความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้า หรือของพุทธศาสนา
---คำที่ว่า ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร นั้น มีความหมายลึกซึ้งมาก เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลาย ลองพิจารณาดูว่า เรารู้จักว่าอะไรเป็นอะไรกันหรือเปล่า แม้แต่จะรู้จักว่า ตัวของตัวเองนั้นเป็นอะไร ชีวิตนี้คืออะไร การงานคืออะไร หน้าที่หรืออาชีพคืออะไร แม้ที่สุดแต่เงินทองทรัพย์สมบัติ ข้าวของ เกียรติยศชื่อเสียง เหล่านี้ คืออะไรก็ตาม ถ้าใครกล้ายืนยันว่า รู้ถึงที่สุด ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร ก็ลองพิจารณาดูให้ดี ๆ หรือฟังคำอธิบายดูต่อไป ว่าตามความหมายอันแท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้คืออะไรกันแน่
---ถ้าจะกล่าวโดยโวหารธรรมะ ว่าใครเป็นผู้รู้ธรรมะแล้ว ก็ต้องกล่าวว่า เขารู้ว่าสิ่งทั้งปวงคืออะไร คือ ถ้าผู้ใด รู้ว่าสิ่งทั้งปวงคืออะไร ผู้นั้นจะเป็นผู้รู้พุทธศาสนา ถ้ารู้หมดจนสิ้นเชิง ก็เท่ากับว่ารู้พุทธศาสนาหมดหมดจนสิ้นเชิงได้ ; เมื่อเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรจริง ๆ แล้ว เราย่อมไม่ปฏิบัติผิดต่อสิ่งทั้งปวง แต่ย่อมจะปฏิบัติถูกต่อสิ่งทั้งปวง เมื่อปฏิบัติถูกต่อสิ่งทั้งปวงแล้ว ก็เป็นอันแน่นอนว่า ความทุกข์จะเกิดขึ้นไม่ได้
---เดี๋ยวนี้เรายังไม่รู้จักสิ่งทั้งปวง ถูกต้องตามที่มันเป็นจริง ว่ามันเป็นอะไร เราจึงปฏิบัติผิดต่อสิ่งทั้งปวง ไม่มากก็น้อย ความทุกข์ก็เกิดขึ้นตามส่วน ตัวอย่างเช่น ไม่รู้จักว่าชีวิตนี้คืออะไร หน้าที่การงานคืออะไร เราย่อมปฏิบัติผิด ต่อสิ่งเหล่านี้ และความทุกข์ก็ต้องเกิดขึ้นตามส่วนที่ไม่รู้ การที่รู้ว่า สิ่งทั้งปวงคืออะไร นั้นเป็นเครื่องช่วยให้เราปฏิบัติถูกต่อสิ่งทั้งปวงโดยตรง
---เมื่อกล่าวถึงการปฏิบัติตามหลักของพุทธศาสนา หรือจะเรียกว่า การปฏิบัติพุทธศาสนาก็ตาม ย่อมเป็นการปฏิบัติปฏิบัติเพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงนั่นเอง เพราะว่า ถ้าเราปฏิบัติจนถึงกับรู้ว่า สิ่งทั้งปวงคืออะไร เสียแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องปฏิบัติอะไรอีกต่อไป ขอให้ฟังให้ชัดเจนหรือให้ดี ในที่ตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง ว่าการปฏิบัติของเรานั้น เราปฏิบัติเพื่อให้รู้ว่า สิ่งทั้งปวงคืออะไร ตามที่เป็นจริงอย่างไร เท่านั้น
---ถ้าลงได้รู้ในเรื่องนี้แล้ว การปฏิบัติก็ไม่จำเป็นอะไรต่อไปอีก การปฏิบัติอย่างที่เรียกกันว่า ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติกรรมฐานภาวนาอะไรก็ตาม ทั้งหมดนั้น ล้วนแต่มุ่งผลในที่สุด เพื่อให้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงคืออะไร เมื่อรู้ว่าสิ่งทั้งปวงคืออะไร ก็ย่อมหมายถึงการบรรลุมรรคผล ชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือถึงที่สุด เพราะว่าความรู้นั้นเอง เป็นตัวทำลายกิเลสไปในตัว และเป็นการรู้ผลของการหมดกิเลสไปในตัว
---เมื่อรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอะไรจริง ๆ แล้ว การเบื่อหน่าย คลายกำหนัดและความหลุดพ้น ที่เรียกว่า นิพพิทา วิราคะ และวิมุตตินั้น ย่อมเกิดขึ้นเองเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องทำความเพียรหรือปฏิบัติอะไรต่อไปอีก เรามีหน้าที่ที่จะทำความเพียรหรือปฏิบัติ ก็แต่ขั้นที่ว่า ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือไม่รู้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา, นี่ เป็นการกล่าวตามหลักพระพุทธศาสนา
---เมื่อการปฏิบัติกรรมฐานภาวนานั้น ได้เป็นไปจนกระทั่งเกิดความเห็นแจ้งสิ่งทั้งปวงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเด็ดขาดสิ้นเชิงลงไปจริง ๆ แล้ว นั้นย่อมหมายถึง ที่สุดของความรู้และการปฏิบัติ เพราะว่า ความรู้เช่นนั้น ย่อมทำลายกิเลสเอง อยู่ในตัวจนหมดไปในตัว เราไม่ต้องทำความพยายามในข้อที่จะให้ความรู้นั้น ทำลายกิเลส, เราพยายามแต่เพียงให้เกิดความรู้อันนั้นขึ้นมา คือให้เป็นความรู้ ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงที่สุดจริง ๆ เท่านั้น โดยสรุปก็คือ ความรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง
---เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ เมื่อเราไม่รู้ว่า ชีวิตนี้ หรือสิ่งทั้งปวงนี้ หรืออะไร ๆ ที่เรากำลังหลงรักใคร่ยินดีนี้ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้ว ก็หลงรักยินดี ติดพันยึดถือ ในสิ่งเหล่านั้น ครั้นเรารู้จริงตามวิธีรู้ ของทางพระศาสนา คือ ไม่ใช่รู้อย่างวิธีของโลก ๆ แต่เป็นการรู้ตามวิธีของพุทธศาสนาโดยเฉพาะ จนมองเห็นชัดว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีอะไรที่น่าผูกพัน ตัวเราเข้าไปกับสิ่งนั้น ๆ จริง ๆ แล้ว ก็จะเกิดความหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา ดังนี้ ฉะนั้น การปฏิบัติจึงเป็นการปฏิบัติ เพียงเพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริง คือ ยิ่งกว่าที่รู้ ๆ กันอยู่ตามธรรมดาโลก หรือตามที่ตนเข้าใจว่ารู้เท่านั้นเอง
---อาตมาขอยืนยันคำจำกัดความข้อนี้ ว่าเป็นคำจำกัดความ ที่เพียงพอและเหมาะสมสำหรับท่านนักศึกษาทั้งหลาย จะเอาไปใช้สำหรับดำเนินการปฏิบัติตน ด้วยการสืบสาว วิธีรู้ และวิธีปฏิบัติ ให้ออกไปจากหลักที่ว่า เราจะต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น ถ้าถามขึ้นเป็นคำกลาง ๆ ในที่ทั่วไป ว่าศาสนาคืออะไร ก็มีทางที่จะตอบได้มากทางด้วยกัน จนกระทั่งท่านทั้งหลายฟั่นเฝือ ตัวอย่างเช่น จะถามไปกลาง ๆ ว่า ศาสนาคืออะไร ดังนี้แล้ว, ศาสนากลุ่มหนึ่ง หรือประเภทหนึ่ง ก็จะตอบว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ส่งมาจากพระเป็นเจ้า ดังนี้ เป็นต้น เป็นคำตอบที่มีมากมายในหลายศาสนาในโลกนี้ ซึ่งนิยมถืออย่างนั้น, นิยมตอบอย่างนั้น
---แต่สำหรับพุทธศาสนาแล้ว ไม่มีการกล่าวเช่นนั้นเลย ความรู้ที่ว่าอะไรเป็นอะไรนี้ จะมาจากใครก็ได้ ถ้าเป็นความรู้ที่ถูกต้อง ว่าอะไรมาจากอะไรจริงๆ แล้ว ก็เป็นพุทธศาสนาทันที การที่จะไปตอบว่า พุทธศาสนาคือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น แทบจะไม่มีประโยชน์ เพราะว่า เรายังไม่ได้รับประโยชน์อะไรมากกว่ารู้ว่าเป็นดังนั้นเท่านั้น
---ถ้าจะถามว่า ทำไมจึงไม่อ้างบาลีข้อนั้นข้อนี้มาตอบ เพื่อจะชี้ให้เห็นชัดว่า พุทธศาสนาคืออะไร อาตมาก็อยากจะตอบว่า คำกล่าวที่ว่า ความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั่นแหละ คือ ใจความของพระบาลีหมดทั้งพระไตรปิฎก เพราะเหตุว่า หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งพระไตรปิฎก ก็ล้วนแต่เป็นการบ่งระบุให้รู้ว่า อะไรเป็นอะไร เท่านั้นเอง
---ถ้าถือเอาตามหลัก ที่ท่านทั้งหลายคงจะเคยได้ยิน ได้ฟังกันอยู่ทั่วไปแล้ว สักอย่างหนึ่งมาอ้างก็ได้ เช่น หลักเรื่อง อริยสัจจ์ ๔ ประการ
---อริยสัจจ์ข้อที่ ๑ บรรยายเรื่อง ความทุกข์ที่มีประจำอยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
---อริยสัจจ์ข้อที่ ๒ บรรยายเรื่อง มูลเหตุของความทุกข์ ซึ่งได้แก่ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น และอยากไม่ให้มี อยากไม่ให้เป็น อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งรวมเรียกว่า ความอยาก
---อริยสัจจ์ข้อที่ ๓ บอกถึงความที่ว่า ถ้าดับความอยากเสียได้แล้ว ความทุกข์ก็จะต้องดับไปตาม เพราะว่าความทุกข์ย่อมมาจากความอยาก
---อริยสัจจ์ข้อที่ ๔ บอกวิธีที่จะดับความอยากเสียให้ได้ด้วยวิธีอย่างไร
---เมื่อถือว่าหลักอริยสัจจ์ ๔ ประการนี้ เป็นใจความสำคัญของพระพุทธศาสนา เราก็ควรจะนำมาเปรียบเทียบกับข้อที่อาตมาได้ยืนยันว่า คำจำกัดความของพระพุทธศาสนานั้น คือ “วิชาหรือระเบียบปฏิบัติที่ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร” ดูว่าจะลงรูปลงรอยกันได้อย่างไรสืบไป
---อริยสัจจ์ข้อที่ ๑ ที่แสดงว่า สิ่งทั้งปวงเป็นทุกข์ หรือสังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ นี่ก็คือบอกตรง ๆ ว่า สิ่งทั้งปวงหรืออะไรเป็นอะไรนั่นเอง คำว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ นั่นก็คือคำตอบที่ว่า สิ่งทั้งปวง เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ แต่สัตว์ทั้งหลายไม่ทราบ ไม่รู้ ไม่เห็น ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นความทุกข์ เพราะฉะนั้น จึงได้มีความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งในสิ่งทั้งปวง
---ถ้ารู้ว่ามันเป็นความทุกข์ ไม่น่าจะอยาก ไม่น่าจะยึดถือ ไม่น่าจะไปผูกพันตัวเองเข้ากับสิ่งใด แล้วก็คงจะไม่อยาก นี่เพราะไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไรโดยถูกต้อง ตามความเป็นจริงนั่นเอง จึงได้ไปอยากเข้า คือ ปฏิบัติผิดต่อความจริงของสิ่งทั้งปวง
---อริยสัจจ์ข้อที่ ๒ ที่แสดงว่าความอยากนั้น ๆ เป็นเหตุของความทุกข์ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่ได้รู้ ไม่ได้เห็น ไม่ได้เข้าใจ ว่าความอยากนี้แหละ เป็นเหตุของความทุกข์ จึงได้พากันอยากนั่น อยากนี่ ร้อยแปดพันประการ และอยากทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ โดยไม่เห็นว่าความอยากนี้ เป็นที่ตั้งของความทุกข์ เป็นที่เกิดของความทุกข์, นี่ ก็เพราะไม่รู้จักตัวความอยาก ว่าความอยากนั้นคืออะไร นี่ก็เรียกว่ารู้อะไรเป็นอะไรอีกนั่นเอง
---อริยสัจจ์ข้อที่ ๓ ที่แสดงว่านิโรธ หรือพระนิพพาน คือ การดับตัณหาเสียให้สิ้น เป็นความไม่มีทุกข์นั้น สิ่งที่เรียกว่า นิโรธหรือนิพพานนั้น ก็เป็นสิ่งที่สัตว์ทั้งหลาย ยิ่งไม่รู้จักกันใหญ่มากขึ้นไปอีก ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่อาจจะลุถึงได้ในที่ทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็หาพบได้ตรงที่มีความอยากและดับมันเสียได้นั่นเอง นี่, ก็คือว่า ไม่รู้อะไรเป็นอะไร จึงไม่มีใครปรารถนาที่จะดับความอยาก หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ก็คือไม่ปรารถนาพระนิพพาน
---อริยสัจจ์ข้อที่ ๔ อันเป็นข้อสุดท้ายที่เรียกว่า มรรค อันได้แก่ วิธีดับความอยากนั้น ๆ เสีย ไม่มีผู้ใดรู้เห็นเข้าใจว่า การทำอย่างนี้ เป็นวิธีดับเสียซึ่งความอยาก หรือทำตนให้ถึงความดับทุกข์ ไม่มีใครสนใจเรื่อง อริยมรรค อันมีองค์ ๘ ประการ ซึ่งล้วนแต่เป็นการดับเสียซึ่งความอยาก นี้, ก็คือว่า ไม่รู้จักอะไรเป็นอะไรอีกนั่นเอง
---ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นที่พึ่งแก่ตนได้ ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรขวนขวายพยายามอย่างยิ่ง ; จึงไม่มีใครสนใจ กับเรื่องอริยมรรค อันมีองค์ ๘ ประการ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นสิ่งที่เลิศประเสริฐที่สุด ในบรรดาวิชาความรู้ของมนุษย์เราในโลกนี้หรือโลกอื่น ๆ รวมทั้งเทวโลกอะไร ๆ ด้วยกันก็ได้ ถ้าหากจะมี
---ไม่มีความรู้อันใดที่จะสูงสุดยิ่งไปกว่าหลักธรรม ที่เรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ แต่แล้วก็ไม่มีใครจะสนใจ ในความรู้ข้อนี้กันนักเหมือนกัน นี่แหละ คือ การที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างน่าหวาดเสียว ไม่รู้ว่า อริยมรรค นี้จะดับความทุกข์ให้เด็ดขาด ลงไปได้อย่างไร
---ทั้งหมดนี้ เราจะเห็นได้ว่า เรื่องอริยสัจจ์ ๔ ประการนั้น คือ ความรู้ที่บอกให้เห็นชัดว่า อะไรเป็นอะไรอย่างครบถ้วน นั่นเอง ในเรื่องความทุกข์นั้น บอกให้รู้ว่าอย่าไปเล่นกับมัน มันจะเป็นความทุกข์เกิดขึ้นมา และเราก็ไม่รู้ มีคนบอกให้ ก็ไม่เข้าใจ ยังขืนไปเล่นกับความทุกข์กันอยู่และมากยิ่งขึ้น จนเต็มไปด้วยความทุกข์ ดังนี้แหละ เรียกว่า เป็นความโง่เขลาหรือเป็นอวิชชา เป็นความไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตามที่เป็นจริง
---เพราะมีอวิชชา จึงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงปฏิบัติผิด ต่ออะไร ๆ ไปทุกอย่าง ปฏิบัติถูกบ้าง ก็เล็กน้อยเกินไปและถูก แต่ความหมายของคนที่มีกิเลสตัณหา ซึ่งถือว่า ถ้าได้อะไรมาตรงตามความต้องการของตนแล้ว ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติถูก แต่แล้วความทุกข์ก็ยังเหลืออยู่เต็มไปหมด
---เช่นนี้ ตามทางธรรมไม่ถือว่าปฏิบัติถูก ทั้ง ๆ ชาวโลกเขาจะถือว่า เป็นการปฏิบัติถูกที่สุดก็ตาม เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ถือว่า นั่นคือ การรู้ที่ถูกต้อง ว่าอะไรเป็นอะไร ถือเป็นเพียงความรู้อย่างโลกๆ และถูกต้องเพียงนิดเดียว แม้อย่างโลก ๆ ส่วนที่เป็นทางธรรมแล้ว ก็ยังนับว่าไม่รู้อะไรเลย ดังนี้ นี้เรียกว่า ถ้าจะพิจารณากันโดยหลักอริยสัจจ์ ๔ ประการ ซึ่งท่านทั้งหลาย อาจได้ยินได้ฟัง กันอยู่ตามปกติ ก็ยังจะเห็นได้ชัดว่าพระพุทธศาสนานั้น คือ วิชาที่บอกให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั่นเอง ดังนี้
---ทีนี้ เราจะลองถือเอาหลักบาลี ที่รู้กันโดยมากทั่วไปอีกข้อหนึ่ง ที่เรียกกันว่า "หัวใจพระพุทธศาสนา" หรือ "พระคาถาของพระอัสสชิ" มาเป็นเครื่องพิจารณา เมื่อพระอัสสชิ ได้พบกับพระสารีบุตร แต่ก่อนบวช พระสารีบุตร ได้ถามถึงใจความของพระพุทธศาสนา ว่ามีอยู่อย่างไร โดยย่อที่สุด พระอัสสชิได้ตอบว่า โดยย่อที่สุดแล้ว ก็คือ
---เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา, เตสํ เหตุ ตถาคโต, เตสญฺจ โย นิโรโธ จ, เอวํวาที มหาสมโณ, เป็นใจความสั้น ๆ เพียงเท่านี้ ถ้าแปลเป็นภาษาไทยเรา ก็ว่า “สิ่งทั้งหลายเหล่าใด เกิดมาแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าท่านทรงแสดงเหตุของสิ่งเหล่านั้น พร้อมทั้งแสดงความดับสิ้นเชิง ของสิ่งเหล่านั้น เพราะหมดเหตุ"
---พระมหาสมณเจ้าตรัสอย่างนี้ นี่, เป็นคำตอบของพระอัสสชิ แต่ถือกันว่า เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ในทุกประเทศที่เป็นพุทธบริษัทถึงกับมีการจารึกลงในแผ่นอิฐ มาตั้งแต่ครั้งใกล้สมัยพุทธกาล คือยุคสมัยพระเจ้าอโศก เป็นต้นมาทีเดียว, เป็นอักษร ๔ บรรทัดนี้ เท่านั้น ถือกันว่าเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ ในฐานะเป็นใจความของพุทธศาสนา
---ถ้าเอาตามหลักนี้ ก็กล่าวได้ว่า ใจความของพุทธศาสนานั้น คือการบอกให้รู้ว่า “สิ่งทั้งปวงนั้น มันมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา, มันดับไม่ได้ จนกว่าจะดับเหตุเสียก่อน”
---แม้ใจความสำคัญนี้ ก็เป็นการชี้ให้รู้ว่า อะไรเป็นอะไร นั่นอีกเหมือนกัน คือเป็นการชี้ให้รู้ว่า อย่าไปเห็นว่าปรากฏการณ์อะไรเป็นตัวตนที่ถาวร ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตนถาวร มีแต่สิ่งที่เกิดงอกงามออกมาจากเหตุและงอกงามเจริญต่อไปโดยอำนาจของเหตุ และจะดับไปเพราะความสิ้นสุดของตัวเหตุ
---คำว่า "เหตุ" ในที่นี้หมายถึง สิ่งที่มีอำนาจปรุงแต่ง ซึ่งเราอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ปัจจัย" ก็ได้ สิ่งหนึ่งๆ ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ปรุงแต่งสิ่งอื่นๆ สืบต่อกันไป เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏอยู่ในบัดนี้ หรือปรากฏการณ์ทั้งหลาย ที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นผลิตผลของสิ่งที่เป็นเหตุ ไม่มีตัวมันเองที่เป็นของอิสระตายตัว เป็นแต่ความเลื่อนไหลไป ในฐานะเป็นผลของสิ่งที่เป็นเหตุ ที่ปรุงทะยอยกันมาไม่หยุด
---เพราะอำนาจของธรรมชาติ มีลักษณะปรุงไม่หยุดยั้ง สิ่งต่างๆ จึงปรุงแต่งกันไม่หยุด และเปลี่ยนแปลงกันไม่หยุด พุทธศาสนาจึงบอกให้รู้ว่า สิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตน มีแต่ความที่เหตุ ปัจจัยปรุงแต่งกันไป และเป็นความทุกข์รวมอยู่ในนั้นด้วย เพราะไม่มีอิสระในตัวเอง ต้องเป็นไปตามอำนาจของเหตุ
---จะไม่มีความทุกข์ ก็ต่อเมื่อหยุดหรือดับ จะหยุดหรือดับ ก็ต่อเมื่อดับเหตุ ทำเหตุนั้นให้หยุดให้ดับ ไม่ให้มีการปรุงสืบไป ข้อนี้เป็นการบอกให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างลึกซึ้ง อย่างสุดสามารถที่คนเราหรือว่าผู้มีสติปัญญาตามธรรมดาจะบอกได้ นับว่าเป็นหัวใจพุทธศาสนาจริง ๆ
---การบอกนี้ คือ บอกให้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นแต่เรื่องของมายา คือ เหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกันขึ้นเท่านั้น อย่าไปหลงยึดถือจนชอบหรือชังมันเข้า ทำใจให้เป็นอิสระ จากความชอบหรือความชังดีกว่า เมื่อทำใจให้เป็นอิสระจากความชอบหรือความชังในสิ่งทั้งปวงได้จริงๆ แล้วนั่นแหละ คือการออกมาเสียได้จากอำนาจแห่งเหตุ เป็นการดับเหตุเสียได้ ไม่ทำให้ความทุกข์เกิดได้ เพราะความชอบหรือความชังอีกต่อไป ข้อนี้เห็นได้ว่า หลักหัวใจพระพุทธศาสนานั้น ก็เป็นการชี้ในข้อที่ว่า “อะไรเป็นอะไร” อย่างถูกต้องลึกซึ้งที่คนทั่วไปตามธรรมดาไม่เคยได้ยินได้ฟังนั่นเอง อีกอย่างเดียวกัน
---อีกทางหนึ่งนั้น อาตมาอยากจะชี้ ให้ท่านทั้งหลายสังเกตเห็นสักนิดหนึ่ง ถึงวัตถุประสงค์แห่งการออกบวช ของพระพุทธเจ้า ว่าท่านออกผนวช จากความสุขในราชสมบัตินั้น โดยพระประสงค์อย่างใด พระพุทธภาษิต ที่ตรัสในข้อนี้ มีอยู่อย่างชัดเจนว่า พระองค์ใช้คำว่า
---"กึ กุสลคเวสี" หมายถึง พระองค์ในขณะที่เป็นผู้ออกจากเรือน บวชแสวงหาอยู่ว่า “อะไรเป็นกุศล ๆ” ฟังดูให้ดี ที่พระองค์ทรงออกบวชจากบ้านจากเรือน ก็เพื่อแสวงหาความรู้ที่ว่า อะไรเป็นกุศล ? แต่คำว่า “กุศล” ของพระองค์ในที่นี้หมายถึง ความรู้ หมายถึง ความฉลาด
---กุศล แปลว่า ความฉลาด ในที่นี้หมายถึง ความรู้ที่ถูกต้องที่สุด ว่าอะไรเป็นอะไร โดยเฉพาะ ก็คือว่าอะไรเป็นความทุกข์, อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์, อะไรเป็นความไม่มีทุกข์, อะไรเป็นวิธีให้ถึงความไม่มีทุกข์นั้น นี้เรียกว่า ความฉลาดหรือกุศล เป็นกุศลถึงที่สุด เป็นความฉลาดถึงที่สุด อยู่ที่ตรงนั้น
---การออกผนวชของพระพุทธเจ้านั้น เป็นการออกแสวงหา ว่าอะไรเป็นความรู้ที่ฉลาดที่สุดในโลกทั้งปวง ; ในที่สุดก็ได้ทรงพบความรู้อันนี้ นี่, เราจะเห็นได้ว่า พระองค์ออกผนวช เพื่อแสวงหาความรู้ เพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร : เพราะถ้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างถูกต้องครบถ้วนสิ้นเชิงจริง ๆ แล้วนั้น ก็คือ ความฉลาดหรือความรู้ที่ถึงที่สุดดุจกัน พระองค์จึงทรงออกแสวงหาความรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรที่บริสุทธิ์บริบูรณ์นั่นแหละ คือ ตัวพุทธศาสนา
---ทีนี้ ถ้าจะถือตามที่คนทั่ว ๆ ไปได้ยินได้ฟัง โดยเฉพาะที่คนแก่คนเฒ่าพูดกันติดปาก ก็คือ เรื่องพระไตรลักษณ์ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นหลักสำคัญ หรือตัวพุทธศาสนาอีกแนวหนึ่งด้วยเหมือนกัน ไตรลักษณ์ มีเป็นหัวข้อสั้น ๆ ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้เป็นหลักพุทธศาสนาที่เราต้องรู้ ถ้าไม่รู้ ก็เรียกว่า ไม่รู้พุทธศาสนา
---อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ คือ การประกาศความจริงออกไปว่า “สิ่งทั้งปวงที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งนั้น ไม่เที่ยง, สิ่งทั้งปวงที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เป็นทุกข์, สิ่งทั้งปวงทั้งที่ปัจจัยปรุงแต่งและปัจจัยไม่ปรุงแต่งนั้น เป็นอนัตตา” นี้, เป็นหลักพระพุทธศาสนา นี่ยิ่งเป็นการตอบปัญหาของคำถามที่ว่า “อะไรเป็นอะไร” เป็นอย่างยิ่ง ; ไม่มีอะไรจะยิ่งไปกว่านี้แล้ว คือ การบอกให้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
---ที่ว่าเป็น อนิจจัง ก็คือ สิ่งทั้งปวงเปลี่ยนแปลงเรื่อย ไม่มีอะไรเป็นตัวมันเอง ที่หยุดอยู่แม้ชั่วขณะ ที่ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นทุกข์นั้น หมายถึง ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีลักษณะเป็นความทนทุกข์ทรมานอยู่ในตัวมันเอง, มีลักษณะที่ดูแล้ว น่าเกลียดน่าชัง น่าเบื่อหน่าย น่าระอา อยู่ในตัวมันเองทั้งนั้น
---และที่ว่าสิ่งทั้งปวงเป็น อนัตตา นั้นหมายถึง การบอกให้รู้ว่าบรรดาสิ่งทั้งปวง ไม่มีอะไรที่เรา ควรจะเข้าไปยึดถือ เอาด้วยจิตใจที่ยึดมั่นเป็นตัวตน หรือเป็นของตน, ไม่มีทางจะยึดเอาเป็นตัวตนหรือเป็นของของตนได้เลย ; ถ้าไปยึดถือเข้า ก็ต้องเป็นความทุกข์
---นี่แหละ, เป็นการบอกให้รู้ ว่าสิ่งทั้งปวงนั้น มันยิ่งกว่าไฟ เพราะว่าไฟนั้น มันลุกโพลง ๆ อยู่ เราเห็นว่าเป็นไฟ ก็ไม่เข้าใกล้ ; แต่สิ่งทั้งปวงนั้น มันเป็นไฟที่มองไม่เห็นได้ว่าเป็นไฟ เราจึงเข้าไปกอดกองไฟกันด้วยความสมัครใจ มันก็เป็นทุกข์ตลอดกาล นี้คือ การบอกให้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงคืออะไรเป็นอะไร โดยนัยแห่งพระไตรลักษณ์นี้ ยิ่งเป็นการชี้ให้เห็นชัดได้ว่า พุทธศาสนา คือ วิชาหรือระเบียบปฏิบัติที่ทำให้รู้ได้ ว่าอะไรคืออะไร เท่านั้นเอง
---ทีนี้ เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องสงสัย เราก็จะปฏิบัติถูกต่อสิ่งทั้งปวง การที่เราจะปฏิบัติถูกต่อสิ่งทั้งปวง โดยที่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น คนจะปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา กรรมฐาน ภาวนาให้ถูกต้อง โดยไม่หวังผลเป็นความรู้ ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอะไรอย่างไรนั้นเป็นไปไม่ได้ ; เป็นความเขลาอย่างยิ่ง เราจะต้องปฏิบัติเพื่อให้รู้ว่า สิ่งทั้งปวงเป็นอะไร แล้วเราจึงจะรู้ว่า สิ่งนั้นประกอบอยู่ด้วยประโยชน์ หรือว่าจะเป็นคุณประโยชน์แก่เราได้อย่างไร
---เมื่อได้ก้าวมาถึงหลักที่ว่า เราต้องรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอะไร และเราจะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะตรงต่อกฎธรรมชาติ ธรรมดาของสิ่งทั้งปวงที่เป็นอยู่จริง ๆ ดังนี้แล้ว หลักในพระบาลี ก็มีอยู่อีกพวกหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งที่เป็นคำตอบของปัญหาข้อนี้สืบไป ได้แก่ กฎหรือหลักที่เรียกว่า "โอวาทปาติโมกข์"
---คำว่า โอวาทปาติโมกข์ แปลว่า ประธานหรือหัวหน้าของคำสอนทั้งหมด หรือจะแปลว่า คำสอนที่เป็นประธานของคำสอนทั้งหมด อย่างนี้จะดีกว่า
---โอวาทปาติโมกข์ มีอยู่ ๓ ข้อสั้น ๆ คือ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง, การทำความดีให้เต็มที่ให้ครบถ้วน, และการทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาดปราศจากความเศร้าหมองโดยประการทั้งปวง นี้เป็นหลักสำหรับปฏิบัติต่อสิ่งทั้งปวงให้ถูกต้องตามที่สิ่งทั้งปวงเป็นจริงอยู่อย่างไร
---เมื่อรู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หรือว่าสิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งที่ยึดถือเอาไม่ได้ ไปหลงใหลด้วยไม่ได้ เราต้องปฏิบัติต่อสิ่งทั้งปวง ในลักษณะที่ถูกต้องด้วยความระมัดระวัง คือ เว้นจากการทำชั่วทั้งปวง ที่หมายถึง ความละโมบโลภมาก ด้วยอำนาจของกิเลสที่อยากทำชั่ว เพราะไม่รู้ว่าสิ่งทั้งปวงนั้น ไม่น่าหลงใหลเลย, ไม่น่าไปลงทุน ทำเอาด้วยการฝืนศีลธรรมหรือฝืนขนบธรรมเนียมต่าง ๆ เพื่อไปทำความชั่ว
---ทั้งสองขั้นนี้ไม่ต้องสงสัย ท่านทั้งหลายย่อมจะทราบได้เองเป็นอย่างดีว่า เป็นแต่เพียงขั้นศีลธรรมหรือระเบียบปฏิบัติทั่วไปที่จะต้องประพฤติ เพื่อความเป็นอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นผาสุกกันอย่างโลก ๆ และทั่ว ๆ ไปเป็นส่วนใหญ่
---ส่วนข้อที่สาม ที่มีหลักอยู่ว่า ให้ทำจิตใจให้บริสุทธิ์หมดจด จากเครื่องเศร้าหมองโดยประการทั้งปวงนั้น นั่นแหละ เป็นหัวใจความสำคัญหรือเป็นตัวพุทธศาสนาโดยตรง.
---การทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากสิ่งเศร้าหมอง นั้น หมายความว่า ทำจิตให้เป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง ถ้าจิตใจ ยังไม่เป็นอิสระจากอำนาจครอบงำของสิ่งทั้งปวงแล้ว จะเป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ไปไม่ได้เลย จิตใจที่จะเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวงนั้น ต้องมาจากความรู้ว่า อะไรเป็นอะไรถึงที่สุดเสมอไป; ถ้ายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ก็จะต้องไปหลงรักหลงชังอะไร หรือมีอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้, แล้วจะมีความเป็นอิสระได้อย่างไรกัน
---คนเรามีความรู้สึกตามธรรมดาอยู่สองอย่างเท่านั้น คือ รักกับเกลียด, ชอบกับชัง, หรือพอใจกับไม่พอใจ ถ้าเรียกอย่างภาษาบาลี ก็เรียกว่า "อภิชฌาและโทมนัส" คนเราเมื่อมองสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าสิ่งใดด้วยความยึดถือ ของปุถุชนตามปรกติทั่ว ๆ ไปแล้ว จะเกิดความรู้สึกขึ้น ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ คือ อภิชฌาหรือโทมนัส
---อภิชฌา ก็พอใจอยากจะได้. โทมนัส ก็คือความไม่พอใจ แม้ว่าสิ่งนั้น ยังไม่เคยทำอะไรให้เป็นที่ขัดใจตัว มากไปกว่าการกีดขวางเกะกะรำคาญตา มาขวางหน้าขวางตา ทำให้เกิดความรำคาญ แม้แต่นิดหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นโทมนัส นี่ เป็นลักษณะธรรมดา ของการที่จิตใจของคนเรา ตกเป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นอิสระแก่ตัวเองเลย, เมื่ออารมณ์ในโลกมีมากเหลือจะนับ เราก็เป็นทาสของอารมณ์มากเหลือจะนับ
---ความไม่รู้ว่าอารมณ์หรือสิ่งทั้งปวงนั้นคืออะไร ซึ่งรวมความแล้วก็คือ ความไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั่นเอง ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมา เป็นความชอบหรือไม่ชอบ พอใจหรือไม่พอใจ อย่างที่เรียกว่า อภิชฌาหรือโทมนัส, ความพอใจ หรือที่เรียกว่าอภิชฌาในที่นี้ มีลักษณะที่จะรวบอะไร ๆ เข้ามาหาตัว, ส่วนความไม่พอใจหรือโทมนัสนั้น มีลักษณะที่จะปฏิเสธหรือผลักไสอะไร ๆ ออกไปเสียจากตัว
---ขอให้กำหนดความหมายให้กว้าง ๆ อย่างนี้ อย่ามุ่งเอาแต่เพียงเรื่องรักหรือความกำหนัด ที่เป็นกิเลสตัณหาทางกามารมณ์อย่างเดียว, แม้ที่ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ก็ยังมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความชอบหรือความชังอย่างเต็มที่ด้วยเหมือนกัน
---จึงต้องจำกัดความหมายว่า ถ้าสิ่งใดทำให้เกิดความรู้สึกอยากเอาเข้ามาหาตัว ก็เรียกว่า เป็นความพอใจ; สิ่งใดที่ก่อให้เกิดความรู้สึกที่จะผลักออกไปเสียให้พ้น หรืออยากทำลายให้สูญสิ้นไป อย่างนี้เรียกว่า เป็นความไม่พอใจ
---ถ้ายังมีความรู้สึกสองอย่างนี้อยู่แล้ว ก็หมายความว่า ยังไม่เป็นอิสระ จิตยังไม่เป็นอิสระ เพราะยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้อง ยังเลือกหลงรักหลงชังอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ จิตยังไม่มีทางที่จะบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากความครอบงำของสิ่งทั้งปวงได้
---โดยเหตุนี้เอง หลักพระพุทธศาสนาในขั้นสูงสุดนี้ จึงปฏิเสธการยึดถือหมด ทั้งสิ่งที่น่ารัก น่าชัง ซึ่งคนธรรมดาพากันหลงรักและหลงชัง และเป็นการปฏิเสธเลยขึ้นไปถึงความดีและความชั่ว เป็นผู้ไม่หลงติด ทั้งในความดีและความชั่ว ทั้งสองประการดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จิตจึงจะเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวงและบริสุทธิ์จากสิ่งห่อหุ้มจริง ๆ
---ขอย้ำในเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งว่า ข้อที่ ๑ ว่า อย่าทำความชั่ว, ข้อที่ ๒ ว่าให้ทำความดี, และข้อที่ ๓ ว่าให้ทำจิตใจอยู่เหนือความครอบงำทั้งของความดีและความชั่ว จึงจะเป็นอิสระและบริสุทธิ์สิ้นเชิง ความข้อนี้ทั้งหมด หมายถึง การรู้จักโลกทั้งปวงหรือรู้จักสิ่งทั้งปวงอย่างถูกต้อง ว่าไม่มีอะไร ที่น่าผูกพันตัวเข้าไปเป็น “ทาส” ของมัน ทั้งที่ถือกันว่าเป็นความดีหรือความชั่วก็ตาม
---คำสอนนี้แหละ เป็นคำประกาศให้รู้ว่า อะไรเป็นอะไรในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า เป็นการชี้ระบุว่า อะไรเป็นอะไรถึงที่สุดสิ้นเชิง ชนิดที่ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว เมื่อคนเหล่าอื่น พวกอื่น ลัทธิอื่น นิยมกัน แต่เพียงให้เว้นความชั่ว ไปยึดถือในความดี ให้หลงใหลในความดี ให้ผูกพันในความดี จนถึงยอดของความดี คือ พระเป็นเจ้าหรืออะไรก็ตาม
---พุทธศาสนาก็ยังไปไกลกว่านั้น คือ การไม่ยอมผูกพันตัวกับสิ่งใดเลย การผูกพันในความดีนั้น จัดไว้เป็นการปฏิบัติถูก ในระยะกลางเท่านั้นเอง ขอให้สังเกตให้รู้ว่า ท่านจัดไว้ในฐานะเป็นสิ่งที่ต้องทำ ในเมื่อเรายังจะทำอะไรให้สูงไปกว่านั้นไม่ได้เท่านั้นเอง ในระยะแรก เราเว้นจากความชั่ว ขั้นนี้ยังต่ำอยู่ในระยะถัดมา เราทำความดีให้เต็ม ส่วนในระยะสูงสุดนั้น เราทำจิตให้กระโดดลอยสูง อยู่เหนือความครอบงำของความดีและความชั่ว
---การที่ผูกพันตัวอยู่ใต้ผลของความดี หรือที่เรียกว่า ตัวความดีก็ตามนั้น ยังไม่ใช่ความพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง ยังไม่เป็นความรู้ที่ถูกต้องถึงที่สุด ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะเหตุใดจึงสอนเช่นนี้ ในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องการคำอธิบายยืดยาว, แต่อาตมาอยากจะสรุปความสั้น ๆ ชนิดที่ท่านทั้งหลาย อาจนำไปคิดให้เห็นเองก็ได้ คือ ว่าคนชั่ว ก็จะต้องมีความทุกข์ไปตามประสาของคนชั่ว; คนดีก็จะต้องมีความทุกข์ไปตามประสาของคนดี
---อาตมาใช้คำว่า “ความทุกข์ตามประสาของคนดี” จะดีอย่างมนุษย์ ก็มีความทุกข์อย่างมนุษย์ที่ดี จะดีอย่างเทวดา ก็มีความทุกข์อย่างของเทวดา แม้จะเป็นพรหม เป็นยอดของเทวดา ก็มีความทุกข์อย่างของคนดีชั้นยอดของพรหม ไม่มีข้อยกเว้น ในข้อที่ว่า คนดีจะไม่มีความตามแบบตามประสาของคนดี จะไม่มีความทุกข์เลย ก็ต่อเมื่อกระโดดขึ้นไปให้พ้น ให้สูงขึ้นไป อยู่เหนือสิ่งที่เรียกว่า ความดี กลายเป็นโลกุตตระ คือ เหนือโลกแล้วเท่านั้น
---ถ้าเรียกโดยสมมติ ก็คือ อยู่ในโลกของพระอริยเจ้า จนกลายเป็นพระอริยเจ้าไป นั่นคือ อยู่เหนือความดี อย่าเข้าใจผิด เอาความดีไปผูกพันกับพระอริยเจ้า จนแต่งตั้งพระอริยเจ้าให้เป็นอย่างนั้นอย่างนั้น นี้จะกลายเป็นความบ้าอย่างที่สุด เพราะว่าความดีนั้น เป็นของจำกัดอยู่แต่ในวงของโลก ในวิสัยโลก อย่างโลก ๆ โดยสมมติ
---ความดีหรือความชั่วนี้ เป็นเรื่องของสมมติ ต่อเมื่อจิตพ้นไปจากเรื่องสมมติ เหนือความดีความชั่ว คือมีจิตอยู่เหนือฐานะ ที่จะเกลียดความชั่วหรือรักความดีนั่นแหละ จึงจะเป็นอันพ้นจากโลก หรือพ้นจากทุกข์ตามแบบของพระอริยเจ้า นี่, เรียกว่า เป็นการปฏิบัติชั้นที่ ๓ คือ ชั้นที่ทำให้จิตบริสุทธิ์หมดจด ปราศจากสิ่งเศร้าหมองโดยประการทั้งปวง และอันนี้เป็นผลเกิดมาจาก การที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้อง ตามทางที่ถูกต้องและถึงที่สุดตามหลักของพุทธศาสนา
---จนเราสามารถรู้ว่าสิ่งทั้งปวงหรือภาวะความเป็นใด ๆ ก็ตาม เป็นสิ่งที่ไม่น่าเข้าไปผูกพันตัวอยู่ด้วย ไม่น่ายึดถือ ไม่น่ามอบตัวเข้าไปเพื่อเป็นทาสด้วยความหลงรัก หลงอยากด้วยเลย ควรถอนตัวออกมาเสียจากสิ่งทั้งปวงโดยสิ้นเชิง มีจิตเป็นอิสระเหนือสิ่งทั้งปวง ดังนี้ จึงจะไม่มีความทุกข์เลย
---นี้แหละ คือ การที่จิตมีความรู้ หรือประกอบไปด้วยความรู้อันถูกต้องถึงที่สุด ว่าอะไรเป็นอะไร จนสามารถที่จะทำจิตนั้น ให้ปราศจากความทุกข์ได้จริง ๆ ถ้าถึงที่สุด ก็เรียกว่า เป็นพระอรหันต์ ถ้ายังไม่ถึงที่สุดก็คือ พระอริยเจ้าชั้นรอง ๆ ลงมา แต่ว่าทั้งหมดทุกชั้น ล้วนแต่เป็นผู้รู้อะไรเป็นอะไร ตามหลักที่ได้กล่าวมาแล้ว ข้างต้นทั้งนั้น เช่น เห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่มีอยู่ในสิ่งทั้งปวง ดังนี้เป็นต้น
---เราจะเห็นได้แล้วว่า การปฏิบัติตามหลักแห่งโอวาทปาติโมกข์ มีขึ้นย่อมเป็นผลเกิดมาจากการที่มีความรู้เห็นชัดแจ้ง ว่าอะไรเป็นอะไร ตามที่เป็นจริง จึงวางหลักการปฏิบัติลงไปได้ว่า อย่าทำชั่ว ทำแต่ความดี และทำจิตให้อยู่เหนือความเศร้าหมองโดยประการทั้งปวง ไม่ผูกพันกับสิ่งใด ไม่เป็นทาส หรือตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใด ๆ ดังนี้
---ทีนี้ข้อสุดท้าย ซึ่งอาตมาอยากจะแนะให้สังเกตต่อไป คือ ข้อที่ว่า คำว่า "ศาสนา" นั้น แปลว่าอะไร
---พุทธ แปลว่า พระพุทธเจ้า
---พระพุทธเจ้า แปลว่า ผู้รู้
---พุทธศาสนา ก็ต้องแปลว่า ศาสนาของผู้รู้
---พุทธบริษัท ก็แปลว่า บริษัทของผู้รู้
---พุทธศาสนิกชน ก็แปลว่า ผู้ปฏิบัติตามพุทธศาสนา คือ ตามศาสนาของผู้รู้
---คำว่าพุทธะ ๆ ที่แปลว่าผู้รู้นั้น หมายถึง รู้อะไร ในที่สุด ก็คือ รู้สิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง ถึงที่สุดนั้นเอง อาตมาจึงกล่าวว่า "พุทธศาสนา" ก็คือ ศาสนาที่ทำให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เป็นศาสนาเกี่ยวกับความรู้จริง เราจะต้องปฏิบัติจนให้รู้ของเราเอง
---เมื่อรู้ถึงที่สุดแล้วไม่ต้องกลัว กิเลสตัณหาต่าง ๆ จะถูกความรู้นั้น ทำลายล้างสิ้นไป ความหลงใหลที่เรียกว่า อวิชชานั้น จะดับไปในทันที ในเมื่อวิชชาได้เกิดขึ้น ฉะนั้น ข้อปฏิบัติต่าง ๆ จึงมีไว้เพื่อให้ วิชชาเกิดขึ้น คือเพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั่นเอง
---ท่านทั้งหลายทั้งปวง จงผูกใจ จงปักใจมั่น ในทางที่จะเข้าถึงพุทธศาสนา ด้วยวิธีการทำการปฏิบัติในทางที่จะให้รู้ว่า อะไรเป็นอะไร เท่านั้น ขอแต่ให้เป็นความรู้ที่ถูกต้อง ให้เป็นการรู้ด้วยความเห็นแจ้งจริง ๆ อย่าให้เป็นความรู้อย่างโลก ๆ เป็นความรู้ผิด ๆ เป็นความรู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ จนไปหลงสิ่งที่ไม่ดีว่าดี หรือหลงสิ่งซึ่งเป็น ที่เกิดความทุกข์ว่าไม่ให้เกิดความทุกข์ ดังนี้เป็นต้น
---ขอให้พยายามดูกันในแง่ความทุกข์นี้ ให้มากให้ถึงที่สุด ก็จะค่อย ๆ รู้ไปตามลำดับ และนั่นแหละ จะเป็นการรู้พุทธศาสนาที่ถูกตัวศาสนา เมื่อดู หรือพยายาม จะเข้าถึงพระพุทธศาสนากันโดยวิธีนี้ แล้วคนตัดฟืนขายที่ไม่รู้หนังสือ ก็จะเข้าถึงตัวพุทธศาสนาได้
---ในขณะที่เปรียญหลาย ๆ ประโยค ก็ง่วนอยู่กับพระไตรปิฎก แต่ไม่ดูกันในแง่นี้ ก็อาจจะไม่เข้าถึงพุทธศาสนาได้เลย ทำไมคนอย่างพวกเรา ที่พอจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง จะไม่สามารถพินิจพิจารณา สิ่งทั้งปวงให้รู้ตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อถูกเข้ากับสิ่งใดครั้งหนึ่งแล้ว ก็ต้องศึกษาสิ่งนั้น ๆ ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าสิ่งนั้นมันเป็นอย่างไรแน่
---ความทุกข์ที่เกิดขึ้น และกำลังเผาผลาญเราให้เร่าร้อนอยู่นั้น มันคืออะไร มันเป็นอย่างไร มันมาจากอะไร ถ้าทุกคนตั้งสติ คอยเฝ้ากำหนด พิจารณา ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่ตน ในลักษณะดังกล่าวนี้แล้ว จะเป็นทางเข้าถึง พุทธศาสนาได้ดีที่สุด ดีกว่าที่จะเรียนเอาจากพระไตรปิฎก อย่างที่จะเปรียบเทียบกันไม่ได้ทีเดียว
---การที่จะเป็นหนอนกินหนังสือ คือ ว่ามัวแต่ศึกษาพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก ในแง่ของภาษาหรือวรรณคดีนั้น ไม่มีทางที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งที่ในพระไตรปิฎก เต็มไปด้วยคำบรรยาย ว่าสิ่งนั้น เป็นอย่างนั้น สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ สิ่งโน้นเป็นอย่างโน้น ก็ได้แต่ฟัง อย่างนกแก้วนกขุน ทองที่จำไว้ได้ แต่ไม่สามารถจะเข้าถึงความจริง ของสิ่งทั้งหลายได้ เว้นไว้แต่ว่า เขาจะได้ทำการพินิจพิจารณา ให้เป็นเรื่องจริงของชีวิตจิตใจ เข้าถึงตัวจริงของกิเลส เข้าถึงตัวจริงของความทุกข์ เข้าถึงตัวจริงของธรรมชาติหรือของสิ่งทั้งปวง บรรดาที่มาเกี่ยวข้องกับเขา นั่นแหละ จึงจะรู้ถึงตัวพุทธศาสนา
---คนที่ไม่เคยเห็น เคยฟัง พระไตรปิฎกเลย แต่เคยพิจารณาอย่างละเอียดลออทุกครั้งทุกคราว ที่ความทุกข์เกิดขึ้น แผดเผาในใจของตน นี้แหละ เรียกว่า คนที่กำลังเรียนพระไตรปิฎกโดยตรง อย่างถูกต้องถ่องแท้ยิ่งกว่าคนที่กำลังเปิดเล่มพระไตรปิฎกในตู้ออกอ่าน แล้วเพียงแต่จำไว้ได้และเข้าใจ
---เพราะฉะนั้น เราจงคิดดูว่า แม้แต่ตัวเราเองในบัดนี้ เรารู้จักตัวเราเองดีแล้วหรือยัง มันอาจเป็นเช่นเดียวกันกับคนที่ลูบคลำเล่มพระไตรปิฎกอยู่ทุกวัน แต่ไม่รู้จักเพชรหรือรู้จักอมฤตธรรม ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก
---ข้อนี้ได้แก่ การที่เรามีตัวเรา เราใช้ตัวเรา เราปฏิบัติตัวเรา เราทำอะไรเกี่ยวกับตัวเราอยู่ทุกวัน แต่แล้วเราก็ไม่รู้จักตัวเรา ไม่สามารถจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตัวเราให้ลุล่วงไปได้ ยังคงมีความทุกข์ และยังคงมีตัณหา ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์เพิ่มมากขึ้นทุก ๆ วัน ตามอายุที่เพิ่มขึ้น นี่เพราะไม่รู้จักตัวเราอย่างเดียวเท่านั้น
---ชีวิตจิตใจ หรือสิ่งที่เราเรียกว่า ตัวเรา ที่กำลังเป็นตัวเรา ที่สวมอยู่กับตัวเรา เรายังไม่รู้จัก ขอให้ตัดสินใจดู ด้วยความเป็นธรรมเถิดว่า การที่จะไปรู้ พระไตรปิฏก หรือไปรู้สิ่งลึกลับ ที่ซ่อนอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น ยังยุ่งยากไปกว่าเป็นไหน ๆ
---เพราะฉะนั้น เราจงหันมาศึกษาตัวพระพุทธศาสนา หรือรู้จักตัวพระพุทธศาสนากัน ด้วยการศึกษาด้วยตัวจริง คือ จากสิ่งทั้งปวง ซึ่งรวมทั้งรูปธรรม และนามธรรม คือ ร่างกายนี้ และจิตใจนี้ จากชีวิต ซึ่งมีความรู้สึกคิดนึก ซึ่งกำลังหมุนอยู่ในวงกลมของความอยาก และมีเจตนาที่จะกระทำตามความอยาก แล้วก็กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไป ทำให้เกิดผลอย่างนั้น อย่างนี้ ขึ้นมาหล่อเลี้ยง เจตนาที่อยากทำนั้นสืบต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งต้องเวียนว่าย อยู่ในวัฏฏสงสารหรือทะเลทุกข์ เพราะความที่ไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไร ข้อเดียวเท่านั้นเอง
---อาตมาขอสรุปความ สำหรับบรรยายในวันนี้ ว่า พุทธศาสนานั้น คือ วิชาและระเบียบปฏิบัติเพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรถูกต้องจริง ๆ แล้ว ไม่ต้องมีใครมาสอนเรา มาแนะนำเรา เราก็จะปฏิบัติถูกต่อสิ่งนั้น ๆ ได้ด้วยตนเอง แล้วกิเลสก็จะละไปเอง ขอแต่เพียงให้เรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรในเบื้องต้นเท่านั้น เราก็จะปฏิบัติถูกต้องต่อไปได้ ด้วยตัวของเราเอง
---เราจะเป็นพุทธเจ้าหรือพุทธบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งของเราเองขึ้นมาทันที เราจะปฏิบัติอะไรไม่ผิดขึ้นมาทันที เราจะลุถึงสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์เราควรจะได้ หรือที่ชอบเรียกกันไพเราะ ๆ ว่า มรรค ผล นิพพาน ได้ด้วยตนเอง เพราะการที่เรามีความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรโดยถูกต้องถึงที่สุดแท้จริงเท่านั้น.
---ขอยุติคำบรรยายวันนี้ เพราะหมดเวลาเพียงเท่านี้.
.................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว ป.)
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 25 กันยายน 2558
ความคิดเห็น