จตุโลกบาลทั้ง ๔
---สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามีท้าวมหาราชทั้ง ๔ เป็นผู้ปกครองดูแล คอยแบ่งกันครอบครองดังนี้
---ด้านทิศตะวันออก เป็นที่อยู่ของ "ท้าวธตรฐ" มีพวกคนธรรพ์ เป็นบริวาร คนธรรพ์ นี้เป็นเทวดาพวกหนึ่งซึ่งที่มีความถนัดในการดนตรี ศิลปะระบำรำฟ้อนและชำนาญในการขับกล่อมเพลงยิ่งนัก เมื่อใดที่เทวดาทั้งหลายชุมนุมกันเพื่อความรื่นเริงสนุกสนาน เมื่อนั้น พวกคนธรรพ์ก็จะไปทำหน้าที่ขับกล่อมเพลงและรำบำรำฟ้อนเพื่อความสำราญของเหล่าเทวดา
---ด้านทิศใต้ เป็นที่อยู่ของ "ท้าววิรูปักษ์" มีพวกนาคเป็นบริวาร นาคนี้เป็นพวกกายทิพย์พวกหนึ่ง มีฤทธิ์เดชมาก เพราะเพียงแค่พิษของนาค ถูกต้องบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ก็สามารถตัดเอาผิวหนังของบุคคลนั้นและทำให้ถึงแก่ความตายได้ในพริบตา พวกนาครู้จักเนรมิตตนเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นเทวดา เพื่อท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ตามอัธยาศัยอย่างสุขสำราญ
---หากบุคคลใดได้ยินได้ฟังมาว่า พวกนาคมีอายุยืน มีวรรณะงาม มีความสุขมาก ทำให้ชอบใจ แล้วทำคุณงามความดีด้วยกาย วาจา ใจ พร้อมทั้งปรารถนาไปเกิดเป็นนาค บุคคลนั้นเมื่อละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมได้ไปเกิดเป็นนาคในชาติต่อไปสมความปรารถนา
---ด้านทิศเหนือ เป็นที่อยู่ของ "ท้าวเวสวัณหรือท้าวเวสสุวัณ" มีพวกยักษ์ เป็นบริวาร ยักษ์ เป็นพวกกายทิพย์พวกหนึ่ง มีสันดานแตกต่างกัน บางตนก็มีสันดานดีประกอบด้วยศีลธรรม บางตนก็มีสันดานร้ายมีจิตใจเต็มไปด้วยโทสะ โมหะ เป็นอันธพาลที่มีใจกล้าหาญดุดัน
---ท้าวเวสวัณ มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "ท้าวกุเวร" เพราะในสมัยที่โลกยังว่างจากพระพุทธศาสนา ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัตินั้น มีพราหมณ์ผู้หนึ่งนามว่า "กุเวร" เป็นคนใจดี มีเมตตากรุณา ประกอบสัมมาชีพด้วยการทำไร่อ้อย นำต้นอ้อย ตัดใส่ลงไปในหีบยนต์ แล้วบีบน้ำอ้อยขาย เลี้ยงชีวิตตนและบุตรภรรยา ต่อมากิจการเจริญขึ้นจนเป็นเจ้าของหีบยนต์สำหรับบีบน้ำอ้อยถึง ๗ เครื่อง จึงสร้างที่พักสำหรับคนเดินทาง และบริจาคน้ำอ้อยจากหีบยนต์เครื่องหนึ่ง ซึ่งมีประมาณน้ำอ้อยมากกว่าหีบยนต์ เครื่องอื่นๆ ให้เป็นทานแก่คนเดินผ่านไปมาจนตลอดอายุขัย
---ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลที่บริจาคน้ำอ้อยให้เป็นทานนั้น ทำให้กุเวรได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา มีนามว่า"กุเวรเทพบุตร"ต่อมากุเวรเทพบุตร ได้เทวาภิเษกเป็นผู้ปกครองดูแลพระนครด้านทิศเหนือ จึงได้มีพระนามว่า "ท้าวเวสวัณ"
*ท้าวมหาราชทั้ง ๔
---๑.ท้าวธตรัฏฐะ อยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองคันธัพพ เทวดาทั้งหมด
---๒.ท้าววิรุฬหกะ อยู่ทางทิศใต้ของภูเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองกุมภัณฑเทวดาทั้งหมด
---๓.ท้าววิรูปักขะ อยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองนาคะ เทวดาทั้งหมด
---๔.ท้าวกุเวระ หรือ ท้าวเวสสุวรรณ อยู่ทางทิศเหนือของภูเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองยักขะเทวดาทั้งหมด
*เทวดาที่อยู่ภายใต้การปกครองของท้าวจาตุมมหาราช คือ
---๑.ปัพพัฏฐเทวดา เทวดาที่ อาศัยภูเขาอยู่
---๒.อากาสัฏฐเทวดา เทวดาที่ อาศัยอยู่ในอากาศ
---๓.ขิฑฑาปโทสิกเทวดา เทวดาที่ มีความเพลิดเพลินในการเล่นกีฬา จนลืมบริโภคอาหารแล้วตาย
---๔.มโนปโทสิกเทวดา เทวดาที่ ตายเพราะความโกรธ
---๕.สีตวลาหกเทวดา เทวดาที่ ทำให้อากาศเย็นเกิดขึ้น
---๖.อุณหวลาหกเทวดา เทวดาที่ ทำให้อากาศร้อนเกิดขึ้น
---๗.จันทิมเทวปุตตเทวดา เทวดาที่ อยู่ในพระจันทร์
---๘.สุริยเทวปุตตเทวดา เทวดาที่ อยู่ในพระอาทิตย์
*จตุโลกบาล
---ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ยังมีหน้าที่เป็นจตุโลกบาล คือ เป็นผู้คุ้มครองและตรวจดูโลกซึ่งเป็นที่อยู่ของมนุษย์ทั้ง ๔ ทิศ โดย วัน ๘ ค่ำ อำมาตย์ของท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะเป็นผู้ตรวจดูโลก วัน ๑๕ ค่ำ บุตรทั้งหลายของท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะเป็นผู้ตรวจดูโลก ส่วนในวัน ๑๕ ค่ำ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะเป็นผู้ตรวจดูโลกเองว่า พวกมนุษย์พากันบำรุงบิดามารดา และสมณพราหมณ์ เคารพนอบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูล รักษาอุโบสถศีลและทำบุญกุศลเป็นจำนวนมากหรือไม่
---ครั้นตรวจดูแล้ว ก็จะไปบอกพวกเทพชั้น ดาวดึงส์ ซึ่งมาประชุมกันในสุธรรมาเทวสภา ถ้าได้ฟังว่าพวกมนุษย์ทำดีกันน้อย พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ก็มีใจหดหู่ เพราะทิพยกายจะลดถอย อสุรกายจะเพิ่มพูน แต่ถ้าได้ฟังว่าพวกมนุษย์ทำดีกันมาก พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ก็มีใจชื่นบาน เพราะทิพยกายจะเพิ่มพูน อสุรกายจะลดถอย
*ตำนานอาฏานาฏิยปริตร
---อาฏานาฏิยสูตร กล่าวไว้ว่า ในสมัยหนึ่ง เมื่อพุทธเจ้าประทับ ณ เขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์ ท้าวจาตุมหาราช คือ ท้าวธตรฏฐ์ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ และท้าวกุเวร พร้อมด้วยบริวารอันได้แก่ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาค และยักษ์ มาเฝ้าพระพุทธเจ้า
---ท้าวมหาราชเหล่านี้ บางครั้งเรียกว่า จตุโลกบาล ( ผู้รักษาโลกทั้ง ๔) ซึ่งเป็นผู้นับถือพุทธศาสนา เมื่อได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ท้าวกุเวรกราบทูลว่า อมนุษย์ที่เป็นบริวารของจตุโลกบาล บางพวกก็เลื่อมใสพระพุทธเจ้า บางพวกก็ไม่เลื่อมใส เพราะพระองค์ทรงแสดงธรรมให้ถือศีล ๕ คือ ให้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ และการเสพสุรา
---แต่มนุษย์และยักษ์ยังชอบทำบาปเหล่านี้ จึงขัดใจไม่ค่อยเลื่อมใส สาวกของพระองค์ที่ประกอบวิปัสสนาธุระ ไปบำเพ็ญสมณธรรมในเสนาสนะป่าเปลี่ยว เมื่อไม่มีสิ่งป้องกัน อมนุษย์ก็จะรบกวนเบียดเบียนให้ลำบาก ขอให้พระองค์ทรงรับเอาเครื่องป้องกันรักษา คือ อาฏานาฏิยปริตรไว้ จะได้ประทานให้สาวกสวด จะทำให้อมนุษย์เลื่อมใส ไม่เบียดเบียนภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และกลับจะช่วยคุ้มครองรักษาให้อยู่ผาสุข แล้วจึงกล่าว อาฏานาฏิยปริตร ขึ้นในเวลานั้นว่า วัปัสสิสสะ นะมัตถุ เป็นต้น
---เมื่อพระองค์ทรงรับโดยดุษณีภาพ ท้าวกุเวรจึงกราบทูลต่อไปอีกว่า ผู้ที่เจริญอาฏานาฏิยปริตรนี้ดีแล้ว อมนุษย์จะไม่ทำร้าย ถ้าอมนุษย์ยังฝืนกระทำจะแพ้ภัยตัวเอง จากนั้น พระพุทธเจ้าจึงนำมาตรัสเล่าแก่ภิกษุทั้งหลายในภายหลัง
---ซื่อ เทียน หวาง หรือ ซี้ เทียง อ้วง ท้าวจตุโลกบาล เทพทั้งสี่ผู้เป็นใหญ่ในแดนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นแดนเทวโลก ซึ่งเชื่อว่าเป็นดินแดนอันมีอาณาเขตติดกับโลกมนุษย์ เทพทั้งสี่ปกครองสวรรค์ แบ่งเป็นเขตต่างกัน ทำหน้าที่เป็นโลกบาลประจำทิศทั้งสี่ โดยมี
*1.เทพ ฉือ กว๋อ เทียน อ้วง หรือ ฉือ กว๋อ เทียน หวาง
---เป็นราชาแห่งฝูงคนธรรพ์ ประจำอยู่ทิศตะวันออก มีชื่อเรียกว่า ท้าวธตรัฐ มีลักษณะ คือ ผิวกายสีเขียว มือซ้ายถือพิณ มือขวาดีดพิณ บางตำราอ้างว่า ท้าวธตรัฐ เป็นผู้ดีดพิณถวายเตือนพระสติพระโพธิสัตว์ในคราวบำเพ็ญทุกขกิริยา ให้หันมาตั้งมั่นในมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งในคติเบตท้าวธตรฐเป็นเทพเจ้าแห่งความร่าเริง เพราะมีของวิเศษเป็นพิณที่ดีด และเพลงที่เล่นนั้น เป็นเพลงแห่งความสุข กล่อมปวงประชา ท้าวธตรัฐนี้ มีเทพองครักษ์เป็น "ค้วงกุ้ย" (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) หรือผีบ้าสติแตกกับยมทูตตัวเขียว
*2.เจง เจีย เทียง อ้วง หรือ เจิง ฉาง เทียง หวาง
---ซึ่งก็คือ ท้าววิรุฬหก เป็นราชาแห่งกุมภัณฑ์ (ยักษ์)เป็นเทพแห่งเหล่ายักษ์มีรูปกายสีขาว มือถือเกาทัณฑ์ บางตำรากล่าวว่าถือร่ม อยู่ประจำทิศทักษิณ มีผีที่เป็นองค์ชื่อ"อุ๊งหิ่ง เท้งฉู่"(ภาษาจีนแต้จิ๋ว)ผีเหม็น กระโดกกระเดก ในคติเบตท้าววิรุฬหก ทรงเป็นเทพแห่งความสุข และความมั่งคั่งของปวงประชาหรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภนั่นเอง
*3.ควง บัก เทียง อ้วง หรือ กว่าง มุ เทียน หวาง
---ซึ่งก็คือ ท้าววิรูปักษ์, ท้าววิรุณ, ท้าวพิรุณ ผู้เป็นราชาแห่งนาค มือซ้ายมีงูเลื้อยพันฝ่ามือจับคองูไว้ มือขวาถือดาบ อยู่ประจำทิศตะวันตก กล่าวว่า เกิดจากกัสสปเทพบิดรกับนางทิติมเหสี ฝ่ายซ้าย มีกายขาวเพราะทำหน้าที่เกี่ยวกับน้ำ และยังมีคนกล่าวไว้อีกว่า ท้าวเธอเกลียดความเท็จมากที่สุด หากผู้ใดกล่าวเท็จ ผิดสัญญา ก็จะบันดาล ให้ป่วยไข้ต่างๆ นานา
---แต่หากผู้ใดมีศีลสัตย์ เกรงกลัวต่อบาป ก็ย่อมบำเหน็จให้พบความสุขสวัสดี ทั้งอาจช่วยให้พ้นมฤตยู (ความตาย)ได้ในบางคราว ด้วยความเมตตากรุณาในหทัยของท้าวเธอนั่นเอง ด้วยเหตุที่มีชื่อเรียก วิรุณหรือพิรุณ จึงเป็นเทพแห่งฝน เรียก ปัชชุนะพุทธ โฆษาจารย์ว่าชื่อ วสสาวลาหก บ้างก็ว่าเป็นใหญ่เหนือมนุษย์ทั้งหลาย กล่าวว่า ปัชชุนะ อาจต้องทำให้ฝนตกเมื่อเปี่ยมบุญญาธิการ ประกาศสัจจกริยา เช่นครั้งที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นปลา ปัชชุนะต้องทำให้ฝนตก เพื่อพระโพธิสัตว์และญาติมิตรทั้งปวง ทั้งพระอานนท์ก็เคยเกิดเป็นเทพปัชชุนะมาแล้วในอดีตชาติ
---ท้าววิรูปยักษ์ หรือพระวรุณ นามเต็มว่า พระวรุณาทิตย์ เป็นเชษฐาองค์แรกในพวกอาทิตย์ ทั้ง 8 เป็นโอรสนางทิติกับกัศยปเทพพิดร แต่ในมหาภารตะว่า เป็นโอรสพระฤษีกรรทมพรหมบุตร ส่วนในรามเกียรติ์ว่าเป็นบิดาสุเสน (นายทหารของพระราม) มีเทพองครักษ์เป็น "เอี่ยวเฮ้งกุ้ย" (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) หรือแปลง่ายๆว่า ผีเมตตาอ่อนโยน และอีกตัวหนึ่งคือ "หง่อกุ้ย" (ภาษจีนแต้จิ๋ว) หรือผีอดอยาก
*4.โต เหวิน เทีวน หวาง
---หรือเรียกว่า ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร หรือไตรภูมิพระร่วงเรียกว่า ท้าวไพสพมราช เป็นราชาแห่งยักษ์ ประจำอยู่ทางทิศเหนือ มีกายดำถือเจดีย์ กล่าวว่า เป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน ถือเป็นยักษ์ที่ดำรงในสัตย์ธรรม เป็นที่ปรึกษาคนสนิทของพระอินทร์ สมมติกันว่า เป็นโอรสพระวิศรวสมุนีกับนางอิฑวิฑา แต่ในมหาภารตะว่าเป็นโอรสพระปุลัสตยะ (เป็นบิดาของพระวิศรวัสมุนี อีกชั้นหนึ่งในคัมภีร์มหาภารตะ อ้างว่าพระปุลัสตยะเป็นเทพองค์ที่ 4 ของดาวจระเข้) ท้าวเวสสุวรรณได้รับพรจากพรหมให้เป็นอมฤต
---ท้าวเวสสุวรรณนั้น มีองครักษ์เป็น "เฉ่าเง่อกุ้ย" (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) แปลตรงตัวว่า มีอดอยาก และเหม็น ในทางพระพุทธศาสนา ท้าวจตุโลกบาลถือเป็นเอตทัคคะอุปัฎฐาก โดยเป็นผู้ถวายอารักขาพระพุทธองค์ ครั้งอยู่ในครรภ์ของพระราชชนนี ในครั้งที่ ตปุสสะและภัลลิกะ ถวายข้าวยาคู และรวงผึ้งนั้น พระพุทธองค์ ทรงปริวิตกว่า หากจะทรงรับด้วยพระหัตถ์ ก็จะเป็นการไม่เหมาะสม ครั้นท้าวจตุโลกบาททราบความในพระทัย ต่างก็ทูลเกล้าถวายบาตรแก้ว แล้วโดยพุทธานุภาพ ทรงรวมบาตรทั้งสี่เข้าด้วยกัน แล้วจึงทรงรับบิณฑบาตดังกล่าว ท้าวเธอทั้งสี่ ยังเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือแก่พุทธสาวกในการค้ำจุนพระพุทธศาสนาอีกด้วย
---ท้าวจตุโลกบาล มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย เพื่อผดุงเหล่าธรรมิกชนทั้งในโลกมนุษย์ และเทวโลก โดยวันขึ้นหรือแรม 15 ค่ำ (วันอุโบสถ) ท้าวทั้งสี่ จะมาตรวจโลก เพื่อสำรวจดูผู้ดำเนินในศีลจารวัตร ด้วยคตินี้ในพิธีกินผัก จะมีประเพณีป้ายฐาน เพื่อรอรับท้าวเธอที่จะเสด็จมาตรวจดูคืนวันที่ 29 หรือ 30 ของ เดือน 8 ตามปฏิทิน จันทรคติจีน (ไทย แรม 15 ค่ำ เดือน 10)
---เมื่อท่านได้ทราบถึงประวัติของเทพจตุโลกบาลแล้ว เชิญท่านเลือกชมบารมีเทพองค์อื่นได้ ในทุกศาลเจ้าที่กล่าวมาแล้ว ทุกศาลเจ้าในเมืองตรัง ย่อมมีผู้ศรัธทาที่สร้างให้ก่อเกิด หากเมื่อศรัทธาเคารพ ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล อย่างคำที่มีผู้กล่าวไว้ตลอดว่า พระใคร ใครก็นับถือ ย่อมเป็นสัจจธรรม แต่ทุกศาลเจ้าที่กล่าวมาข้างต้น จะมีที่สำหรับกราบไหว้เทวดา ในภาษาจีน เรียกกันว่า ที่ตี้เปบ้อ หรือเทียนตี้ฟู่หมู่ เป็นด่านแรก เนื่องจากเป็นการกราบไหว้เทพบิดา เทพมารดา เชื่อกันว่า เป็นเทพแห่งการกำเนิดสรรพชีวิตในโลกมนุษย์
---สำหรับท่านที่ตั้งใจจะถือปฏิบัติตนในช่วงประเพณีถือศีลกินผัก หรือหากท่านมีญาติมิตรมาร่วมพิธี ก็ขอให้พำนักอยู่ในเมืองตรัง ด้วยความสวัสดิภาพ และขอให้ทุกคนเที่ยวเมืองตรังให้สนุก ได้บุญกุศลกับการเที่ยวชมสักการะให้ครบ 9 ศาลเจ้าจะถือเป็นมงคลแห่งชีวิตอย่างยิ่ง.
.............................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว ป.)
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 24 กันยายน 2558
ความคิดเห็น