หลักศรัทธาในพระพุทธศาสนา
---หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เมื่อกล่าวถึง "ศรัทธา" แล้วต้องมี "ปัญญา" กำกับอยู่ในหลักธรรม นั้นเสมอ ทั้งนี้ก็เพราะว่า เมื่อมีความเชื่ออย่างเดียว โดยไม่มีปัญญาก็จะเป็นความเชื่อที่งมงาย (Blind Faith) ปราศจากเหตุผล (Cause and Effect) และการพิสูจน์
---เพราะฉะนั้น ความเชื่อจึงเป็นลักษณะความรู้แบบหยาบๆ โดยไม่ผ่านการเจียระไนทางความคิดหรือ ไม่ผ่านการไตร่ตรองด้วย "โยนิโสมนสิการ" พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนเรื่อง "ศรัทธา" ไว้ที่ไหนก็จะมีปัญญามาพร้อมด้วย ทั้งนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เชื่อเกิดความงมงาย
*หลักความเชื่อหรือความศรัทธาในทางพระพุทธศาสนา
---ในเรื่องของ ความเชื่อหรือความศรัทธา ตามหลักพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในหลักกาลามสูตร ดังที่ปรากฎในเกสปุตตสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต แต่คนส่วนมากมักจะเรียกว่า "กาลามสูตร" (องฺ.ติก. ๒๐/๕๐๕/๒๑๒) ซึ่งเป็นพระสูตรสำคัญที่พระพุทธเจ้าแสดง ณ เกสปุตตนิคม มีใจความสรุปว่า
---"เกสปุตตะ" เป็นนิคมแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล ชาวนิคมนี้เป็นที่รู้จักกันว่า "ชาวกาลามะ" เมื่อชาวกาลามะได้สดับว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมายังนิคมของตน จึงมาเฝ้าพระองค์เพื่อขอคำแนะนำและกราบทูลว่า
---“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มายังเกสปุตตนิคม สมณพราหมณ์พวกนั้น พูดประกาศแต่เฉพาะทรรศนะของตนเท่านั้น ส่วนทรรศนะของผู้อื่น ช่วยกันตำหนิ, ดูหมิ่น, ประณาม ทำให้ไม่น่าเชื่อ สมณพราหมณ์พวกอื่นๆ ซึ่งมายังเกสปุตตนิคมก็ทำในลักษณะเดียวกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ มีความเคลือบแคลงสงสัย ในสมณพราหมณ์เหล่านั้นว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ ”
---พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย ถูกแล้วที่ท่านทั้งหลายมีความเคลือบแคลงสงสัยในสิ่งที่ควรเคลือบแคลงสงสัย มาเถิดท่านทั้งหลาย
---๑.อย่าเพิ่งรีบเชื่อ เพียงเพราะ ฟังตามกันมา (มาอนุสฺสเวน)
---๒.อย่าเพิ่งรีบเชื่อ เพียงเพราะ ถือสืบๆกันมา (มาปรมฺปราย)
---๓.อย่าเพิ่งรีบเชื่อ เพียงเพราะ เล่าลือ (มาอิติกิราย)
---๔.อย่าเพิ่งรีบเชื่อ เพียงเพราะ อ้างตำราหรือคัมภีร์ (มาปิฏกสมฺปทาเนน)
---๕.อย่าเพิ่งรีบเชื่อ เพียงเพราะ ตรรก (มาตกฺกเหตุ)
---๖.อย่าเพิ่งรีบเชื่อ เพียงเพราะ คาดคะเน (มานยเหตุ)
---๗.อย่าเพิ่งรีบเชื่อ เพียงเพราะ ตรึกตามอาการ (มาอาการปริวิตกฺเกน)
---๘.อย่าเพิ่งรีบเชื่อ เพียงเพราะ เข้ากันได้กับความเห็นของตน (มาทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
---๙.อย่าเพิ่งรีบเชื่อ เพียงเพราะ ผู้พูดสมควรเชื่อได้ (มาภพฺพรูปตาย)
---๑๐.อย่าเพิ่งรีบเชื่อ เพียงเพราะ นับถือว่า สมณะนี้เป็นครูของเรา (มาสมโณโนครุ)
---เมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นอกุศล มีโทษ ผู้รู้ติเตียน ไม่เป็นประโยชน์ เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละสิ่งเหล่านั้นเสีย แต่ในกรณีตรงกันข้าม, เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า สิ่งเหล่านี้เป็นกุศล ไม่มีโทษ ผู้รู้สรรเสริญ เป็นประโยชน์ เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรปฏิบัติสิ่งเหล่านั้น ”
*ความเห็นถูก - ผิด ในทางพระพุทธศาสนา
---จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าเริ่มการสอน ไม่ใช่ยัดเยียดให้เขาเชื่อ ยัดเยียดให้เขานับถือ แต่เป็นการสอนให้เห็นข้อเท็จจริงและรู้ประจักษ์พิจารณาด้วยปัญญาของตนเอง ไม่มีการชักจูงแต่อย่างใด เพียงแต่แนะแนวทาง ให้คนนำไปสู่การประพฤติ ในทางที่ถูกต้อง
---อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในอปัณณกสูตร (ม.ม.๑๓/๙๒/๙๕) ซึ่งเป็นพระสูตรที่ว่าด้วย "การปฏิบัติไม่ผิด" พระองค์ทรงวางแนวทางของการสมาทานที่ถูกต้องและทรงชี้โทษแห่งการสมาทานที่ผิด แก่พวกพราหมณ์และคหบดีที่อยู่ในหมู่บ้านสาลา
---ซึ่งในขณะนั้น พวกชาวบ้านยังงุนงง สงสัยกับเจ้าลัทธิต่างๆ ที่ต่างเสนอลัทธิของตนว่า ลัทธิของเราถูก ลัทธิของคนอื่นผิด จนทำให้ชาวบ้านเกิดความสงสัยและยังไม่สมาทานเอาความเชื่อของลัทธิใดๆ มานับถือ พระพุทธเจ้าก็ทรงให้ชาวบ้านสาลา สมาทานอปัณณกธรรม ซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้
*ทิฎฐิที่ไม่ควรสมาทานถือเอา
---๑.นัตถิกทิฎฐิ คือ ผู้มีความเห็นว่าไม่มี ปฏิเสธเรื่องบุญ-บาป ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การเซ่นสรวงก็ไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดี-ทำชั่วก็ไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มีคุณ บิดาไม่มีคุณ เป็นต้น
---๒.อกิริยทิฎฐิ คือ ผู้ที่มีความเห็นว่า สัตว์ทั้งหลายที่กำลังได้รับความลำบาก หรือความสบายก็ตามไม่ได้อาศัยเหตุใดๆ ให้เกิดขึ้นเลยเป็นไปเองทั้งนั้น
---๓.อเหตุกทิฎฐิ คือ ผู้ที่มีความเห็น "ปฏิเสธเหตุ" ไม่เชื่อว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว ที่สัตว์ทั้งหลายได้กระทำกันอยู่ทุกวันนี้จะเป็นเหตุให้เกิดผลได้
*ทิฎฐิที่ควรสมาทานถือเอา
---๑.อัตถิกทิฎฐิ คือ ผู้ที่มีความเห็นว่า บาป บุญ คุณ โทษมีจริง ทานที่ให้แล้วก็มีผล ยัญที่บูชาแล้วก็มีผล การเซ่นสรวงก็มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่บุคคลทำดีหรือทำชั่วก็มีอยู่ เป็นต้น
---๒.กิริยทิฎฐิ คือ ผู้ที่มีความเห็นว่า สัตว์ทั้งหลายที่ได้รับความลำบากต่างๆ ย่อมอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นเอง
---๓.เหตุกทิฎฐิ คือ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่กำลังเป็นไปอยู่ มีเหตุนำ เหตุหนุน เหตุเนื่อง อยู่เบื้องหลัง ไม่ปฏิเสธเหตุ และเชื่อว่า กรรมดี หรือกรรมชั่วที่สัตว์ทั้งหลายทำกันอยู่ จะเป็นเหตุให้เกิดผลได้ ความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลายมีเหตุมีปัจจัย
*สรุปหลักความเชื่อทางพระพุทธศาสนาที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของชาวพุทธ
---ความเชื่อถือว่า มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม เพราะถ้าหากเราเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง ก็จะเป็นปัจจัยนำไปสู่ การประพฤติปฏิบัติไปในทางที่ถูกต้อง แต่ในทางกลับกันถ้าหากเราเชื่อในทางที่ผิด มันก็เป็นปัจจัยนำเราไปสู่การประพฤติปฏิบัติไปในทางที่ไม่ดีได้เช่นกัน
---ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ถ้าหากว่า บุคคลถือเอาความเห็นของ นัตถิกทิฎฐิ, อกิริยทิฎฐิ และ อเหตุกทิฎฐิ ทิฎฐิ ทั้ง ๓ นี้ พระพุทธองค์ตรัสว่าพวกเขาเหล่านี้ ย่อมจักเว้นกุศลธรรม ๓ ประการ ได้แก่
---๑.กายสุจริต
---๒.วจีสุจริต
---๓.มโนสุจริต
---บุคคลที่ถือเอาความเห็นต่างๆ เหล่านี้ ดังที่กล่าวแล้ว เมื่อสมาทานถือเอาความเชื่อที่ผิดก็จะเป็น "มิจฉาทิฐิ" คือ มีความเห็นผิด อย่างสำนวนไทยว่า "เห็นกงจักรเป็นดอกบัว" ไม่มีการประพฤติชอบ กอปรด้วยมนุษยธรรม ทางกาย วาจาและใจ กล่าวคือ
---ทางกาย พวกเขาเหล่านั้นจักประพฤติทุจริต มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนหรือย่ำยีบีฑาสิ่งมีชีวิตด้วยกัน มีการลักทรัพย์ ทุจริตคอรัปชั่นและประพฤติผิดในกาม มีชู้ ประพฤตินอกใจ ละเมิดต่อจริยธรรมทางเพศ เป็นต้น
---ทางวาจา พวกเขาเหล่านั้นจักประพฤติทุจริต มีการพูดจาโกหก หลอกลวง หยาบคาย ให้สะเทือนใจแก่ผู้รับฟัง หรือทำให้ผู้ฟังโกรธ อีกทั้งพูดจาส่อเสียด ยุยุงให้ผู้อื่นร้าวแตกกัน และเวลาจะพูดอะไรก็จะไร้สาระไม่เกิดประโยชน์
---ทางใจ พวกเขาเหล่านั้นจักประพฤติทุจริต มีการคิดอยากได้ของผู้อื่น โดยที่เจ้าของไม่อนุญาต คิดที่จะลักขโมย ยื้อแย่ง อยากจะคดโกง ทุจริตคอรัปชั่น คิดผูกอาฆาตพยาบาท จองเวรจองกรรมกับผู้อื่น
---ส่วนบุคคลที่ถือเอา ทิฐิทั้ง ๓ อย่างมี อัตถิกทิฐิ, กิริยทิฐิและเหตุกทิฐิ ทิฎฐิ ที่ถูกต้องควรสมาทาน ถือเอาปฏิบัติ พวกเขาเหล่านั้นก็จะประพฤติสุจริต มีการเว้นจากอกุศลธรรม ๓ ประการ ดังที่กล่าวมาแล้ว
---"ศรัทธา" เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับคนทั่วไป ที่จะเข้าสู่ "มัชฌิมาปฏิปทา" จึงเป็นธรรมสำคัญที่จำเป็นต้องเน้นให้มาก ว่าจะต้องเป็นศรัทธาที่ถูกต้องตามหลักที่จะเป็น "สัมมาทิฏฐิ" ในที่นี้ จึงขอสรุปคุณสมบัติและการทำหน้าที่ของ "ศรัทธาที่จะต้องสัมพันธ์กับปัญญา" ไว้เป็นส่วนเฉพาะอีกครั้งหนึ่ง ว่า
---๑.ศรัทธาต้องประกอบด้วย ปัญญา และนำไปสู่ปัญญา
---๒.ศรัทธาเกื้อหนุนและนำไปสู่ ปัญญา โดย
---ก)ช่วยให้ปัญญาได้จุดเริ่มต้น เช่น ได้ฟังเรื่องหรือบุคคลใด แสดงสาระ มีเหตุผล น่าเชื่อถือหรือน่าเลื่อมใส เห็นว่าจะนำไปสู่ความจริงได้ จึงเริ่มศึกษาค้นคว้าจากจุดหรือแหล่งนั้น
---ข)ช่วยให้ปัญญามีเป้าหมายและทิศทาง เมื่อเกิดศรัทธาเป็นเค้า ว่าจะได้ความจริงแล้ว ก็มุ่งหน้าไปทางนั้น เจาะลึกไปในเรื่องนั้น ไม่พร่า ไม่จับจด
---ค)ช่วยให้ปัญญามีพลัง หรือช่วยให้การพัฒนาปัญญาก้าวไปอย่างเข้มแข็ง คือ เมื่อเกิดศรัทธามั่นใจว่าจะได้ความจริง ก็มีกำลังใจเพียรพยายามศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง วิริยะก็มาหนุน
---ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดง "หลักความเสมอกันหรือหลักความสมดุลแห่งอินทรีย์" ที่เรียกว่า "อินทริยสมต" ไว้ โดยให้ผู้ปฏิบัติทั่ว ๆไป มีศรัทธาที่เข้าคู่สมดุลกับปัญญาให้ธรรมสองอย่างนี้ ช่วยเสริมกันและคุมกันให้พอดี
*ทัศนคติตามแนวกาลามสูตร
---สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้นับถือทฤษฎี ลัทธิ หรือ คำสอนอันใดอันหนึ่งอยู่แล้ว หรือยังไม่นับถือก็ตาม มีหลักการตั้งทัศนคติ ที่ประกอบด้วยเหตุผล ตามแนวกาลามสูตร ดังนี้
---พระพุทธเจ้าเสด็จจาริก ถึงเกสปุตตนิคม ของพวกกาลามะ ในแคว้นโกศล ชาวกาลามะได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ จึงพากันไปเฝ้า แสดงอาการต่าง ๆ กัน ในฐานะยังไม่เคยนับถือมาก่อน และได้ทูลถามว่า
---"พระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้นแสดงเชิดชูแต่วาทะ (ลัทธิ) ของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่งก็มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น ก็แสดงเชิดชูแต่วาทะของตนเท่านั้น ย่อมกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ พวกข้าพระองค์ มีความเคลือบแคลงสงสัยว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ"
---"กาลามชนทั้งหลาย เป็นการสมควรที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลง สมควรที่จะสงสัย ความเคลือบแคลงสงสัยของพวกท่านเกิดขึ้นในฐานะกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย
---อย่าปลงใจเชื่อ โดยการฟัง (เรียน) ตามกันมา (อนุสสวะ)
---อย่าปลงใจเชื่อ โดยการถือสืบ ๆ กันมา (ปรัมปรา)
---อย่าปลงใจเชื่อ โดยการเล่าลือ (อิติกิรา)
---อย่าปลงใจเชื่อ โดยการอ้างตำรา (ปิฏกสัมปทาน)
---อย่าปลงใจเชื่อ โดยตรรก (ตักกะ)
---อย่าปลงใจเชื่อ โดยการอนุมาน (นยะ)
---อย่าปลงใจเชื่อ โดยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (อาการปริวิตักกะ)
---อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน (ทิฏฐินิชฌานักขันติ)
---อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (สมโณ โน ครูติ)
*สร้างศรัทธาด้วยการใช้ปัญญาตรวจสอบ
---สำหรับคนสามัญทั่วไป ศรัทธาเป็นธรรมขั้นต้นที่สำคัญยิ่ง เป็นอุปกรณ์ชักนำให้เดินหน้าต่อไป เมื่อใช้ถูกต้องจึงเป็นการเริ่มต้นที่ดี ทำให้การก้าวหน้าไปสู่จุดหมาย ได้ผลรวดเร็วขึ้น
---ด้วยเหตุนี้ จึงปรากฏว่า บางคราวผู้มีปัญญามากกว่า แต่ขาดความเชื่อมั่น กลับประสบความสำเร็จช้ากว่าผู้มีปัญญาด้อยกว่า แต่มีศรัทธาแรงกล้า สิ่งที่ถูกต้องแล้ว จึงเป็นการทุ่นแรง ทุ่นเวลาไปในตัว ตรงกันข้าม ถ้าศรัทธาเกิดในสิ่งที่ผิดก็เป็นการทำให้เขว ยิ่งหลงชักช้าหนักขึ้นไปอีก
---อย่างไรก็ดี ศรัทธาให้พุทธธรรม มีเหตุผลเป็นฐานรองรับ มีปัญญาคอยควบคุม จึงยากที่จะผิด นอกจากพ้นวิสัยจริง ๆ และก็สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ ไม่ดิ่งไปในทางที่ผิด เพราะคอยรับรู้เหตุผล ค้นคว้า ตรวจสอบ และทดลองอยู่ตลอดเวลา การขาดศรัทธา เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ชะงัก ไม่ก้าวหน้าต่อไปในทิศทางที่ต้องการ ดังพุทธพจน์ว่า
---"ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ยังสลัดทิ้งตอในใจ ๕ อย่างไม่ได้ ยังถอนสิ่งผูกรัดใจ ๕ อย่างไม่ได้ ข้อที่ว่าภิกษุนั้น จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ต่อเมื่อในใจที่ภิกษุนั้นยังสลัดทิ้งไม่ได้ คือ"
---๑.ภิกษุสงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจ ไม่เลื่อมใสแนบสนิทในพระศาสดา
---๒.ภิกษุสงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจ ไม่เลื่อมใสแนบสนิทในธรรม
---๓.ภิกษุสงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจ ไม่เลื่อมใสแนบสนิทในสงฆ์
---๔.ภิกษุสงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจ ไม่เลื่อมใสแนบสนิทในสิกขา
---๕.ภิกษุโกรธเคือง น้อยใจ มีจิตใจกระทบกระทั่ง เกิดความกระด้าง เหมือนเป็นตอเกิดขึ้นในเพื่อนพรหมจรรย์
---โดยนัยนี้ การขาดศรัทธา มีความสงสัย แคลงใจ ไม่เชื่อมั่น จึงเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาปัญญาและการก้าวหน้าไปสู่จุดหมาย ; สิ่งที่ต้องทำในกรณีนี้ก็คือ ต้องปลูกศรัทธาและกำจัดความสงสัยแคลงใจ
---แต่การปลูกศรัทธาในที่นี้ มิได้หมายถึงการยอมรับและมอบความไว้วางใจให้โดยไม่เคารพในคุณค่าแห่งการใช้ปัญญา แต่หมายถึงการคิดพิสูจน์ ทดสอบด้วยปัญญาของตน ให้เห็นเหตุผลชัดเจน จนมั่นใจหมดความลังเลสงสัย
---ความเลื่อมใสศรัทธา ต่อบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งนั้น ถ้าใช้ให้ถูกต้อง คือเป็นอุปกรณ์สำหรับช่วยให้ก้าวหน้าต่อไป ก็ย่อมเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีข้อเสีย เพราะมักจะกลายเป็นความติดในบุคคล และกลายเป็นอุปสรรคบั่นทอนความก้าวหน้าต่อไป
---เขาย่อมไม่คบหาภิกษุอื่น ๆ เมื่อไม่คบหาภิกษุอื่น ๆ ก็ย่อมไม่ได้สดับสัทธรรม เมื่อไม่ได้สดับสัทธรรม ก็ย่อมเสื่อมจากสัทธรรม เมื่อความเลื่อมใสศรัทธากลายเป็นความรัก ข้อเสียในการที่ความลำเอียงจะมาปิดบัง การใช้ปัญญาก็เกิดขึ้นอีก เช่น
---ภิกษุทั้งหลาย สิ่ง ๔ ประการนี้ ย่อมเกิดขึ้นได้ คือ ความรักเกิดจากความรัก ; โทสะเกิดจากความรัก ความรักเกิดจากโทสะ ; โทสะเกิดจากโทสะ ; โทสะเกิดจากความรักอย่างไร
---บุคคลที่ตนปรารถนา รักใคร่พอใจ ถูกคนอื่นประพฤติต่อด้วยอาการที่ไม่ปรารถนา ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่า พอใจ เขาย่อมมีความคิดว่า บุคคลที่เราปรารถนา รักใคร่พอใจนี้ ถูกคนอื่นประพฤติต่อ ด้วยอาการที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าพอใจนี้ ดังนี้ เขาย่อมเกิดโทสะในคนเหล่านั้น
---แม้แต่ความเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระศาสดาเอง เมื่อกลายเป็นความรักในบุคคลไป ก็ย่อมเป็นอุปสรรคต่อความหลุดพ้น หรืออิสรภาพทางปัญญาในขั้นสูงสุดได้
---พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ "ละเสีย" แม้บางครั้งจะต้องใช้วิธีค่อนข้างรุนแรง ก็ทรงทำลำพังศรัทธาเพียงอย่างเดียว เมื่อไม่ก้าวหน้าต่อไปตามลำดับ จนถึงขั้นปัญญา ย่อมมีผล อยู่ในขอบเขตจำกัด เพียงแค่สวรรค์เท่านั้น ไม่สามารถให้บรรลุจุดหมายของพุทธธรรมได้ ดังพุทธพจน์ว่า
---"ภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้ว ซึ่งเป็นของง่าย เปิดเผยประกาศไว้ชัด ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ อย่างนี้"
---สำหรับภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ ย่อมไม่มี "วัฏฏะ " เพื่อจะบัญญัติต่อไป
---ภิกษุที่ละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งห้าได้แล้ว ย่อมเป็น "โอปปาติกะ" ปรินิพพานในโลกนั้น
---ภิกษุที่ละสังโยชน์สามได้แล้ว มีราคะ โทสะ โมหะเบาบาง ย่อมเป็น "สกทาคามี "
---ภิกษุที่ละสังโยชน์สามได้ ย่อมเป็น "โสดาบัน" ฯลฯ
---ภิกษุที่เป็นธัมมานุสารี เป็นสัทธานุสารี ย่อมเป็น "ผู้มีสัมโพธิ" เป็นที่หมาย
---ผู้ที่มีเพียงศรัทธา มีเพียงความรักในเรา ย่อมเป็น "ผู้มีสวรรค์" เป็นที่หมาย
*เมื่อรู้เห็นประจักษ์ด้วยปัญญา ก็ไม่ต้องเชื่อด้วยศรัทธา
---ในกระบวนการพัฒนาปัญญา ที่ถือเอาประโยชน์จากศรัทธาอย่างถูกต้อง ปัญญาจะเจริญขึ้นโดยลำดับ จนถึงขั้นเป็น "ญาณทัสสนะ" คือเป็นการรู้การเห็น ในขั้นนี้ จะไม่ต้องใช้ความเชื่อและความเห็นอีกต่อไป เพราะรู้เห็นประจักษ์แก่ตนเอง จึงเป็นขั้นที่พ้นขอบเขตของศรัทธา
---สรุป....อีกครั้ง ความเชื่อในทางพระพุทธศาสนาต้องประกอบพร้อมด้วยความเชื่อทั้ง ๓ คือ เชื่อกรรม ๑ ความเพียร ๑ , ปัญญา ๑ ให้เสมอกันก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในกาลทั้งปวง ฯ
...................................................................
อ้างอิงพระธรรมปิฎก. พุทธธรรม. กรุงเทพมหานคร
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว ป.)
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 20 กันยายน 2558
ความคิดเห็น