ประวัติฝ่าพระหัตถ์
---หลังจากพระพุทธองค์ ได้เสด็จไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โปรดพระพุทธมารดา แล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จลงมาบนพื้นมนุษย์โลกในวันออกพรรษา เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งพระพุทธองค์เสด็จประทับยืนที่ฐานศรีษะบันไดในท่ามกลางเทพพรหม
---และพระองค์ ได้ทรงกระทำ "โลกวิวรรณะปาฏิหาริย์ เปิดโลกโดยอาการทอดพระเนตรไปในทิศต่างๆ รวมทั้ง เบื้องบนและเบื้องล่าง" และในทันใดนั้น ทุกทิศทุกทางจะแลโล่งตลอดหมด ไม่มีอันใดปิดบัง เทวดาในสวรรค์จะเห็นมนุษย์ และเห็นถึงยมโลก เห็นนรก และมนุษย์ก็จะเห็นเทวดาในสวรรค์ เห็นสัตว์โลก แม้สัตว์นรกก็จะเห็นมนุษย์ ตลอดเทวดาในสวรรค์ ไม่มีสิ่งใดปิดบัง
---พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำปาฏิหาริย์เปิดโลก พร้อมกับเปล่งฉัพพรรณรังสี ๖ ประการ เป็นมหาอัศจรรย์ พระพุทธองค์เสด็จลงจากเทวโลก โดยบันไดแก้ว ลงมาที่มนุษย์โลก ที่ป่าหิมพานต์ และพระองค์ทรงเดินบิณฑบาต ในเมืองสังกะสะนคร โดยมีเทวดา มนุษย์ และสัตว์ป่า มาใส่บาตร พระพุทธเจ้า ซึ่งในช่วงนั้นเกิดฝนห่าแก้วตกลงมา(แก้ว ๗ ประการ) ซึ่งเป็นสิ่งซึ่งอัศจรรย์มาก และพระพุทธองค์ ทรงบิณฑบาตโปรดเวไนยสัตว์ ทั้งหลายในมนุษย์โลก
---จนมาถึงเขาช้างสาร พอพระองค์ ทรงจังหันเสร็จ พระพุทธองค์ทรงตรวจดูสถานที่นั้น ด้วยทิพย จักขุญาณว่า ใต้ภูเขาช้างสารจะเป็นที่สักการะที่พึ่งและเจริญรุ่งเรือง ในช่วงที่จะสิ้นศาสนาของพระองค์ (๕,๐๐๐ พระวัสสา)
---พระองค์ก็ทรงเมตตาประทับรอยพระบาทคู่ ไว้หน้าปากถ้ำดอยช้างสาร และประทับฝ่าพระหัตถ์ (ด้านขวามือ) ไว้ในถ้ำจั๊กต่อ เพื่อให้เป็นที่สักการะบูชาแก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่พระพุทธองค์ ได้ทรงเมตตาบิณฑบาตโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายและเหมือนกับทรงปลดปล่อยความทุกข์ ของสัพพสัตว์ทั้งหลายในอบายภูมิ เป็นต้น
---จึงได้ทรงประทับฝ่าพระหัตถ์เป็นสัญลักษณ์เป็นการเปิดโลก (เปิดสวรรค์ มนุษย์ นรก) โลกทั้ง ๓ ที่ได้เสด็จบิณฑบาตไปโปรดสวรรค์ มนุษย์ นรก จะพ้นบาปกรรมและบรรลุธรรมเข้าสู่พระนิพพานในที่สุด และพระองค์ทรงอธิษฐาน ในสถานที่แห่งนี้เป็นที่พึ่งแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อจะได้เป็นที่สักการะในช่วงใกล้สิ้นศาสนาของพระองค์ (๕,๐๐๐ พระวัสสา)
---มีชาวป่าคนหนึ่งได้เดินทางไปพบพระพุทธเจ้าในที่นี้ จึงเกิดความศัทธาเลื่อมใส ได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์ จึงขอบวชเป็นฤาษี ปฏิบัติเฝ้ารอยพระบาทคู่และฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธองค์ ในถ้ำนี้จะเป็นรอยเท้าฤาษีองค์นี้และอัฐิธาตุของฤาษีองค์นี้เหมือนกับโบราณกาล
---ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีประเพณีสืบกันมาช้านาน พอถึงวันออกพรรษาคือ วันเทโวโรหณะ วันที่พระพุทธเจ้าเปิดโลกก็จะทำบุญแต่งปราสาท เอาพระพุทธรูปตั้งไว้ และทำบุญตักบาตร พร้อมกับทำรูปสัตว์ป่าหิมพานต์ มีนาคเป็นต้น แห่และทำบุญตักบาตรพร้อมกันในวันนี้ โดยความหมายแล้ว ประเพณีอันนี้สืบเนื่องมาจากรอยพระพุทธบาทคู่และฝ่าพระหัตถ์
---ปัจจุบันนี้ ไม่มีใครสามารถรู้ถึงความเป็นมาเหล่านี้ได้ เพราะพระพุทธบาทคู่และรอยฝ่าพระหัตถ์ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิด และการเดินที่จะไปกราบสักการะบูชา ต้องเดินทางด้วยความยากลำบาก แต่มีผู้รู้บางคนวินิจฉัยว่า คงเหลือเวลาอีกไม่นานเท่าไหร่ ก็จะถูกเปิดเผย และเป็นที่สักการะบูชาของสัพพสัตว์ทั้งหลาย ในเมื่อยุคโลกาภิวัฒน์ วัตถุเจริญจนแตกสลายลงตามธรรมชาติ ตามสภาพเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไม่ว่ายุคไหน
---พระพุทธบาทคู่และรอยฝ่าพระหัตถ์ จึงเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่รองลงมาจาก พระพุทธบาทสี่รอย(เพราะเป็นรอยของพระพุทธองค์ๆเดียวเท่านั้น) พระพุทธบาทสี่รอยเป็นพี่ (เพราะเป็นรอยของพระพุทธองค์ทั้ง ๔ พระองค์) พระพุทธบาทคู่ (ถ้ำจั๊กต่อ) เป็นน้อง
---แต่ฤาษีที่ดูแลอยู่ที่พระพุทธบาทสี่รอยเป็นน้องฤาษีที่ถ้ำพระพุทธบาทคู่ หากเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วมีโอกาสและเวลาแล้ว ก็ควรที่จะหาโอกาสไปกราบสักการะบูชาพระพุทธบาททั้งสองที่นี้ ด้วยอามิสบูชา และปฏิบัติบูชาย่อมได้ผลานิสงส์บุญบารมีตามความปรารถนา อยู่ที่ถ้ำจั๊กต่อ ต.หมอกจำแป่ อ.เมือง จังหวัด แม่ฮ่องสอน ครับ เป็นถ้ำน้อง พระพุทธบาท 4 รอยที่แม่ริม จว.เชียงใหม่เป็นถ้ำพี่
อานิสงส์การกราบไหว้บูชารอยพระพุทธบาท, พระพุทธหัตถ์และพระบรมสารีริกธาตุ
---ในต้อนท้ายของหนังสือตำนานพระพุทธเจ้าเหยียบโลกกล่าวไว้ว่า..."บุคคลใด คือคฤหัสถ์หรือนักบวชทั้งหลาย ทั้งหญิงทั้งชาย ได้มีใจบังเกิดความศรัทธาเลื่อมใส ในการคัดลอกตำนานเรื่องนี้ ด้วยตนเองก็ดี ได้มีจิตรำลึกคิดถึงเรื่องราวของตำนานก็ดี ได้สักการะบูชาด้วยสิ่งของต่างๆ เป็นต้นว่า ข้าวตอก ดอกไม้ ข้าว ปลาอาหาร แก้วแหวนเงินทอง ธูปเทียน ฉัตรเงินฉัตรทอง และธงด้วยความเคารพอย่างยิ่งก็ดี ได้จดจำเรื่องราวของตำนานไว้ก็ดี ได้บอกเล่าให้ท่านผู้อื่นฟังก็ดี
---ได้แสดงความเคารพด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจก็ดี ได้เทศน์ให้คนและเทวดาทั้งหลายฟังก็ดี เมื่อเทศน์หรือเมื่อฟังด้วยความเคารพ เกิดความเลื่อมใสยินดีในพระพุทธบาทและพระบรมธาตุ ที่พระพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาธิคุณเสด็จไปเผยแผ่ และทรงเหยียบรอยพระพุทธบาทและประดิษฐานพระบรมธาตุไว้เมื่อครั้งพระยังทรงพระชนม์อยู่ก็ดี และเมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
---พระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ อัญเชิญพระบรมธาตุไปประดิษฐานไว้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของคนและเทวดาทั้งหลายก็ดี บุคคลชายหญิงคฤหัสถ์และนักบวชทั้งหลายนั้น ก็จะได้ผลานิสงส์เป็นอันมาก จนไม่อาจที่จะกำหนดนับได้
---ท่านทั้งหลายที่กระทำดังกล่าวมา ได้ชื่อว่าเป็น "อวินิปาตบุคคล" คือบุคคลที่ไม่มีโอกาสได้ไปเกิดในอบายภูมิทั้งสี่ มีแต่จะพุ่งดิ่งตรงต่อพระนิพพาน เพราะบุคคลผู้นั้นเสมอดังได้รู้ได้เห็น และได้ปฏิบัติอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา
---ประการหนึ่ง เสมอดังได้พูดได้ คุยได้ ถามปัญหาซึ่งพระพุทธเจ้าทุกวันทุกเวลา
---ประการหนึ่ง เสมอดังได้เดินตามหลังพระพุทธเจ้าทุกบาททุกก้าว
---ประการหนึ่งเสมอดัง ได้ปลูกสร้างพระเจดีย์ พระวิหารอันเป็นที่สำราญของพระบาทและ พระธาตุเจ้าทั้งหลายที่ได้กล่าวมาทุกแห่ง
---ประการหนึ่งเสมอดัง ได้บำเพ็ญกุศล ส่วนบุญด้วยปาก ด้วยกายและด้วยใจ ทุกเวลาด้วยเดชแห่งผลานิสงส์ดังนี้ จะอุปถัมภ์ค้ำชูอุดหนุนให้ตั้งอยู่ในทางสัมมาปฏิบัติ ประกอบด้วยยศศักดิ์ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ เป็นผู้ฉลาด มีญาณปัญญายิ่งกว่าคนทั้งหลาย ภัยอันตรายต่างๆ ก็ดี โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็ดี อุบาทว์และศัตรูต่างๆ ก็ดี ย่อมระงับดับหายไป จะสัมฤทธิ์สมบูรณ์ด้วยทรัพย์ สิ่งของเงิน ทอง ข้าวเปลือก ข้าวสาร ทั้งปศุสัตว์ จักอุดมด้วยฤทธิ์เดชยิ่งนัก จะประสบสุขในชาตินี้และชาติต่อๆ ไป ยิ่งกว่าคนและเทวดาทั้งหลาย หากมีบุญสมภารมาก ก็จะได้ถึงพระนิพพานในศาสนาของพระพุทธเจ้าโคตมะนั้นแน่นอน
ตำนานพระพุทธหัตถ์
---พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึง เรื่องราวเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้อย่างมากมาย ไม่ว่าการลอยกายขึ้นไปบนอากาศ การเดินบนน้ำ การย่นระยะทาง และต่างๆ อีกมาก
---มีเรื่องเล่าไว้ว่า สมัยหนึ่งพระพุทธองค์ทรงเสด็จมายังแถบสุวรรณภูมิ ด้วยการเหาะมาทางอากาศ และได้ประทับรอยพระบาท และรอยพระหัตถ์ไว้ตามสถานที่ต่างๆ ด้วยกัน
---แต่โดยมากแล้วจะประทับรอยพระพุทธบาทเอาไว้ ซึ่งตำนานที่พระพุทธเจ้าเสด็จมายังสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะแถบภาคเหนือหรือล้านนานั้น มีบันทึกเป็นตำนานเรียกว่า ตำนานพระเจ้าเหยียบโลก หมายถึง การเดินทางของพระพุทธเจ้าไปตามสถานที่ต่างๆ
---เพื่อโปรดสรรพสัตว์นั่นเอง หนึ่งในสถานที่สำคัญที่สุด ที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมายังแถบสุวรรณภูมิ คือ ถ้ำจั๊กต่อ จ.แม่ฮ่องสอน สถานที่แห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานรอยพระบาทคู่ และสิ่งที่เป็นหัวใจของถ้ำแห่งนี้คือ รอยพระหัตถ์ข้างขวา ซึ่งนับเป็นสิ่งที่หายากที่สุด
---สำหรับตำนานของสถานที่แห่งนี้เล่ากันไว้ว่า สมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น พระพุทธองค์ทรงได้ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพุทธมารดาเป็นเวลา ๑ พรรษา เมื่อครบกำหนดเวลาแล้วพระพุทธองค์ทรงเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วแสดงปาฏิหาริย์เปิดโลก ทำให้นรก โลกมนุษย์ และเทวดาได้เห็นซึ่งกันและกัน จากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรวจดูด้วยพระญาณว่า สถานที่แห่งใดจะเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธศาสนาในกาลข้างหน้า
---พระองค์ทรงทราบว่า สุวรรณภูมิจักเป็นที่ประดิษฐาน และทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง พระพุทธองค์ จึงได้ทำปาฏิหาริย์เสด็จมายังสุวรรณภูมิ พร้อมด้วยพระอรหันตสาวก มาทางอากาศ
---เพื่อทำการโปรดสรรพสัตว์ เล่าว่าพระพุทธองค์ทรงมาโปรดประทับรอยพระบาท ที่พระบาทสี่รอยก่อน เพื่อโปรดฤาษีที่บำเพ็ญภาวนาอยู่ที่เขาแห่งนี้ด้วย พระฤาษีตนดังกล่าว มีน้องบวชเป็นฤาษีจำศีลภาวนาอยู่ที่ถ้ำจั๊กต่อ จ.แม่ฮ่องสอน ด้วย
---เมื่อทำการประทับรอยพระพุทธบาทที่พระบาทสี่รอย เรียบร้อยแล้ว พระพุทธองค์ทรงจึงได้เสด็จไปโปรดฤาษีผู้น้องต่อไป และที่นั่นพระพุทธองค์ ได้ประทับรอยพระบาทคู่ พร้อมทั้งรอยพระพุทธหัตถ์เอาไว้ เพื่อเป็นที่สักการะของผู้ศรัทธา
---ตามตำนานกล่าวว่า รอยพระหัตถ์ข้างซ้ายนั้นประทับอยู่ในเมืองพม่า ลักษณะของรอยพระหัตถ์ที่ประทับลงบนแผ่นหินนั้น มีลักษณะใหญ่ นิ้วมือทั้ง ๕ เสมอกัน มีรอยก้นหอยชัดเจน
---มีผู้คนนำทองคำเปลวไปปิดจนเห็นเป็นสีทองอร่ามไปทั่ว เล่าว่า ถ้ำรอยพระหัตถ์แห่งนี้ เป็นสถานที่หวงแหนของเทพเทวดา มีพญานาคคอยรักษาอยู่ แม้ว่ามีหลายกลุ่มบุคคลพยายามทำการบุกเบิก แต่ก็ไม่สามารถทำได้
---คล้ายกับว่าสิ่งลี้ลับบางอย่างพยายามปกปิดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เอาไว้ ด้วยเกรงว่าเมื่อคนเข้ามามากแล้วจะทำให้สถานที่ขาดความสงบและสกปรกได้ การเดินทางไปยังถ้ำพระพุทธหัตถ์ หรือถ้ำจั๊กต่อแห่งนี้นั้นนับว่ายากลำบากพอสมควร สถานที่ตั้งถ้ำแห่งนี้อยู่ที่บ้านหมอกจำแป่ ซึ่งไกลออกไปจากอำเภอปายนับร้อยกิโล
---หากเดินทางจากตัวจังหวัดเชียงใหม่ ต้องใช้เวลาอย่างต่ำถึง ๗ ชั่วโมงด้วยกัน รถของทางทีมงานต้องจอดไว้ที่ฝายน้ำ จากนั้นต้องเดินขึ้นเขาไปเป็นระยะทางประมาณ ๑ กิโล ใช้เวลาเดินทางร่วมชั่วโมง ธรรมชาติโดยรอบนั้นเป็นป่าเบญจพรรณ มีต้นสักขึ้นเป็นจำนวนมาก
---ทางขึ้นค่อนข้างลาดชันพอสมควร ทำให้การเดินทางขาขึ้นเป็นไปได้อย่างช้าๆ และต้องหยุดพักกันเป็นระยะๆ สิ่งที่แปลกคือ การเดินทางขึ้นเขาเพื่อไปสักการะรอยพระหัตถ์นั้น บรรยากาศรอบตัวร้อนมาก แต่ทันทีที่ไปถึงถ้ำรอยพระหัตถ์แล้ว บรรยากาศกลับเย็นลงอย่างผิดสังเกตุ
---ความเย็นจากภายในถ้ำฝ่าพระหัตถ์นั้นเรียกว่าเย็นจนหนาวเข้าไปข้างใน นับว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่น่าอัศจรรย์ไม่น้อย จนบางคนที่มาสัมผัสเชื่อว่า นี่เป็นอีกหนึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของรอยพระหัตถ์ที่ประทับไว้ ณ ที่นี่
---ตามตำนานกล่าวว่า การที่พระพุทธองค์ประทับรอยพระหัตถ์ลงในแผ่นหินนั้น เป็นการแสดงฤทธิ์ของพระพุทธองค์วิธีหนึ่ง เล่าว่า ยามที่พระพุทธองค์ประทับรอยพระหัตถ์นั้น หินจะอ่อนนิ่มลงไป ทั้งยังขยายขนาดออกไปเป็นพิสดาร
---ดังนั้น รอยพระหัตถ์และรอยพระบาทที่พระองค์ทรงประทับไว้ จึงมีขนาดใหญ่กว่ารอยฝ่ามือ ฝ่าเท้าของคนธรรมดาทั่วไป เป็นที่เชื่อกันว่า ร่างกายของพระพุทธองค์นั้นเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่นเส้นเกศา อัฐิที่เรียกว่าพระบรมสารีริกธาตุ หรือรอยพระบาทและรอยพระหัตถ์ สำหรับรอยพระหัตถ์นั้นถือว่าเป็นสิ่งพิเศษ เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งการห้ามบาปทั้งปวง
---เพราะยามเมื่อพระพุทธองค์ไปโปรดสัตว์ที่กำลังจะทำบาป พระองค์จะยกมือ (พระหัตถ์ขึ้นปราม) หรือการประทานพรก็ดี พระองค์จะทำการยกมือประทานพรให้ ดังนั้น พระหัตถ์ของพระพุทธองค์จึงถือว่าเป็นสิ่งที่ทรงพลังและเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นมงคลอย่างที่สุด
---ในขณะที่พระบาทของพระองค์เป็นเครื่องหมายแห่งการก้าวไปสู่สิ่งที่ดี เดินไปสู่ความสงบ และพระหัตถ์พร้อมทั้งพระบาทนั้น ยังเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงการกระทำความดี เพราะมนุษย์เรานั้นย่อมทำการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ด้วยการใช้สองมือและสองเท้า
---ดังนั้น รอยพระหัตถ์และรอยพระบาทที่พระพุทธองค์ทรงประทับไว้นั้น ย่อมเป็นเครื่องหมายแห่งการกระทำความดี เพื่อประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมนั่นเอง จากคติดังกล่าว ผู้ที่นิยมมาสักการะรอยพระพุทธหัตถ์ ณ ถ้ำแห่งนี้ จึงมักมาขอพรให้ตนเองเจริญขึ้นในเรื่องการทำกรรมฐาน มีผู้แสวงหาธรรมจำนวนมากที่ดั้นด้นมา ณ สถานที่แห่งนี้ เพื่อมาเจริญกรรมฐาน หวังมรรคผลนิพพาน
---ซึ่งหลายท่านกล่าวว่า สถานที่แห่งนี้แปลกกว่าสถานที่ทั่วไป เพราะเมื่อมาเจริญกรรมฐานแล้ว สามารถสงบจิตในระดับลึกได้ง่ายกว่าสถานที่อื่นๆ เหมือนว่ามีพลังงานบางอย่างคอยสนับสนุนในการทำกรรมฐานนั้น
---นอกจากนี้ ยังเล่ากันว่าภายในถ้ำที่ลึกลงไปยังมีสิ่งแปลกประหลาดมากมาย เป็นถ้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ เข้าตำราลักษณะถ้ำที่เรียกว่า ถ้ำลอดปรอทขาว ซึ่งหมายถึง ถ้ำที่มีแร่กายสิทธิ์ มีสิ่งลี้ลับซ่อนอยู่
---ชาวบ้านเล่าว่า ภายในถ้ำนั้นมีโครงกระดูกของผู้ปฏิบัติธรรม นั่งละสังขารอยู่ภายในถ้ำลึก แต่ด้วยความยากลำบากในการเข้าถ้ำ ซึ่งบางช่วงต้องลอด บางช่วงต้องปีนบนโขดหิน ซึ่งสภาพภายในถ้ำนั้นมีลักษณะเป็นโขดหินสลับกับพื้นดินเหนียว
---มีน้ำลอดใต้ถ้ำ การเดินทางจึงยากลำบากและเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง อาจเกิดอุบิเหตุขึ้นได้ อย่างไรก็ตามจากการไปสัมผัสถ้ำพระพุทธหัตถ์ หรือถ้ำจั๊กต่อแห่งนี้ นับว่าเป็นถ้ำลึกลับแห่งหนึ่งที่ยังซ่อนสายตาของคนทั่วไป และตามคติความเชื่อของทางเหนือนั้น ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่กันกับพระพุทธบาทสี่รอย
---หากใครได้ไปไหว้พระบาทสี่รอยแล้วก็ควรมากราบไหว้ ถ้ำพระพุทธหัตถ์แห่งนี้ให้ได้ ใครได้มากราบไหว้สองสถานที่นี้ ถือว่าเป็นบุญกุศลในชีวิตอย่างสูงสุด
---เมื่อมากราบไหว้แล้ว ก็ควรอธิษฐานให้ตนเองได้ประสบมรรคผลนิพพาน มีดวงตาเห็นธรรม หากอธิษฐานด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาแล้ว ชีวิตของบุคคลผู้นั้ นย่อมประสบแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ทุกชีวิตต้องการและเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาซื้อได้ ด้วยเงินทอง แม้ว่าจะมีเงินมหาศาล มีอำนาจในการบังคับผู้อื่น แต่สิ่งเหล่านั้นไม่อาจแลกกับความสุขของชีวิตได้เลย ดังนั้นการแสวงหาความสงบสุขในชีวิตจึงนับว่าเป็นมงคลอย่างหนึ่งที่เราทุกคน ควรแสวงหา ......
........................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้วบางส่วน ปานรดา)
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 25 สิงหาคม 2558
ความคิดเห็น