พระอวโลกิเตศวร หรือพระแม่กวนอิมคือใคร
โดย ชมรมรักษ์ธรรม chomromrakdham
เมื่อ 8 กรกฎาคม 2011 เวลา 15:03 น.
---พระอวโลกิเตศวร ในฐานะเป็นพระธยานิโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์องค์สำคัญของพระพุทธศาสนามหายาน ที่มีผู้เคารพศรัทธามากที่สุดและเป็นเสมือนปุคคลาธิษฐานแห่งมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้าทั้งปวง เรื่องราวของพระอวโลกิเตศวรปรากฏอยู่ทั่วไปในคัมภีร์สันสกฤตของมหายาน
---อาทิ ปฺรชฺญาปารมิตาสูตฺร, สทฺธรฺมปุณฑรีกสูตฺร และการณฺฑวยูหสูตฺร คำว่า อวโลกิเตศวร ได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลายนัยด้วยกัน แต่โดยรูปศัพท์แล้ว
---คำว่า อวโลกิเตศวร มาจากคำสันสกฤต สองคำ คือ "อวโลกิต" กับ "อิศวร" แปลได้ว่า ผู้เป็นใหญ่ที่เฝ้ามองจากเบื้องบน หรือพระผู้ทัศนาดูโลก ซึ่งหมายถึง เฝ้าดูแลสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์นั่นเอง
---ซิมเมอร์ นักวิชาการชาวเยอรมันอธิบายว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้ทรงเป็นสมันตมุข คือ ปรากฏพระพักตร์อยู่ทุกทิศอาจแลเห็นทั้งหมด ทรงเป็นผู้ที่สามารถบรรลุ พระสัมมาสัมโพธิญาณ คือ อาจจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อใดก็ได้ แต่ทรงยับยั้งไว้ เนื่องจากความกรุณาสงสารต่อสรรพสัตว์
---นอกจากนี้นักปราชญ์ พุทธศาสนาบางท่านยังได้เสนอความเห็นว่า คำว่า "อิศวร" นั้น เป็นเสมือนตำแหน่งที่ติดมากับพระนามอวโลกิตะ จึงถือได้ว่าทรงเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์เดียว ที่มีตำแหน่งระบุไว้ท้ายพระนาม ในขณะที่พระโพธิสัตว์ พระองค์อื่นหามีไม่ อันแสดงให้เห็ ถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญยิ่งของพระโพธิ- สัตว์พระองค์นี้
---พุทธศาสนิกชนชาวจีน จะรู้จักพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ ในพระนามว่า "กวนซีอิม" หรือ "กวนอิม" ซึ่งก็มีวามหมายเช่นเดียวกับคำว่า "อวโลกิเตศวร" ในภาษาสันสกฤต คือ ผู้เพ่งสดับเสียงแห่งโลก
---แต่โดยทั่วไปแล้ว มักให้อรรถาธิบาย เป็นใจความว่าหมายถึง พระผู้สดับฟังเสียงคร่ำครวญของสัตว์โลก (ที่กำลังตกอยู่ในห้วงทุกข์) คำว่า "กวนซีอิม" นี้พระกุมารชีวะ ชาวเอเชียกลาง ผู้ไปเผยแผ่พระศาสนาในจีนเป็นผู้แปลขึ้น ต่อมาตัดออกเหลือเพียงกวนอิมเท่านั้น เนื่องจากคำว่า "ซี" ไปพ้องกับพระนามของ จักรพรรดิถังไท่จง หรือ หลีซีหมิง นั่นเอง
---ประวัติความเป็นมา ของพระอวโลกิเตศวร ในคัมภีร์ฝ่ายมหายาน พระไตรปิฎกของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ไม่มีปรากฏเรื่องราวหรือแม้แต่ พระนามของพระอวโลกิเตศวรอยู่เลย ทว่าในส่วนของนิกาย มหายานแล้ว พระอวโลกิเตศวรมีบทบาทปรากฏอยู่มากในพระสูตรสำคัญ ๆ และยังมีเรื่องราวปรากฏใน พระสูตร มหายานว่า พระพุทธเจ้าและพระสาวกยังได้เคยตรัสสนทนาธรรมกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ อยู่บ่อยครั้งทีเดียว
---ในพุทธศาสนามหายาน ยกย่องพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ว่า เป็นพระผู้ได้รับธรรมจักรมาโดยตรง จากพระพุทธเจ้า และเป็นผู้นำในการรักษาพระพุทธศาสนาและหมุนธรรมจักรต่อไป การอุบัติของพระอวโลกิเตศวรนี้ สันนิษฐานว่า มีขึ้นภายหลังการเกิดนิกายมหายานขึ้นแล้ว ในราวพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ ภายหลังพุทธปรินิพพาน
---ซึ่งเมื่อตรวจสอบจากวรรณคดีสันสกฤตยุคต้น ๆ ของมหายานอย่าง ชาดกมาลา, ทิวยาวทาน หรือ ลลิตวิสตระ ก็ยังไม่ปรากฏนามพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์แต่อย่างใด แต่มีปรากฏขึ้นครั้งแรกพร้อม ๆ กับ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ในพระสูตรปรัชญาปารมิตาซึ่งถือว่าเป็นพระสูตรมหายาน รุ่นเก่าที่สุด และในพระสูตรรุ่นต่อ ๆ มาก็ได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ปรากฏขึ้นมากมาย
---พระสูตรมหายานกล่าวว่า พระอวโลกิเตศวรประทับอยู่ ณ สุขาวดีพุทธเกษตร คอยช่วยพระอมิตาภะ โปรดสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ และเนื่องจากทรงเป็น พระธยานิโพธิสัตว์ จึงมีความเป็นมาอันยาวนานสุดจะคาดคำนวณได้ นับแต่สมัยของ พระวิปัสสีพุทธเจ้า เป็นต้นมา ก็ทรงได้โปรดสัตว์มาเป็นลำดับจนถึงบัดนี้ อันเป็นกาลสมัยของพระสมณโคดมศากยมุนีพุทธเจ้า ก็เป็นระยะเวลาเนิ่นนานสุดจะพรรณนา
---ในกรุณาปุณฑริกสูตรอธิบายว่า พระอวโลกิเตศวรเป็นพระธรรมกายโพธิสัตว์สูงกว่า พระโพธิสัตว์สามัญอื่น ๆ และเป็นเอกชาติปฏิพัทธะ เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์อารยเมตตรัย กล่าวคือ เป็นผู้ที่ยังข้องอยู่กับการเกิดอีกเพียงชาติเดียว ก็จะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณกล่าวกันว่า พระอวโลกิเตศวรจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายหลัง การดับขันธปรินิพพานของพระอมิตาภะ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปณแดนสุขาวดี
---นอกจากนี้ ในพระสูตรมหายานอื่นๆ ก็ยังมีปรากฏว่า อธิบายแตกต่างออกไปอีก กล่าวคือ บางพระสูตร กล่าวว่า พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นั้น แท้จริงแล้วคือ อวตารภาคหนึ่งของอดีตพระพุทธเจ้า ที่ได้ทรงบรรลุพุทธภูมิ เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะแล้ว
---ในอดีตกาลอันยาวไกล ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าของเรา แต่ด้วยพระมหากรุณา ที่เล็งเห็นสรรพสัตว์ยังตกอยู่ในโมหะอวิชชา ทำให้ต้องทนทุกข์อยู่ในวังวนแห่งสังสารวัฏ ยากจะหลุดพ้นไปได้ จึงทรงแบ่งภาค มาเป็นพระอวโลกิเตศวร เพื่อโปรดปวงสัตว์ให้เห็นธรรมพ้นทุกข์ด้วยพระเมตตากรุณา
---ในบางแห่งก็กล่าวว่า พระอวโลกิเตศวรเป็นพุทธโอรสของพระอมิตาภะที่ทรงบันดาลด้วยพุทธาภินิหาริย์ให้อุบัติขึ้นมาเพื่อเป็นที่พึ่งแก่โลก แต่ทางฝ่ายทิเบตเชื่อว่า พระอวโลกิเตศวรอุบัติขึ้นมาพร้อมๆ กับพระนาง ตารา ด้วยอานุภาพของพระอมิตาภพุทธ จากแสงสว่าง (บางแห่งว่าเป็นน้ำพระเนตรจากความกรุณาสงสารสรรพสัตว์) ที่เปล่งออกมาจากพระเนตรเบื้องขวาของพระอมิตาภะ ได้บังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรประทับบนดอกบัว ที่ปรากฏขึ้นพร้อมๆ กับมนตร์ "โอม มณี ปัทเม หูม"
---ส่วนแสงจากพระเนตรเบื้องซ้าย ก่อให้เกิดพระนางตาราโพธิสัตว์ อย่างไรก็ตาม ในพระสูตรอื่นบางแห่งก็มีกล่าวว่า แท้จริงแล้ว พระอวโลกิเตศวรก็คือ ภาคหนึ่งขององค์พระอมิตาภะนั่นเอง (เนื่องด้วยเรื่องราวของพระสูตรเป็นลิขสิทธิ์ของ วัดโพธิ์แมนคุณาราม ฉะนั้น หากท่านต้องการศึกษาเพิ่มเติมกรุณาเข้าไปอ่านในนี้เว็ปพุทธยาน (เว็ปของคณะศิษย์คณะสงฆ์จีนนิกาย วัดโพธิ์แมนคุณาราม)
พระอวโลกิเตศวร หรือพระแม่กวนอิม
(พระคัมภีร์พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์)
แปลโดย.....เสถียร โพธินันทะ
---ในลัทธิมหายาน มีพระคัมภีร์อรรถว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ศากยมุนี) ตรัส พระอมิตาภะสูตร (ออนีท้อเก็ง) แก่พระสารีบุตรเถระ มีใจความย่อดังนี้.
---"จำเดิมแต่เวลาล่วงมาถึง 10 กัปป์แล้ว ได้มี พระพุทธอมิตาภะ (ออนีท้อฮุก) ประทับ อยู่ ณ แดนสุขาวดีทางทิศปัจฉิม (เกกลักสี่ก่าย-ไซที) พระพุทธอักโษภยา ทางทิศบูรพา, พระพุทธรัตนสมภพ ทางทิศทักษิณ พระพุทธอโมฆสิทธิ์ ทางทิศอุดร พระพุทธไวโรจน์ อยู่ศูนย์กลาง ฯลฯ
---พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ล้วนเป็นพระฌานีพุทธ (ไม่ได้เสด็จลงมาตรัสในโลกมนุษย์) กับยังมีพระฌานีโพธิสัตว์จำนวนมาก ไม่สมัครพระทัยที่จะเสด็จเข้าสู่พุทธภูมิ ดับขันธ์เพียงแค่ชาตินั้น (เป็นพระพุทธเจ้าไป แต่ก็ไม่มีแม้เยื่อใยเหลือไว้แก่โลกอีก คือ ไม่โปรดสัตว์แล้ว) ทรงตั้งปณิธานขอโปรดสัตว์โลก ในไตรภูมิต่อไป เพื่อให้สัตว์โลกในอนาคตได้รับพระเมตตากรุณา เช่นเดียวกับสัตว์โลกใน อดีต"
---มีพระมหาโพธิสัตว์องค์สำคัญยิ่ง มีพระนามว่า "พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์"หรือ "พระกวนอีม"เป็นพระมหาโพธิสัตว์ ที่บรรดาพุทธศาสนิกชน ฝ่ายมหายานเคารพนับถือมากที่สุด ด้วยพระองค์ทรงพระเมตตากรุณาโปรดสัตว์ทั่วทั้งไตรภูมิให้พ้นจาก กองทุกข์
---เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ ทรงมีพระวทัญญู (ความเมตตากรุณาธิคุณ)คอยปลดเปลื้องความทุกข์ ภัยของสัตว์โลก จึงมีพระเนมิตตกนาม (นามที่มาจากลักษณะและคุณสมบัติ) ตามภาษาจีนเรียกว่า "พระกวนซีอิมไต่พู่สัก" แปลว่า พระมหาโพธิสัตว์ที่มีพระกรรณาวธานโลกาศัพย์ หรือที่เรียกง่าย ๆ คือ พระมหาโพธิสัตว์ที่เงี่ยหูฟังเสียงโลก (พวกที่มีทุกข์ใจไปบนบาน ถือศีลกินเจ แล้วมักจะเกิดผลดีในทางจิตใจ พวกที่กินเจไม่ได้เลย…ก็ยังช่วยทำบุญก็มีมาก คือ อุทิศเงินให้ผู้อื่นถือศีลแทนตน)
---ตามคติในมหายานกล่าวว่า เมื่อพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ หรือพระกวนอีม จะเสด็จไปโปรดท้าวพระยามหากษัตริย์ พระองค์ก็แปลงพระองค์เป็น เมธาตถมาณพ ทรงเครื่องภูษามาลามหากษัตริย์ ถนิมอลังการ สง่ากว่าพระมหากษัตริย์องค์นั้น เมื่อพระองค์เสด็จไปโปรด ท้าวนางพระยาและบรรดาสตรีเพศ พระองค์ทรงจำแลงพระองค์เป็น สตรีอันทรงอิตถีรูป (มีความงามของผู้หญิง) ทรงสมรรถนะเป็นที่น่าวันทาอภิวันท์ พระองค์ทรงปฏิบัติพระองค์เช่นนี้ ให้เหมาะสม กัลกาละเทศะ เพื่อว่าง่ายสอนง่าย
---พระรูปของพระองค์ ส่วนมากมักนิยมทำหรือเขียนเป็นพระมหาโพธิสัตว์ผู้หญิง และ เป็นพระมหาโพธิสัตว์องค์เดียวเท่านั้น ที่บรรดาสตรีจีน ทั้งในประเทศและนอกประเทศจีนรู้จักกันและเคารพนับถือมากที่สุด พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ หรือ พระกวนอีม ในพระสูตร (โพ้วมึ้งปิ้ง) มีกล่าวว่า ถ้าบุคคลใด จะเป็นบุรุษหรือสตรีก็ตาม เมื่อระลึกถึงพระองค์ ด้วยความเลื่อมใส อ้อนวอนขอให้พระองค์ช่วยเหลือ พระองค์จะแผ่เมตตากรุณา มาปลดเปลื้องทุกข์ภัยของผู้นั้น (เป็นสื่อกลางดึงดูดบันดาลใจให้คนมีเมตตากรุณาจิตมาก)
---ในพระสัทธรรมปุณฑริกสูตร (ฮวบฮั้วเก็ง) พระคัมภีร์กล่าวว่า พระมหาโพธิสัตว์กวนอีม มี พระคุณาลังการ อันประกอบด้วย
---1.พระปัญญาคุณ
---2.พระสันติคุณ
---3.พระเมตตากรุณาธิคุณ
---ผู้ใดเข้าถึงหรือมีคุณาการ (บ่อรวมความดี)ตามอย่างพระองค์ก็จะเป็นผู้พ้น จากทุกข์ภัยทั้งหลายได้จริง การภาวนาพระคาถา ของพระองค์จะต้องกระทำประกอบพร้อมทั้งองค์ 3 คือ กาย วาจา และใจ โน้วน้าวไปตาม ธรรมานุธรรมปฏิบัติ (ความประพฤติดีงามตามสถานะ) จึงจะเกิด ธรรมสาระคุณ (คุณในแก่นแห่งธรรม) คือบรรลุถึง "วิปัสสนาปัญญา" เช่น
---1.คุณในปัญญา
---2.คุณในสันติ
---3.คุณในเมตตากรุณา
---พระองค์เป็นแต่ผู้ให้คุโณปการ (การอุดหนุนให้ทำคุณงามความดีต่างๆ )ชี้ทางและเตือนใจให้สร้างคุณธรรมนั้นๆ ขึ้น อนึ่ง ในลัทธิมหายาน มักจะมีอรรถข้อความเรียกว่า "กลบท"หรือเป็นธรรมปริศนา แบบ ต้นตออินเดีย ของเดิมแท้นั้นไว้ให้ขบคิดกันเอง ถ้าขบคิดไม่ตก ก็แปลว่ ายังค้นหาช่องทางไม่ถูก เข้ายังไม่ถึงหรือว่ายังมองไม่ทะลุ ธรรมบท นั้น ๆ ถ้าขบคิดตกแล้ว ก็หมายถึง ซึ่งความสว่างแล้ว ดังในพระสูตรกล่าว เช่น
*ในกรณีโจรภัย
---พระคัมภีร์กล่าวว่า "บุคคลใดกล่าวภาวนาคาถาของพระมหาโพธิสัตว์ กวนอีม โจรภัยก็ปราศจากไป คำว่า "โจร" ณ ที่นี้ ในธรรมาธิษฐานมีความหมายถึง โจรแห่งอารมณ์ฟุ้งซ่าน หาใช่โจรธรรมดาไม่ โจรที่จุดคบไฟแดง โห่ร้องเข้าปล้นบ้านนั้น เป็นโจรชนิดออกหน้าออกตา มาให้แลเห็น
---แต่โจรแห่งอารณ์ฟุ้งซ่านนั้น เป็นโจรชนิดไม่มีตัวตน (เพราะตาเรามองไม่เห็นตัวตนของมัน) ปล้นอย่างเงียบ ๆ และใจเย็น รุมกันเข้าปล้นเราทาง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และใจ ผู้ถูกปล้น มีสติเพลิดเพลิน หลงใหลทรัพย์สินเงินทองสมบัติ หมดเปลือง ถูกขนของออกจากบ้านไป โดยการปล้นชนิดนี้ ทีละเล็กทีละน้อยจนหมดเนื้อประดาตัว โจรชนิดนี้ไม่ใช่โจรที่จะมาปล้นเป็นครั้งคราว มันทำการปล้นทั้งกลางวันและกลางคืนทุกวัน ทั้ง ๆ ที่ผู้ถูกปล้นอยู่ในขณะมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ด้วย ตัวอย่างเช่น
---ทางหู อยากฟังเสียงขับร้องเสนาะเพราะ ๆ อยากฟังเสียงอ่อนหวานยวนยี ให้เกิดอารมณ์ ในตัณหา เสียงที่ยกยอปอปั้น จากบุคคลหัวประจบ ส่งเสริมไปในทางอบายมุข เหล่านี้เรียกว่า "โจรปล้นทางหู"
---ทางตา อยากดูหนัง แล้วก็พากันไปที่โรงภาพยนต์คิงส์ หรือ ควีน อยากดูละคร ก็พากันไปที่โรงละครศรีอยุธยา, อยากดูงิ้ว ก็พากันไปโรงงิ้วแถวทีกัวที, อยากดูของงามๆ หรือภาพสวย ๆ ก็ไปจัดซื้อหามาเก็บไว้ดูเพลินๆ เหล่านี้คือ "โจรปล้นทางตา"
---ทางจมูก อยากสูดกลิ่นเสาวคนธ์ กลิ่นหอมระรวยต่าง ๆ ก็พากันไปซื้อน้ำอบฝรั่งอย่างชนิดดี ๆ จะแพงเท่าไหร่ไม่ว่า ยิ่งชนิดเข้าชะมดเชียง หอมทนได้ตั้งอาทิตย์สองอาทิตย์ ยิ่งดีใหญ่ ทั้งที่นอนหมอนมุ้ง ตลอดจนอาบน้ำ ก็ชะโลมด้วยเครื่องหอม เหล่านี้คือ "โจรปล้นทางจมูก"
---ทางปาก อยากรับประทานของที่มีรสอร่อย ๆ เช่น กับข้าวฝรั่ง ก็พากันไปยังโฮเต็ลโทรคาเดโร,โอเรียลเต็ล กับข้าวจีนก็ไปยังห้อยเทียนเหลา เยาวยื่น กับข้าวไทยก็ไปภัตตาคารสวนลุมชายทะเล ยิ่งแถมสุราเข้าไปด้วยก็ยิ่งไปกันใหญ๋ โจรเหล่านี้คือ "โจรปล้นทางปาก"
---ทางกาย อยากแต่งตัว ด้วยอาภรณ์จินดา อยากนั่งรถยนต์คันโตๆ โก้สง่า อยากอยู่ตึกหลังใหญ่ ๆ มีการรื่นเริง เลี้ยงดูกันด้วย สุรานารี ฟ้อนรำ ทำเพลงสนุกสนาน เมื่อขัดสนเข้า ก็กู้เงินเขามาใช้จ่ายโดยเสียดอกเบี้ย อย่างนี้คือ "โจรปล้นทางกาย" ปล้นทั้งเงินทองและปล้นทั้งสุขภาพอนามัย และหนัก ๆ เข้าก็ปล้นถอนเอาเสาเรือนเป็นหลังๆ ไปเลย
---ทางใจ เมื่อใจคิดอยากได้ในสิ่งต่าง ๆ ไม่ประสบผล สมประสงค์อย่างหนึ่ง คือ ความอยากใด ๆ ได้บรรลุผลสมความปรารถนา มาแล้ว แต่ถึงขนาดสภาพมีรายได้มาปิดหีบไม่ลง ใจก็เกิดฟุ้งซ่านเดินเลยขอบเขตอันดีงามไป คือ คิดวิธีหาเงินในทางอกุศล แล้วอกุศลกรรม ก็นำไปสู่ความหายนะอย่างนี้ คือ "โจรปล้นทางใจ" โจรชนิดนี้ยังปล้นเอาอิสรภาพไปอีกด้วย
---หากบุคคลใด สามารถไตร่ตรองตามทำนอง ในพระคาถาของพระมหาโพธิสัตว์กวนอีม โดยนำเอาเพียง ปัญญาคุณ อย่างเดียวพิจารณา ก็จะแลเห็นว่า "ทรัพย์ที่ได้พยายามหามาด้วยการลำบากยากและเหน็ดเหนื่อยนั้น ได้ถูกปล้นไปใน ทางแห่งอารมณ์ฟุ้งซ่าน ถ้าจะเอาปัญญาคุณมาใช้ โจรภัยแห่งอารมณ์ฟุ้งซ่านเหล่านี้ ก็จะปราศจากไปเอง"
*ในกรณีอัคคีภัย
---กล่าวว่า บุคคลใดเมื่อภาวนาคาถาของพระมหาโพธิสัตว์กวนอีม อัคคีภัยจะทำอะได้ พระคัมภีร์นี้ถ้าถอดเป็นพระธรรมาธิษฐาน อัคคีภัย ณ ที่นี้ หมายถึง
---1.โลภะ อัคนี
---2.โทสะ อัคนี
---3.โมหะ อัคนี
---หาใช่ อัคคีภัย ที่เผาผลาญบ้านเรือนไม่ อัคคีภัยที่เกิดถึงขนาดร้ายแรง เช่น เกิดจากลูกระเบิดปรมาณูไหม้กันวินาศหมดไปทั้งเมือง ก็ยังสามารถดับได้ด้วยน้ำ แต่ไฟชนิดอันมีนามว่า "อัคคีแห่งกิเลสราคะ" นั้น จะอาศัยเอาน้ำในมหาสมุทรมาดับก็ไม่ยังผล อัคคีชนิดนี้ลุกลามแพร่แผ่ไพศาล ครอบงำมนุษย์ทั่วโลกและกำลังคุกคามเผาโลกให้ลุกเป็นเปลวแดงอยู่ในขณะนี้ (90 % คนมองข้ามไฟนี้ไป กรรม…)
---อัคคีภัยแห่งกิเลสราคะนั้น คอยจี้มนุษย์ให้ร้อนเป็นไฟโดยมิรู้สึกตัว (ร้อนในทางเลือดไม่ใช่ร้อนทางกาย) ถึงขนาดเจ้าโลภะ โทสะ และ โมหะ ก็เข้าบงการจิตใจ เช่น
---1.รบราฆ่าฟันกัน
---2.ไปลอบฆ่าคนตาย
---3.ไปทำร้ายร่างกาย
---4.ไปปล้นทรัพย์
---5.ไปฉ้อฉลยักยอก
---6.ไปผิดศีลธรรมในลูกเมียเขา
---เมื่อเหตุก่อเกิดขึ้น ผลก็มาตามหลัง คือ ตกทุกข์ได้ยากและต้องรับโทษทัณฑ์ ก็เนื่องจากกองอัคคี ดังกล่าวนี้ ผู้ที่เจริญพระคาถาของพระกวนอีม หากนำเอาคำ ในพระคัมภีร์มาพิจารณาใช้ ก็จะเกิดประโยชน์ กล่าวคือ
---1.อัคคีภัยแห่งราคะ จะดับได้ด้วย สันติคุณ
---2.อัคคีภัยแห่งโทสะ จะดับได้ด้วย เมตตากรุณาธิคุณ
---3.อัคคีภัยแห่งโมหะ จะดับได้ด้วย ปัญญาคุณ
---ในเมื่อบุคคลใดขบคิดปัญหากลบท หรือเรียกว่า "ปริศนาธรรม" ในพระคาถาของพระมหาโพธิสัตว์ กวนอีม แตกฉาน อัคคีภัย ที่กล่าวข้างต้นก็จะทำอะไรไม่ได้จริงๆ
*ในกรณีมหาวาตภัยเรือล่มในทะเล
---กล่าวว่า บุคคลใดถ้าภาวนาระลึกถึงพระมหาโพธิสัตว์กวนอีม ก็จะรอดพ้นจากการจมน้ำตาย "ทะเล"ในกรณีนี้ พระคัมภีร์มีความหมายถึง "ทะเลทุกข์"ซึ่งเรียกกันในพระพุทธศาสนา สัตว์โลกอุปมาดังผู้อาศัยอยู่ในเรือน้อย ลอยลำร่อนเร่พเนจรอยู่ในกลางทะเลทุกข์ อันเป็นวัฏฏสงสาร เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในโลก คือได้แก่ การเกิด การแก่ การเจ็บ และ การตาย สัตว์โลกจะหนีรอดพ้น จากอาการทั้งสี่ที่กล่าวนี้ไม่ได้ ต้องอยู่ในสภาพอันผันแปรอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกเช่น
---1.สภาพเป็นเด็กเล็ก แล้วก็ผันแปรเปลี่ยนแปลงไป เป็นผู้ใหญ่
---2.สภาพเป็นคนหนุ่มแน่น ภายหลังก็ผันแปรเปลี่ยนแปลงไป เป็นคนแก่ชรา
---3.สภาพเป็นคนแข็งแรงในสุขภาพ แล้วก็ผันแปรเปลี่ยนแปลงไป เป็นคนเพียบไปด้วยโรคาพยาธิ
---4. สภาพเป็นคนเกิดมาในโลก แล้วก็ผันแปรเปลี่ยนแปลงไป เป็นคนตายไปจากโลก การผันแปรเปลี่ยนแปลงอยู่ทุก ๆ นาทีนี้ เช่นเดียวกับการลาดเอียงสูงต่ำแห่งกระแสคลื่นในทะเล จะมีอะไรเป็นแก่นสารก็หาไม่ ขันธ์ทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็อยู่เพียงระยะชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรจะคงทนอยู่ได้ตลอดกาล โดยไม่มีการผันแปรเปลี่ยนแปลงเสื่อมคลาย และสูญดับ
---อนิจจัง คือ ความไม่ยั่งยืน ไม่เที่ยง
---ทุกขัง คือ ความทุกข์ ความยาก
---อนัตตา คือ สิ่งที่ไม่ใช่เป็นตัวตนของตนเอง
---เหล่านี้เป็นไปตาม "กรรมบถ" คือ ทางของกุศลกรรมคลุกเคล้าอกุศลกรรม เป็นปัจจัยกระทำให้สัตว์โลกมีการเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในทะเลทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น (จมน้ำตายกันอย่างนี้)ถ้าบุคคลใด ตีปัญหาปริศนาธรรม ในพระคาถาของพระมหาโพธิสัตว์กวนอีมแตก ก็จะเกิดปัญญาคุณ คือ มีปัญญาหลักแหลมมองทะลุความจริงได้ ก็เท่ากับสามารถนำเรือของตนเข้าถึงฝั่ง จากมหาวาตภัยและรอดจากการจมน้ำตายได้จริง
*ในกรณีศัสตราภัย
---กล่าวว่า บุคคลใดเมื่อภาวนาพระคาถา ของพระมหาโพธิสัตว์กวนอีม อาวุธแหลมทุกชนิดจะไม่สามารถระคายผิวได้ คำในคาถาข้อสุดท้ายนี้แหละ แสดงให้แลเห็นเด่นชัดว่า ในมหายานมีธรรมคาถา เป็น กลบท ชั้นเชิง ทำให้ฉงนไปในทางหนึ่งนัยว่า ต้องการให้มีไหวพริบ คือ ปัญญา (ให้เกิดปัญญาขึ้นในตัวไม่ต้องไปหาปัญญาจากที่อื่น) ถ้าเกิดปัญญาคุณขึ้นแล้ว ก็มองทะลุความจริงว่า พระคาถานี้หาได้มีความหมายตายตัวตามศัพท์ที่ว่าไม่ เพราะผิวหนังมนุษย์ไม่ใช่เหล็กกล้า จึงจะคงกระพันชาตรี เมื่อเป็นเช่นนี้ อรรถในพระคาถานี้คงหมายความ เป็นปริศนาธรรมให้ขบคิด และจุดอันแท้จริงของพระคาถานี้ ได้แก่
---บุคคลที่สามารถรักษา อายตนะทั้งหก คือ อินทรีย์ทั้ง 6 นั้นเอง อายตนะ มี ตา ËÙ จมูก ปาก กาย และใจ อันเชื่อมโยงไปใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ ถ้าบุคคลใดมีความสามารถ ไม่ยองใย และตัดขาดจากสิ่งที่จะมากระทบให้เกิดอกุศลกรรม กล่าวคือ
---1.เมื่อหูได้ยิน ในสิ่งอกุศล ก็ทำเป็นเช่น หูไม่ได้ยิน
---2.เมื่อตาและเห็น ในสิ่งอกุศล ก็ทำเป็นเมิน ไม่แลเห็น
---3.เมื่อจมูกได้กลิ่น ในสิ่งอกุศล ก็ทำเป็นเหมือน มิได้ดมกลิ่น
---4.เมื่อลิ้มรส ในสิ่งอกุศล ก็ทำเป็น เหมือนมิได้รับรสรู้
---5.เมื่อกายสัมผัส ในสิ่งอกุศล ก็ทำเป็น ประดุจไม่ได้สัมผัส
---6.เมื่อใจได้รับอารมณ์ ในสิ่งอกุศล ก็ทำเป็นเฉยเฉื่อย ไม่ได้รับรู้ในอารมณ์นั้น ๆ และไม่หวั่นไหว ระงับตัณหา ที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศล เจตนาขึ้น คือ
---1.ความปรารถนา
---2.ความดิ้นรน
---3.ความอยาก
---4.ความเสน่หา
---เมื่อสิ่งเหล่านี้ ไม่บังเกิดขึ้น อำนาจแห่งธรรมมิตร ก็เข้าชักจูงเรียกร้อง ดูดดึงเอาสันติคุณ ตลอดจนเมตตากรุณาธิคุณ เข้ามาไว้ในตัว ก็จะเสมือนว่า เป็นเกราะบัง ป้องกันศัตราวุธไม่ระคายผิวหนัง ตามพระคาถาได้ไม่ต้องสงสัย
---เท่าที่บรรยายมาเบื้องต้น พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์หรือพระกวนอิม จึงเป็นที่เคารพบูชานับถือว่าพระองค์เป็นที่พึ่งของปวงสัตว์โลก ทั้งเป็นผู้มีพระเมตตา ช่วยปลดเปลื้องทุกข์ภัยของสัตว์โลกทั่วไตรภูมิ และทรง ปฏิบัติเช่นนี้เป็นนิจสิน
---พระคาถาของพระมหาโพธิสัตว์กวนอิมนั้น ไม่ใช่แต่เพียงท่องบ่นอย่างเดียว เป็นกลบทในปริศนาธรรมให้ขบคิดด้วยพร้อมกันและในเมื่อบุคคลใดสามารถขบปัญหาแตก กับปฏิบัติได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็ได้ชื่อว่า อัญเชิญพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ มาอยู่ในดวงจิตของบุคคลนั้น และบุคคลผู้นั้นก็ปลอดภัยจากอันตรายนานาประการ ดังได้บรรยายมาแล้ว
---พระอวโลกิเตศวร หรือพระกวนอีมมหาโพธิสัตว์นี้ ทางอุตรนิกายนับถือว่า เป็นพระปัทมปาณีมหาโพธิสัตว์ ได้โปรดสัตว์โลกในอดีตมานานแล้ว ทั้งทรงตั้งปณิธานวัฒนาการโปรดสัตว์โลก ต่อไปอีกในอนาคต จึงยังไม่เสด็จเข้าสู่พระพุทธภูมิ
---อนึ่งมวลพิธีที่มีในนิกายนี้ เช่น มีพิธีกงเต็ก เป็นต้น พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์อัญเชิญพระสัมมาสัมพุสัมพุทธเจ้า กับพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ เสด็จมาประทับรับการบูชาในพิธีเพื่ออานิสงส์ ส่วนพระอวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์ และองค์อื่นๆ นั้น อัญเชิญมาเป็นประมุข ในการประกอบพิธีโปรดสัตว์โลกให้รอดตาย คือ ไม่ฆ่าชีวิตสัตว์ และยังไม่เสพเลือดเนื้อสัตว์ เจริญมหาเมตตากรุณาธรรมจริง ๆ ตามลัทธิ ด้วยประการฉะนี้.
..................................................................
ที่มา...จากหนังสือพระคัมภีร์ กวนอีมมหาโพธิสัตว์ แปลโดย เสถียร โพธินันทะ
พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน โดย ชมรมธรรมทาน
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว ป.)
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 26 สิงหาคม 2558
ความคิดเห็น