มนุษย์ (ปุถุชน)
---ในคัมภีร์สัทธัมมปกาสินี อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค กล่าวไว้ว่า
---"ปุถุนานาภิสํขาเร อภิสํขโรนฺตีติ ปุถุชฺชนา" เป็นอาทิ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ที่ได้นามว่าเป็น "ปุถุชน" ก็เพราะมีการปรุงแต่งอภิสังขารนานาประการ อีกเป็นอันมาก หมายความว่า ยังต้องไปเกิดในอบายภูมิ
---ด้วยอำนาจแห่ง "อปุญญาภิสังขาร" คือ ความปรุงแต่งแห่งอกุศลกรรม ความชั่วร้ายอีกเป็นอันมาก และยังต้องไปเกิดในกามสุคติภูมิ
---ด้วยอำนาจแห่ง "ปุญญาภิสังขาร" คือ ความปรุงแต่งแห่ง กามาวจร กุศลกรรมความดีอีกเป็นอันมาก ทั้งยังต้องไปเกิดใน รูปาวจรภูมิ, อรูปาวจรภูมิ
---ด้วยอำนาจแห่ง "อเนญชาภิสังขาร" คือ ความปรุงแต่งแห่ง รูปาวจร, อรูปาวจร กุศลกรรมอีกเป็น อันมาก
---นอกจากนี้ยังมี อรรถาธิบายคำว่า "ปุุถุชน" ไว้อีกหลายนัย เช่นว่า สัตว์์โลกทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าเป็น ปุถุชน ก็เพราะเหตุดังต่่่อไปนี้ คือ
---เป็นผู้ไร้การศึกษา ไร้พิจารณาไต่ถาม ไร้สดับตรับฟัง และไร้ความทรงไว้ซึ่งความรู้ในสภาพธรรม ตามความเป็นจริง เช่น เรื่องของขันธ์ ธาตุอายตนะ เป็นอาทิ เป็นผู้ประกอบด้วยเหตุอันชั่วร้าย โดยเป็นผู้ยัง อกุศลธรรมอันมากมายมีกิเลส เป็นต้น ให้เกิดขึ้นวุ่นวายนานาประการ
---เป็นผู้มีสักกายทิฐิ คือ ความสำคัญผิดในขันธ์ห้าหรือรูปนามประจำอยู่ในสันดานอย่างเหนียวแน่น โดยเหตุที่ตนยังละ สักกายทิฐินั้น ไม่ได้ เป็นผู้้เบือนหน้าจากศาสนธรรม คำสั่งสอนแห่งองค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีมรรคผลและพระนิพพานเป็นจุดมุ่งหมาย
---เป็นผู้ติดแน่นอยู่ในคติภพทั้งปวง ไม่สามารถที่จะนำตนให้หลุดพ้นออกไปจาคติภพทั้งปวงได้ หมายความว่า ต้องเที่ยววิ่งพล่านไปในคติ คือ ไปเกิดในภูมิต่างๆ เรื่อยไปนั่นเอง ; เป็นผู้ยังต้องมีความเดือดร้อนทุรนทุราย ด้วยความเดือดร้อนทุรนทุราย ซึ่งมีอยู่มากมายในภูมิต่างๆ เป็นอันมาก เพราะเหตุที่ ความเดือดร้อนทุรนทุราย ทั้งหลายนั้น ตนก็ไม่สามารถที่จะละได้
---เป็นผู้มีความกำหนัดรักใคร่และพอใจสยบอยู่ในเบญจกามคุณารมณ์ทั้ง ๕ กล่าวคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งนี้ ก็เพราะเหตุที่เบญจกามคุณารมณ์เหล่านั้น ตนยังไม่สามารถที่จะละได้ เป็นผู้ถูกนิวรณ์ทั้ง ๕ กล่าวคือ กามฉันทนิวรณ์, พยาบาทนิวรณ์, ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์, วิจิกิจฉานิวรณ์ เสียบแทงติดแน่นอยู่ในจิตใจเสมอเป็นนิตย์ ทั้งนี้ก็เพราะเหตุที่นิวรณ์เหล่านั้น ตนยังไม่สามารถที่จะละได้
---เป็นผู้ที่ติดอยู่ในหมู่สัตว์ที่ว่ามีธรรมสมาจารอันต่ำทราม เบือนหน้าจากพระอริยธรรม ซึ่งมีอยู่ในจักรวาลนี้มากมาย สุดที่จักนับจักประมาณได้ เพราะมิใช่เป็นผู้ประกอบด้วยพระอริยธรรม อันประเสริฐดังนี้ เป็นต้น สัตว์โลกทั้งหลาย ซึ่งยังได้นามว่าเป็นปุถุชน เพราะเหตุหลายอย่างหลายประการ ดังกล่าวมานี้ ย่อมเป็นผู้มีปรกติท่องเที่ยว เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร อันมีความยาวนานนักหนา โดยมิรู้จักจบจักสิ้นไปได้
---อะไรเป็นเหตุ ให้สัตว์โลกทั้งหลายผู้ยังเป็นปุถุชนเจ้า ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร อันมีความยาวนาน โดยมิรู้จักจบจักสิ้นเช่นนั้น
---จะอะไรเสียอีกเล่า ก็เพราะ "กรรม"ของปุถุชน คือ กรรมทั้งหลายของสัตว์โลกที่ยังเป็นปุถุชนนั่นเอง เป็นเหตุให้สัตว์โลกปุถุชน ต้องท่องเที่ยวเวียนว่ายตาย เกิดอยู่ในวัฏสงสารอันยาวนานนี้ ตราบใดที่ยังมีกรรมอันเป็นพืชติดอยู่ในสันดาน ตราบนั้น กรรมอันเป็นพืชเป็นเผ่าพันธุ์ ก็จักบันดาลให้เวียนเกิด เวียนตายอยู่ในวัฏสงสารนี้อยู่ร่ำไป โดยไม่มีวันสิ้นสุด
---จะทำอย่างไรกันดีล่ะ ทีนี้ สัตว์โลกปุถุชนทั้งหลาย จึงจะพ้นจากการเวียนตาย เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสารอันยาวนาน โดยไม่มีวันสิ้นสุดนั้นเสียได้ เพราะการเวียนตาย เวียนเกิดอย่างซ้ำซากอยู่เช่นนั้น ให้รู้สึกว่าเป็นที่น่ารำคาญ น่าสังเวชใจ และน่าเบื่อหน่าย น่าระอาเป็นหนักหนา
---กรรมฑหนะ จะทำอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจะกระทำกรรม "กรรมฑหนะ" คือ เผาผลาญกรรมทั้งหลายเสียให้สูญสิ้น เมื่อกรรมอันเป็นพืชทั้งหลาย ได้ถูกเผาผลาญเสียให้หมดสิ้นไปแล้ว การเกิดการตายอันน่าเบื่อหน่ายในวัฏสงสารนั้น ย่อมจักพลันถึงความสิ้นสุดลงไปได้อย่างเด็ดขาด ข้อนี้ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงกำหนดจดจำไว้ให้ดี
*สรุปได้ว่า......
---"ปุถุชน" คือ คนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส คนที่ยังมีกิเลสมาก หมายถึง คนธรรมดาทั่วๆ ไป
---ส่วน "อริยบุคคล"บุคคลผู้เป็นอริยะ คือ เป็นผู้บรรลุธรรมวิเศษแล้ว เป็นผู้เข้าสู่กระแสนิพพานแล้ว มี ๔ ประเภท คือ พระโสดาบัน, พระสกิทาคามี, พระอนาคามี และพระอรหันต์
---ปุถุชนเป็นผู้ยังมีคติไม่แน่นอน เมื่อตายไปแล้วยังมีโอกาสในอบายภูมิทั้ง ๔ มีนรก, เปรต, อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉาน หรืออาจจะไปเกิดในกามสุคติภูมิ มีมนุษย์และสวรรค์ ๖ชั้น หรืออาจไปเกิดในพรหมโลก ทั้งรูปภูมิและอรูปภูมิ แต่ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ กำหนดแน่นอนไม่ได้ว่าจะไปเกิดที่ไหน
---กล่าวคือ อริยบุคคลเป็นผู้มีคติแน่นอนแล้ว ท่านเหล่านี้ไม่มีการล่วงศีล ๕ เลย มีปกติไม่ทำผิดศีล (คือถึงขั้นไม่ต้องพยายามรักษา แต่มีปกติเป็นผู้ไม่ทำผิดศีล)เป็นที่แน่นอนว่า ตายแล้วจะมีสุคติ เป็นที่ไป
---ถ้าเป็นพระอรหันต์ ก็นิพพานเลย ถ้าเป็นพระอนาคามี ตายแล้วจะไปเกิดในสุทธาวาสพรหมโลก แล้วนิพพานบนนั้น และอริยบุคคลขั้นต่ำสุด คือ พระโสดาบันตายแล้วขั้นต่ำคือ เกิดเป็นมนุษย์ ไม่ไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำกว่านี้ และจะเกิดอีกสูงสุดไม่เกิน 7 ชาติ จะต้องนิพพานแน่นอนฯ
.......................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว ป.)
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 25 กันยายน 2558
ความคิดเห็น