คำพยาการณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า
---“อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะเกิดการณ์ร้ายแรง จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ ไฟจะลงมาจากอากาศ จะเผาผลาญประชาชนให้พินาศ จะมีการล้มตายซึ่งกันและกันเป็นอันมาก"
---"แต่ว่า ดูก่อนอานนท์ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะถือว่าเป็นการณ์ร้ายแรงหาได้ไม่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว อานันทะ ดูก่อนอานนท์ จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตายกันฝ่ายละมาก ๆ สมณะ ซี พราหมณ์ จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงเลิกรากัน สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก”
---พระพุทธเจ้าตรัสว่า ค.ศ. 2000 โลกจะไม่สลาย พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ได้ตลอด 5000 ปี ทรงตรัสชี้ว่า เขตประเทศต่อไปนี้ จะเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก จะสามารถทรงพระพุทธศาสนาตลอด 5000 ปี นี่หมายถึง "ประเทศไทย"
---ถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้น คนไทยจะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้น ในเมื่อเห็นการสูญเสีย ความตายเกิดขึ้น ความทุกข์ก็เกิดขึ้น จิตใจก็เริ่มเป็นกุศล เวลานั้นบรรดาพุทธศาสนิกชนก็จะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้น เพราะกลัวตาย
---สำหรับท่านนักปฏิบัติ ที่เจริญสมาธิจิตก็จะเร่งรัดตัวเอง กำลังใจก็จะมีสมาธิ ในที่สุดอภิญญาก็จะเกิด ในเมื่ออภิญญาเกิดก็จะเอามาช่วยบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ให้มีความสุขปลอดภัย ขอให้ทุกท่านยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้าที่ให้ไว้คือ
*สังคหวัตถุ 4 ได้แก่
---1.1 ทาน การให้ ให้มีการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน สร้างความรักเข้าไว้ อย่าสร้างศัตรู
---1.2 ปิยวาจา พูดดี พูดให้คนที่รับฟังมีความสุข เขาจะรักเรา เราก็มีความสุข
---1.3 อัตถจริยา ช่วยเหลือการงานซึ่งกันและกัน
---1.4 สมานัตตตา ไม่ถือตัว ไม่ถือตน
*พรหมวิหาร 4 ได้แก่
---2.1 เมตตา ความรัก
---2.2 กรุณา ความสงสาร
---2.3 มุทิตา มีจิตอ่อนโยน เห็นใครได้ก็ยินดีด้วย
---2.4 อุเบกขา วางเฉยเมื่อเหตุร้ายเกิดขึ้น ไม่ดิ้นรน ยอมรับตามความเป็นจริง
---จงอย่าประมาทในชีวิต จงทรงจิตของท่านให้มีความมั่นคงในคุณพระรัตนตรัย 3 ประการ คือ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มีจิต ยึดพระพุทธคุณ ให้ภาวนาว่า “พุทโธ”
---ก่อนจะหลับให้กำหนดการเข้าออกของลมหายใจ หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” และเวลา ตื่นนอนใหม่ๆ ทำแบบนี้เป็นปกติ เวลาที่ยังตื่นอยู่ ถ้าคิดขึ้นมาได้เมื่อไหร่ ก็ทำใจให้นึกถึง ความดีขององค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาวนาว่า “พุทโธ” เป็นปกติอย่างนี้ ได้ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงไตรสรณคมน์ พุทธรัตน ธรรมรัตน และสังฆรัตน ทั้ง 3 ประการ จิตของท่านจะทรงสมาธิ อำนาจบารมีของพระพุทธเจ้า จะทำจิตใจของท่านให้เยือกเย็นมีความสุข อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย ก็จะพ้นภัยด้วยอำนาจ ของพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ
---ถ้าจิตของเราไม่นิยมในขันธ์ 5 หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จิตเราเกาะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์อยู่ที่ไหนเราจะไปที่นั่น, ท่านจะพ้นจากกิเลส จะเข้าถึงพระนิพพานได้
---นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ (3จบ)
---พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
---ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
---สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
*การเตรียมตัวรับมือภัยธรรมชาติครั้งใหญ่
---1.ก่อนการเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ 15 วัน โลกจะเอียงก้มหัวให้ดวงอาทิตย์มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้น้ำแข็ง จากขั้วโลกเหนือละลาย จะนำไปสู่คลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่แผ่นดิน (ปัจจุบันเกิดขึ้นแล้ว)
---2.เกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่เป็นเวลา 49 วัน ในระหว่างเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน
---3.ฝนตกครั้งใหญ่ทั่วโลก (ระยะชำระล้างเป็นเวลา 7 วัน)
(ใน 3 วันแรกจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ที่ทวีปเอเชีย ในประเทศที่เป็นอริต่อกัน)
*ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
---1.เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่
---2.พายุถล่ม
---3.แผ่นดินแยกและแผ่นดินไหว
---4.ภูเขาไฟระเบิด
(จังหวัดทางภาคกลาง 2 ลูก, ภาคเหนือตอนล่าง 3 ลูก, อีกทั้งที่จังหวัด ราชบุรี น่าน แพร่ อ.ร้องกวาง)
---5.คลื่นยักษ์จากทะเล
---6.โรคระบาดที่สุดจะเยียวยา ได้แก่ Virusteria, อหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่ ผู้ที่ได้รับเชื้อจะเสียชีวิตทันที ภายใน 6 วัน
---7.คลื่นเสียงที่รุนแรง ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตยังไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนั้นมาก่อน
---8.อดอยากขาดแคลนอาหาร
*การเตรียมตัวเตรียมปัจจัยเพื่อตนเองและสมาชิกในครอบครัว
---1.เตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้ที่บ้านอย่างน้อย 3-6 เดือน
---2.เครื่องนุ่งห่มเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย ได้แก่ เสื้อผ้า, กระเป๋าน้ำร้อน, ผ้าห่ม ฯลฯ เพราะในช่วงเวลานั้น อากาศจะหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
---3.เครื่องใช้ที่จำเป็น
---4.ที่อยู่อาศัย
---5.ยารักษาโรค
---6.ด่างทับทิมและคาราไมล์ (จำเป็นมาก) ห้ามกินอาหารที่ไม่ได้ล้างด้วยด่างทับทิม เพราะจะมีทั้งเชื้อโรคและสาร กัมมันตรังสี, ส่วนอาราไมล์ จะมีไว้รักษาโรคทางผิวหนังที่ดูเหมือนจะยากต่อการรักษา แต่เมื่อทาคาราไมล์แล้ว จะหายได้อย่างน่าอัศจรรย์
---7.ยานพาหนะ เช่น เรือ, เสื้อชูชีพ
---8.เครื่องช่วยชีวิต
---9.แสงสว่าง เช่น เทียน, ตะเกียงพายุ (เวลานั้นท้องฟ้าจะมืดมิด 7 วัน เท่ากับ 1 ราตรี และจะมืดมิดรวม 7 ราตรี หรือ 49 วัน ไฟฟ้าจะดับทั่วโลก)
---10.เตรียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
*การดุแลตัวเองในช่วงวิกฤติ
---1.ห้ามออกนอกบ้านโดยเด็ดขาด, ใครมาเคาะประตูบ้านก็ห้ามเปิด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นญาติสนิทหรือคนที่เรารู้จัก ก็ตาม
---2.ห้ามตากฝน เพราะในฝนจะมีพิษ ทั้งเชื้อโรคและสารเคมีที่มนุษย์สร้างขึ้น
---3.ห้ามลุยน้ำหรือแช่น้ำนานๆ แต่ถ้าหลีกเลียงไม่ได้ ต้องใช้ด่างทับทิมล้างทุกครั้ง
---4.ห้ามเปิดประตูต้อนรับผู้อื่น เพราะช่วงเวลานั้นประตูมิติของโลกทั้ง 3 ภพ จะถูกเปิดเป็นครั้งแรก ผู้ไม่เชื่อเรื่องผีสาง, จิตวิญญาณ ก็จะได้เห็น, คนที่มาเยือนอาจเป็นผีเปรต, ผีโขมด ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา จำแลง มาก็เป็นได้และห้ามอยากรู้อยากเห็นโดยเด็ดขาด
---5.ห้ามกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด
---6.ห้ามกินผักที่ยังไม่ได้แช่ด่างทับทิม
---7.ฝึกการกินน้อย ถ่ายน้อย
---8.ระวังอากาศที่หนาวเย็น
---9.ระวังสัตว์ร้าย สัตว์มีพิษ เช่น งูพิษ, จระเข้
---10.ห้ามอยู่ตึกสูงเกิน 3 ชั้น เพราะตึกสูงเกิน 3 ชั้น จะพังทลายราบเป็นหน้ากลอง
*การเตรียมจิตวิญญาณ
---1.ชำระกรรมให้เบาบางโดย หยุดโลภ, โกรธ, หลง ทำจิตใจให้สงบ, เบิกบาน เพราะวันนั้น จะมีผู้ที่เส้นโลหิตใน สมองแตกเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เพราะเสียงที่ดังกึกก้อง ไปกระตุ้นเส้นเลือดในสมองให้แตก ดังนั้น ต้องปล่อยวาง ทำจิตให้เป็นบวก จะช่วยได้มาก
---2.มีสำนึกทางจิตวิญญาณ
---3.ฝึกการละวาง
---4.มีสติรู้ตัวตลอดเวลา
---5.ฝึกการทำโฆษกรรม ขออภัยต่อเจ้ากรรมนายเวร หรือผู้ที่เราล่วงละเมิด
*การดูแลแก่นแท้ยามมีภัย
---1.ได้ยินเสียงใด ให้ละวางสิ่งนั้น รู้เห็นสิ่งใด ให้ละวางสิ่งนั้น ต้องไม่รับรู้ ไม่รับเห็น, ไม่รู้ ไม่ชี้, ไม่ว่าจะได้ยินเสียงคนข้างบ้านร้อง เพราะกำลังจะตาย หรือได้ยินเสียงใดที่น่าหวาดกลัว ต้องได้ยินแล้วผ่านเลยไป หากละวางไม่ได้จะเกิดอาการ “ตายก่อนตาย” (รู้ว่าตนเองจะต้องตายแน่ๆ หรือการตายทั้งเป็น)
---2.ยอมรับให้ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องมีสติตลอดเวลา
---3.อย่าอยู่นิ่งเฉย เพราะจะทำให้กลัวมากขึ้น ควรหากิจกรรมทำ เช่น อ่าน หนังสือธรรมะ เพื่อให้จิตเป็นบวกเกิดความอิ่มเอิบ
---4.สังเกตธรรมชาติก่อนนาทีวิกฤติจะเกิดขึ้น
*ลางบอกเหตุก่อนเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ (ระยะ 2 )
---ท้องฟ้ามืดมิดผิดปกติ
---ใบไม้จะพลิกคว่ำ พลิกหงาย และดูหดหู่
---สัตว์ทั้งหลายจะไม่ปรากฏกายให้เห็น
---แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้าน จะเห็นมันวิ่งลุกลี้ลุกลนผิดปกติ หรือบางตัวจะนอนนิ่งน้ำตาซึม
---เรื่องเวลาที่แน่นอนนั้น ขอบอกตามตรงว่า "ไม่ทราบ" เพราะจริงๆ แล้วน่าจะเกิดตั้งแต่ ค.ศ. 1999 ตามที่ นอสตราดามุสทำนายเอาไว้ แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ในปัจจุบันแล้ว ภัยธรรมชาติที่รุนแรงอย่างไม่เคยพบเห็น มาก่อนในชีวิตนี้ และจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ต่างๆ คิดว่าจะเกิดภายใน 1 – 3 ปีนี้
---เป็นกรรมของสัตว์โลกนะ ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอกว่า "ระบบจะเริ่มล้างมนุษย์ปลายปี 47 แล้วจะมีเหตุอื่นมาล้างเรื่อย ๆ ด้วยระบบภัยพิบัติทางดิน, น้ำ, ลม, ไฟ โรคระบาดและอุบัติภัยสงคราม และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนพระจักรพรรดิลงมาก ภัยพิบัติจึงจะสงบ"
---ต่อไปที่จะวิบัติหนัก ๆ ก็คือ ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อเมริกา ฯลฯ ในโลกนี้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้เพราะกรรมของมนุษย์เป็นแบบนั้น
---สำหรับเมืองไทย ต่อไปกรุงเทพฯ ก็มิใช่จะปลอดภัย เพราะฝ่ายรักษาภายในของกทม. เริ่มถอนระบบออกไปมากแล้ว และต่อไปภาคใต้แทบจะไม่เหลือ จะเป็นเกาะแก่งทั้งหมด เราเข้าใจว่าภัยพิบัติในภาคใต้ สัญญาณของยุคจักรพรรดิที่กำลังจะเริ่มต้น ที่จริงมีสัญญาณอย่างอื่นด้วย แต่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เช่น เรื่องธาตุแก้วเจ็ดประการ ที่เริ่มเข้ามาสู่ระบบแล้ว และมีสิ่งของอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่กระจัดกระจายกันอยู่ในหลายประเทศ เป็นต้น
---ครูบาอาจารย์เคยเล่าว่า แค่นาคโก่งหลังขึ้นมามนุษย์ก็ตายเป็นเบือแล้ว ต่อไปบางที่ก็จะหายไปทั้งเกาะ นี่ยังไม่นับภัยพิบัติจาก ท้าวกกนาคแถวลพบุรี ที่ในไม่ช้า (ช่วงท้ายของภัยพิบัติ) จะลุกขึ้นมา (ภายใน) เพื่อไปรอรับพระจักรพรรดิ
---ขณะที่ทหารลิง 18 กองพล ที่เคยเฝ้ายักษ์ตนนี้อยู่ที่อื่น ครูบาอาจารย์ท่านว่า ยักษ์กกนาค ตนนี้มีพิษมาก แค่พลิกตัว พิษของยักษ์ก็จะทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้ มนุษย์จะตายไปครึ่งโลก แต่คนที่มีศีลก็ไม่เป็นไร
---เราค่อนข้างมั่นใจว่า ภายในปี 2560 ประเทศไทยจะได้เป็นมหาอำนาจและไทยกับลาว จะรวมกันเป็นหนึ่ง (ประเทศเดียวกัน) ท่านไหนที่ขยันหมั่นเพียรรักษาศีล ภาวนา ก็จะได้มีโอกาสอยู่ในยุคใหม่ต่อไป ส่วนท่านที่ยังไม่มีศีลธรรมพอ ก็คงต้องไปตามวิถีกรรมของตนเอง
---ศาสนาอื่นนั้นไม่มีเหลือ เมื่อถึงเวลาแล้ว จะหนีตายมาพึ่งศาสนาพุทธกันหมด เท่าที่ทราบต่อไป มหาอำนาจอย่างเช่น อเมริกา อังกฤษ ฯลฯ จะต้องมาพึ่งพาไทย ศูนย์กลางโลก ศูนย์กลางศาสนา อยู่ในประเทศไทย ซึ่งต่อไป ที่แห่งหนึ่งในประเทศไทย จะเป็นใจกลางโลก ใจกลางศาสนา
---ในยุคจักรพรรดิ ทั้งโลกจะถูกปกครองโดย 3 ร่มโพธิ์ ศรีอัญญาสิทธิ์และอัญญาธรรม พระจักรพรรดิจะเป็นพระมหากษัตริย์ของโลก อย่างที่พวกยิว เขาคิดจะครองโลกกันนั้น ไปไม่ถึงดวงดาวหรอก เพราะวิทยาศาสตร์ถึงทางตันแล้ว เหตุที่เกิดในภาคใต้ ซึ่งเป็นเขตพระพุทธศาสนายังรุนแรงขนาดนี้ ต่อไปเหตุที่เกิดในเขตศาสนาอื่นๆนั้น จะรุนแรงกว่านี้มาก และความหายนะที่จะเกิดขึ้นนั้นก็จะมากด้วย
---ถ้าหากศึกษา ถึงเชื้อของจิตวิญญาณเดิมของการมาเกิดก็จะเข้าใจว่า อย่างอิสลามและคริสต์นั้น เชื้อจิตวิญญาณเดิม หรือต้นธาตุของจิตวิญญาณของพวกนี้ เป็นพวกยักษ์ ตระกูลต่างๆ ดังนั้น ที่ครูบาอาจารย์ท่านว่า พวกยักษ์นอกศาสนา เขาตีกันนั้น ก็พวกยักษ์เหล่านี้แหละที่มีปัญหา
---และพวกยักษ์เหล่านี้ก็มาเกิดมากในยุคนี้ ส่วนใหญ่ในเขตประเทศไทย และประเทศใกล้เคียงจะเป็นเชื้อนาค เชื้อเทวดา เชื้อครุฑ คนในเขตประเทศไทยส่วนใหญ่ ก็วนเวียนอยู่กับการเกิดเป็นเชื้อต่างๆ เหล่านี้ ขึ้นอยู่กับชาติที่ทำบารมีมาเด่นๆ ว่าเคยทำบารมีในภพภูมิไหนมาก ก็จะมีความเกี่ยวพันกันกับภพภูมิเหล่านั้น
---และเมื่อถึงเวลาก็จะเป็นการทำบารมีร่วมกันระหว่างภพภูมิ และบางครั้งการทำงานจากภายใน ก็จะส่งผลออกมาสู่ภายนอก แต่คนไม่เข้าใจ ว่าเกิดอะไรขึ้น ภายในที่เห็นก็คือ ผลที่แสดงออกมาภายนอกและพยายามอธิบายกันด้วยเหตุผลและผลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการรู้นอกแต่ไม่รู้ใน คล้ายๆ กับวิทยาศาสตร์ พยายามอธิบายเหตุผลภายนอก แต่ไม่เข้าใจถึงกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นเหตุอยู่ภายใน เป็นต้น นี่คือรู้ไม่แจ้งในเรื่องนั้นๆ
---ก็เลยเกิดความ “ประมาท” ต่อไป จะมีพระจักรพรรดิเป็นผู้ปกครองโลก พระยาธรรมิก ราช จะคล้ายพระสังฆราชและจะมีพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่ง จะทำหน้าที่คล้ายกับนายกรัฐมนตรี
---ซึ่งสามร่มโพธิ์ศรีก็คือ สามโพธิสัตว์ ที่ลงมาทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนานั่นเอง และก็มีเหล่าอัญญาสิทธิ์ บางคนก็อาจยังไม่รู้ตัวเอง ถึงเวลาแล้วก็คงจะได้เห็นว่าของจริงนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งบางท่านจะมีชื่อเสียงในหมู่เทพ เทวดา, นาค, ครุฑ, กุมภกัณฑ์, ฤาษี, ดาบส ฯลฯ
---พวกเขาเหล่านั้น ก็รอยุคพระยาธรรมิกราช แต่พวกมนุษย์ไม่รู้จัก เพราะท่านเหล่านี้จะอยู่อย่างเงียบ ๆ และลี้ลับ ครูบาอาจารย์ท่านเคยเปรย ๆ ให้ฟังว่า สำหรับผู้ทำบารมีเข้มข้นแล้วนั้น “ดังบ่ดี ดีบ่ดัง”
---จากที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าสู่กันฟัง สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ืไม่มีใครที่จะสามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมเป็นตัวกำหนดและยุคพระยาธรรมิกราช ก็เป็นพุทธประเพณี เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในกึ่งกลางพุทธศาสนา ในยุคของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
---อย่างในยุคพระเวสสันดร หลังจากพระเวสสันดร ได้พรแปดประการ จากพระอินทร์แล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดยุคพระยาธรรมิกราชหรือยุคพระจักรพรรดิขึ้น ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าลูกชายพระเวสสันดร จะเป็นพระจักรพรรดิในสมัยนั้น ในยุคร่วมสมัยปัจจุบันนี้ มีบุคคลผู้หนึ่ง ทำทานบารมีจนได้พรแปดประการ จากพระอินทร์แล้วเช่นกัน ก็พอจะอนุมานได้ว่า ยุคพระยาธรรมิกราชนั้น เข้ามาใกล้ถึงปลายจมูกแล้ว
---ใครที่คิดจะทำบุญกุศลอะไร ก็ให้รีบเร่งทำ หากเมื่อใดที่ผู้ที่เขาได้พรพระอินทร์ เขาทำอธิษฐานบารมีเพื่อดูแล พระศาสนา ระบบที่เขาทำหน้าที่ภายใน เขาก็จะทำงานตามลำดับ เมื่อถึงตอนนั้นจะเห็นคุณค่าของศีลธรรม ของศีล 5 ศีล 8 ของบุญบารมีที่แต่ละท่านบำเพ็ญเพียร สั่งสมมา
---ให้ลองนึกถึงคลื่นยักษ์ในภาคใต้ดูว่า คลื่นยักษ์ขนาดไหนที่ทำให้ด้ามขวานไทยเหลือเป็นเกาะแก่ง และคลื่นยักษ์ขนาดไหน ที่จะสามารถทำให้เกาะขนาดประเทศไต้หวันหายวับไปได้ในพริบตา เมื่อไหร่ก็ตามที่ นาคใหญ่ ทำงาน จะสั่นสะเทือนไปทั้งโลก
---หากจะเทียบเหตุการณ์ในภาคใต้ที่ผ่านมา เป็นแค่นาคใหญ่โก่งหลังหรือสะดุ้งเพียงเล็กน้อย ลองจินตนาการดูว่า หากพวกนาคบางพวก มีหน้าที่ทำฤทธิ์เพื่อล้างพวกผู้มีศีลธรรมไม่เพียงพอ สำหรับอยู่ในยุคพระยาธรรมิกราชบนโลกนี้ก็จะเหลือคนไม่มากอย่างที่พระสูตรบอกไว้
---เหตุการณ์ต่างๆ ที่กล่าวมานั้น จะมีอยู่วันหนึ่ง ที่เหตุการณ์รุนแรงที่สุด คลื่นพลังมหาศาลจากจักรวาลจะกระแทกลงมายังโลก เป็นพลังงานที่เกิดจากลมพายุสุริยะ อันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์จุดที่ 11 มนุษย์ทุกคนบนโลก จะได้พบกันเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว
---บรรยากาศช่วงแรกๆ จะรู้สึกหดหู่ เวิ้งว้าง ท้องฟ้าจะวังเวงพิกล หลังจากนั้นไม่นานนัก ลมจะแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงฟ้า เสียงลม จะแผดเสียงกึกก้องดังที่สุด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เป็นเสียงของพญามัจจุราช ที่พิพากษาโลกในด้านความเป็นมนุษย์ คนชั่วทุกคนจะถูกประหารชีวิตและจะตายอย่างทรมาน ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำสังคม ผู้นำเศรษฐกิจ ผู้นำลัทธิ ฯลฯ ส่วนคนดีจะได้รับการยกเว้นเอาไว้ให้ได้ทำความดีโดยไม่มีอุปสรรคต่อไป
---ปลายปี 2548 นี้ จะเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งจะส่งผลให้มีคนตายจำนวนมาก ส่วนผู้ที่รักษาศีล 5 ขึ้นไป จะรอดและอีก 5 ปีต่อไป น้ำจะท่วมภาคใต้และจะร้ายแรงกว่าสึนามิหลายเท่า ผู้คนที่รอดชีวิตจำต้องเดินทางขึ้นเหนือเพื่อให้พ้นภัยโดยระหว่างทางจะพบกับ คนนอนตายเกลื่อนกลาดจำนวนมาก
---คนที่ไม่เคยเข้าวัดก็รีบเข้าวัดซะ ตอนนี้ก็ยังทัน รีบหาของดี วัตถุมงคลติดตัวไว้ แต่ถ้าเป็นคนที่มีศีลดีอยู่แล้ว ก็ยิ่งดีและสุดท้ายให้นั่งสมาธิ เพราะไม่มีสิ่งใดจะช่วยเราได้นอกจากสมาธิ และผู้ที่ปฏิบัติสมาธิได้อภิญญา เรียกว่า ให้อยู่ใกล้คนดีเข้าไว้
---และปี 2549 พระศรีอารย์ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตในตอนนี้ จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ (ท่านลงมาเกิดในคราวนี้ ไม่ใช่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า แต่เพื่อช่วยให้ผู้คนรอดพ้นจากเหตุการณ์ อันเหลือที่มนุษย์จะรับมือได้ไหว ครั้งนี้เพื่อช่วยให้พ้นจากภัยสงครามครั้งมหึมา ที่จะทำให้มีคนตายมหาศาลที่กำลังจะเกิดขึ้น ท่านอาจจะเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ได้แต่ยังไม่แสดงตัวเท่านั้น)
---หากท่านไม่แน่ใจว่า ตัวท่านมีความดีพอที่จะรอดพ้นจากมหาภัยพิบัติครั้งนี้ละก็ ขอให้หาของดีติดตัวเอาไว้เป็นอย่างดีหรือถ้าหาของดีไม่ได้จริงๆ ก็จงทำตัวของท่านให้เป็นคนดีเพื่อความดีจะรักษาตัวของท่านเอง หากท่านไม่เชื่อ ก็จงอย่างเพิ่งปฏิเสธ เช่น เชื้อโรคที่ตาเปล่าของเรามองไม่เห็น แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันมี เพราะเรามีเครื่องมือ คือ กล้องจุลทรรศน์ที่จะส่องเห็นแล้ว
---ส่วนเรื่องอย่างอื่นเช่นที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้า เครื่องมือที่จะเห็นก็มีแล้ว คือ การปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ แต่อยู่ที่ท่านจะใช้เครื่องมือ หรือรู้วิธีใช้เครื่องมือนั้นอย่างถูกต้องหรือไม่เท่านั้นเอง
---ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือที่หลวงพอฤาษีลิงดำ ท่านเขียนไว้ว่า อีกไม่กี่ร้อยปี จะมีพระมหากษัตริย์ท่านหนึ่งเดินทางจากเหนือมาบูรณะวัดท่าซุง ขณะนี้ วัดท่าซุงก็ยังคงเป็นปกติดี แสดงว่าหลังจากนี้ไม่นานนักคงต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้วัดท่าซุงร้าง ซึ่งปัจจุบันวัดท่าซุงยังมีคนไปทำบุญถือศีล ปฏิบัติธรรมอย่างไม่ขาดสาย แต่จะมีเหตุใดเล่า ที่ทำให้วัดร้างได้นอกจาก..
(อาจจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างชาติซึ่งเป็นชนวนให้เกิดอภิมหาสงครามครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศไทยก็เป็นได้)
---ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ จงหมั่นทำดีเพื่อรักษาชีวิตรอดเทอญ
---ประเทศไทย เป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองรักษาไว้ ซึ่งจะได้รับความบอบช้ำจาก มหันตภัยธรรมชาติน้อยที่สุดในโลกและจะเป็นอู่ข้าว อู่น้ำซึ่งมีความเจริญเป็นศูนย์กลางของโลกต่อไป
---มนุษย์ที่รอดชีวิตไปได้ จะเข้าสู่ยุคใหม่ จะมีจิตใจที่ดีงามและมีอายุไขที่ยาว จนน่าประหลาดใจ มีอารยธรรมเจริญก้าวหน้า โดยที่ไม่ได้สร้างเทคโนโลยีที่ก่อปัญหาให้กับโลกมากมายเช่นในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อ สื่อสารกับเพื่อนมนุษย์ต่างดาวได้
---ซึ่งแม้แต่ปัจจุบันบางคนก็ไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงก็ตาม ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของโลก และเป็นประเทศแรก ที่มีผุ้สร้างยานอวกาศไปท่องจักรวาลได้เป็นแห่งเดียวของโลก โดยใช้พลังจิตในการขับเคลื่อน โดยไม่ใช้เชื้อเพลิงในการเผาไหม้ ให้เกิดพลังงานที่ทำลายสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติของโลกให้เสียหายเหมือนอย่างเช่นปัจจุบัน
---นอกจากนี้ต่อมไพนิล หรือตาที่ 3 ของมนุษย์ จะถูกฟื้นฟูขึ้นมาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จนสามารถเข้าถึงสภาวะนิพพานได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีตในระยะเวลาไม่นานนัก (ภายใน 6 ปี)
---พระศรีอริยะเมตไตรย์ จะเปิดเผยพระองค์ เพื่อปลอบประโลมสร้างขวัญกำลังใจ ให้กับมวลมนุษยชาติ ที่มีความบอบช้ำทางจิตใจ ซึ่งในขณะนี้ พระองค์ท่านได้เสด็จลงมาบนโลกมนุษย์แล้ว กำลังเป็นสามเณรในพุทธศาสนา และพระองค์ได้มาปรากฏที่ประเทศไทยนี่เอง
---ดังเช่นหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านบอกว่า ใครบ้ามาลองภูมิท่าน ท่านก็แกล้งทำตัวเป็นคนบ้าตอบเสียเลย เพราะพวกมาลองของกับหลวงพ่อพวกนี้ พอพูดความจริงไม่ค่อยเชื่อ แต่พอโกหกคิดว่าเป็นเรื่องจริง
---พระอินทร์, พรหม, ยมราช ได้สั่งไว้ว่า ถ้าบุคคลใด รู้แล้วจงรีบร้อนบอกเล่าสู่กันฟัง หรือพิมพ์แจกจ่ายตามกำลังศรัทธา จะเกิดมหากุศลช่วยท่านให้หลุดพ้นจากภัยพิบัติทั้งหลายทั้งปวง
---ถ้าบุคคลใดไม่เชื่อมั่นตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะเกิดเดือดร้อนในปีจอนี้ ขึ้น 4 ค่ำ ผู้มีบุญจะลงมาเกิด พร้อมหนังสือใบลานฉบับนี้ ถ้าไม่มีอยู่ในบ้านเรือนของผู้ใด จะมีพวกปีศาจร้ายเข้าทำลายอย่างแน่แท้ ในปีจอต่อปีกุนยามเดือนหงาย จะเกิดมีงูพิษ อยู่บนหัว กัดฉกให้ตาย และฝูงชนทั้งหลายจะเกิดเดือดร้อนหลายประการเช่น
---ทุกข์ยากร้อน เพราะศึกสงคราม
---ทุกข์ยากร้อน เพราะน้ำและไฟ
---ทุกข์ยากร้อน เพราะไม่มีใครดูแลใคร
---ทุกข์ยากร้อน เพราะอดข้าวปลาอาหาร
---ทุกข์ยากร้อน เพราะนอนไม่หลับ
---ทุกข์ยากร้อน เพราะผัวเมียไม่เห็นหน้ากัน
---ในปีจอนี้ เมืองเวียงจันทน์ จะมีฤาษีทองคำ สึกลาบวชออกมาเป็นพ่อค้า ในปีจอขึ้น 8 ค่ำ ห้ามไม่ให้ใครตักน้ำ อาบน้ำ กินน้ำตามห้วยนองคลองบึง หลังพระอาทิตย์ตกดิน พญายมราชจะนำเอายาพิษพ่นมาใส่โลกมนุษย์
---นี่คือพระคาถาขององค์อินทร์ พรหม ยมราช ได้เขียนลงในใบลาน จงรักษาเก็บไว้ให้ดีเพื่อช่วยให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ ในยามเกิดเหตุการณ์มหันตภัย พระคาถาได้เขียนไว้ดังนี้
“ปะโต เมตัง ปะละชิมินัง สุขะโต จุตี
เมตตะ นินะนัง สุขะโต จุติ”
---พระคาถาข้อนี้จะเขียนลงใส่ใบลานแผ่นทอง หรือแผ่นผ้าก็ดี ให้ติดไว้บนประตูห้องเรียนหรือรถราพาหนะ หรือพันหัวไว้ ในยามเกิดเหตุการณ์ จะช่วยให้รอดพ้นภัยอันตราย
---ในกาละเวลานี้ เทพเจ้าเหล่าเทวดาผู้ที่คุ้มครองรักษาเหล่ามนุษย์โลก ได้ไปกราบทูลต่อพระอินทร์ว่า มนุษย์โลกทำกุศลผลบุญ (ความดี) เพียง 3 ส่วน และทำบาปกรรม (ความชั่วร้าย) ถึง 10 ส่วน เมื่อเป็นเช่นนี้พระอินทร์จะได้ลงโทษกับมนุษย์โลกถึง 9 ข้อ นับตั้งแต่ปีจอถึงปีกุน คือ
---จะให้เกิดพายุลมแรง แผ่นดินไหว
---จะให้เกิดสารพิษต่างๆ (อาหารเป็นพิษ - อากาศ)
---จะให้เกิดไฟไหม้
---จะให้เกิดกาฬโรคต่างๆ
---จะให้เกิดน้ำท่วม
---จะให้เกิดอดข้าวปลาอาหาร
---จะให้เกิดฟ้าผ่า
---จะให้เกิดอาฆาตฆ่าฟันกันเอง สำหรับคนใจบาป
---จะให้เกิดร้อนมาก หนาวมาก
---มหันตภัยทั้ง 9 อย่างนี้ จะรอดพ้นเฉพาะคนใจบุญ คนที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น รู้แล้วจงบอกต่อกันไป ให้รีบเร่งทำแต่ความดี มากกว่าทำบาปกรรมชั่วร้าย ถ้าผ่านปีจอ ปีกุนไปแล้ว ทุกคนพร้อมลูกหลาน จะได้รับความสุขสบายกันถ้วนหน้า เวลาเหลือน้อย ให้ทุกคนเคร่งครัดถือ ศีล 5 ให้ขยันไหว้พระ ภาวนา ให้ทาน เพื่อการกุศลอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายพระผู้ทรงศีลยังได้กล่าวเน้นย้ำถึงความศักดิ์สิทธิ์ดังหนังสือ “อินทร์ตก” “อินทร์ตื่น”
---ถ้าท่านผู้ใดเชื่อ ศรัทธา บูชา เคารพกราบไหว้หรือบนบานว่า จะบอกเล่าถึงผู้อื่นหรือลงพิมพ์แจกให้สาธุชน คนทั้งหลายรับรู้ด้วยแล้ว ท่านจะปรารถนาสิ่งใดจะได้ดังใจนึก พยาธิที่เบียดเบียนก็จะหายขาดฯ
*พุทธทำนาย โลกจะแตกในปี 2012 จริงหรือ
---ชาวพุทธส่วนใหญ่ เมื่อร่ำเรียนภาคทฤษฎีและรู้จักคำว่า "อนาคตังสญาณ" หรือความสามารถ ในการหยั่งรู้อนาคต ก็มักเข้าใจผิดกันว่า อย่างนี้คืออนาคตต้องถูกกำหนดไว้ตายตัวแล้ว เช่น พระพุทธเจ้าหยั่งทราบว่า อนาคตจะเป็นอย่างไรก็แปลว่าอนาคตต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ไม่อาจเป็นอื่น
---ความจริงแล้ว ญาณหยั่งรู้ทั้งหลายในแบบพุทธ ยืนพื้นอยู่บนเหตุผล กล่าวคือ เมื่อมีเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งก็ย่อมเกิดผลลัพธ์ สมกันญาณหยั่งรู้อนาคตที่สมบูรณ์ตามหลักพุทธศาสนา จึงไม่ใช่เอาแต่นั่งเทียนเห็นนิมิตผู้ที่กล่าวอ้างได้เต็มปาก ว่ามีความสามารถหยั่งรู้อนาคตนอกจากจะมี อนาคตังสญาณแล้ว จำต้องประกอบพร้อมด้วยญาณอีกสองชนิด รวมเรียกว่าญาณ ๓ ได้แก่
*๑) อตีตังสญาณ
---ญาณหยั่งรู้กรรมในอดีตของบุคคลอันเป็นรากของผลลัพธ์ ในปัจจุบันของบุคคลนั้นๆ คือ ทราบว่าเมื่อวาน วานซืน เดือนก่อน ปีก่อน หรือชาติก่อนใครไปทำอะไรที่ไหนเอาไว้ จึงมาเป็นอย่างนี้และนอกจากเรื่องเกี่ยวกับบุคคลแล้ว ญาณนี้ยังครอบคลุมไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตอีกด้วย
*๒) ปัจจุปปันนังสญาณ
---ญาณหยั่งรู้เรื่องในปัจจุบัน คือ ทราบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับบุคคลหนึ่งๆ และเป็นการทราบได้โดยไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันเสียก่อน นอกจากเรื่องเกี่ยวกับบุคคลแล้ว ญาณนี้ยังครอบคลุมไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในปัจจุบันอีกด้วย
*๓) อนาคตังสญาณ
---ญาณหยั่งรู้เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของบุคคลหนึ่งๆ คือ ทราบว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เดือนหน้า ปีหน้า หรือชาติหน้า จะเกิดอะไรขึ้นกับบุคคลนั้นๆ อันเป็นผลลัพธ์ของกรรมที่ทำไว้ในปัจจุบันหรืออดีตและนอกจากเรื่องเกี่ยวกับบุคคลแล้ว ญาณนี้ยังครอบคลุมไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคตอีกด้วย
---สรุปคือ ญาณทั้งสามผูกกับเรื่องของกรรม ตลอดจนเหตุผลทางธรรมชาติ เช่น ดินฟ้าอากาศ สมนัยกับหลักสำคัญทางพุทธศาสนา อันยืนพื้นอยู่บนความจริงที่ว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"และ"ธรรมทั้งปวงย่อมเกิดแต่เหตุ" คือไม่มีเรื่องบังเอิญ
---ปัญหาคือ บางคนนี่นะครับมีแต่ "อนาคตังสญาณ" แต่ขาด "อตีตังสญาณ" แล้วก็ไม่รู้เรื่องกรรมวิบากเหมือนอย่างหมอดูระดับโลกบางคน ก็มีสิทธิ์เชื่อได้ว่าเป็นบัญชาสวรรค์ หรืออีกนัยหนึ่ง คือ เชื่อว่าอนาคตเป็นพรหมลิขิตที่ตนเห็น ก็เพราะเบื้องบนแสดงนิมิตให้ดูอะไรทำนองนั้น
---อนาคตังสญาณ นอกพุทธศาสนามีจริง แต่อธิบายอะไรต่ออะไรไม่ได้จริง จึงเหมือนเรื่องโคมลอยมากกว่าและนำมาซึ่งความงมงายแก่ผู้เชื่อด้วย เพราะต้องเอาแต่เชื่อโดยขาดเหตุขาดผล
*รู้แต่ว่าต้องเชื่อไม่รู้ว่าทำไมต้องเชื่อ
---แม้แต่พระพุทธเจ้า ถ้าท่านจะทำนายอนาคต ท่านไม่ตรัสห้วนๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ท่านจะตรัสเป็นเหตุเป็นผล ในชั้นพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นบันทึกแรก อันมีหลักฐานยืนยันมั่นคงที่สุดนั้น ไม่เคยมีการทำนายแบบหมอดูนั่งเทียน แล้วก็ไม่เคยมีการทำนายฝันให้ใครด้วย ถ้ามีก็ปรากฏอยู่ในชั้นรองลงมาหรือไม่ก็เกิดจากการตื่นข่าว ร่ำลือกันไปเอง
---ใครเป็นคนกุเรื่อง ก็ปล่อยให้เป็นบาปของเขาไป พวกเราอย่าถือเอาโดยไม่พิจารณา อันจะเป็นการกล่าวตู่พระพุทธองค์โดยไม่รู้ตัวต่อๆ กัน การกล่าวตู่นั้น พระผู้มีพระภาคให้นับหมด ถ้าท่านไม่ได้พูด แต่กลับไปหาว่าท่านพูด ไม่ว่าจะเป็นการกุเรื่องขึ้นเองหรือจะเป็นการพูดตามคนอื่นก็แล้วแต่
---ช่วงนี้กำลังลือกันหนาหู บอกว่า แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็ยืนยันว่า "เดี๋ยวโลกแตก" คือถ้าจะแตกจริง รบราฆ่าฟัน เป็นสงครามโลกจริง ก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้นเถิด แต่อย่าเอาพระพุทธเจ้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย
---ผมเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ใน "เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว" ขอนำมาลงให้อ่านที่ตรงนี้อีกครั้งนะครับ
---ถาม มี พุทธทำนายว่ากึ่งพุทธกาล (พ.ศ.๒๕๐๐)สัตว์โลกจะพบแต่ความยากลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลกที่หมุนไปใกล้ความแตกสลาย ยักษ์หินที่ถูกสาปเป็นเวลานานจะตื่นขึ้นมาอาละวาด พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมี ฉายแสงส่องโลกอีกวาระหนึ่ง ก็ต่อเมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงฤทธิ์
---ทั้งสองพระองค์สถิต ณ เบื้องตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึงห้าพันปี คำทำนายนี้จะทำให้ผู้สดับได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อนับว่าเป็นกรรมของสัตว์ ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน อยากทราบว่าคุณดังตฤณมีความเห็นอย่างไร พุทธทำนายนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน
---ตอบ เป็นเรื่องน่าช่วยจดจำกันครับ ว่าพระพุทธเจ้า จะทรงทำนายสิ่งใดๆ ก็ตาม ท่านต้องมีเหตุผลกำกับไปด้วยทุกครั้ง เช่น หากใครสงสัยว่า
---เมื่อใดพระอรหันต์จะหมดจากโลก ท่านจะไม่ระบุเวลา แต่จะชี้ให้เห็นเป็นเงื่อนไขว่า ตราบใดยังมีภิกษุปฏิบัติธรรมตามที่พระองค์สอนสั่ง ตราบนั้นโลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์
---ถ้าสงสัยว่าเมืองใดจะล่มสลาย พระองค์ก็จะตรัสเป็นเงื่อนไขว่า เมื่อใดเหล่าเจ้าผู้ครองนครเสียความสมัครสมานสามัคคี เมื่อนั้นเมืองจะถึงกาลพินาศ เช่นกัน
---ตามพระไตรปิฎก ซึ่งถือเป็นสมุดบันทึกอันเชื่อถือได้ของชาวพุทธนั้น จะเห็นว่ามิใช่พุทธลีลาที่จะทำนายอนาคตของศาสนา แบบฝากความหวังไว้กับใครคนใดคนหนึ่ง
---พระพุทธเจ้าทรงชี้ว่า ถ้าพระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไป ศาสนาพุทธจะยังคงสืบทอดต่อได้อย่างมั่นคง เพราะพระองค์บัญญัติวินัยสงฆ์ไว้อย่างเป็นระเบียบดีแล้ว อีกทั้งพระองค์จัดตั้ง 'บริษัทพุทธ' ซึ่งมีผู้ร่วมดำเนินการอยู่ ๔ พวก ได้แก่ภิกษุ, ภิกษุณี, อุบาสกและอุบาสิกา (รวมกล่าวง่ายๆ คือฝ่ายนักบวชและชาวบ้านหญิงชาย)
---แม้ที่เลื่องลือกันมากว่า พระพุทธเจ้าเคยทำนายสุบินนิมิต (ความฝัน) ของพระราชาองค์หนึ่ง ก็ไม่ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎก แต่จะอยู่ในหลักฐานชั้นรองๆ ลงมา สรุปว่าเรื่องเกี่ยวกับพุทธทำนายอนาคตแบบไม่มีเหตุผลประกอบนั้น เป็นเรื่องสมควรฟังหู ไว้หู จะกระเดียดไปทางไม่เชื่อไว้ก่อน ก็ไม่ผิดบาปอะไร เพราะโดยพุทธลีลาแล้ว แม้พระองค์ท่านมีญาณหยั่งรู้อนาคตจริง ก็จะตรัสถึงอนาคตอย่างมีเหตุผล มีที่มาที่ไป ซึ่งคนฟังจะได้รับประโยชน์ และเมื่อจะเชื่อก็ได้ชื่อว่าเชื่ออย่างมีเหตุผล มิใช่เชื่ออย่างงมงายหาคำอธิบายยาก
---กล่าวถึงคำทำนายที่ คุณยกมาเป็นคำถามนี้ เท่าที่ทราบปรากฏขึ้นมาลอยๆ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ครับ เขาถึงได้ทำนายถูกไงว่า จะเกิดสงครามใหญ่ จะเข้ายุคข้าวยากหมากแพง สำหรับที่มาของคำทำนายก็อ้างว่าได้มาจากเสาหินขนาดใหญ่ซึ่งเป็นศิลาจารึกของ พระเจ้าอโศกผู้มีพระชนม์ประมาณสองร้อยปีหลังพุทธกาล
---โปรดไถ่ถามกันดูเองเถิด มีใครเคยเห็นจารึกพุทธพยากรณ์ที่ว่านี้ ด้วยตาตนเองหรือถ่ายรูปมาบ้าง และมีผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณท่านใด เป็นผู้แปลหรือให้การรับรองว่า แปลออกมาแล้วได้ใจความต่อเนื่องราบรื่นสละสลวยอย่างนี้
---สำหรับเสาพระเจ้าอโศกนั้น ถ้าใครเคยไปอินเดีย จะเห็นนะครับว่า ข้อความบนเสาเลอะเลือน ขาดหาย ไม่มีความต่อเนื่องนัก อย่างไรคงถอดความไม่ได้ชัดเจน เหมือนพุทธทำนายปลอมที่เขียนขึ้นใหม่นี้หรอก
---อีกประการหนึ่ง น่าสงสัยว่าพระเจ้าอโศก ท่านไปคัดข้อความยาวๆ แบบนี้มาจากไหน เพราะแม้ในชั้นอรรถกถาซึ่งเป็นภาคขยายความพระไตรปิฎกก็ไม่มี
---อีกข้อสังเกตหนึ่ง พระเจ้าอโศกท่านเป็นคนในยุค ๒๐๐ ปีหลังพุทธกาล คงไม่ใช่ธุระของท่านหรือคนสมัยนั้น ที่จะไปสนใจเหตุการณ์อันจะเกิดขึ้น ในอีกสองพันปีต่อมา และหากจะกล่าวว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญ ก็ต้องกล่าวว่า เหตุการณ์สำคัญกว่านั้นมีอยู่ เช่น ที่พุทธศาสนาถูกรุกรานจนสาบสูญไปจากประเทศต้นกำเนิดและกระจัดกระจายไปเจริญตามแหล่งอารยธรรมต่างๆ ทั่วโลก เป็นต้น
---และที่จะลืมไม่ได้เป็นอันขาด คือ องค์พระเจ้าอโศกเอง ท่านเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนาพุทธ เพราะถ้าไม่มีท่านส่งคนไปเผยแผ่พระสัทธรรมนอกอินเดีย ป่านนี้พุทธศาสนาก็ล่มสลายหายสูญจากโลกนี้ไปแล้ว
---ฉะนั้น ถ้าพระพุทธเจ้า จะทรงตรัสทำนายเพื่อเชิดชูบุคคลสำคัญของศาสนา ท่านก็น่าจะไม่ลืมตรัสถึงพระเจ้าอโศกเป็นแน่แท้ พระเจ้าอโศกอยู่ใกล้พุทธกาลเพียงสองร้อยปีเศษ แต่ 'ธรรมิกราช' ในพุทธทำนายปลอมอยู่ห่างมาถึงสองพันปี กลับได้รับการเชิดชูขึ้นมาเฉยๆ
---สรุป คือเป็นพุทธทำนายปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ตัวคำทำนายจะจริงหรือไม่จริง ขอให้ยกไว้ อย่างไรก็ไม่สมควร นำมาอ้างอิงกันอย่างเด็ดขาด ว่านี่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นธรรมดาที่มนุษย์ทั้งหลายจะแสวงหาและปั้นแต่งฮีโร่ขึ้นมารับผิดชอบโลก แต่ความจริงก็คือ พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ ไม่สนับสนุน และไม่ยกใครขึ้นมาเชิดชู แล้วอนุญาตให้พวกเราฝากพระพุทธศาสนาไว้ในมือคนๆ นั้น มีแต่จะทรงให้ร่วมมือร่วมใจกัน ช่วยกันสืบทอดและเผยแผ่ ตามกำลังของแต่ละคน การเสาะหาฮีโร่เพียงคนเดียวมาเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งนั้น นอกจากจะทำให้แนวคิดร่วมมือร่วมใจลดลงแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์เจ้าเล่ห์ทั้งหลายกุเรื่องขึ้นมาตามใจชอบอีก ด้วย
*16 คำทำนายของพระพุทธเจ้าที่ได้นำมากล่าวนี้
---เป็นพระสุบินนิมิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ดังต่อไปนี้
---สุดอัศจรรย์...16 คำทำนายพระพุทธเจ้า ที่ทรงชี้ชะตามนุษย์โลก
---ในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ความเจริญทางด้านวัตถุ ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นที่น่าฉงนว่า ทำไม คนในโลกกลับมีความสุขน้อยลงและดูเหมือนว่าปัญหาในการดำรงชีวิต กลับมีเพิ่มขึ้น
---โดยเฉพาะปัญหาทางด้านศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ ดูจะเป็นสมการผกผัน กับความเจริญทางด้านวัตถุอย่างน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้ หากเราฟังข่าวคราว ไม่ว่าในประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง
---หลายๆ สิ่ง เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถนำมาใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและรับมือได้ทัน แต่ก็มีไม่น้อย ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไปไม่ถึง แต่หากจะบอกว่าสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่อุบัติขึ้นในสมัยปัจจุบัน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้ทำนายล่วงหน้ามาแล้วกว่า 2500 ปี
---หลายๆ คนอาจจะยังไม่เชื่อ หรือไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่อง “พุทธทำนาย” อันปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน (ความฝัน) ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล จำนวน 16 ข้อ ว่ามีความหมายอย่างไร ดังนี้
---วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ครองกรุงสาวัตถี ได้เสด็จเข้าสู่นิทรารมย์ในราตรีกาล ครั้นล่วงปัจฉิมยามใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็น พระสุบินนิมิตอันใหญ่หลวง ถึง 16 ประการ อันเป็นพระสุบินที่แปลกประหลาด จึงทรงตกพระทัยตื่นบรรทม และครั้นรุ่งเช้า ก็ได้ให้พวกพราหมณ์ปุโรหิต ประจำราชสำนักทำนาย พวกพราหมณ์ปุโรหิต ก็พากันทำนายว่าเป็นพระสุบินที่ร้าย และว่าพระองค์จะต้องประสบภัยอันตราย 3 ประการ ไม่เสียราชทรัพย์ ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หรือไม่ก็ต้องสวรรคต อย่างใดอย่างหนึ่ง
---และแนะให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญสัตว์ เพื่อสะเดาะห์เคราะห์ เมื่อพระนางมัลลิกา พระมเหสีทราบเรื่องเข้า จึงทูลให้ไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ทรงทำนายว่า เหตุร้ายนั้นจะมีแน่นอน เพียงแต่มิใช่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือแว่นแคว้นของพระองค์ แต่เหตุร้ายเหล่านี้จะเกิดแก่สัตว์โลกทั่วๆ ไป และแก่พระศาสนาของพระพุทธองค์ในภายภาคหน้า เมื่อล่วงเลยพุทธกาลไปแล้ว 2500 ปี เมื่อศาสนาเสื่อมลง (กล่าวกันว่า อายุของพุทธศาสนาในกัลป์นี้ ยืนยาวเพียง 5,000 ปี หลังจากนั้น ต้องรอยุคของพระศรีอาริยเมตตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเสด็จมาโปรดสัตว์)
---ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล และคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้ง 16 ประการ ประกอบด้วย
---1.ทรงฝันว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัว ต่างคิดจะชนกัน ก็พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวงจาก 4 ทิศ ฝูงชนต่างรอดู โคทั้งสี่ก็ส่งเสียงคำรามลั่น แต่แล้วต่างก็ถอยออกไป ไม่ชนกัน
---พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายว่า "ในอนาคต ในชั่วศาสนาของพระองค์ เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น คล้ายเมฆตั้งเค้าจะมีฝน มีเสียงคำรามกระหึ่ม แต่แล้วก็ไม่ตก กลับเลยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แต่ไม่ชนกัน ฉะนั้น"
---2.ทรงฝันว่า ต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ก็ออกดอกออกผลแล้ว
---พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า "ต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์ มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว"
---3.ทรงฝันว่า ทรงเห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด
---ทรงทำนายว่า "ต่อไปในอนาคต การเคารพนบนอบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่ พ่อแม่ เมื่อหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนไม่ได้ ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็กๆ ดังที่แม่โคที่ต้องกินนมลูกโคฉะนั้น"
---4.ทรงฝันว่าผู้คนไม่ใช้วัวตัวใหญ่ ที่สมบูรณ์แข็งแรงเทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆ ที่ยังปราศจากกำลังมาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไม่ได้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย
---ทรงทำนายว่า "ในภายหน้า เมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่องและมอบหมายหน้าที่ ให้กับผู้มีสติปัญญา ความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี กิจการต่างๆ ก็ไม่สำเร็จ ก็เหมือนใช้โครุ่นมาเทียมแอก เกวียนก็แล่นไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น"
---5.ทรงฝันว่าเห็นม้าตัวหนึ่ง มีปากสองข้าง ฝูงชนก็เอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง
---ทรงทำนายว่า "ในอนาคตเมื่อผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือคนไม่มีศีลธรรมไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญคุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆ ตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ ดังม้าที่กินหญ้าทั้งสองปาก"
---6.ทรงฝันว่าฝูงชนเอาถาดทองราคาแพง ไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้น ถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น
---ทรงทำนายว่า "ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำ หรือคนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโตและคนมีตระกูล ก็จะต้องยกลูกสาว ให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น เหมือนเอาถาดทองไปให้หมาปัสสาวะรด"
----7.ทรงฝันว่า มีชายคนหนึ่งนั่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่งนอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว
---ทรงทำนายว่า "ในกาลข้างหน้า ผู้หญิงจะเหลาะแหละ โลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วก็จะเอาทรัพย์ที่สามีหาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้เหมือนนางหมาโซที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่น และหย่อนลงไว้ใกล้เท้า"
---8.ทรงฝันว่ามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมตุ่มหนึ่งวางอยู่ตรงประตูวัง แวดล้อมด้วยตุ่มว่างๆ เป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่ จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆ นั้นเลย
---ทรงทำนายว่า "ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่หรือมีอำนาจ จะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบ ผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้ว ก็จะมีคนจนหารายได้ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น ดังฝูงชนที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่มใหญ่ที่เต็มอยู่แล้วจนล้น ส่วนตุ่มที่ว่างอยู่กลับไม่ไปใส่น้ำ"
---9.ทรงฝันเห็นสระแห่งหนึ่ง มีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆ ก็พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด, ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระ ที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือ เหยียบย่ำแทนที่จะใส กลับขุ่นข้น
---ทรงทำนายว่า "ต่อไป เมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสินบน ชาวบ้านชาวเมือง ก็จะหนีไปอยู่ตามชายแดนหรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้นๆ ที่คนพากันไปอยู่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เหมือนน้ำรอบๆ สระที่ใส ส่วนเมืองหลวงกลับว่างเปล่า เหมือนกลางสระที่ขุ่น
---10.ทรงฝันว่า เห็นข้าวที่คนหุงในหม้อใบเดียวกัน สุกไม่เท่ากัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุกดี
---ทรงทำนายว่า "ในอนาคต เมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง ทำให้การเพาะปลูกบางแห่งได้ผล บางแห่งก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับข้าวที่มีสุกบ้าง ดิบบ้าง และแฉะบ้าง"
---11.ทรงฝันว่าคนนำแก่นจันทน์ที่มีราคาแพง ไปแลกกับเปรียงเน่า
---(อ่านว่า เปฺรียง มี 3 ความหมาย คือ 1. นมส้มผสมน้ำแล้วเจียวให้แตกมัน 2. น้ำมันจากไขข้อวัว และ 3. เถาวัลย์เปรียง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึง เถาวัลย์เปรียง เทียบกับแก่นจันทน์ที่เป็นไม้เหมือนกันมากกว่า 2 ความหมายแรก)
---ทรงทำนายว่า "กาลภายหน้า พระภิกษุอลัชชีเห็นแก่ได้ทั้งหลาย แทนที่จะนำธรรมะ ที่พระพุทธองค์สอน ไปสอนสั่งให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ และละความโลภ กลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหากิน หาปัจจัยบริจาคเข้าตัวเอง เหมือนเอาแก่นจันทน์ (ธรรมะคำสอนที่ดี) ไปแลกเอาเถาวัลย์เน่า (ลาภอามิสที่ได้รับมา ซึ่งไม่จีรังและไม่ช่วยให้พ้นทุกข์จริงๆ ได้"
---12.ทรงฝันเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้
---ทรงทำนายว่า "ต่อไปคำพูดของคน ที่ไม่ควรจะได้รับความเชื่อถือ กลับจะได้รับความเชื่อถือ โดยเปรียบถ้อยคำของคนที่ไม่น่าเชื่อว่ามีน้ำหนักเบาเหมือนกับผลน้ำเต้า ซึ่งปกติจะลอยน้ำ แต่เมื่อคนเชื่อว่า คำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนัก หรือหนักแน่น จึงเปรียบคำพูดนั้น ว่ามีน้ำหนัก ราวกับน้ำเต้าที่จมน้ำได้"
---13.ทรงฝันว่าศิลาแท่งทึบขนาดเรือน ลอยน้ำได้เหมือนเรือ
---ทรงทำนายว่า "ถ้อยคำของคนที่ควรได้รับการเชื่อถือ ซึ่งหนักแน่น มีน้ำหนักเปรียบประดุจแท่งศิลา กลับไม่ได้รับความเชื่อถือ หรือกลายเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนักเหมือน เรือที่ลอยได้ ข้อนี้ตรงกันข้ามกับข้อที่แล้ว คือ คนหันไปเชื่อคำพูดคนที่ไม่ควรเชื่อ เหมือนสิ่งที่ควรลอยกลับจม สิ่งที่ควรจมกลับลอย"
---14.ทรงฝันว่า ทรงเห็นฝูงเขียดตัวเล็กๆ วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ และกัดเนื้องูเห่าขาดเหมือนกัดก้านบัว แล้วกลืนกินเข้าไป
---ทรงทำนายว่า "เมื่อมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ราคะ สามีจะตกอยู่ในอำนาจของเมียเด็ก และจะถูกดุด่า ว่ากล่าว เช่นเดียวกับคนรับใช้ เหมือนเขียดตัวเล็กๆ แต่กลับกินงูได้"
---15.ทรงฝันว่า ฝูงพญาหงส์ทอง ที่มีขนเป็นทอง ถูกแวดล้อมด้วยกา
---ทรงทำนายว่า "ในอนาคตผู้มีตระกูล ต้องไปเที่ยวประจบและสวามิภักดิ์ต่อผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกา"
---16.ทรงฝันว่า ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลืองและกัดกิน ทำให้เสืออื่นๆ สะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ
---ทรงทำนายว่า "ต่อไปภายหน้า คนชั่วหรือคนที่ไม่ดี จะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจเป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้ เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ"
---เมื่อพิจารณาความฝัน จะเห็นว่าหลายข้อในความฝัน เป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่น แม่โคกินนมลูกโค, ม้าสองปาก, เขียดกินงู และแกะกินเสือ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีนัยอันไปสู่พุทธทำนายทั้งสิ้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล ทำไมฝันได้ไกลไปถึงอนาคต อันไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ได้ถึงเพียงนี้
---ผู้เขียนเชื่อว่าคงเป็นเพราะเทวดาดลใจ ให้พระองค์ฝันแปลกประหลาด เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ฝาก “พุทธทำนาย” เป็นคำพยากรณ์อันอมตะไว้ เป็นเครื่องเตือนสติ ให้มนุษย์โลกได้ตระหนักและระมัดระวังภัยพิบัตินานัปการ ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว
---เพราะคงเล็งเห็นด้วยญาณวิเศษแล้วว่า นับวันคนเราก็จะห่างไกลจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จนเป็นเหตุ ให้มนุษย์มุ่งทำลาย เอารัดเอาเปรียบทั้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อกอบโกยไปบำรุงบำเรอกิเลสแห่งตน โดยขาดความรัก ความเมตตาต่อกัน จึงทำให้คนเห็นแก่ตัว และมีผลให้สภาพแวดล้อม ธรรมชาติแปรปรวนไปหมด
---ในปัจจุบัน เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง อันทำให้เพาะปลูกได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง, ปัญหาเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เช่น เด็กและเยาวชนแก่แดดขึ้น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยเพิ่มขึ้น, ลูกขาดความกตัญญู และความเคารพยำเกรงต่อพ่อแม่, อลัชชีหรือพระทุศีลมีมากขึ้น ชายแก่ตกอยู่ในอำนาจเมียเด็ก หรือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น คนขาดความรู้ประสบการณ์ ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรับสินบน ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คนรวยยิ่งรวยเพราะมีช่องทาง และโอกาสเอาเปรียบคนจน เหมือนตุ่มใหญ่ที่คนตักน้ำไปใส่จนเต็มแล้วเต็มอีก แล้วปล่อยตุ่มเล็กให้ว่างเปล่า
---ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่พ้นคำพยากรณ์ที่ทรงทำนาย บอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตของสมัยโน้น ก็คือ สมัยนี้หรือปัจจุบันนั่นเอง
---อย่างไรก็ดี ก็ยังมีพุทธทำนาย เพิ่มเติมที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า
---“....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ, คนในสมัยนั้น(ปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต, จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ, ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง"
---บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น...ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบ กลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศ มีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง
---เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ (น่าจะหมายถึงพระศรีอาริยเมตตไตรย์)....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนา ของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก 5,000 พระวรรษา…คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
---ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล” นี่คือพุทธทำนายที่ทรงตรัสไว้ กว่า 2500 ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใครจะเชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็คงเป็นไปตามกรรม ของแต่ละคนดังพระพุทธองค์ว่าไว้ .
*สรุปว่า.....หนังสือหรือนิตยสารใด กล่าวถึงพระพุทธทำนายขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจริงก็ต้องถูกทุกๆเรื่องโดยไม่ผิดแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าผิดไม่ใช่พระพุทธทำนายขอ...รับ
........................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว รดา)
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 26 สิงหาคม 2558
ขอบคุณค่ะได้ไหวตัวไว้ก่อน
ขอบพระคุณครับ และขออนุโมทนาบุญสำหรับความรู้ความเข้าใจครับ