ตำนานพระอินทร์
---พระอินทร์นั้นท่านมีหลายชื่อ เช่น ท้าวสักกะ ท้าวสหัสนัย ท้าวสุชัมบดี ท้าววาสพ ท้าวมฆวาน เป็นต้น แต่ชื่อพระอินทร์มีคนรู้จักมากว่าชื่ออื่น ท่านครอง ๒ ชั้นฟ้า คือ สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ และสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา ตามตำนานกล่าวไว้ว่าพระอินทร์นั้นตัวเขียว เคยถามท่านผู้รู้ว่าทำไมพระอินทร์จึงตัวเขียว ได้รับคำอธิบายว่าที่มีสีเขียวนั้น เขียวด้วยแสงแห่งแก้วที่ชื่อว่าวชิระ ไม่ใช่เขียวในเนื้อในหนัง
---อนึ่ง ในสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์นั้นสมบูรณ์ด้วยสมบัติอย่างมโหฬาร เช่น มีวิมานชื่อ เวชยันตปราสาท อันเป็นที่ประทับของพระอินทร์มีแท่นทิพย์ ชื่อว่า บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีลักษณะพิเศษ
---คือเวลาพระอินทร์ประทับนั่งก็จะยุบลง เวลาเสด็จลุกขึ้นก็จะฟูขึ้น มีสภาพอ่อนนุ่มนิ่ม แต่พอมีเหตุอะไรเกิดขึ้นแท่นทิพย์นี้ก็จะแข็งดุจศิลาขึ้นมาทันที ดังคำที่ว่า “ทิพย์อาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดังศิลาประหลาดใจ” นอกจากนี้ยังมีต้นไม้วิเศษประจำชั้นดาวดึงษ์ มีชื่อว่า ปาริฉัตร หรือ ปาริชาติ ก็เรียก มีสระโบกขรณีชื่อ สุนันทา มีสวนสวรรค์ชื่อ จิตรลดา มีศาลาสำหรับฟังธรรม เรียกว่า เทวธรรมสภา มีเทวดาที่มีความสารถในเชิงช่างชื่อว่า วิษณุกรรมเทพบุตร และยังมีเทวดาที่สำคัญอีกองค์หนึ่ง คือ เอราวัณเทพบุตร ปรกติก็เป็นเทวดา แต่เมื่อพระอินทร์กับเทพผู้เป็นสหายจะประพาสอุทยานสวรรค์ เทวดาองค์นี้ก็จะแปลงร่างเป็นช้างชื่อว่า เอราวัณ พอกลับจากอุทยานสวรรค์ก็จะคืนร่างเป็นเทพบุตรตามเดิม
---สำหรับมเหสีของพระอินทร์นั้นมี ๔ นางด้วยกันคือ นางสุธรรมา นางสุจิตรา นางสุนันทา และนางสุชาดา ก็แลในสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์นั้นล้วนแต่มีสิ่งสวยสดงดงามทั้งสิ้น รูปก็งาม เสียงก็ไพเราะ กลิ่นก็หอมหวนชวนอารมณ์ สมกับพระบาลีที่ว่า สุนฺทรานิ อคฺคานิ อตฺถาติ สคฺโค สถานที่ที่มีอารมณ์อันเลิศ เรียกว่า สวรรค์ อนึ่งสวรรค์นั้น สำหรับเป็นที่ต้อนรับเฉพาะคนทำความดีเท่านั้น ส่วนคนทำความชั่วอยู่ไม่ได้ ดังมีธรรมภาษิตรับรองเป็นหลักฐานว่า สุนฺทเรน กมฺเมน คมิตพฺโพ สคฺโค สถานที่ที่คนทำควาดีพึงไป เรียกว่า สวรรค์
---ก็พระอินทร์พร้อมด้วยสหายได้ทำความดีอะไรเล่า จึงได้เกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ทราบชีวิตเบื้องหลังของท่านเหล่านั้น จึงจะขอพาท่านลงไปยังแดนดินถิ่นมนุษย์ ณ บ้านอจลคาม แคล้นมคธ เพื่อไปทำความรู้จักกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อ มฆมาณพ ท่านผู้นี้มีคุณธรรมสูง คือสามารถรักษาวัตตบทไว้ได้ถึง ๗ ประการ และรักษาไว้ได้ไม่ใช่ชั่วครั้งชั่วคราว เขารักษาไว้ได้ตลอดชีวิตทีเดียว ธรรม ๗ ประการนั้นคือ
---๑.เลี้ยงมารดาบิดา
---๒.เคารพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่
---๓.มีวาจาไพเราะอ่อนหวาน
---๔.ไม่พูดส่อเสียด
---๕.ไม่ตระหนี่
---๖.มีวาจาสัตย์
---๗.ไม่โกรธ
---เธอมีภรรยา ๔ คนด้วยกันคือ ๑.นางสุธรรมา ๒.นางสุจิตรา ๓.นางสุนันทา ๔. นางสุชาดา ขอให้ท่านสังเกตดูว่า ชื่อนางทั้ง ๔ นี้ ตรงกันทั้งภาคสวรรค์และภาคมนุษย์ นอกจากนี้ นายมฆมาณพยังเป็นนักพัฒนาชอบความสะอาด สวยงามมีระเบียบ ทั้งยังเที่ยวแนะนำชาวบ้านให้ช่วยทำความสะอาด อย่าเที่ยวทิ้งเที่ยวสาดให้อุจาดนัยตา และว่า “ถ้าบ้านเมืองสะอาด คนในชาติก็อยู่เป็นสุข” น่าชมความคิดของนายมฆมาณพอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเขียนสุภาษิตติดไว้ตามต้นไม้ ในที่สาธารณะซึ่งล้วนแต่เป็นคติสอนใจทั้งสิ้น เช่น เตือนคนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายว่า “ใครจะช่วยตัวเราก็เปล่าดาย อย่ามักง่ายเงินทองของสำคัญ” เตือนคนขับรถว่า “ความคะนองคือความพินาศ ความประมาทคือความตาย” ซึ่งล้วนแต่เป็นคติสอนใจทั้งสิ้น เนื่องจากท่านผู้นี้มีนิสัยเป็นนักเสียสละชอบความก้าวหน้ารักประเทศชาติศาสนาเป็นชีวิตจิตใจดังนั้น เขาจึงลงมือสร้างถนนเริ่มต้นจากบ้านอจลคามมุ่งสู่มคธรัฐ โดยมิได้รับสินจ้างรางวัลจากใคร ๆ ทั้งสิ้น เขาทำงานเพื่องาน ทำดีเพื่อความดี
---ต่อมาก็มีคนมาร่วมงานกับเขาด้วยรวมทั้งหมดเป็น ๓๓ คน ตอนนี้ก็บังเอิญเกิดมารมาผจญอันเนื่องมาจากความริษยาของนายอำเภอ ซึ่งเกรงว่าเขาจะทำงานเกินหน้า จึงแนะให้เขาเปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่นแทน เช่น ต้มเหล้าเถื่อน เป็นต้น เมื่อพวกเขาไม่ปฏิบัติตามก็โกรธ ไป ทูลพระราชาโดยกล่าวหาว่าเขากับพรรคพวกเป็นกบฏถูกรับสั่งประหารชีวิตด้วยวิธี ให้ช้างเหยียบ แต่ด้วยอำนาจเมตตาพวกเขาจึงปลอดภัยภายหลังความจริงทั้งหลายก็ปรากฏ จึงทำให้นายอำเภอถูกถอดยศ มฆมาณพได้เป็นนายอำเภอแทนพร้อมทั้งได้รับพระราชทานช้างเชือกนั้นด้วย นี่แหละเข้าตำราที่ท่านว่า “นายมฆมาณพนอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น นายอำเภอทำเข็ญ ก็วินาศสันติ”
---ด้วยหัวใจที่รักความก้าวหน้า รักชาติบ้านเมือง เขาจึงพร้อมใจกันสร้างศาลาริมทางขึ้นมาหลังหนึ่งสำหรับคนไปมาจะได้พักพาอาศัย ศาลาหลังนี้มีความสวยงามมาก เพราะได้นายช่างที่มีจิตเป็นกุศล แม้ช้างเชือกนั้นก็ได้พลีกำลังช่วยงานนี้มาโดยตลอดด้วยจิตยินดี ศาลาหลังนี้มีชื่อว่า ศาลาสุธรรมา เพราะความฉลาดของนางสุธรรมา ถึงแม้ว่าจะถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมในงานนี้ แต่ด้วยปฏิภาณไหวพริบนางก็หาอุบายจนได้สร้างช่อฟ้าทั้งมีชื่อปรากฏด้วยว่า ศาลาสุธรรมา นอกจากนี้ นาย มฆมาณพยังได้ปลูกต้นทองหลางเอาไว้ที่ใกล้กับศาลาหลังนั้นด้วย และนำแผ่นหินก้อนใหญ่มาวางไว้ที่โคนต้นทองหลางสำหรับคนไปมาจะได้อาศัยนั่ง พัก
---กล่าวถึงนางสุนันทา กับนางสุจิตรา ก็ไม่ยอมน้อยหน้านางสุธรรมาเหมือนกันจึงได้สร้างสระน้ำและส่วนดอกไม้ไว้ใกล้ ๆ กับศาลาหลังนั้นเช่นกัน ส่วนนางสุชาดาหาได้สร้างอะไรกับเขาไม่เพราะประมาทเข้าใจผิดคิดไปว่า ตัวมีรูปสวยเป็นภรรยาของนายมฆมาณพด้วย ยังแถมเกี่ยวกับเป็นเครือญาติกันอีกด้วย ดังนั้น เมื่อสามีทำบุญตัวเธอก็ต้องได้บุญด้วย นี่นับว่าเธอเข้าใจผิดอย่างมาก เพราะบุญนั้นใครทำใครได้ เหมือนกับอาหารที่เรารับประทาน ใครรับประทานคนนั้นก็อิ่ม จะมาอิ่มแทนกันไม่ได้ ฉะนั้น ด้วยความเข้าใจผิดนางจึงไม่ประสงค์จะทำบุญอะไร ๆ ทั้งนั้น แม้สามีจะเคี่ยวเข็ญอย่างไรนางก็เฉยเมยไม่สนใจใยดีอะไรทั้งสิ้น
---ทีนี้เราจะได้ทราบกันว่าคนทำดีกับคนที่ไม่ทำความดีนั้นอนาคตจะเป็นอย่างไรเริ่มต้นด้วยนายมฆมาณพผู้ซึ่งสร้งแต่ความดีมาโดยตลอด มีบำเพ็ญวัตบท ๗ ประการเป็นต้น เมื่อตายแล้วจึงไปเกิดเป็นพระอินทร์อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ อานิสงส์ที่สร้างศาลาเป็นเหตุให้ได้เวชยันตปราสาท อานิสงส์ที่ปลูกต้นทองหลางเป็นเหตุให้ได้ต้นไม้ปาริชาติ อานิสงส์ที่วางแผ่นหินเอาไว้ที่โคนต้นทองหลางเป็นเหตุให้ได้แท่นทิพย์บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ส่วนนายช่างที่สร้างศาลาด้วยจิตเป็นกุศล ก็ได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรที่ชื่อว่าวิษณุกรรม สหายทั้ง ๓๒ คน ก็ขึ้นไปเกิดเป็นเทพบุตรโดยถ้วนทั่วกันและมีวิมานอยู่องค์ละหลัง ๆ ด้วยอานิสงส์ที่ได้ร่วมกันสร้างศาลา
---เรื่องนี้มีข้อที่น่าสังเกตว่า ผู้ที่สร้างอะไรที่รวมกันเป็นคณะ ครั้นเมื่อได้สวรรค์วิมานก็ได้กันคนละหลังโดยที่ไม่ต้องไปอยู่รวมกัน ซึ่งมีตัวอย่างดังที่กล่าวมานี้ สระโบกขรณีสวรรค์ก็เกิดขึ้นเป็นคู่บารมีของนางสุนันทา สวนสวรรค์ชื่อจิตรลดาก็เกิดขึ้นคู่บารมีของนางสุจิตรา
---ส่วนนางสุชาดาหญิงผู้เลอโฉมหาได้ไปเกิดในสวรรค์เหมือนผู้อื่นไม่ กลับไปเกิดเป็นนางนกยาง ทั้งนี้ เพราะความหลงติดอยู่ในความสวยงามของตัวเอง เรื่องนี้ท่านทั้งหลายต้องระวัง อย่าไปหลงติดในสิ่งต่าง ๆ เพราะเดี่ยวจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานอย่างนางสุชาดา หลักฐานอันเป็นพุทธภาษิตก็มีอยู่ว่า “โมเหน ติรจฺฉานโยนิ” ผู้ที่มีโมหะควาลุ่มหลง จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน
---เมื่อพระอินทร์ได้สอดส่งทิพยเนตรตรวจดูสมบัติ ก็ปรากฏว่าบริบูรณ์ดีทุกอย่างหากขาดแต่นางแก้วสุชาดาซึ่งไปเกิดในกำเนิดนกยาง พระองค์จึงเสด็จลงไปประทานอุบายให้นางรักษาศีล ๕ และด้วยอานิสงส์ศีล ๕ ที่นางรักษาอย่างเคร่งครัดนี่เองผลสุดท้ายนางก็ได้ไปบังเกิดเป็นมเหสีของพระอินทร์สมความปรารถนา
---ท่านทั้งหลาย การที่นายมฆมาณพได้บรรลึงความเป็นผู้ประเสริฐกว่าเทพยดาทั้งหลายก็เพราะอาศัยอความไม่ประมาท ด้วยว่าบัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท แต่กลับติเตียนความประมาทในกาลทุกเมื่อ ซึ่งตรงกับพระบาลีพุทธภาษิตที่ได้ยกขึ้นตั้งไว้ข้างต้นนั้นแล้ว
---ท่านสาธุชนทั้งหลาย เรื่องของพระอินทร์นับว่มีสาระตลอดทั้งเรื่อง ถ้าจะเปรียบก็เหมือนสิงโตน้ำตาลซึ่มีความหวานตลอดทั้งตัว ไม่ว่าจะแต่ที่หัวหางกลางตัวหวานทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้รับประโยชน์จากเรื่อนี้ จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้ใช้โยนิโสมนสิการ คือพิจารณาด้วยอุบายอันแยบคาย เห็นตัวอย่างไหนดีก็นำไปปฏิบัติ เห็นตัวอย่างไหนไม่ดีก็อย่านำไปปฏิบัติ อุปมาเหมือนกับรับประทานปลาเราก็เลือกรับประทานแต่เนื้อปลา ส่วนก้างปลาขี้ปลาเราก็ทิ้งไปเสีย การฟังเทศน์ด้วยวิธีนี้แหละที่น่ายกย่องว่าได้บุญมาก
---สำหรับในเรื่องนี้ตัวอย่างที่ดีเด่นก็เห็นจะได้แก่นายมฆมาณพ ไม่ว่าจะเป็นในด้านครองเรือน การครองรัก เธอก็ครองกันมาด้วยความเรียบร้อย ทั้ง ๆ ที่มีภรรยาถึง ๔ คน ทั้งนี้ ก็เพราะต่างมีคุณธรรมประจำใจ รู้จักหน้าที่ของตัว ในด้านการปฏิบัติพัฒนาทั้งภายในบ้าน นอกบ้านและสาธารณะสถาน สนใจทำความสะอาดอยู่เป็นนิตย์ข้อนี้ชาวไทยควรถือเป็นตัวอย่าง ควรคิดไว้เสมอ ๆ ว่า บ้านเมือง จะสะอาดก็เพราะคนในชาติช่วยกันพัฒนา ว่าถึงน้ำใจก็ควรยกให้ช้างที่ช่วยเหลือนายช่างสร้างศาลา อานิสงส์ที่มีน้ำใจเป็นเหตุให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ มีชื่อว่าเอราวัณเทพบุตร ดูซิเป็นสัตว์เดียรัจฉานแท้ ๆ ยังมีน้ำใจ ก็ท่านเล่าเป็นมนุษย์จะไปยอมแพ้แก่ช้างกระนั้นหรือ ดังนั้น ท่านจักต้องฝึกฝนตนให้เป็นคนมีน้ำใจอยู่เสมอ
---เมื่อสมัยที่กรุงเทพยังมีรถราง เด็กหนุ่มคนหนึ่งเห็นคนชราถือของพรุงพะรังขึ้นมาบนรถจึงลุกขึ้นให้ชายชรานั่ง เมื่อถึงเวลาลงจากรถเขาก็ช่วยหิ้วของตามส่งถึงบ้านชายชราซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ตัวเขาเองก็อยู่บ้านในซอยใกล้ ๆ กันนั่นเอง และต่อมาเด็กหนุ่มผู้มีน้ำใจผู้นี้ก็เป็นบุตรบุญธรรมชองชายชรา และได้ครองสมบัติเป็นจำนวนมากในกาลต่อมา เพราะสองตายายไม่มีลูกหลานที่จะสืบตระกูล จากเรื่องทำนองนี้ทำให้นึกถึงสุภาษิตบทหนึ่งว่า “น้ำบ่อน้ำคลองก็ยังเป็นรองน้ำใจ น้ำที่ไหน ๆ ก็สู้น้ำใจไม่ได้” โปรดจำไว้ว่า น้ำใจเป็นน้ำที่มีฤทธิ์
---ตัวอย่างดี ๆ ในเรื่องนี้ยังมีอีกมาก ยกมาแสดงพอเป็นตัวอย่าง ที่นี้มากล่าวถึงนางสุชาดาบ้าง นางนี้แม้ในตอนต้นเธอจะหลงผิดไปบ้างตามวิสัยของปุถุชนที่ว่า “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้ผิด บรรพชิตยังรู้เผลอ” แต่ถึงกระนั้นในตอนสุดท้ายเธอยังกลับตัวได้ จึงนับว่าน่าสรรเสริญอยู่
---ฉะนั้น ท่านที่ยังหลงทำอะไรผิด ๆ อยู่จงได้คิดว่า ยังไม่สายเกินไปในการกลับตัว จงถือคติที่ว่า “ความผิดพลาดเป็นของมนุษย์ แต่มนุษย์ที่ดีต้องรู้จักกลับตัว”
---ท่านทั้งหลาย ยอดปรารถนาของมนุษย์เราอยู่ที่ความสุข แต่ความสุขจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะอาศัยการปฏิบัติธรรม อยู่เฉย ๆ ความสุขจะเกิดขึ้นไม่ได้ เหมือนเสือนอนอ้าปากอยู่ เนื้อจะวิ่งเข้าปากเสือนั้นเหลือวิสัย เสือจะต้องไปจับเนื้อกินเอง ฉันใดฉันนั้น ความสุขที่จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะอาศัยการปฏิบัติของผู้นั้นเอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาปฏิบัติธรรมกันเถิด แล้วความสุขที่เป็นยอดปรารถนาก็จะพลันสำเร็จสมประสงค์ทุกประการ ดังเทศนาที่ได้แสดงมา ด้วยประการฉะนี้.
*ตำนานท้าวอมรินทร์เทวาธิราช (พระอินทร์) ๒
*พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์
---พระอินทร์เป็นตำแหน่งของพระราชาแห่งเทพทั้งปวง ในสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตำแหน่งนี้จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ไปตามผลแห่งบุญกรรมที่ได้กระทำไว้ พระอินทร์องค์ใดสิ้นบุญ ก็จะมีองค์ใหม่ขึ้นมาแทนที่ กล่าวได้ว่า พระอินทร์นั้นมีหลายองค์ แต่ละองค์ก็มีอายุขัยเป็นไปตามบุญกุศลที่ตนได้กระทำมา
---เรื่องราวของพระอินทร์น่าจะเป็นบทเรียนที่ช่วยให้รู้และเข้าใจถึงการทำ ประโยชน์เพื่อส่วนรวม ว่าท่านคิดอะไรถึงได้ทำเช่นนั้น นอกจากนี้การได้เรียนรู้วิธีคิดและการกระทำของพระอินทร์ เป็นสิ่งที่เราสามารถกระทำตามได้ไม่ยาก ไม่ใช่เรื่องห่างไกลและเฟ้อฝันเลย เพราะตัวท่านเองก็ได้ประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ในขณะที่ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงพระอินทร์สมัยพุทธกาลเท่านั้น
*อดีตชาติของพระอินทร์
---ณ หมู่บ้านมจลคาม แคว้นมคธ มีมาณพคนหนึ่งชื่อว่า มฆมาณพ มีใจใฝ่ให้ทาน รักษาศีลอยู่เสมอ ทั้งยังชอบแผ้วทาง ทำงานสาธารณประโยชน์ต่างๆ เช่น ปรับพื้นที่ให้เรียบเสมอกัน สร้างศาลา ปลูกต้นไม้ ขุดสระน้ำ ทำถนนหนทาง ทำสะพาน จัดทำจัดหาตุ่มน้ำ และสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม มีปกติชอบความสะอาดเรียบร้อย ต้องการให้ท้องถิ่นดูสะอาดน่ารื่นรมย์
*คิดดี คิดถูก คิดเป็น นำมาซึ่งความสุข
---ขณะที่มฆมาณพทำงานในหมู่บ้าน ก็ใช้เท้าเกลี่ยฝุ่นในที่ซึ่งยืนอยู่ให้เรียบ คนอื่นเข้ามาแย่งที่ก็ไม่โกรธ กลับถอยไปทำที่อื่นให้เรียบต่อ แต่ก็ยังมีคนมายึดที่ที่เกลี่ยเรียบไว้แล้วนั้นอีก ถึงกระนั้นมฆมาณพก็ไม่โกรธ กลับเห็นว่าคนทั้งปวงมีความสุขด้วยการกระทำของตน ฉะนั้นกรรมนี้ ย่อมส่งผลกลับมาเป็นบุญที่ให้สุขแก่ตนแน่
---มฆมาณพก็ยิ่งมีจิตขะมักเขม้น ตั้งใจที่จะทำพื้นที่ให้เป็นที่น่ารื่นรมย์มากยิ่งๆ ขึ้น จึงใช้จอบขุดปรับพื้นที่ให้เรียบเป็นลานให้แก่คนทั้งหลาย ทั้งยังเอาใจใส่ให้ไฟให้น้ำในเวลาที่ต้องการและได้แผ้วถางสร้างทางสำหรับคน ทั้งหลาย
---ต่อมามีชายหนุ่มอีกหลายคนได้เห็นก็มีใจนิยมมาสมัคร เป็นสหายร่วมกันทำทางเพิ่มขึ้น จนมีจำนวนนับได้ ๓๓ คน ทั้งหมดช่วยกันขุดถมทำถนนยาวออกไป จนถึงประมาณโยชน์หนึ่งบ้างสองโยชน์บ้าง
*เมื่อประพฤติธรรม ย่อมไม่หวั่นภัยใด ๆ
---ฝ่ายนายบ้านเห็นว่าคนเหล่านั้นประกอบการงานที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควร จึงเรียกว่าสอบถามและสั่งให้เลิก แต่มฆมาณพและสหายกลับกล่าวว่า พวกตนทำทางสวรรค์ จึงไม่ฟังคำห้ามของนายบ้าน พากันทำประโยชน์ต่อไป นายบ้านโกรธและไปทูลฟ้องพระราชาว่า มีโจรคุมกันมาเป็นพวก พระราชามิได้พิจารณาไต่สวน หลงเชื่อมีรับสั่งให้จับมฆมาณพและสหายมา แล้วปล่อยช้างให้เหยียบเสียให้ตายทั้งหมด
---ฝ่ายมฆมาณพเห็นเช่นนั้นก็ได้ให้โอวาทแก่สหายทั้งหลาย ไม่ให้โกรธผู้ใดและให้แผ่เมตตาจิตไปยังพระราชา นายบ้าน ช้างและตนเอง ให้เสมอเท่ากัน ชายหนุ่มทั้งหมดได้ปฏิบัติตาม ช้างไม่สามารถเข้าใกล้ด้วยอำนาจเมตตา
---พระราชาเห็นดังนั้นจึงรับสั่งให้ใช้เสื่อลำแพนปูปิดคนเหล่านั้นเสีย แล้วปล่อยให้ช้างเหยียบอีก แต่ช้างกลับถอยไป พระราชารับสั่งให้นำคนเหล่านั้นมาเข้าเฝ้า แล้วตรัสสอบถาม เมื่อทรงทราบความจริง ก็ทรงโสมนัสและทรงแต่งตั้งมฆมาณพให้เป็นนายบ้านแทนนายบ้านคนเดิม ซึ่งตอนนี้ถูกลงโทษให้เป็นทาส
*บุญเท่านั้น ที่เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย
---สหายทั้ง ๓๓ คน นอกจากจะได้พ้นโทษออกมา ยังได้รับพระราชทานกำลังสนับสนุน ก็ยิ่งเห็นอานิสงส์ของบุญ มีใจผ่องใสคิดทำบุญให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ได้สร้างศาลาเป็นที่พักของมหาชนเป็นถาวรวัตถุที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง
---ศาลานั้นได้แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ ส่วนหนึ่งเป็นที่อยู่ที่พักสำหรับคนทั่วไป ส่วนหนึ่งสำหรับคนเข็ญใจ ส่วนหนึ่งสำหรับคนป่วย ทั้ง ๓๓ คนได้ปูลาดแผ่นอาสนะไว้ทั้ง ๓๓ ที่ โดยตกลงกันไว้ว่า ถ้าอาคันตุกะเข้าไปพักบนแผ่นอาสนะของผู้ใด ก็ให้เป็นภาระของผู้นั้นจะรับรองเลี้ยงดู มฆมาณพยังได้ปลูกต้นทองหลาง (โกวิฬาระ) ไว้ต้นหนึ่งในที่ไม่ไกลจากศาลา ภายใต้ต้นทองหลางได้วางแผ่นหินไว้ด้วย
---มฆมาณพและสหายบำเพ็ญสาธารณกุศลเช่นนี้ตลอดชีวิต เรียกว่า บำเพ็ญวัตตบท ๗ ประการ ครั้นสิ้นอายุได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
*วัตตบท ๗ ประการได้แก่
---๑.เลี้ยงมารดาบิดาตลอดชีวิต
---๒.ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต
---๓.มีวาจานุ่มนวลสุภาพตลอดชีวิต
---๔.มีวาจาไม่ส่อเสียดตลอดชีวิต
---๕.มีใจปราศจากความตระหนี่ ยินดีในการแจกทาน ครองเรือนตลอดชีวิต
---๖.มีวาจาสัตย์จริงตลอดชีวิต
---๗.ไม่โกรธ แม้ว่าถ้าโกรธก็ระงับได้ทันทีตลอดชีวิต
*ทรงมีหลายชื่อ
---ชื่อที่เรียกพระอินทร์มีหลายชื่อ แต่ละชื่อบอกถึงคุณสมบัติหรือกุศลที่ทรงได้ทำมาในอดีต
---ท้าวมฆวาน - เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ชื่อว่า มฆะ
---ท้าวปุรินททะ - เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ทานในเมือง
---ท้าวสักกะ - เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ทานโดยความเคารพ
---ท้าววาสะ หรือวาสพ - เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ที่พัก
---ท้าวสหัสสักขะ หรือ สหัสสเนตร หรือ ท้าวพันตา - ทรงคิดรู้ความทั้งพันชั่วเวลาครู่เดียว
---ท้าวสุชัมบดี - ทรงมีชายาชื่อสุชา
---ท้าวเทวานมินทะ หรือพระอินทร์ - ทรงครอบครองราชสมบัติเป็นอิสริยาธิบดีแห่งทวยเทพชั้นดาวดึงส์
*ความเพียร
---ในคราวที่สุวีวรเทวบุตรขอพรกับพระอินทร์ ว่าขอให้ตนได้เป็น "ผู้ที่เกียจคร้าน ไม่ขยันหมั่นเพียร ไม่ทำกิจที่ควรทำ แต่ก็ได้รับความสำเร็จทุกอย่างตามที่ปรารถนา"
---พระอินทร์ทรงตรัสเพื่อให้คิดว่า
---"คนเกียจคร้านบรรลุถึงความสุขอย่างยิ่งในที่ใด ก็ให้ท่านจงไปในที่นั้นเอง และช่วยบอกให้ข้าพเจ้าได้ไปในที่นั้นด้วย"
---ถึงกระนั้น สุวีรเทวบุตรก็ยังขอพรว่า "ขอพระองค์ได้โปรด ประทานพรความสุขชนิดที่ไม่มีทุกข์โศก โดยไม่ต้องทำอะไรเลย"
---พระอินทร์ตรัสว่า "ถ้าจะมีใครดำรงชีวิตอยู่โดยไม่ต้อง ทำอะไรในทิศทางไหน นั่นเป็นทางนิพพานแน่ ให้ท่านจงไปและช่วยบอกข้าพเจ้าให้ไปด้วย"
*ขันติธรรม
---ในสงครามคราวหนึ่งฝ่ายเทวดาชนะอสูร ท้าวเวปจิตติอสุรินทร์ถูกจับได้และถูกพันธนาการมายังสุธัมมสภา ขณะที่เข้าและออกจากสภา ก็ได้บริภาษด่าพระอินทร์ด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่างๆ แต่พระอินทร์ก็ไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย
---พระมาตลีเทพสารถีจึงทูลถามพระอินทร์ว่า "ทรงอดกลั้น ได้เพราะกลัว หรือว่า เพราะอ่อนแอ"
---พระอินทร์ตรัสว่า "เราทนได้ไม่ใช่เพราะกลัว ไม่ใช่เพราะอ่อนแอ แต่วิญญูชนเช่นเราจะตอบโต้กับพาลได้อย่างไร"
---พระมาตลีแย้งว่า "พาลจะกำเริบถ้าไม่กำหราบเสีย เพราะฉะนั้นผู้มีปัญญาพึงกำหราบเสียด้วยอาชญาอย่างแรง"
---พระอินทร์ "เมื่อรู้ว่าเขาโกรธแล้วมีสติสงบลงได้ นี่แหละ เป็นวิธีกำหราบพาล"
---พระมาตลีก็ยังแย้งว่า "ความอดกลั้นดังนั้นมีโทษ พาลจะเข้าใจว่าผู้นี้อดกลั้นเพราะกลัว ก็จะยิ่งข่ม เหมือนโคยิ่งหนีก็ยิ่งไล่"
---พระอินทร์ "พาลจะคิดอย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของตนสำคัญยิ่ง และไม่มีอะไรจะยิ่งไปกว่าขันติ ผู้ที่มีกำลัง อดกลั้นต่อผู้ที่อ่อนแอ เรียกว่าขันติอย่างยิ่ง เพราะผู้ที่อ่อนแอ ต้องอดทนอยู่เองเสมอไป ผู้ที่มีกำลังและใช้กำลังอย่างพาล ไม่เรียกว่า มีกำลัง ส่วนผู้ที่มีกำลังและมีธรรมะคุ้มครอง ย่อมไม่โกรธตอบ
---ผู้โกรธตอบผู้โกรธ หยาบมากกว่าผู้โกรธทีแรก ส่วนผู้ที่ไม่โกรธตอบผู้โกรธชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก ผู้ที่รู้ว่าเขาโกรธ แต่มีสติสงบได้ ชื่อว่าประพฤติประโยชน์ทั้งแก่ตนและผู้อื่น แต่ผู้ที่ไม่ฉลาดไม่รู้ธรรมก็ย่อมจะเห็นผู้ที่รักษาประโยชน์ตนและผู้อื่น ทั้งสองฝ่ายดังกล่าว ว่าเป็นคนโง่เสีย"
*ความไม่โกรธ
---ครั้งหนึ่งพระอินทร์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วทูลถามว่า "ฆ่าอะไรได้อยู่เป็นสุข ฆ่าอะไรได้ไม่โศก" พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า "ฆ่าความโกรธ"
---ในครั้งหนึ่งได้มียักษ์ตนหนึ่งผิวพรรณเศร้าหมอง รูปร่างน่าเกลียด ขึ้นไปนั่งบนอาสนะของพระอินทร์ พวกเทพชั้นดาวดึงส์พากันโพนทนาติเตียน แต่ยิ่งโพนทนาติเตียน ยักษ์นั้นก็ยิ่งงามยิ่งผ่องใส จนพวกเทพพากันประหลาดใจว่า น่าจะเป็นยักษ์กินโกรธ
---พระอินทร์ทรงทราบความนั้นแล้วได้เสด็จเข้าไป ทำผ้าเฉวียงพระอังสะข้างซ้าย คุกเข่าขวาลง และประคองอัญชลีเหนือพระเศียร ประกาศพระนามของพระองค์ขึ้น ๓ ครั้งว่า พระองค์คือ ท้าวสักกะจอมเทพ ยักษ์นั้นกลับมีผิวพรรณเศร้าหมอง รูปร่างน่าเกลียดยิ่งขึ้นจนหายไปในที่นั้น พระองค์ขึ้นประทับบนอาสนะของพระองค์แล้วตรัสอบรมพวกเทพ และตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงโกรธมาช้านาน ความโกรธไม่ตั้งติดในพระองค์ แม้จะโกรธชั่ววูบเดียวก็ไม่กล่าวผรุสวาจา ทรงข่มตนได้
---คราวหนึ่งพระองค์ทรงอบรมเทพทั้งหลายว่า ให้มีอำนาจเหนือความโกรธ อย่าจืดจางในมิตร อย่าตำหนิผู้ไม่ควรตำหนิ อย่ากล่าวส่อเสียด อย่าให้ความโกรธเข้าครอบงำ อย่าโกรธตอบผู้โกรธ ความไม่โกรธและความไม่เบียดเบียนมีอยู่ในพระอริยะทั้งหลายทุกเมื่อ ความโกรธทับบดคนบาปเหมือนภูเขา
---จะเห็นได้ว่าคุณธรรมที่พระอินทร์ทรงประพฤติปฏิบัติทั้งขณะที่เป็นมนุษย์และ เทวดา เป็นสิ่งที่เราสามารถกระทำตามได้ เป็นตัวอย่างที่ดีของการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์โดยหวังผลคือ ความสุขของส่วนรวม
---แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าคุณธรรมต่างๆ เหล่านี้ นับวันจะเลือนหายไปในสังคมไทยของเรา เพราะคิดแต่จะเจริญรอยตามวัฒนธรรมฝรั่ง โดยหารู้ไม่ว่า ได้เพาะเมล็ดพันธ์แห่งความเห็นแก่ตัว ความไร้คุณธรรม ลงไปในความอยากมีอยากเป็นตามกระแสของสังคมศิวิไลซ์ที่เน้นวัตถุนิยม
---ฉะนั้น หากเราช่วยกันนำคุณธรรมที่ดีงามต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งบรรพบุรุษของเราเคยทำมาแล้ว ให้กลับคืนมา สังคมอันดีงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยธรรม ก็ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
อารามโรปา วนโรปา เย ชนา เสตุการกา ปปญฺจ อุทปานญฺ จ เย ททนฺติ อุปสฺสยํ เตสํ ทิวา จ รตฺโต จ สทา ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ.
(ชนเหล่าใด สร้างสวน ปลูกป่า ให้โรงประปา บ่อน้ำ และที่พักอาศัย บุญของชนเหล่านั้น ย่อมเพิ่มพูนทุกเมื่อ ทั้งคืนทั้งวัน.)
.....................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 23 กันยายน 2558
ความคิดเห็น