กำเนิดมนุษย์ โลก และจักรวาล
(ในคัมภีร์พระไตรปิฎก ขอนำมาแสดงบางส่วนจาก อัคคัญญสูตร พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค)
เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 151
---ข้อความบางตอนจาก อัคคัญญสูตร
---[๕๖] ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีบางสมัยบางคราว โดยอันล่วงไปแห่งกาลอันยาวนาน โลกนี้ก็จะพินาศไป เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากหมู่สัตว์ย่อมวนเวียนไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม ในชั้น อาภัสสรพรหมนั้น สัตว์เหล่านั้น มีความสำเร็จได้โดยทางใจ มีปีติเป็นภักษา มีรัศมีเอง ท่องเที่ยวไปได้ในอากาศ ดำรงอยู่ในวิมานอันแสนงาม ย่อมดำรงอยู่ได้สิ้นกาลยืดยาวนาน.
---ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยอีกบางครั้ง โดยอันล่วงไปแห่งกาลยืดยาวนาน โลกนี้ย่อมเจริญขึ้น เมื่อโลกกำลังเจริญขึ้น โดยมากเหล่าสัตว์ ก็จะพากันเคลื่อนจากพวกอาภัสสรพรหม มาสู่ความเป็นอย่างนี้อีกและสัตว์เหล่านั้น มีความสำเร็จได้โดยทางใจ มีปีติเป็นภักษา มีรัศมีเอง ท่องเที่ยวไปในอากาศได้ดำรงอยู่ในวิมานอันงดงาม ย่อมดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนาน.
---ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็โดยสมัยนั้น แลจักรวาลนี้ก็จะกลายเป็นน้ำไปหมด มีความมืดมองไม่เห็นทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฏ ดวงดาวนักษัตรก็ยังไม่ปรากฏ กลางวันกลางคืนก็ไม่ปรากฏ เดือนหนึ่ง กึ่งเดือนหนึ่ง ก็ยังไม่ปรากฏ ฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฏ หญิงชายก็ยังไม่ปรากฏ หมู่สัตว์ทั้งหลายก็ถึงการนับว่าสัตว์ดังนี้อย่างเดียวกัน.
---ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ในกาลบางคราว โดยอันล่วงได้แห่งกาลยืดยาวนาน ง้วนดินก็เกิดลอยอยู่บนน้ำ ปรากฏแก่สัตว์เหล่านั้น เหมือนน้ำนมสดที่บุคคลเคี่ยวแล้วทำให้เย็นสนิท แล้วปรากฏเป็นฝาอยู่ข้างบนฉะนั้น ง้วนดินนั้นได้สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใสอย่างดีและเนยขึ้นอย่างดีฉะนั้น และได้มีรสอันน่าชอบใจ เหมือนน้ำผึ้งอันปราศจากโทษ ฉะนั้น.
---ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ที่นั่นแล มีสัตว์บางตนมีชาติโลเล กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ สิ่งที่ลอยอยู่นี้ จะเป็นอะไรดังนี้แล้วเอานิ้วมือช้อนเอาง้วนดินขึ้นมาลิ้มดู เมื่อเขากำลังเอานิ้วมือช้อนง้วนดินขึ้นมาลิ้มอยู่ ง้วนดินที่ได้ซ่านไปทั่ว ความอยากจึงเกิดขึ้นแก่เขา.
---ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์เหล่าอื่นแลก็ถึงทิฏฐานุคติของสัตว์นั้น ก็จะพากันเอานิ้วมือซ้อนง้วนดินนั้นขึ้นมาลิ้มดู เป็นคำเพื่อที่จะบริโภค.
---ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อใดแลที่สัตว์เหล่านั้น พยายามที่จะเอามือปั้นง้วนดินทำเป็นคำ เพื่อที่จะบริโภค เมื่อนั้นรัศมีเฉพาะตัวของสัตว์เหล่านั้นก็จะหายไป.
---เมื่อรัศมีเฉพาะตัวหายไป พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้นมา เมื่อพระจันทร์และพระอาทิตย์ปรากฏขึ้นแล้ว หมู่ดาวนักษัตรก็จะปรากฏ เมื่อหมู่ดาวนักษัตรปรากฏแล้ว กลางคืนและกลางวันก็ปรากฏ เมื่อกลางคืนกลางวันปรากฏแล้ว เดือนหนึ่ง กึ่งเดือนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เมื่อเดือนหนึ่งและกึ่งเดือนหนึ่งปรากฏขึ้นแล้ว ฤดูและปีก็ปรากฏขึ้น ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วยเหตุเพียงประมาณเท่านี้แล โลกนี้ก็ย่อมเจริญขึ้นมาอีก. ฯลฯ
---[๕๘]ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล เมื่อง้วนดินของสัตว์เหล่านั้นหายไป กะบิดินก็ปรากฏขึ้น กะบิดินนั้นปรากฏเหมือนเห็ด กะบิดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส ได้มีสีเหมือนเนยใส ที่ปรุงอย่างดีหรือเนยขึ้นอย่างดี และได้มีรสอย่างน่าชอบใจ เหมือนน้ำผึ้งซึ่งปราศจากโทษ ฉะนั้น.
---ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์เหล่านั้นก็ได้พยายามเพื่อจะบริโภคกะบิดิน สัตว์เหล่านั้น บริโภคกะบิดินนั้นแล้ว มีกะบิดินนั้นเป็นภักษาเป็นอาหารได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนาน ที่มีผิวพรรณทรามกว่า พวกเรามีผิวพรรณงามกว่าสัตว์เหล่านี้ สัตว์เหล่านี้มีผิวพรรณเลวกว่าพวกเราดังนี้ เมื่อสัตว์เหล่านั้น ต่างพากันมีมานะเกิดขึ้น เพราะการดูหมิ่นผิวพรรณเป็นปัจจัย กะบิดินก็อันตรธานหายไป เมื่อกะบิดินหายไปแล้ว เครือดินได้ปรากฏขึ้นมา เครือดินนั้นได้ปรากฏคล้ายผลมะพร้าว ฉะนั้น เครือดินนั้นสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส ได้มีสีเหมือนเนยใสที่ปรุงอย่างดี หรือเหมือนเนยขึ้นอย่างดี ฉะนั้น และได้มีรสน้ำชอบใจ เหมือน น้ำผึ้งซึ่งปราศจากโทษฉะนั้น.
---ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นได้พากันพยายามเพื่อที่จะบริโภคเครือดิน สัตว์เหล่านั้นบริโภคเครือดิน ได้มีเครือดินนั้นเป็นภักษาเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนาน. ฯลฯ
---[๕๙]ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นนั้นแล เมื่อเครือดินของสัตว์เหล่านั้นสูญหายไปแล้ว ข้าวสาลีซึ่งบังเกิดในที่ที่ไม่ต้องไถ ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ บริสุทธิ์มีกลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสารก็ปรากฏขึ้นมา สัตว์ทั้งหลายก็พากันขนเอาข้าวสาลีชนิดใดมา เพื่อเป็นอาหารมื้อเย็นในเวลาเย็น ตอนเช้า ข้าวสาลีชนิดนั้นก็สุกงอกขึ้นมาเทน และในตอนเช้าสัตว์ทั้งหลายได้พากันขนเอาข้าวสาลีชนิดใดมา เพื่อบริโภคในเวลาเช้า ในตอนเย็น ข้าวสาลีชนิดนั้นก็สุกงอกขึ้นมาแทน ความบกพร่องไปหาได้ปรากฏไม่.
---ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะครั้งนั้นแล เหล่าสัตว์ทั้งหลาย พากันบริโภคข้าวสาลีซึ่งเกิดสุกเองในที่ที่ไม่ต้องไถ มีข้าวสาลีนั้นเป็นภักษาเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนาน. ฯลฯ
---[๗๑]ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ บรรดาวรรณะทั้ง ๔ เหล่านี้ วรรณะใดเป็นภิกษุผู้อรหันต์ สิ้น อาสวะแล้ว อยู่จบแล้ว มีกรณียะอันกระทำแล้ว ปลงภาระได้แล้ว ตามบรรลุประโยชน์ของตนแล้ว มีสังโยชน์ เครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพสิ้นแล้ว นับแล้ว เพราะรู้โดยชอบ วรรณะนั้น ปรากฏว่าเป็นผู้เลิศกว่าวรรณะเหล่านั้นโดยธรรม หาใช่โดยอธรรมไม่.
---ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในทิฏฐธรรมและอภิสัมปรายภพ.
---ดูก่อนวาเสฏฐะแลภารทวาชะ แม้สนังกุมารพรหม ก็ได้กล่าวคาถาไว้ว่า
---[๗๒]กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้มีความ รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและ จรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดา และ มนุษย์ดังนี้. ฯลฯ
.........................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว ป.)
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 24 กันยายน2558
ความคิดเห็น