/music/.mp3 http://www.watkaokrailas.com
สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

 ติดต่อเรา-แผนที่

มาเช็คชื่อ-เช็คสกุลกันดีกว่า=คลิป

มาเช็คชื่อ-เช็คสกุลกันดีกว่า=คลิป

ชื่อนี้ช่างดีแท้

(อ้างอิงเรื่อง)





*เปลี่ยนชื่อแล้วดีอย่างไร


---ประเทศไทยของเรา  เปลี่ยนมาจากชื่อเดิมว่า “สยาม”  ประเทศพม่าเปลี่ยนเป็น “เมียนม่า” และที่เปลี่ยนชื่อแล้วเห็นผลทันตา คือ ต้นลั่นทมเดิมถือว่า  ชื่อไม่เป็นมงคลเพราะไปพ้องเสียง  กับคำว่า ระทม  ปัจจุบันมีชื่อใหม่ไพเราะว่า  “ลีลาวดี”  เท่าที่ทราบ...ระยะนี้มีการขยายพันธุ์  เพาะปลูกจริงจังราคา  มีตั้งแต่ต้นละร้อย  ไปจนถึงต้นละเป็นหมื่น


---นอกจากนี้  มีคนพยายามจะเปลี่ยนชื่อแห้วให้เป็น  “สมหวัง”  แต่ยังไม่แพร่หลายและยังไม่เป็นที่ยอมรับในอนาคต..ไม่แน่..อีกแหละ..ถ้ามังคุดและระกำมีการเปลี่ยนชื่อใหม่  ให้ไพเราะและเป็นมงคลรับรองว่า  ผลไม้ที่ไม่ค่อยมีใครนำไปไหว้พระ  อาจจะเป็นผลไม้วิเศษที่เจ้าที่แล้ว  ถูกล็อตเตอร์รี่ทุกครั้งไป...ใครจะไปเชื่อ



ความดีแท้ของชื่อนี้มีกล่าวไว้ในนามสูตร

(ว่าด้วยชื่อ)  ซึ่งเรื่องโดยย่อมีอยู่ว่า




 

---เทวดาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า


---“อะไรเล่าครอบงำสิ่งทั้งปวง  อะไรเล่าไม่มีสิ่งทั้งปวงยิ่งกว่า  อะไรเล่าเป็นธรรมอย่างหนึ่งที่สิ่งทั้งปวงตกอยู่ในอำนาจ”


---พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า


---“ชื่อครอบงำทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าชื่อ  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนตกอยู่ในอำนาจของธรรมชั้นเอกคือ  ชื่อนี้ทั้งนั้น”


---นัยตามที่กล่าวมานี้ยืนยันได้อย่างชัดเจนแล้วว่า  ชื่อนี้ช่างดีแท้  ดีมากๆ...ไม่ใช่ดีน้อยๆ  แต่ต้องถามท่านหน่อยว่า  ท่านได้ทำชื่อของตนเองให้ดีแท้แล้วหรือยัง

 

*ประวัติพระองคุลีมาลเถระ

*กำเนิดอหิงสกกุมาร 


---ที่เมืองสาวัตถีของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองคุลิมาลนี้ ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์แห่งนางพราหมณ์ชื่อ  มันตานี ภรรยาของ คัคคพราหมณ์  (ภัคควพราหมณ์) ซึ่งเป็นปุโรหิตแห่งเมืองสาวัตถี  ในเวลาที่ องคุลิมาล คลอดออกจากครรภ์มารดานั้น บรรดาอาวุธทั้งหลาย ในนครทั้งสิ้นช่วงโชติขึ้น แม้กระทั่งฝักดาบ   ที่อยู่ในห้องพระบรรทมก็ส่งแสงเรืองขึ้น พราหมณ์ปุโรหิตจึงลุกออกมาแหงนดูดาวนักษัตร ก็รู้ว่าบุตรเกิดโดยฤกษ์ดาวโจร ลูกของตนที่จะเกิดจากครรภ์ของภรรยานั้น จะเป็นโจรผู้ร้ายกาจ เที่ยวเข่นฆ่ามนุษย์เสียมากมาย  


---วันรุ่งขึ้นปุโรหิตจึงเข้าไปในพระราชวัง เข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อทูลถวายรายงานถึงเหตุอาเพศที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน และกราบทูลว่า  เป็นเพราะลูกที่เกิดจากนางพราหมณี ที่เรือนของตน


---พระราชาสอบถามว่า  "อาเพศดังกล่าวจักเกิดเหตุอะไร "


---ปุโรหิตกราบทูลว่า  "เขาจักเป็นมหาโจร"


---พระราชาถามต่อว่า   "จักเป็นโจรทำร้ายผู้คน หรือ เป็นโจรประทุษร้ายราชสมบัติ"


---ปุโรหิตกราบทูลว่า  "เขาจะไม่มีภัยต่อราชสมบัติ จะเป็นโจรคนเดียว"


---พระราชาตรัสว่า   "เป็นโจรคนเดียวจะทำอะไรได้ ถ้าเขาทำเหตุอันใดขึ้นในอนาคต เราก็จักจัดการเขาเสียด้วยกองทหารของเรา จงเลี้ยงเขาไว้เถิด"


---แม้ในวันที่ตั้งชื่อกุมารนั้น สิ่งของเหล่านี้คือ ฝักดาลอันเป็นมงคลที่วางไว้ ณ ที่นอน ลูกศรที่วางไว้ที่มุม มีดน้อยสำหรับตัดขั้วตาลซึ่งวางไว้ในปุยฝ้าย ต่างส่งแสงลุกโพลงขึ้น แต่หาได้เป็นอันตรายหรือเบียดเบียนใครไม่ ปุโรหิตาจารย์นั้นเชื่อตามตำราว่า ลูกตนต้องเป็นคนโหดร้ายทารุณแน่ ก็เลยตั้งชื่อเด็กคนนี้เป็นการแก้เคล็ดเสียว่า...... “อหิงสกกุมาร” แปลว่า เด็กผู้ไม่เบียดเบียนใคร

 

*อหิงสกกุมารออกศึกษา 


---เมื่ออหิงสกกุมารมีอายุพอจะศึกษาศิลปวิทยาแล้ว บิดามารดาจึงส่งไปเรียนกับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่เมืองตักกศิลา อหิงสกกุมารเป็นคนมีปัญญา ขยัน ตั้งใจเรียนดี มีความประพฤติเรียบร้อย คอยรับใช้อาจารย์ด้วยความเคารพ พูดจาไพเราะจึงเป็นที่พอใจของอาจารย์มาก


---แต่ศิษย์คนอื่น ๆ เห็นท่านเป็นคนโปรดของอาจารย์ก็ริษยา พากันออกอุบายเพื่อกำจัดอหิงสกมาณพ โดยแบ่งคนออกเป็นสามพวก พวกแรกก็เข้าไปบอกอาจารย์ว่า ได้ยินมาว่า  อหิงสกมาณพจะประทุษร้ายท่านอาจารย์ ทีแรกอาจารย์ไม่เชื่อ แต่เมื่อพวกที่สอง และ พวกที่สามเข้าไปบอกเรื่องอย่างเดียวกัน หนักเข้าก็กลับใจเชื่อ แล้วอาจารย์จึงหาอุบายฆ่าอหิงสกมาณพ


---อาจารย์คิดต่อไปอีกว่า ถ้าเราฆ่ามัน ใคร ๆ ก็จะคิดว่าอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ลงโทษมาณพผู้มาเรียนศิลปะยังสำนักของตนแล้วปลงชีวิตเสีย ดังนี้ ก็จักไม่มีใครมาเล่าเรียนศิลปะกับเราอีก


---ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็จะเสื่อมลาภ ดังนั้นจึงได้ออกอุบายยืมมือคนอื่นฆ่า โดยให้มาณพนั้นฆ่าคนให้ได้พันคน ด้วยคาดว่าเมื่ออหิงสกกุมารปฏิบัติตามคำสั่งของตน เที่ยวได้ฆ่าคนไป ก็จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งต่อสู้ และฆ่ามาณพนั้นจนได้ แล้วอาจารย์จึงบอกมาณพนั้นว่า ยังมีคำสำหรับศิลปะวิชาขั้นสุดท้ายอยู่ เจ้าจะต้องฆ่าคนให้ได้พันคน เพื่อประกอบพิธีบูชาครู (ครุทักษิณา) มิฉะนั้นวิชานั้นก็จะไม่มีผล

 

*กำเนิดมหาโจรองคุลิมาล


---ทีแรกอหิงสกกุมารปฏิเสธ  โดยอ้างว่าท่านเกิดในตระกูลที่ไม่เบียดเบียนใคร  แต่อาจารย์บอกว่าศิลปศาสตร์ที่เรียนไปแล้วถ้ามิได้บูชาครูก็จะไม่อำนวยผลที่ต้องการ  ด้วยนิสัยรักวิชา อหิงสกกุมารจึงยอมปฏิบัติตาม โดยออกไปสู่ป่าชาลิวันในแคว้นโกศล อาศัยอยู่ที่หุบเขาแห่งหนึ่งคอยดักฆ่าคนเดินทางออก เที่ยวปล้นหมู่บ้านและตำบลต่าง ๆ เป็นโกลาหล ได้ฆ่าคนล้มตายเป็นจำนวนมาก


---แรก ๆ อหิงสกมาณพก็ไม่ได้ตัดนิ้วคนที่ตนฆ่าเก็บเอาไว้ แต่เมื่อฆ่าคนมากเข้า ๆ ก็จำไม่ได้ว่าฆ่าไปแล้วกี่คน เพื่อเป็นเครื่องนับจำนวนคนที่ตนฆ่า อหิงสกมาณพก็ตัดเอานิ้วมือคนที่ตายคนละหนึ่งนิ้ว มาเก็บไว้ แต่เก็บ ๆ ไปก็มีนิ้วที่เสียหายไปบ้างไม่ครบจำนวน จึงเปลี่ยนมาทำเป็นพวงมาลัยคล้องคอไว้ ฉะนั้น คนจึงเรียกชื่อท่านว่า องคุลิมาล


---นับแต่ออกจากสำนักอาจารย์มา องคุลิมาลก็คอยดักซุ่มฆ่าคนเรื่อยไป เจอใครฆ่าหมดไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายคนเฒ่าคนแก่เด็กเล็กเด็กแดงไม่เลือก จนไม่มีใครสามารถไปป่าเพื่อหาฟืน เป็นต้น ในตอนกลางคืนก็เข้ามายังภายในบ้านเอาเท้าถีบประตู แล้วก็ฆ่าคนที่นอนนั้นแหละ หมู่บ้านก็ร่นถอยไปตั้งในนิคม. 


---นิคมก็ร่นถอยไปตั้งอยู่ในเมือง พวกมนุษย์ทิ้งบ้านเรือนจูงลูกเดินทางมาล้อมพระนครสาวัตถี เป็นระยะทางถึงสามโยชน์ ตั้งค่ายพักประชุมกันที่ลานหลวง ต่างคร่ำครวญกล่าวกันว่า ข้าแต่สมมติเทพ ในแว่นแคว้นของพระองค์ มีโจรชื่อองคุลิมาล


---พราหมณ์ปุโรหิตได้ยินเรื่องดังนั้นก็รู้ว่า โจรองคุลิมารนั้น  ต้องเป็นบุตรของเราเป็นแน่ จึงกล่าวกะนางพราหมณีว่า เกิดโจรชื่อองคุลิมาลขึ้นแล้ว โจรนั้นคงไม่ใช่ใครอื่น ต้องเป็นอหิงสกกุมาร ลูกของเราเป็นแน่   บัดนี้ พระราชาจะเสด็จออกไปจับเขา เราควรจะทำอย่างไร นางพราหมณีพูดว่า ฉันจะไปพาลูกของฉันมา ดังนี้ จึงออกเดินทางเพื่อไปบอกลูกบุตรชายให้หนีไปเสีย.


---เวลานั้นโจรองคุลิมาลได้นิ้วมือมาเพียง ๙๙๙นิ้ว ยังขาดอยู่นิ้วเดียวเท่านั้น จึงกระหายเป็นกำลังและตั้งใจว่าถ้าพบใครก่อนก็จะฆ่าทันทีเพื่อจะได้นิ้วมือครบตามต้องการ แล้วจะได้ตัดผมโกนหนวดอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปเยี่ยมบิดามารดา


*องคุลิมาลพบพระพุทธเจ้า


---เช้าตรู่วันนั้น พระบรมศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นว่าองคุลิมาลเป็นผู้มีอุปนิสัยพอที่จะโปรดให้บรรลุมรรคผลได้ และทรงพระดำริเห็นว่า ถ้าพระองค์มิได้เสด็จไปโปรด          องคุลิมาลก็จะกระทำมาตุฆาต  ฆ่ามารดาของตนเสีย จะเป็นผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่สามารถบรรลุธรรมใด ๆ ได้ในชาตินี้ แม้จะได้ฟังธรรมโดยตรงจากพระพุทธองค์   พระองค์จึงเสด็จจาริกมุ่งตรงไปยังป่าชาลิวันเป็นระยะทาง ๓๐ โยชน์ เพื่อสกัดองคุลิมาลไว้ มิให้ทันได้ฆ่ามารดา


---ธรรมดาการเสด็จจาริกของพระผู้มีพระภาคเจ้า มี ๒ อย่างคือ เสด็จจาริกอย่างรีบด่วน ๑ เสด็จจาริกอย่างไม่รีบด่วน ๑. ใน ๒อย่างนั้น  การที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นบุคคลที่ควรให้ตรัสรู้ได้แม้ในที่ไกล ก็จะเสด็จไปโดยเร็วเพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้ของเขา ชื่อว่าเสด็จจาริกอย่างรีบด่วน. เช่นในการเสด็จไปเพื่อประโยชน์แก่พระอังคุลิมาลในครั้งนี้


---ในระหว่างทางนั้น  พวกคนเลี้ยงโคได้พากันวิ่งเข้าไปกราบทูลขอร้องถึง  ๓  ครั้ง  มิให้เสด็จไปหาองคุลิมาล เพราะกลัวพระองค์จะได้รับอันตราย  แต่พระพุทธองค์ทรงเฉยเสียแล้วเสด็จดำเนินต่อไปจนถึงป่าชาลิวัน


---โจรองคุลิมาลได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล ก็คิดว่าน่าประหลาดจริงหนอ เมื่อก่อน แม้พวกบุรุษมากันสิบคนก็ดี ยี่สิบคนก็ดี สามสิบคนก็ดี สี่สิบคนก็ดี ก็ยังต้องรวมเป็นกลุ่มเดียวกันเดินทาง แต่ถึงอย่างนั้น บุรุษพวกนั้นยังต้องตายเพราะมือเรา นี่มีเพียงสมณะนี้ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนมาด้วย ชะรอยสมณะนี้คงจะมีดีอะไรสักอย่างแล้วจะมาลองดีกับเรา


---ถ้ากระไร เราพึงปลิดชีวิตสมณะนี้เถิด ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรถือดาบและโล่ผูกสอดแล่งธนู ติดตามพระผู้มีพระภาคไปทางพระปฤษฎางค์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงบันดาลอิทธิฤทธิ์ ในลักษณะที่องคุลิมาลจะวิ่งจนสุดกำลัง ก็ไม่อาจทันพระผู้มีพระภาค ผู้เสด็จไปตามปกติได้


---เมื่อเป็นดังนั้น องคุลิมาลโจรก็ได้มีความคิดว่า น่าอัศจรรย์จริง เมื่อก่อนนี้ แม้ช้างกำลังวิ่ง ม้ากำลังวิ่ง รถกำลังแล่น เนื้อกำลังวิ่ง เราก็ยังวิ่งตามจับได้ แต่ว่านี่เราวิ่งจนสุดกำลัง ยังไม่อาจทันสมณะนี้  ซึ่งเดินไปตามปกติได้ คิดดังนี้แล้ว จึงหยุดยืนกล่าวกะ พระผู้มีพระภาคว่า  "จงหยุดก่อนสมณะ จงหยุดก่อนสมณะ "  พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  " เราหยุดแล้ว องคุลิมาล ท่านเล่าจงหยุดเถิด"


---ครั้งนั้น  องคุลิมาลโจรคิดอยู่ว่า สมณศากยบุตรเหล่านั้น  ปกติมักเป็นคนพูดจริงมีปฏิญญาจริง แต่สมณะ รูปนี้ กำลังเดินไปอยู่แท้ ๆ กลับพูดว่า  "เราหยุดแล้ว"  คงจะต้องมีนัยอะไรสักอย่าง เราน่าจะถามสมณะรูปนี้ดูจะดีกว่า


---ครั้งนั้น องคุลิมาลโจร  ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค  "สมณะ ท่านกำลังเดินไป ยังกล่าวว่า เราหยุดแล้ว และยังกล่าวกะข้าพเจ้าผู้หยุดแล้ว ว่าไม่หยุด" สมณะ ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า  "ท่านหยุดแล้วเป็นอย่างไร" ข้าพเจ้า  "ยังไม่หยุด เป็นอย่างไร"

 

*องคุลิมาลทูลขอบรรพชา


---พระพุทธองค์มีพระดำรัสตอบว่า  “องคุลิมาล เราได้หยุด คือ เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว ส่วนตัวเธอยังไม่หยุด คือ ยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่ เราจึงพูดเช่นนั้น“


---องคุลิมาลได้ยินพระสุรเสียงอันแจ่มใส พระดำรัสที่คมคายเช่นนั้น ก็เกิดใจอ่อน รู้สึกสำนึกผิดได้ทันที  แล้ววางดาบ ทิ้งธนู สลัดแล่งโยนทิ้งลงเหวที่หุบเขา เข้าไปถวายบังคมพระบาทยุคลของพระพุทธองค์  ทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา


---พระพุทธองค์ทรงอนุญาต ให้บวชเป็นภิกษุด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยได้ทรงพิจารณาเห็นว่าองคุลีมาลนั้นถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยและได้เคยถวายภัณฑะ คือ บริขารแปด แก่ท่านผู้มีศีลในปางก่อน


---ก็ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาออกจากบังสุกุลจีวร เปล่งพระสุรเสียง ตรัสเรียกว่า  "เธอ  จงมาเป็นภิกษุเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์  เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด" พร้อมกับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นนั่นเอง

 

---เพศคฤหัสถ์ขององคุลีมาลนั้น ก็อันตรธานไป บรรพชาและอุปสมบทก็สำเร็จ องคุลิมาลนั้นก็เป็นผู้ปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวะ คือนุ่งผ้าอันตรวาสก ผืนหนึ่ง  ห่มผ้าอุตราสงค์ ผืนหนึ่ง  พาดผ้าสังฆาฏิไว้บนบ่าผืนหนึ่ง  มีบาตรดินที่มีสีเหมือนดอกอุบลเขียวคล้องไว้ที่บ่าข้างซ้าย พร้อมด้วยบริขารอื่น คือ มีดโกน  เข็ม  และผ้ารัดประคดเอว และ ผ้ากรองน้ำ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถ  เหมือนพระเถระอายุพรรษาตั้งร้อยพรรษา  มีพระพุทธเจ้าเป็นพระอาจารย์  มีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌายะ  ยืนถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ทีเดียว.

 

*พระบรมศาสดาก็เสด็จพาองคุลิมาลภิกษุไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร

(ณ กรุงสาวัตถี พระเจ้าปเสนทิโกศลได้พบภิกษุองคุลิมาล) 


---สมัยนั้น หมู่มหาชนก็มาชุมนุมกันอยู่ที่ประตูพระราชวังของพระเจ้าปเสนทิโกศล ส่งเสียงร้องทุกข์กับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ในแว่นแคว้นของพระองค์ มีโจรชื่อว่า องคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า ฆ่าคนโดยไม่มีความกรุณา องคุลิมาลโจรนั้น เข่นฆ่าพวกมนุษย์ แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวงแขวนคอไว้ ขอพระองค์จงกำจัดมันเสียเถิด.


---พระเจ้าปเสนทิโกศลนั้น ทรงกลัวองคุลิมาล มิได้มีพระประสงค์จะไปจับโจรเลยแต่ทรงเกรงต่อคำครหา จึงทรงดำริว่า ถ้าเราจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ พระองค์ก็ทรงตรัสถามว่า พระองค์พาไพร่พลออกมาเพราะเหตุไร


---เราก็จะทูลว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้สงเคราะห์ข้าพระองค์ด้วยประโยชน์ในภพหน้า  แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม้ประโยชน์ในปัจจุบันก็ทรงสงเคราะห์ด้วย ข้าพระองค์ออกมาจับโจรองคุลิมาล  ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเห็นว่าเราจะจับโจรได้ก็คงจะทรงนิ่งเสีย  แต่ถ้าเราทรงเห็นว่าเราจะแพ้  ก็จะทรงตรัสว่า  "มหาบพิตร จะมีประโยชน์อะไรด้วยการเสด็จมาด้วยเรื่องของโจรเพียงคนเดียว" ถ้าเป็นอย่างนั้นคนก็จะเข้าใจเราอย่างนี้ว่า พระราชาเสด็จออกจับโจร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามเสียแล้ว ดังนี้ เราก็จะพ้นคำครหาด้วยประการฉะนี้


---ดังนั้น  พระเจ้าปเสนทิโกศล  จึงได้เสด็จเคลื่อนพลออกจากนครสาวัตถี  ด้วยกระบวนม้าประมาณ ๕๐๐ เสด็จเข้าไปยังพระเชตวันมหาวิหารแต่ยังวันทีเดียว  เสด็จไปด้วยพระยานจนสุดทางที่ยานจะสามารถไปได้แล้วเสด็จลงจากพระยาน  แล้วทรงพระราชดำเนินด้วยพระบาท  เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ      ครั้นแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.


---พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า  "ดูกรมหาบพิตร พระเจ้าพิมพิสาร แห่งแคว้นมคธทรงทำให้พระองค์ทรงขัดเคือง หรือเป็นเจ้าลิจฉวี เมืองเวสาลี หรือว่าเป็นพระราชาผู้เป็นปฏิปักษ์เหล่าอื่น"


---พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า "มิได้พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ"  หม่อมฉัน  "ออกมาจับโจร ชื่อว่า องคุลิมาล"

 

---พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า  "ดูกรมหาราช ถ้ามหาบพิตรทอดพระเนตรเห็น องคุลิมาล เป็นผู้ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการพูดเท็จ ฉันภัตตาหารหนเดียว ประพฤติพรหมจรรย์ พระองค์จะทรงกระทำอย่างไรกะเขา"


---พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตรัสว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะพึงทำความเคารพ จะจัดถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร หรือก็จะจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองอย่างเป็นธรรม  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่องคุลิมาลโจรนั้น เป็นคนทุศีล มีบาป จะมีความสำรวมด้วยศีลถึงอย่างนั้นได้อย่างไร"


---ขณะนั้น ท่านพระองคุลิมาล นั่งอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงยกพระหัตถ์เบื้องขวาขึ้นชี้ตรัสบอกพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า  "ดูกรมหาราช นั่น องคุลิมาล."


---พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงเห็นองคุลิมาลก็ทรงมีความกลัว ทรงหวาดหวั่น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า  พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงกลัว จึงได้ตรัสกะพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า  "อย่าทรงกลัวเลย มหาราช อย่าทรงกลัวเลย มหาราช บัดนี้ องคุลิมาลนี้ไม่เป็นภัยกับผู้ใดแล้ว"


---ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงระงับความกลัวได้แล้ว จึงเสด็จเข้าไปหาท่านองคุลิมาลถึงที่ที่ท่านนั่งอยู่ แล้วทรงดำริว่า การที่จะถือเอาชื่อที่เกิดขึ้นเพราะกรรมอันชั่วช้า คือชื่อ "องคุลิมาล" นั้นนำมาเรียกพระภิกษุ เป็นการไม่สมควร เราจักเรียกท่านด้วยชื่อแห่งโคตรของบิดามารดา ดังนี้ จึงถามว่า  "บิดาของพระผู้เป็นเจ้ามีโคตรอย่างไร มารดาของพระผู้เป็นเจ้ามีโคตรอย่างไร"



---ท่านพระองคุลิมาลถวายพระพรว่า  "ดูกรมหาบพิตร บิดาชื่อ คัคคะ มารดาชื่อ มันตานี."



---พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทรงปวารณาที่จะถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แก่ท่านคัคคะมันตานีบุตร.


---และเพื่อแสดงถึงความตั้งพระทัยในการกล่าวปวารณานั้นอย่างจริงจัง พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ทรงเปลื้องผ้าสาฏกที่คาดเอววางไว้ ณ ที่ใกล้เท้าของพระเถระ


---แต่เนื่องจากในครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาล ถือการอยู่ในป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือผ้าสามผืนเป็นวัตร ดังนั้น ท่านองคุลิมาลจึงได้ถวายพระพร  พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า "อย่าเลย มหาราช ไตรจีวรของอาตมภาพมีบริบูรณ์แล้ว."


---พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสรรเสริญพระพุทธคุณ ที่ทรงสามารถปราบโจรร้ายได้โดยไม่ต้องใช้อาญาและศัสตราอาวุธใด ๆ ลำดับนั้น แล้วทรงลุกจากที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วเสด็จกลับไป



*พระองคุลิมาลโปรดหญิงมีครรภ์ 


---หลังจากที่ท่านพระองคุลิมาลได้บวชแล้ว ท่านก็ได้รับความลำบากในเรื่องการบิณฑบาต แรก ๆ ท่านก็ออกบิณฑบาตภายนอกพระนคร แต่พวกชาวบ้านพอเห็นท่านแล้วย่อมสะดุ้งบ้าง ย่อมหนีเข้าป่าไปบ้าง ย่อมปิดประตูบ้าง บางพวกพอได้ยินว่า องคุลิมาล ก็วิ่งหนีเข้าเรือนปิดประตูเสียบ้าง เมื่อไม่อาจหนีได้ทันก็ยืนผินหลังให้ พระเถระไม่ได้แม้ข้าวยาคูสักกระบวยหนึ่ง แม้ภัตสักทัพพีหนึ่ง เมื่อท่านเห็นว่าไม่สามารถบิณฑบาตได้ภายนอกพระนครก็เข้าไปบิณฑบาตยังในพระนคร แต่พอเข้าไปทางประตูเมืองนั้น ก็เป็นเหตุให้มีเสียงตะโกนระเบิดออกมาเป็นพัน ๆ เสียงว่าองคุลิมาลมาแล้ว ๆ

 

*บัญญัติพระวินัยเรื่องการให้บวชโจรที่ขึ้นชื่อโด่งดัง


---ในเรื่องนี้ก็เป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยไว้โดยที่ในเรื่องนี้ประชาชนได้เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงให้โจรที่ขึ้นชื่อโด่งดังบวชเล่า.


---ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.


---พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  "ดูกรภิกษุทั้งหลาย โจรที่ขึ้นชื่อโด่งดัง ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฎ."


---ต่อมา ท่านเข้าไปบิณฑบาตในเมือง เห็นหญิงคลอดลูกไม่ออกคนหนึ่งจึงเกิดความสงสาร  เมื่อกลับจากบิณฑบาตแล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ


---พระพุทธองค์ทรงพระปริวิตก  เกี่ยวกับเรื่องพระเถระลำบากด้วยภิกษาหาร เพื่อจะสงเคราะห์พระเถระนั้น โดยการลดความหวาดกลัวของประชาชนลง  พระองค์จึงทรงมีพระประสงค์  จะให้พระเถระแสดงสัจจกิริยาอนุเคราะห์แก่สตรีผู้เจ็บครรภ์  เพื่อให้ชนทั้งหลายเห็นว่า บัดนี้พระองคุลิมาลเถระกลับได้มีเมตตาจิต กระทำความสวัสดีให้แก่พวกมนุษย์ด้วยสัจจกิริยา  ฉะนั้น  ชนทั้งหลายย่อมคิดว่า  ควรเข้าไปหาพระเถระ ต่อแต่นั้นพระเถระก็จะไม่ลำบากด้วยภิกษาหาร


---พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า  "ดูกร องคุลิมาล ถ้าอย่างนั้น เธอจงเข้าไปหาสตรีนั้นและกล่าวกะสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดมาแล้ว จะได้รู้สึกว่าแกล้งปลงสัตว์จากชีวิตหามิได้ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด."


---ท่านพระองคุลิมาลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์กล่าวเช่นนั้น ก็จะเป็นว่าข้าพระองค์กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่เป็นแน่ เพราะข้าพระองค์แกล้งปลงสัตว์เสียจากชีวิตเป็นอันมาก.


---พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ดูกร องคุลิมาล ท่านอย่าถือเอาเหตุนั้นเลย นั่นไม่ใช่ชาติของท่าน นั่นเป็นเวลาเมื่อเป็นคฤหัสถ์ ธรรมดาคฤหัสถ์ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง ย่อมกระทำอทินนาทานเป็นต้นบ้าง   แต่บัดนี้ ชาติของท่านชื่อว่า อริยชาติ.


---เพราะฉะนั้น ท่านถ้ารังเกียจจะพูดอย่างนั้น ท่านจงเข้าไปหาสตรีนั้น แล้วกล่าวกะสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดแล้วในอริยชาติ จะได้รู้สึกว่าแกล้งปลงสัตว์เสียจากชีวิตหามิได้ ด้วย  สัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด."


---พระองคุลิมาลทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาหญิงนั้นถึงที่อยู่ เพื่อกระทำสัจจกิริยาให้หญิงนั้น คลอดโดยสวัสดี ก็โดยปกติแล้ว การคลอดบุตร ของหญิงทั้งหลาย ผู้ชายไม่ควรจะเข้าไป ญาติของหญิงนั้นจึงกั้นม่านปูลาดตั่งไว้ภายนอกม่าน  ไว้ให้พระเถระ พระเถระจึงนั่งลงบนตั่งนั้น และกระทำสัจจกิริยา ครั้นสิ้นคำสัจจกิริยานั้น  ทารกก็ออกจากครรภ์มารดาอย่างง่ายดาย ดุจเทน้ำออกจากกระบอก ทั้งมารดาทั้งบุตรต่างก็มีความปลอดภัย


---คำสัจจกิริยาของพระเถระนี้ มหาชนต่างก็ถือว่า  เป็นพระปริตรอันศักดิ์สิทธิ์ ในประเทศไทยเองก็ได้อยู่ในบทสวดทั้งเจ็ดตำนานและสิบสองตำนาน ชื่อว่า  "องคุลิมาลปริต"


---ในครั้งนั้น แม้กระทั่ง  ตั่งที่พระเถระนั่งกระทำสัจจกิริยา ชนทั้งหลายเพียงนำสัตว์ดิรัจฉานตัวเมียที่มีครรภ์คลอดลำบากมาให้นอนที่ตั่งนั้น ก็จะคลอดออกได้โดยง่าย แม้แต่ตัวใดที่พิการนำมาไม่ได้ ก็เพียงแต่เอาน้ำล้างตั่งนั้นไปรดศีรษะ ก็คลอดออกได้ในขณะนั้นทีเดียว แม้โรคอย่างอื่นก็สงบไป ได้ยินว่า พระมหาปริตนี้มีปาฏิหาริย์ตั้งอยู่ตลอดกัป.


---ตั้งแต่นั้นมา  ปัญหาเรื่องภิกษาหารของพระเถระก็หมดไป แต่พระประสงค์ของพระพุทธองค์ในการที่จะให้พระเถระกระทำสัจจกิริยา ด้วยถ้อยคำดังกล่าวข้างต้น ด้วยทรงมีพระพุทธประสงค์  อีกประการหนึ่งก็คือ ในอดีตตั้งแต่พระเถระบรรพชาแล้ว ท่านก็เพียรในสมณธรรม


---แต่เมื่อขณะที่พระเถระกระทำกัมมัฏฐานนั้น ท่านก็ไม่สามารถทำความสงบ ให้เกิดขึ้นแก่จิตได้ ด้วยภาพแห่งการกระทำที่ในดง  เช่น การฆ่าพวกมนุษย์ ภาพการโอดครวญวิงวอนของเหล่ามนุษย์ ที่ท่านกำลังจะฆ่า ว่าข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจ ข้าพเจ้ายังมีบุตรเล็ก ๆ อยู่ โปรดให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้าเถิดนาย ภาพความวิการแห่งมือและเท้าก็ดี ของคนเหล่านั้น ดังนี้ ย่อมมาสู่จิตของท่าน จนท่านไม่สามารถกระทำสมณธรรมได้ต้องลุกไปเสียจากที่นั้น


---พระผู้มีพระภาคเจ้า  ได้ให้พระเถระกระทำสัจจกิริยา โดยอ้างอริยชาติ  ด้วยทรงเล็งเห็นว่า  พระองคุลิมาลต้องกระทำชาติ  (ที่เป็นคฤหัสถ์) นั้น  ให้เป็นอัพโพหาริก (เป็นโมฆะ) คือ ให้พระเถระไม่คิดถึงเรื่องในเมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์  แต่ให้ท่านได้มีความเข้าใจว่า ท่านเกิดใหม่ในอริยชาติแล้ว ให้ท่านคิดดังนี้เสียก่อน แล้วเจริญวิปัสสนา จึงจักบรรลุพระอรหัตต์ได้


---ต่อมาภิกษุองคุลิมาลก็หลีกออกจากคณะ ไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ผู้เดียวไม่นานเท่าไรนักก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

 

*ในการสำเร็จเป็นพระอรหันต์ของพระองคุลิมาลเถระนั้น

(ไม่เป็นที่ปรากฏชัดแก่ภิกษุบางเหล่า ดังเช่นมีเรื่องเล่าว่า) 


---สมัยหนึ่ง ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวจาริก  ไปตามชนบท  แล้วทรงมาถึงพระเชตวันมหาวิหาร พระเจ้าปเสนทิโกศล  ทรงกระทำมหาทานแข่งกับพวกประชาชน  โดยได้นิมนต์พระพุทธองค์พร้อมเหล่าภิกษุทั้งหมดมาเพื่อจะถวายทาน.


---ในวันที่สองพวกชาวกรุงถวาย. 


---พระราชาทรงถวายยิ่งกว่าทานของพวกชาวกรุงเหล่านั้นอีก พวกชาวกรุงก็ถวายยิ่งกว่าทานของพระองค์ เป็นดังนี้ ครั้นเมื่อล่วงไปหลายวันอย่างนั้น พระราชาทรงเกรงว่าจะแพ้พวกชาวกรุง.


---ทีนั้นพระนางมัลลิกาเทวีผู้เป็นพระมเหสี  ได้กราบทูลขอจัดอสทิสทานถวาย.


---ในอรรถกถากล่าวว่า  อสทิสทานนั้น จะมีในพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งๆ นั้น จะมีได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น  พระนางมัลลิกาเทวีได้ทรงกราบทูลให้พระราชาจัดทานดังนี้


---ให้เขาทำมณฑปสำหรับพระพุทธองค์ทรงประทับภายในวงเวียน  ภิกษุที่เหลือนั่งภายนอกวงเวียน;  จัดช้าง ๕๐๐ เชือก ถือเศวตฉัตร ๕๐๐ คัน  ยืนกั้นอยู่เบื้องบนแห่งภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป จัดทำเรือทองคำ  ๑๐ ลำวางไว้  ณ  ท่ามกลางมณฑป เจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ  จัดให้นั่งบดของหอมอยู่ในระหว่างภิกษุ ๒ รูป เจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ  จักถือพัด ยืนพัดภิกษุ ๒ รูป  เจ้าหญิงที่เหลือ จัดให้นำของหอมที่บดแล้ว มาใส่ในเรือทองคำทั้งหลาย ในบรรดาเจ้าหญิงเหล่านั้น  เจ้าหญิงบางพวกให้ถือกำดอกอุบลเขียว  เคล้าของหอมที่ใส่ไว้ในเรือทองคำแล้ว


---เพราะเหล่าชาวเมืองย่อมหาเจ้าหญิงไม่ได้ ย่อมหาเศวตฉัตรไม่ได้ ย่อมหาช้างไม่ได้ ด้วยของเหล่านี้เป็นของที่มีเฉพาะกับพระราชาเท่านั้น ชาวเมืองก็จะต้องแพ้อย่างแน่นอน


---พระราชาจึงรับสั่งให้จัดมหาทานตามวิธีที่พระนางกราบทูล  แต่ก็ปรากฏว่า  ช้างยังขาดไปเชือกหนึ่ง พระราชาตรัสบอกพระนางมัลลิกาว่า   "ที่จริง มีช้างพอ ๕๐๐ เชือก แต่ช้างที่เหลืออยู่เป็นช้างดุร้าย เมื่อเห็นภิกษุทั้งหลายเข้าก็จะพยศ"


---พระเทวีจึงทูลพระราชาว่า ให้จัดเอาช้างที่ดุร้ายนั้น  ยืนอยู่ข้างพระคุณเจ้าที่ชื่อว่า  องคุลิมาล  พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษทำอย่างนั้น  ก็ปรากฏว่า ด้วยเดชของพระเถระ ช้างเชือกนั้น แม้สักว่าพ่นลมจมูก ก็ทำไม่ได้ ช้างสอดหางเข้าในระหว่างขา  ได้ปรบหูทั้งสอง  หลับตายืนอยู่แล้ว. 


---ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายถามพระองคุลิมาลว่า "ท่านเห็นช้างตัวดุร้าย ยืนกั้นฉัตรอยู่แล้ว ไม่กลัวหรือ" พระองคุลิมาลตอบว่า  "ไม่กลัว"  ภิกษุเหล่านั้น จึงไปกราบทูลพระศาสดาว่า "พระองคุลิมาล พยากรณ์พระอรหัตด้วยคำไม่จริง เพราะเนื่องจากมีเฉพาะผู้ที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่จะไม่กลัวความตาย" พระศาสดาทรงตรัสว่า  "พระองคุลิมาลมิได้พูดเท็จ เพราะว่า ภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพย่อมไม่กลัว"


---อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อครั้งพระเถระปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุแล้ว  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า  "พระองคุลิมาลเถระเมื่อสิ้นชีวิตแล้วจะไปบังเกิดที่ไหน  " พระศาสดาเสด็จมาแล้ว  ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า  "พวกเธอ นั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร" เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า  "ปรารภกันถึงเรื่องที่พระองคุลิมาลเถระจะไปบังเกิด"


---พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า "พระเถระไม่มาเกิดอีกแล้ว เพราะท่านได้ปรินิพพาน (หมายถึงบรรลุพรหัตผล) แล้ว"  เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า  "พระองคุลิมาลเถระฆ่ามนุษย์เป็นจำนวนมากเช่นนั้น ท่านได้ปรินิพพานแล้วหรือ"  พระพุทธองค์จึงตรัสรับรองว่า  "เป็นอย่างนั้น เพราะท่านพระองคุลิมาลก่อนนั้น ท่านไม่ได้กัลยามิตรสักคนหนึ่ง  จึงได้ทำบาปอย่างนั้นในกาลก่อน แต่ภายหลังเธอได้กัลยาณมิตรเป็นปัจจัย  จึงได้เป็นผู้ไม่ประมาท เหตุนั้น  ท่านจึงสามารถละบาปกรรมนั้นได้แล้วด้วยกุศล"

 

*พระพุทธองค์ทรงทรมานพระองคุลิมาลในอดีตชาติ


---ตั้งแต่พระอังคุลิมาลเถระนั้น ได้กระทำความสวัสดีแก่หญิงผู้มีครรภ์หลงด้วยทำความสัตย์แล้ว จำเดิมแต่นั้นมา ก็ได้อาหารสะดวกขึ้น ได้ปฏิบัติธรรมโดยการเจริญวิเวกอยู่แต่ผู้เดียว 


---ต่อมาไม่นานท่านก็ได้บรรลุพระอรหัต  เป็นพระอรหันต์มีชื่อปรากฏนับเข้าในภายในพระอสีติมหาเถระ ๘๐ องค์ ในครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า  "ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ หนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทรมานพระองคุลิมาล ผู้เป็นมหาโจรมีฝ่ามืออันชุ่มด้วยเลือด ร้ายกาจเห็นปานนั้น โดยไม่ต้องใช้ทัณฑะหรือศัสตรา ทำให้หมดพยศได้ ทรงกระทำกิจที่ทำได้โดยยาก ธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้กระทำกิจที่ทำได้ยากอย่างน่าอัศจรรย์"


---พระศาสดาประทับอยู่ในพระคันธกุฎี ได้ทรงสดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นด้วยทิพโสต ก็ทรงพระดำริว่า "พระธรรมเทศนาที่เราจักแสดงวันนี้ จะมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงดังนี้"  จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎี เสด็จไปยังโรงธรรมสภา ประทับนั่งบนอาสนะที่พวกภิกษุจัดไว้ถวายแล้ว


---ตรัสถามว่า "ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร"  เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า "ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราผู้ได้ทรมานพระองคุลิมาลได้ในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์เลย แม้เมื่อครั้งในอดีตเราก็ทรมานพระองคุลิมาลนี้ได้"  ตรัสดังนี้แล้ว ทรงนิ่งอยู่ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานแสดงดังต่อไปนี้

 

*อ่านเรื่อง มหาสุตโสมชาดก

(รับกรรมที่มาตามสนอง) 


---ครั้งหนึ่ง  ท่านได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี  ในครั้งนั้นก็ปรากฏว่า ก้อนดิน ท่อนไม้ ก้อนกรวด   ที่บุคคลแม้ขว้างไปในทิศทางอื่น   ก็ปรากฏให้  สิ่งเหล่านั้นมาตกต้องกายของท่านพระองคุลิมาล ท่านพระองคุลิมาลศีรษะแตก โลหิตไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ฉีกขาด


---ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตร  ท่านพระองคุลิมาลเดินมาแต่ไกล  ครั้นแล้วได้ตรัสกะท่านพระองคุลิมาลว่า  "เธอจงอดกลั้นไว้เถิด เธอได้เสวยผลกรรมซึ่งเป็นเหตุจะให้เธอนั้นหมกไหม้อยู่ในนรกตลอดชั่วกาลนานนั้น เพียงในปัจจุบันนี้เท่านั้น."


---มาเช็คชื่อ-เช็คสกุลกันดีกว่า ว่าเหมาะสมกับงานด้านใด ส่งผลดี-ผลเสีย อย่างไร ถ้าหากคุณคิดจะตั้งชื่อ เปลี่ยนชื่อ หยุดตัดสินใจที่นี่ก่อน เพื่อชีวิตที่ดีกว่าวันนี้ โทรนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ 085-3717244 ไม่รับวิเคราะห์ชื่อ-ชื่อสกุลทางโทรศัพท์นะจ๊ะ




.................................................................................





ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

 รวบรวมโดย....แสงธรรม

(แก้ไขแล้ว รดา)

อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 21 สิงหาคม 2558


ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

* *

 

*

view

ประวัติต่างๆ

ประวัติวัดเขาไกรลาศ

ประวัติของหลวงพ่อเทียน=คลิป

มาเช็คชื่อ-เช็คสกุลกันดีกว่า=คลิป

ประวัติพระอธิการชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน=คลิป

ขอเชิญผู้ร่วมบุญสร้างอาศรมเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก

ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร

ประวัติฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธองค์

ประวัติของนางวิสาขา=คลิป

ประวัติของอนาถปิณฑิกเศรษฐี=คลิป

ประวัติของเศรษฐีขี้เหนียว

ประวัติเหตุทำบุญที่ช้า=คลิป

ประวัติของผู้ร่วมบุญ=คลิป

ประวัติของพระไตรปิฎก=คลิป

ประวัติการสร้างพระพุทธรูปและพระเจ้า ๕ พระองค์

ประวัติง้วนดิน

ประวัติปู่ฤาษีนารอท

ประวัติพระปางมหาจักรพรรดิ์ ทรงปราบพระเจ้ามหาชมพูบดี

ประวัตินางห้าม..แห่งขอมโบราณ

ประวัติพญานาค

ความรู้และรายละเอียดพุทธเจดีย์

พระมหาโพธิสัตว์

สาระธรรม

ธรรมะส่องใจ

อานิสงส์แต่ละอย่าง

ประเพณีต่างๆ

ตำนานทั่วไป

สาระน่ารู้

ปกิณกะธรรม

วัตถุมงคล-สาระอื่นๆ

ข้อมูลทั่วไป

ปฎิทิน

« November 2024»
SMTWTFS
     12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930

สมาชิก

ลืมรหัสผ่าน?
สมัครสมาชิก

สถิติ

เปิดเว็บ20/06/2011
อัพเดท28/10/2024
ผู้เข้าชม7,887,372
เปิดเพจ12,107,620
สินค้าทั้งหมด8

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

view