เจาะพระไตรปิฎก
---เจาะพระไตรปิฎกฉบับนี้ เวียงการณ์จะพาท่านผู้ฟัง มาสัมผัสกับเรื่องราวใน "อาฬวกสูตร" ซึ่งมีหลักธรรมที่น่าสนใจ ในตอนท้ายจะสรุปหลักธรรม เพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติในยุควิกฤตทางด้านเศรษฐกิจ หลักธรรมเหล่านี้ ผู้สนใจนำไปปฏิบัติแล้ว น่าจะเกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสังคม ประเทศชาติต่อไป
---อาฬวกสูตรนี้ มีปรากฏในพระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ ข้อ ๓๑๐ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
---ในสมัยที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ในที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ใกล้เมืองอาฬวี ครั้งนั้นอาฬวยักษ์ ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ ณ ที่ประทับ
---ได้กราบทูลพระพุทธองค์ (เชิงขับไล่) ว่า “จงออกไปเถิดสมณะ”
---พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดีละท่าน” แล้วก็ได้เสด็จออกไป
---อาฬวกยักษ์ได้กราบทูลว่า “ขอจงเข้ามาเถิดสมณะ”
---พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดีแล้วท่าน” แล้วก็ได้เสด็จเข้ามา
---อาฬวกยักษ์ได้กราบทูลอีกว่า “จงออกไปเถิดสมณะ”
---พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดีละท่าน” แล้วก็ได้เสด็จออกไป
---อาฬวกยักษ์ได้กราบทูลว่า “ขอจงเข้ามาเถิดสมณะ”
---พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดีละท่าน” แล้วก็ได้เสด็จเข้ามา
---อาฬวกยักษ์ได้กราบทูล ด้วยอาการอย่างนี้ถึง ๓-๔ ครั้ง และในครั้งที่ ๔ นี้ พระพุทธองค์กลับตรัสว่า “ดูกรท่าน เราตถาคตจักไม่ออกไปละ ท่านจงกระทำกิจที่ท่านจะพึงกระทำเถิด”
---อาฬวกยักษ์กราบทูลว่า “ดูกรสมณะ” ข้าพเจ้าจะถามปัญหากับท่าน ถ้าว่าท่านจะไม่พยากรณ์แก่ข้าพเจ้าไซร้ ข้าพเจ้าจะควักดวงจิตของท่านออกมาโยนทิ้ง จักฉีกหัวใจของท่าน หรือจักจับที่เท้าทั้งสองของท่านแล้วขว้างไปที่ฝั่งแม่น้ำคงคา
---พระพุทธองค์ตรัสว่า “เราตถาคต” ยังไม่มองเห็นบุคคลที่จะพึงควักดวงจิตของเราตถาคต ออกโยนทิ้ง จะพึงฉีกหัวใจของเราตถาคต หรือจะพึงจับเท้าทั้งสอง แล้วขว้างไปที่ฝั่งแม่น้ำคงคาได้ ในโลก พร้อมทั้งมารโลก พรหมโลก ในบรรดาหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ดูกรท่าน ก็และท่านหวังจะถามปัญหา ก็จงถามเถิด
---ต่อจากนั้น อาฬวกยักษ์ถูกถามพระพุทธองค์ด้วย คาถาว่า
---“อะไรเล่าเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันประเสริฐของคนในโลกนี้
---อะไรเล่าที่บุคคลประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้
---อะไรเล่าเป็นรสยังประโยชน์ให้สำเร็จกว่ารสทั้งหลาย
---นักปราชญ์ทั้งหลาย ได้กล่าวถึงชีวิตของบุคคลผู้เป็นอยู่อย่างไรว่าประเสริฐสุด”
---พระพุทธองค์ตรัสตอบด้วยคาถาว่า
---“ศรัทธา เป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจ อันประเสริฐสุดของคนในโลกนี้
---ธรรมที่บุคคล ประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้
---ความสัตย์นั่นแหละ เป็นรสอันประเสริฐและยังประโยชน์ให้สำเร็จกว่ารสทั้งหลาย
---นักปราชญ์ทั้งหลายได้กล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ของบุคคลด้วยปัญญาว่าประเสริฐสุด”
---อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า
---“คนข้ามโอฆะได้อย่างไรหนอ คนย่อมข้ามอรรณพได้อย่างไร คนย่อมล่วงทุกข์ได้อย่างไร และคนย่อมบริสุทธิ์ได้อย่างไร”
---พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า
---“คนข้ามโอฆะด้วยศรัทธา ข้ามอรรณพได้ด้วยความไม่ประมาท ล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร และความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา”
---อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า
---“คนได้ปัญญาอย่างไรหนอ ทำอย่างไร จึงจะหาทรัพย์ได้ คนได้ชื่อเสียงอย่างไรหนอ ทำอย่างไรจึงจะผูกมิตรไว้ได้ คนละโลกนี้ ไปสู่โลกหน้า ทำอย่างไรจะไม่เศร้าโศก”
---พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า
---“บอกชื่อธรรมของพระอรหันต์ทั้งหลาย เพื่อบรรลุนิพพาน เป็นผู้ไม่ประมาท มีปัญญาเป็นเครื่องสอดส่อง ฟังอยู่ด้วยดี ย่อมได้ปัญญาและมีวิจาร คนผู้มีธุระทำเหมาะสม ไม่ทอดธุระ เป็นผู้มีความเพียร ย่อมหาทรัพย์ได้ คนได้ชื่อเสียงเพราะความสัตย์ ผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้ บุคคลใดอยู่ครองเรือน ประกอบด้วยศรัทธา มีธรรม ๔ ประการนั้น คือ สัจจะ ธรรมะ ธิติ จาคะ ผู้นั้นแหละ ละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ถ้าว่า เหตุแห่งการได้ปัญญา ยิ่งไปกว่าทมะก็ดี เหตุแห่งการหาทรัพย์ได้ ยิ่งไปกว่าขันติก็ดี มีอยู่ในโลกนี้แล้วไซร้ เชิญท่านถามสมณะพราหมณ์เป็นอันมากเหล่าอื่นดูเถิด”
---อาฬวกยักษ์กราบทูลว่า “ทำไมหนอ ข้าพระองค์จึงมีต้องถามสมณะพราหมณ์ เป็นอันมากในบัดนี้เล่า ก็วันนี้ ข้าพระองค์ได้ทราบชัด ถึงประโยชน์อันเป็นไปในภพหน้า พระพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่เมืองอาฬวี ก็เพื่อประโยชน์แก่ข้าพระองค์โดยแท้ วันนี้ ข้าพระองค์ทราบชัด ถึงพระทักขิไนยบุคคลผู้เลิศ ที่บุคคลถวายทานแล้ว เป็นทานที่มีผลมาก ข้าพระองค์จักนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรม ซึ่งเป็นธรรมดี ขณะที่พระองค์เที่ยวไปจากบ้านสู่บ้าน จากเมืองสู่เมือง”
*สรุปข้อธรรมจากอาฬวกยักษ์สูตร
---หัวข้อธรรมที่จะพึงนำมาประพฤติปฏิบัติ ได้จากเรื่องนี้ แบ่งเป็น ๒ หมวด คือ
---หมวดที่ ๑ มี ๔ ประการ คือ สัจจะ ธรรมะ ธิติ และจาคะ
---หมวดที่ ๒ มี ๔ ประการ คือ สัจจะ ทมะ ขันติ และจาคะ
*อธิบายหัวข้อธรรมประการ
---คำว่า สัจจะ แปลว่า ความสัตย์ซื่อต่อกัน แปลอย่างนี้เรียกว่า แปลตามศัพท์ ถ้าขยายลักษณะของสัจจะ ให้มีความเข้าใจและนำไปปฏิบัติกันได้จริง ๆ แล้วก็คือ สัจจะนี้มีลักษณะ ๓ อย่างคือ
---๑.สัจจะ มีลักษณะเป็นความจริง
---๒.สัจจะ มีลักษณะเป็นความตรง
---๓.สัจจะ มีลักษณะเป็นความแท้
---๑.สัจจะมีลักษณะเป็นความจริง หมายถึง ไม่ใช่เล่น ไม่หลอก ไม่ลวง เป็นของจริง ๆ
---๒.สัจจะมีลักษณะเป็นความตรง หมายถึงว่า เป็นความตรง คือมีความประพฤติทางกาย ทางวาจา และทางใจ ซื่อตรง ไม่คดโกง หรือบิดพริ้ว เบียงบ่ายจากความถูกความเที่ยงธรรม
---๓.สัจจะมีลักษณะเป็นความแท้ หมายถึง ความไม่เหลาะแหละเหลวไหลในกิจกรรมอันเป็นหน้าที่
*สัจจะซึ่งมีลักษณะดังกล่าวนี้ ผู้ครองเรือนพึงตั้งลงหรือกำหนดใน ๕ สถานที่ คือ
---๑.ตรงต่อหน้าที่ คือ ปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มตามหน้าที่
---๒.ตรงต่อการงาน คือ ตั้งใจทำงานให้ดี
---๓.ตรงต่อวาจา คือ รักษาคำมั่นสัญญา
---๔.ตรงต่อบุคคล คือ ประพฤติดีต่อคนอื่น
---๕.ตรงต่อความดี คือ ยึดมั่นในการประพฤติปฏิบัติ
---อีกประการหนึ่ง สัจจะ คือ ความจริงใจ หรือแท้ ซึ่งก็หมายความว่า ความเป็นคน มีจิตใจแน่วแน่ มุ่งมั่นในสิ่งที่ตนปรารถนา แล้วก็ทำจนเห็นผล เช่น นักเรียน เรียนวิชาใดก็เรียนจบ ได้ความรู้จริงในวิชานั้น ผู้รักษาศีลประเภทใด ก็ตั้งใจรักษาศีลประเภทนั้นให้ได้จริง ๆ หรือผู้เป็นนักบวช ก็เป็นนักบวชที่ดีจริง เป็นต้น
---คุณธรรม คือ สัจจะ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตทั้งทางโลก ทางธรรม จึงกล่าวได้ว่า ใครก็ตาม ที่ขาดสัจจะในใจเสียอย่างเดียว เอาดีไม่ได้เลย จะเล่าเรียนก็ไม่จริงจัง จะรักใคร ๆ ก็รักไม่จริงจัง จะแต่งงานกับใครก็ไม่จริงจัง จะเป็นพลเมืองของประเทศใดก็ไม่จริงจัง จะปฏิบัติธรรมก็ไม่จริงจัง เป็นต้น คนประเภทนี้จะเอาดีได้อย่างไร
---ในทางตรงกันข้าม คือ คนที่มีสัจจะ คุณธรรม คือ สัจจะนั่นเอง จะเป็นหลักประกัน ประจำตัวให้คนอื่นเชื่อถือไว้วางใจ จะทำการสิ่งใดก็เจริญ เพราะได้รับการสนับสนุนจากคนทั้งหลาย
---ข้อสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ จิตใจที่มีสัจจะ อันอบรมดีแล้ว คือ มีความจริงใจจนติดเป็นนิสัยมั่นคง ความจริงใจนั้นจะเป็นเหตุ ทำให้จิตใจมีพลัง ฟันฝ่าอุปสรรค เหมือนกระสุนที่ถูกยิงไป ด้วยพลังอย่างสูง ย่อมแหวกว่าย เจาะไช เอาชนะสิ่งที่ขวางหน้าไปจนได้ และเพราะค่าที่สัจจะ เป็นกำลังส่งจิตใจ ให้บรรลุเป้าหมายได้ แม้แต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บรรลุพระอรหันต์สัมมาสัมโพธิญาณ ก็ด้วยสัจจะนี้ ดังนั้น สัจจะท่านจึงจัดไว้เป็นบารมีอย่างหนึ่ง ในบารมีสิบประการ ที่พระโพธิสัตว์จะขาดเสียมิได้ เรียกว่า “สัจจะบารมี”
*วิธีตั้งสัจจะไว้ในใจมี ๒ วิธีคือ
---๑.สัจจะธิษฐาน คือ อธิษฐานด้วยใจ ตั้งใจให้แน่วแน่ว่า ตนมีความปรารถนาอย่างนั้น โดยทั่วไปนิยมตั้งสัจจาธิษฐาน ต่อจากได้ไหว้พระสวดมนต์ประจำวัน หรือได้ทำบุญสุนทร์ทานแล้ว ดังจะเห็นได้ จากคำถวายทานต่าง ๆ ซึ่งมักจะมีคำสัจจาธิษฐานลงท้ายเสมอ เช่น “อาสวกฺขยาวหํ นิพฺพานํ โหตุ” หรือ “นิพฺพานปัจฺจโย โหตุ” ซึ่งแปลว่า ขอให้ผลบุญนี้ ทำให้ตนสิ้นกิเลสาสวะ บรรลุพระนิพพานเถิด ความปรารถนาเหล่านี้ บางคนเข้าใจว่า เป็นคำอ้อนวอนแบบศาสนาอื่นอ้อนวอนพระเจ้า แต่ความจริงไม่ใช่ ที่ถูกแล้วเราปฏิบัติตามคุณธรรม คือ สัจจะนี้ นั่นเอง
---๒.สัจจะปฏิญาณ คือ การเปล่งวาจาให้ผู้อื่นได้ยิน เป็นพยาน ว่าตนได้ตั้งสัจจะไว้อย่างนั้น ที่ทำอย่างนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจแก่ผู้อื่นด้วย เพื่อให้เกิดความละอายแก่ใจของตน เมื่อจะพลั้งเผลอ ละเมิด สัจจะนั้นด้วย นั้นก็คือ สัจจะนี้คือ ความนึกคิดที่ตั้งไว้ในใจนั้นเอง
*คุณ - โทษ
---คุณของความมีสัจจะ เช่น
---๑.เป็นคนหนักแน่นมั่นคง
---๒.มีความเจริญก้าวหน้าในธุรกิจ
---๓.การงานที่ปฏิบัติ หรือกิจที่ทำนั้นได้ผลดีพิเศษ
---๔.มีคนเชื่อถือ และยำเกรง
---๕.ทำความมั่นคงให้เกิดแก่ครอบครัว
---๖.ทำดีไม่ท้อถอย
*โทษของการขาดสัจจะ เช่น
---๑.เหลาะแหละ เหลวไหล
---๒.ตกต่ำ หายนะ
---๓.ล้มเหลว
---๔.คนเหยียดหยาม ไม่เชื่อหน้า
---๕.ความเจริญใจบรรดามีตั้งอยู่ไม่ได้
---๖.หาความสุขในครอบครัวไม่ได้
---คำว่า ทมะ แปลได้หลายอย่าง แปลว่า ฝึก ก็ได้ แปลว่า ข่ม ก็ได้ ซึ่งรวมความแล้วก็คือ การปรับปรุงตัวเองให้ก้าวหน้าเหมาะสมกับการงาน และสังคม นั่นเอง ในทางปฏิบัติ ทมะมีลักษณะ ๓ อย่างคือ
---๑.ทมะ มีลักษณะเป็นความฝึก
---๒.ทมะ มีลักษณะเป็นความหยุด
---๓.ทมะ มีลักษณะเป็นความข่ม
*๑.ทมะ มีลักษณะเป็นความฝึก
---หมายความว่า ฝึกทำงานให้เป็น เพราะในสังคมนั้นมีงาน มากมายหลายอย่างต่าง ๆ กัน เช่น งานทำนา งานทำสวน งานช่างไม้ งานช่างเหล็ก งานช่างปูน เป็นต้น ถ้าเราเองเกิดมา ในลักษณะเป็นคนทำงานไม่เป็น และเราก็มีชีวิตอยู่ในสังคมทั้งๆ ที่เราทำงานไม่เป็น อย่างนี้ย่อมเป็นอันตราย แก่ตัวเองและเป็นภาระแก่สังคม อย่างยิ่ง เพราะคนที่ทำอะไรไม่เป็นเลยนั้น จะทำได้มากที่สุดอย่างหนึ่ง คือ ทำความลำบากแก่คนอื่น เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้มี ทมะ คือ ฝึกหัด อบรมตนเองให้เป็นงาน นำมาหาเลี้ยงชีพเป็น จะฝึกตนได้อย่างนี้ ก็ต้องข่มใจ ฝึกใจตนเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ
*๒.ทมะ มีลักษณะเป็นความหยุด
---หมายความว่า การยับยั้งตัวเอง ไม่ให้ถลำไปสู่ความชั่ว ความผิด ถ้าไม่มีการยับยั้งไว้เสียเลย ในคราวที่ตนมีความหันเหไปทางผิด หนักเข้าก็จะนำความลำบากเดือดร้อนกลับมาสู่ตัวและครอบครัว ตลอดจนสังคม เช่น ถ้าตัวเราจะกลายเป็นคนติดสุรา เป็นนักเลงการพนัน เป็นนักเลงเจ้าชู้ เป็นต้น เป็นสิ่งเป็นไปได้ทั้งนั้น ถ้าเราไม่รู้จักยับยั้งตัวเอง
*๓.ทมะ มีลักษณะเป็นความหยุด
---จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ในคราวที่เราจะถลำไปสู่ความชั่ว ความผิดพลาด เช่น ในคราวจะทะเลาะวิวาทกัน จะคิดทำทุจริต จะตกไปสู่อบายมุข และจะหันไปสู่ความเป็นคนเลว เมื่อถึงคราวอย่างนั้น ก็จะต้องรู้จักหยุด ข่มใจตัวเอง ฝึกใจตัวเองให้กลับมาสู่ทางที่ดี ที่ถูกที่ควร หรือเหมาะสมตามฐานะของตนเอง
*๔.ทมะ มีลักษณะเป็นความข่ม
---หมายความว่า การข่มใจข่มตัว อย่าให้กำเริบเสิบสานจนเกินไป ตามปกติตัวของเรา ถ้าปล่อยไปตามอำเภอใจ ย่อมจะมีความจองหอง พองขนขึ้นไปมาก ทั้งในการกินอยู่ การเที่ยวเตร่ และอื่น ๆ หนักเข้า ตัวเอง ก็จะไม่สามารถปรนปรือให้แก่ตัวเองได้ กลายเป็นคนมีความเป็นอยู่สูงเกินฐานะ ผู้ที่เป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นคนอยู่ในอุปการะของคนอื่น ก็นำความเดือดร้อน อิดหนาระอาใจ แก่ผู้อุปการะเลี้ยงดู ก็แม้ว่าเป็นผู้หาเลี้ยงตัวเอง ก็ไม่วายเดือดร้อน รายจ่ายเกินรายได้ หนักเข้าก็กู้หนี้ยืมสินรุงรัง ตั้งตัวไม่ติด ยิ่งถ้าเป็นคนมีครอบครัว ก็จะพากันระส่ำระสายไปทั้งครอบครัว ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงสอนให้บำเพ็ญทมะ คือ รู้จักข่มตัว ข่มใจไว้ มิให้เห่อเหิมเกินฐานะของตัว
*คุณ - โทษ
---คุณแห่งความมีทมะ เช่น
---๑.ทำให้มีความสามารถในการทำงาน
---๒.ไม่เป็นที่รังเกียจของคนอื่น
---๓.ไม่มีเวรภัยกับใคร
---๔.มิตรภาพมั่นคง
---๕.ยั้งตัวไว้ได้ เมื่อจะทำผิด
---๖.ตั้งตัวได้
*โทษแห่งความไม่มีทมะ เช่น
---๑.จะตกเป็นกาฝากสังคม
---๒.จะตกเป็นอาชญากร
---๓.จะจมลงสู่อบายมุข
---๔.เต็มไปด้วยการทะเลาะวิวาท
---๕.เพื่อนฝูงรังเกียจ
---๖.ตั้งตัวได้ยาก
---๗.ครอบครัวเดือดร้อน
---คำว่า ขันติ แปลว่า ความอดทน เป็นลักษณะความเข้มแข็งของจิตใจ ในการพยายามทำความดี และถอนตัวออกจากความชั่ว
---ที่ว่า อดทน ก็ความอดทนนั้น ขอให้เข้าใจว่า มีความอดทนต่อฝ่ายที่ไม่ดี เพื่อยืนหยัดอยู่ในทางที่ดี ให้ได้ ไม่ใช่หมายความว่า ใครตกอยู่ในสภาพเดิมนั้น เสมอไปหามิได้ เช่น เป็นคนยากจนแล้วก็ทนอยู่ในความยากจน ไม่พยายามขวนขวายหาทรัพย์ หรือตัวเองเป็นคนเกียจคร้าน งานการไม่ทำ แม้จะถูกคนอื่นสับโขกอย่างไรก็ทนเอา อย่างนี้ไม่ใช่ขันติ ไม่ใช่ความอดทน ตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นลักษณะความ “ตายด้าน” หรือ “หน้าด้าน” เท่านั้น
---ขันติ ๔ สถาน ขันติจำเป็น สำหรับคราวที่เราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะทำให้เราหันเหไปจากทางที่ดี เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นมีอยู่ ๔ ประเภท เพราะฉะนั้นในทางพระพุทธศาสนา ท่านจึงกำหนดไว้ว่า พึงบำเพ็ญขันติในที่ ๔ สถาน คือ
---๑.อดทนต่อความลำบาก
---๒.อดทนต่อความทุกขเวทนา
---๓.อดทนต่อความเจ็บใจ
---๔.อดทนต่ออำนาจกิเลส
*๑.ความอดทนต่อความลำบาก
---หมายความว่า คนทำงานมาก ๆ แล้วได้รับความลำบากเหน็ดเหนื่อย หิวกระหายหรือถูกแดด ลมฝนกระทบ ย่อมได้รับความลำบากนานับประการ คนที่ไม่มีขันติ เมื่อเผชิญกับความลำบากตรากตรำ มักจะทอดทิ้งการงานเสีย เป็นคนมือบาง เท้าบาง ทำอะไรทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ แต่ผู้มีขันติ ย่อมอดทนต่อสิ่งเหล่านี้ กัดฟันทนทำงานของตนให้สำเร็จ
*๒.ความอดทนต่อทุกขเวทนา
---หมายความว่า ทนต่อทุกขเวทนา อันเกิดจากการเจ็บไข้ได้ป่วย คนที่ขาดขันติ เมื่อถึงคราวเจ็บไข้ได้ป่วย มักจะแสดงมารยาทอันไม่สมควรออกมา เช่น เจ็บปวดไม่พอ จะร้องก็ร้องไม่พอ จะครางก็ครางมีอาการ กระบิดกระบอน เป็นคนเจ้ามายา โทโสโมโหง่าย บางคนอ้างความเจ็บป่วยเป็นเลิศ กระทำความชั่วต่าง ๆ ก็มี แต่ผู้มีขันติ ย่อมรู้จักอดกลั้น ทนทาน ไม่ปล่อยตัวให้เสีย หรือตกไปในทางชั่วดังกล่าวนั้น
*๓.ความอดทนต่อความเจ็บใจ
---หมายความว่า เมื่อถูกผู้อื่นกระทำล่วงเกินให้เป็นที่ขัดใจ เช่น ถูกด่าว่า หรือสบประมาท ผู้ขาดขันติ ย่อมเดือดดาลแล้วทำร้ายตอบ ด้วยการกระทำอันร้ายแรงเกินเหตุ เช่นว่า เหน็บแนมด้วยวาจาหยาบคายหรือก่อความวิวาท ตีรันฟันแทง สร้างเวรกรรมไม่สิ้นสุด เป็นทางนำมาซึ่งความหายนะแก่ตัวและครอบครัว แต่ผู้มีขันติ ย่อมรู้จักอดทน สอนใจตัวเอง หาวิธีแก้ไขให้เรียบร้อย เป็นผลดีด้วยความสงบ
*๔.ความอดทนต่ออำนาจกิเลส
---หมายความว่า ความอดทนต่อความเจ็บใจในข้อ ๓ นั้น เป็นความอดทนต่ออารมณ์ ข้างฝ่ายเพลิดเพลิน เช่น ความสนุก การเที่ยวเตร่ การได้ผลประโยชน์ในทางที่ไม่เหมาะไม่ควร เป็นต้น
---อารมณ์ที่น่ารัก น่าพอใจ ดูก็ไม่น่าจะต้องใช้ความอดทนอะไร เพราะไม่ทำให้เราลำบาก แต่ที่ต้องใช้ความอดทน เพราะทำให้เราเสียหายได้ คนที่ไม่มีขันติ มักจะทำกรรมอันน่าบัดสีต่าง ๆ ได้ เพราะอยากได้สิ่งที่ตนรัก เช่น รับสินบน ผิดลูกเมียเขา เห็นเงินตาโต รู้มาก เห่อเหิม เมาอำนาจ ขี้โอ่โอ้อวด เป็นต้น ก็การอดทนต่ออำนาจกิเลสเหล่านี้ ว่าโดยย่อ ๆ คือ อดทนต่ออำนาจความอยาก นั่นเอง
*คุณ - โทษ
*คุณแห่งความมีขันติ เช่น
---๑.ทำงานได้ผลดี
---๒.บำเพ็ญตนเป็นหลักแห่งบริวารชน
---๓.ไม่มีการทะเลาะวิวาทบาดหมางกัน
---๔.ไม่ทำผิด เพราะเห็นแก่ความอยาก
*โทษแห่งความขาดขันติ เช่น
---๑.ทำงานคั่งค้าง จับจด
---๒.เสียความไว้วางใจของผู้อื่น
---๓.เต็มไปด้วยศัตรู
---๔.จะกลายเป็นอาชญากร
---คำว่า จาคะ แปลว่า ความเสียสละ หมายถึง ความตัดใจ หรือตัดกรรมสิทธิ์ของตน ตัดความยึดถือเสีย ความเสียสละในคำว่า จาคะนี้มี ๒ นัย คือ สละวัตถุและสละอารมณ์
---สละวัตถุ หมายความว่า สละทรัพย์สิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่คนอื่น เช่น สละเงินสมทบทำสะพาน สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน ซื้อรถดับเพลิง บำรุงการทหารของชาติ บำรุงศาสนา บำรุงการศึกษา ตลอดจนบริจาค สงเคราะห์ ผู้ประสบภัยและผู้ตกทุกข์ได้ยากต่าง ๆ ผู้ครองเรือน ย่อมเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากสังคม นับตั้งแต่การทำมาหากิน ตลอดการดำรงชีพในแง่ต่าง ๆ
---เพราะฉะนั้น ผู้ครองเรือนจึงจำเป็นต้องถือเป็นหน้าที่ ในการบริจาค ช่วยเหลือ สังคมตามกำลังความสามารถ กล่าวคือ เมื่อสังคมเป็นฝ่ายให้แล้ว เราจะให้อะไรบ้างแก่สังคม คนที่อยู่ในสังคมได้รับประโยชน์ต่อสังคม แต่ไม่อุดหนุนบำรุงสังคม ก็ย่อมเป็นคนที่สังคมรังเกียจ ในฐานะเป็นคนรู้มากและเป็นกาฝากของสังคม สังคมใดมีคนประเภทกาฝากมาก สังคมนั้นย่อมจะมีความมั่นคงน้อย ฉะนั้น หลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาจึงสอนให้มีจาคะทั่วกัน
---สละอารมณ์ หมายความว่า เป็นคนรู้จักปล่อยวางอารมณ์ ที่เป็นข้าศึกต่อความสงบใจ เช่น ความโกรธเคือง ขัดใจกับคนอื่น จะเป็นกับภรรยาสามี กับเพื่อนฝูง หรือกับเพื่อนบ้านก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่อง ที่คนชาวบ้านจะหลีกเลี่ยงเสียมิได้ แต่การเก็บอารมณ์เหล่านี้ หมักหมมไว้ในใจ ย่อมนำมาซึ่งความร้าวรานไม่สิ้นสุด และทำให้ตนเองเป็นทุกข์เดือดร้อน เมื่อสั่งสมไว้นาน ๆ หรือมาก ๆ ก็จะเป็นสาเหตุ ของโรคประสาทได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้มีจาคะ คือ ให้เสียสละ ปล่อยวางอารมณ์ประเภทนี้เสีย การปล่อยวางอารมณ์อย่างนี้ ก็เป็นจาคะอย่างหนึ่ง
*คุณ - โทษ
*คุณของความมีจาคะ เช่น
---๑.ทำความปลอดภัยแก่ตนเอง
---๒.ทำความมั่นคงแก่สังคม ประเทศชาติ
---๓.เป็นที่นับหน้าถือตาของคนอื่น
---๔.ทำความสงบสุขแก่ครอบครัว สังคม
---๕.จิตใจเป็นสุข
*โทษของการขาดจาคะ เช่น
---๑.บั่นทอนความมั่นคงของตน และของประเทศชาติ
---๒.ได้รับคำครหาติเตียน
---๓.ทุกข์ใจ......................................
................................................................................
ที่มา....คัมภีร์พระพุทธศาสนา
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว ป.)
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 20 กันยายน 2558
ความคิดเห็น