ร่างทรงองค์เทพ
---เมื่อได้คุยกันถึงเรื่องความเข้าใจผิดหรือความหลงผิดของมนุษย์มาแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว ความคิดเหล่านี้ ก็ยังมีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย จนบางครั้งดูเป็นความหลงผิดอย่างมหันต์ เช่น ความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ ต่าง ๆ โดยขาดการพิจารณาไตร่ตรอง หลงยึดติดในเรื่องอิทธิฤทธิ์จนเกินไป ทำให้หลงเป็นเหยื่อของเหล่า 18 มงกุฎ ที่ชอบอวดอ้างตนเอง ตั้งตัวเองเป็นเกจิอาจารย์ ใช้เล่ห์กลมายาและหน้าม้าขบวนการหลอกล่อ กระทำเรื่องราวต่าง ๆ อวดอ้างเป็นผู้วิเศษในเรื่องราวต่าง ๆ จนผู้คนหลงเชื่อ ในที่สุดก็ต้องสูญเสียเงินทองไปกับกลุ่มคนเหล่านี้อย่างช่วยไม่ได้
---การเจ็บป่วย ของมนุษย์นั้น จัดได้ว่าเป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง ที่พบเห็นกันอยู่ทุกวัน ดังได้กล่าวมาแล้ว หากเกิดจากดินฟ้า อากาศแปรปรวน เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ก็อาจเจ็บป่วยเป็นไข้หวัด ไอหรือจาม เพียงกินยาหรือหาหมอก็หาย บางคนอาจมีวิตกจริตมากชอบคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมากมายจนเกิดความเครียด นำไปสู่โรคหัวใจ โรคประสาท ก็เป็นไปได้ แต่บางโรคเพียรพยายามจะรักษาอย่างไรก็ไม่หาย กินยากันเป็นปี ผ่าตัดกันเป็นประจำ ก็ไม่หาย
---ดังนั้นหนทางแห่งการแก้ไข ก็เลยหนีจากทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มาเป็นไสยศาสตร์ หาร่างทรงองค์เทพกันไป หายก็มี ไม่หายก็มี เพราะถ้าโชคดี พบกับผู้มีภูมิความรู้จริง ๆ ก็คงจะหาย แต่ถ้าพบผู้แอบอ้างแฝงมาหากิน ก็คงจะเสียเงินมากกว่าจะหาย
---สิ่งหนึ่ง ที่มักจะพบเห็นมักได้แก่ ถูกทักทายว่ามีองค์ และจะต้องครอบขันธ์ครู รับองค์เทพไปบูชา มิฉะนั้น จะไม่หายป่วย บางทีอาจถึงตาย คนเรามาถึงขั้นนี้ มีหรือจะไม่ยอม ส่วนใหญ่จะยอมรับขันธ์กัน เพราะอยากหายและอยากรวย
---ดังนั้น เมื่อถูกทักว่ามีองค์ก็อย่าเพิ่งหลงดีใจ เพราะอาจจะเป็นก้าวแรกที่ท่านจะต้องเสียเงินให้แก่ตำหนักนี้อีก เรื่อย ๆ เช่น การครอบขันธ์ งานไหว้ครู เป็นต้น ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ท่านมีองค์จริงหรือ
---หรือว่า ถูกหลอก
*เหตุที่ทำให้มีองค์เทพฯ
---ปฐมเหตุของการเกิดร่างทรงองค์เทพ มากมายในยุคนี้ กล่าวกันว่า เมื่อครั้งพุทธกาล ก่อนที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนชีพอยู่ พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพุทธบริษัททั้งหลายว่า พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมีอายุ 5,000 ปี แต่ของพระองค์นั้น ต้องการจะให้พระศาสนามีอายุเพียง 2,500 ปี เท่านั้น
---พระอานนท์จึงทูลถามว่า "เหตุใดพระองค์ จึงมิให้พระศาสนาดำรงอยู่จนครบ 5,000 ปี ดังพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ"
---พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "แล้วผู้ใดเล่าจะเป็นผู้ดูแลพระศาสนา ”
---พระอานนท์จึงทูลว่า"ขอให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นพุทธบริษัทเป็นผู้ดูแลและบำรุงรักษาพระพุทธศาสนากึ่งหนึ่งเป็นเวลา 2,500 ปี “
---พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาต แล้วทรงถามต่อไปอีกว่า "ใครจะขออะไรบ้าง"
---ปวงเทพทั้งหลายทุกเหล่าชั้น อันได้แก่ พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ เหล่าเทพเทวาทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันกราบทูล ขอให้ปวงเทพได้ดูแลและบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไปอีกครึ่งหนึ่งของพระอานนท์คือ 1,250 ปี
---พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาตอีก แล้วทรงถามต่อไปว่า "ใครจะขออะไรอีก "
---เหล่าพญาครุฑ คนธรรพ์ นาคราช ท้าวกุเวร กินนร กินนรี และภูติผีปีศาจ จึงกราบทูลขอดูแลอายุพระศาสนาเท่าที่เหลือ 1,250 ปี ให้พวกเขาได้ดูแลรักษา จนกว่าพระศาสนาจะค่อย ๆ เรียวเล็กลงไป
---ยุคนั้นมนุษย์จะมีร่างกายเล็กลงไปตามลำดับ ถึงกับต้องปีนบันไดสอยลูกมะเขือ หรือเก็บเม็ดพริก พระสงฆ์สาวกก็จะร่อยหรอ แทบว่าจะไม่มีเหลือ จะเหลือเพียง ผ้าเหลืองผืนน้อย ๆ ห้อยอยู่ที่หู เพื่อให้เป็นที่สังเกตุว่า เป็นพระสงฆ์เท่านั้น พระศาสนาก็จะเสื่อมถอยลงไปจนหมดพอดี 5,000 ปี ตามพุทธฎีกาที่กำหนดไว้
---เมื่อถึงกึ่งพุทธกาล 2,500 ปี เป็นต้นมา จึงเป็นหน้าที่ของ เทพพรหมเทวาทั้งหลายที่จะมาทำหน้าที่อุปถัมภ์ค้ำชู ทนุบำรุง สืบพระศาสนาขององค์สมณโคดม ตามที่ได้ทูลขอกับพุทธองค์ไว้ จึงเป็นเหตุให้เกิดมีร่างทรงองค์เทพมากมายในปัจจุบัน
---อนึ่ง องค์เทพเป็นเพียง "อากาศธาตุ" เท่านั้น จึงจำเป็นต้องอาศัย "สังขารของมนุษย์ " ที่มีธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยการมาแฝงบังคับร่าง เพื่ออาศัยติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ ได้นำพาพุทธบริษัทบริจาคทานสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ โดยอาศัยการช่วยเหลือบำบัดทุกข์ร้อน รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับมนุษย์ และบอกบุญกับสานุศิษย์ผู้ศรัทธาได้ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลในโอกาสต่าง ๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อการสืบพระศาสนาเป็นสำคัญ
*ดังนั้นการที่องค์เทพจะมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นก็ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ
---1.ญาณจุติ หมายถึง ภาระหน้าที่ในการเกิดเป็นมนุษย์ตามวาระ และเป็นส่วนหนึ่งของเทพที่ลงมาจุติ เพื่อมารับกรรมบางอย่างและเพื่อทำหน้าที่ในการเป็นผู้นำทางศาสนา เช่น พระสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา ผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เป็นผู้นำทางฝ่ายสงฆ์หรือฆราวาสก็ตาม ที่เป็นผู้ใฝ่ในการปฏิบัติจนได้ญาณหรือฌาณ และมักจะลำบากในช่วงแรกแต่จะสบายในช่วงปลาย
---2.ญาณแฝง หมายถึง องค์เทพในระดับต่าง ๆ ที่ยังไม่ถึงวาระการเกิดเป็นมนุษย์ แต่มีความเลื่อมใส ปรารถนาจะช่วยส่งเสริมและมีส่วนร่วมในการสืบพระศาสนาด้วย ครั้นจะลงมาเกิดใหม่เพื่อสร้างบุญ ก็จะต้องรอเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลานั้น ญาณนี้แหละทีมักถูกเรียกกันว่า “ องค์ ” ซึ่งแยกตามภาระหน้าที่ได้ 2 ประการด้วยกัน
*2.1 ความสัมพันธ์ในอดีต
---คือ ให้การอารักขาผู้ที่ได้มาจุติเป็นมนุษย์ เพราะเคยเกี่ยวสัมพันธ์กันมาแต่ชาติปางก่อน เมื่อร่างนี้ได้ทำบุญและแผ่เมตตาให้ ก็จะได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกัน ขณะเดียวกันก็จะคอยปกป้องคุ้มครอง ช่วยเหลือการทำมาหากิน ดลจิตดลใจ หรือเกิดเป็นลางสังหรณ์ในเรื่องราวต่าง ๆ จะพาสร้างบารมี ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บางครั้งเวลาสวดมนต์นั่งกรรมฐาน องค์เทพท่านจะพาสวดมนต์เป็นภาษาเบื้องบนหรือ ภาษาเทพไปเลยก็มี ความสัมพันธ์ดังกล่าวได้แก่
---เคยมีบุญคุณ กันมาก่อนที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์ หรือ ในอดีตชาติ
---เคยติดหนี้บุญคุณ กันมาก่อนที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์ หรือ ในอดีตชาติ
---เคยเป็นบุตรหลานหรือบริวาร กันมาก่อน
---เกิดจาการสวดมนต์อ้อนวอนขอบารมีจากเทพเป็นประจำ จึงลงมาช่วย
*2.2 หน้าที่เป็นม้าทรง หรือ ร่างทรง
---ในกรณีเช่นนี้ส่วนใหญ่ "จะตายแล้วฟื้น" ขึ้นมาใหม่ เนื่องจากองค์เทพที่มาจับร่าง เห็นว่า เป็นคนดีและมีบารมีพอ บังเอิญมาหมดอายุขัยก่อน ท่านก็เลยต่ออายุให้
---ดังนั้นร่างนี้จึงต้องสร้างบารมีชดใช้หนี้บุญคุณขององค์เทพ โดยเป็นร่างทรงหรือสื่อที่จะติดต่อมนุษย์เพื่อสร้างบารมีร่วมกัน ในการทำนายทายทัก รักษาโรค หรือ อื่น ๆ สุดแท้แต่องค์เทพท่านจะเห็นสมควร และเมื่อถืงเวลาหรือหมดหน้าที่ก็จะต้องตายจริง ๆ
---บางคนอาจสงสัยว่า “เทพ พรหม ” มีบารมีมากพอแล้ว ทำไมถึงต้องลงมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์อีก ทั้งที่ร่างกายมนุษย์มีแต่ของเน่าเหม็นเต็มไปหมด
---ดังนั้นเราควรศึกษาให้เข้าใจก็จะได้หายสงสัย เพราะความเป็นเทพพรหม แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสุคติภูมิ แต่ก็ย่อมมีอายุขัยแม้จะเป็นหมื่นปีแสนปี สักวันหนึ่งมาถึงก็ย่อมจะต้องลงไปจุติใหม่ตามวิบากกรรม
---เหตุฉะนั้น เทพพรหมผู้ไม่ประมาท จึงต้องขวนขวายหมั่นสร้างบุญกุศลให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
---อนึ่งในความเป็นเทพพรหมนั้นย่อมอยู่ในสภาวะที่เรียกกันว่า “ โอปปาติกะ ” คือ มีความเป็นทิพย์ที่ละเอียด ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตาเปล่า เว้นแต่ผู้ที่ฝึกจิตจนใสละเอียด ในระดับเดียวกันจึงสามารถมองเห็นตัวกันได้
---ดังนั้น หนทางแห่งการสร้างบุญจึงมีขีดจำกัด ด้วยอานิสงก์แห่งบุญนั้นเอง ไม่เหมือนมนุษย์ ย่อมสามารถบำเพ็ญบารมีได้ถึงชั้นสูงสุดคือ "พระนิพพาน" แม้แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ก็ยังต้องมาจุติในภพมนุษย์ เพราะต้องอาศัยสังขารหรือธาตุขันธ์ 5 เพื่อชดใช้หนี้เวรหนี้กรรม จนบรรลุพระโพธิญาณ ได้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด
*ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่า
---เรามีองค์หรือเปล่า หรือชอบไปเที่ยวหาร่างทรงตามตำหนักต่าง ๆ เป็นเทพจริงหรือเปล่า
---หรือเป็นเพียงสัมภเวสีที่แอบอ้างหากินไปวัน ๆ พอถูกเขาทักว่ามีองค์ ก็เลยพาลรับขันธ์ 5 ไปเลยก็มี
---ถ้าทำถูกต้องก็ดีไป ถ้าทำไม่ถูกต้อง กลายเป็นว่าเอาผีมาใส่ไว้ในตัว ก็จะซวยไปกันใหญ่ เพราะบางทีเราไม่ทราบว่า ตำหนักไหนแท้หรือเทียม บางคนไม่มีอะไร แต่พอเห็นเขามีองค์ก็พาลอยากจะเป็นบ้าง ก็เลยทำให้มีทั้ง “ คนทรงเจ้า ” “ เจ้าเข้าทรง ” ก็อยู่ในวิจารณญาณของท่าน ที่ต้องพิจารณาศึกษาให้ดีเสียก่อน
---พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เรา ลุ่มหลงในเรื่องของ “ เทพพรหม ” เพราะไม่ใช่ทางหลุดพ้น ยังต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จึงไม่สอนให้ไปยึดติดในภพภูมิเหล่านั้น แต่ไม่ได้ทรงปฏิเสธในเรื่องเทพพรหมว่ามีจริง เพราะแม้ครั้งพุทธกาลก็เคยเสด็จไปโปรด พุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ แม้ในพุทธกิจก็ยังแบ่งเวลาไปโปรดเทพเทวดาในชั้นภูมิต่าง ๆ จนมีผู้สำเร็จอริยบุคคลไปเป็นจำนวนมาก
---หลายคนคงจะประสบปัญหาเกี่ยวกับชีวิต หน้าที่การงาน การเจ็บป่วย เชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์ สิ่งลี้ลับ
---ก็มักจะไปตามตำหนักทรงต่าง ๆ บ่อยครั้งที่ถูกทักว่า “มีองค์” ต้องรับขันธ์ จึงจะทำให้ชีวิตหน้าที่การงาน การเงิน คู่ครอง การค้าขาย หรือ สุขภาพจะดีขึ้น แรก ๆ ก็อาจเฉย ๆ พอถูกทักบ่อยเข้าชักเขวเหมือนกัน ก็เลยตกกระไดพลอยโจนไปกับเขาด้วย ขันธ์หนึ่งก็ไม่ต่ำกว่า 500 บาทขึ้นไป จนเหยียบ 10,000 บาท แล้วแต่จะเป็นขันธ์ 5, ขันธ์ 8, ขันธ์ 9, ขันธ์ 10, ขันธ์ 16, ก็ว่ากันไป ตามอัตถภาพ ไม่รู้ว่าอุปทานหรือไม่ บางคนก็ว่าอะไร ๆ ดีขึ้น แต่ส่วนใหญ่พบว่าเลวยิ่งกว่าเก่า ปัญหารุมเร้าหนักกว่าเดิม พาลเป็นบ้าเป็นบอ เจ็บป่วยหนักกว่าเดิมก็แยะ
---ขันธ์ 5 คือ เครื่องสักการะบูชา ที่ผู้จะมาขอเป็นศิษย์จัดมาให้ครูบาอาจารย์ เพราะในบรรพกาลผ่านมาจวบจนปัจจุบัน การเรียนรู้สารพัดวิชา จะต้องอาศัยการศึกษาจากผู้ที่เป็นครู และการจะขอเรียนวิชาการเหล่านั้นก็จำเป็นต้องจัดตั้งขันธ์ 5
---ขันธ์ 5 ประกอบด้วย ดอกไม้ขาว ธูป เทียน ผ้าขาว และใช้ใบตองทำกรวยทรงแหลม 5 กรวย บรรจุดอกไม้ ธูป เทียน 5 คู่ ใส่ลงในกรวยทั้ง 5 แล้วจึงนำวางลงบนผ้าขาว ที่วางรองรับอยู่บนพานหรือภาชนะ แล้วจึงนำเข้าไปกราบครูบาอาจารย์ เพื่อขอเป็นศิษย์ ซึ่งผู้เป็นครูก็จะตรวจดูดวงชะตา ว่าสมควรจะรับเป็นศิษย์ได้หรือไม่ เพราะบางทีจะกลายเป็นศิษย์คิดล้างครูได้ในภายหลัง จึงจำเป็นต้องตรวจเช็คดูเสียก่อน หากไม่ประสงค์จะรับเข้าเป็นศิษย์ก็จะไม่รับขันธ์ 5 หากพิจารณาเห็นสมควรแล้วก็รับขันธ์ 5 นั้นมา
*บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
---ขันธ์ครู คือ เครื่องมงคลทั้ง 5 ที่ผู้เป็นครูประสิทธิประสาทพร ในรูปแบบของวัตถุให้กับศิษย์เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ และเป็นที่รำลึกแก่ศิษย์ให้มีความขยันหมั่นเพียร ศึกษาวิชาความรู้ที่ครูมอบให้ไปศึกษาเล่าเรียน
---ขันธ์ 5 องค์เทพ หมายถึงขันธ์ 5 และขันธ์ครูรวมเข้าด้วยกันนั่นเอง
*กรณีการรับขันธ์
---ขันธ์ 5 ของมนุษย์นั้น ประกอบไปด้วย รูปขันธ์, เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์, วิญญาณขันธ์
---เทพ เป็นจิตวิญญาณ มีขันธ์เพียง 3 ขันธ์ คือ เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, วิญญาณขันธ์ จึงต้องอาศัยการแต่งขันธ์ 5 ของมนุษย์ ที่จัดตบแต่งขึ้นมา เป็นตัวแทนของตน ว่าได้ยอมรับเป็นร่างให้กับเทพองค์นั้น ๆ
---และยังหมายถึง ข้อตกลงระหว่างเทพกับมนุษย์ผู้ตกลงปลงใจ ยอมรับหน้าที่ เป็นสังขารขันธ์ให้กับองค์เทพ ผู้นั้น ไว้ใช้ร่างของตน สร้างบารมี โดยมีองค์เทพผู้ทำพิธีมอบขันธ์ ให้เป็นสักขีพยาน หากแม้นมีใครระหว่างเทพกับมนุษย์มีการผิดข้อตกลง ก็ต้องเดือดร้อน ถึงผู้เป็นครูที่เป็นสักขีพยาน จะต้องทำหน้าที่ ว่ากล่าวตักเตือนผู้กระทำผิดต่อไป
*ดังนั้น ความหมายของการรับขันธ์ขององค์เทพ
---จึงเป็นสัญญาใจหรือข้อตกลงในการประพฤติปฏิบัติทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทน แห่งเทพ ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติตนให้ถูกต้องในความหมายดังนี้
*ขันธ์ 5-หมายถึง การรับศีล 5
---มาปฏิบัติโดยเคร่งครัด ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเผลอไปรับเข้า มิฉะนั้นอาจถูกลงโทษได้
*ขันธ์ 8-หมายถึง การรับศีล 8
---ซึ่งจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ ห้ามร่วมหลับนอนฉันท์สามีภรรยา งดเว้นอาหารมื้อเย็น สวดมนต์ไหว้พระ เจริญสมาธิภาวนา เหมือนการถือศีลบวชพราหมณ์นั่นเอง*ขันธ์ 9-หมายถึง การรับศีลอุโบสถ
---ถือศีล 8 เคร่งครัด เด็ดดอกไม้ก็ไม่ได้ ดมดอกไม้หรือเครื่องหอมก็ไม่ได้ กินแต่อาหารเจ หรือมังสวิรัติ
*ขันธ์ 10-หมายถึง ศีลของสามเณรหรือสามเณรี
---ก็เท่ากับการถือบวช โดยถือสิกขาบท 10 ประการ
*ขันธ์ 16-หมายถึง ศีลของนักบวช
---ที่มุ่งการบำเพ็ญสมาธิภาวนา กินอาหารมื้อเดียว งดเว้นของสดของคาว กินแต่ผลไม้ เผือกมัน ไม่เที่ยวเดินพลุกพล่าน อยู่ด้วยการสำรวมปฏิบัติ นั่งสมาธิเป็นที่ เป็นทาง แทบจะทำตัวเหมือนนักบวช เพียงแต่เป็นการบวชใจ ไม่ได้บวชกายเท่านั้น
---ดังนั้น หากถือปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ ก็จงอย่าได้รับเลย หากแม้นมีใครแนะนำให้รับก็จงพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อน เพราะการรับขันธ์นั้น ไม่ใช่เพียงนำมาบูชาเท่านั้น จะต้องปฏิบัติเป็นประจำด้วยก็คือ
---การสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงองค์เทพที่รับมาด้วยจึงจะถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้ว อาจสร้างปัญหาให้เดือดร้อนได้ เพราะถือว่าผิดสัจจะที่รับมา
---ถ้าจำเป็นต้องรับ-ด้วยเหตุอันใดก็ตาม เช่น
---นิมิตจากองค์เทพมาบอกเอง ก็ควรพิจารณาให้ดีว่าจะรับจากใคร
---หรือถ้าเป็นตำหนัก ก็ต้องดูว่าร่างนั้น ปฏิบัติตนอยู่ในหลักศีลธรรมหรือไม่ เหมาะที่จะเป็น ครูบาอาจารย์ที่จะทำพิธีมอบขันธ์ให้หรือเปล่า เพราะหากเป็นร่างที่แอบอ้าง หรือเป็นเทพกึ่งเปรต ก็อาจจะนำเอาบริวารที่เป็นตีนโรงตีนศาล มาครอบให้แทน ก็จะวุ่นวายไปกันใหญ่ อันนี้ต้องระวังให้หนัก
*สัจจะองค์เทพฯ
---มนุษย์เมื่อรู้ว่าจำเป็นต้องรับขันธ์ เพื่อยอมอุทิศตนเป็นร่างให้กับองค์เทพแต่ละองค์นั้น ก็จำเป็นต้องทราบว่า ควรจะปฏิบัติตนอย่างไร จึงสมควรแก่ภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ดังเช่น
---1.การปฏิบัติตัว-คือ การทำตนเองให้เป็นนักบุญ หมั่นแสวงหาบุญกุศล เหมือนการสร้าง สั่งสมบารมีให้มากที่สุด เช่น การไหว้พระสวดมนต์ ทำบุญใส่บาตร ถือศีล กินเจ สมาธิภาวนา
---2.การปรนนิบัติ-คือ การใช้หนี้ใช้สิน อันเกิดจากชาตินี้และชาติที่ผ่านมา รู้จักกตัญญูกตเวที เช่น การปรนนิบัติ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ เป็นต้น
---3.การโปรดสัตว์-คือ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หรือสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นทุกข์ เท่าที่จะสามารถทำได้ รู้จักมีเมตตาธรรมนั่นเอง
---ส่วนสิ่งที่มนุษย์จะได้รับตอบแทนจากองค์เทพนั้น ขึ้นอยู่กับการอธิษฐานขอในตอนครอบขันธ์ ทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมไม่เกินกฎแห่งกรรม
*ลักษณะของชั้นเทพ
---ลักษณะของจิตวิญญาณในระดับต่าง ๆ ที่ลงมาประทับทรงหรือเข้าทรงมนุษย์นั้น หากเรารู้จักสังเกตให้ดี ก็พอจะแยกได้ว่า เป็นเทพหรือเป็นผี โดยอาศัยหลักพิจารณาโดยสังเขปดังนี้
---1.ประทับทรงจากส่วนล่าง จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากปลายเท้าขึ้นมา มักจะเป็นพวกสัมภเวสี หรือ วิญญาณมนุษย์ที่ตายไปแล้ว
---2.ประทับทรงจากด้านหลัง จิตวิญญาณใดประทับทรงจากด้านหลัง มักจะเป็นวิญญาณทั่วไปที่มีฤทธิ์อำนาจ ซึ่งมักจะเรียกขานกันว่า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าปู่ ฯลฯ
---3.ประทับทรงจากด้านหน้า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากด้านหน้า มักจะเป็นวิญญาณของมนุษย์ที่ไปเกิดเป็น เทวดาชั้น จาตุมฯ ที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์
---4.ประทับทรงจากทางบ่า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากทางบ่า มักจะเป็นเทพหรือดาบสที่มีฤทธิ์ ในระดับกลาง ๆ
---5.ประทับทรงจากกลางกระหม่อม จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากส่วนศีรษะหรือกระหม่อม มักจะเป็นเทพในระดับสูง
*คำแนะนำ
---ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะมีองค์หรือไม่ก็ตาม ถ้าท่านหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงครูบาอาจารย์ องค์เทพเทวาที่คุ้มครองรักษาตนเอง ก็น่าจะเพียงพอ เพราะการที่เทพ มาอยู่กับเราก็ด้วยเหตุที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น
---คือ ปรารถนาจะได้ร่วมสร้างบารมี และช่วยเหลือผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน พาร่างสร้างบารมี ทำบุญไหว้พระ สร้างแต่กรรมดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
---ถ้าเราทำได้ดังนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปรับขันธ์ เทพเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา ประกอบด้วย
---หิริโอตตัปปะ คือ ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ย่อมไม่สร้างปัญหาใด ๆ ให้กับร่างที่จะมาอยู่ด้วย เพราะท่านกลัวบาป การที่จะทำให้เจ็บป่วยหนักหนาแสนสาหัส หรือลงโทษอะไรหนักหนาคงไม่มี นอกจากช่วยเหลือเท่านั้น
---แต่ที่มันเจ็บป่วยหรือมีปัญหาในหน้าที่การงาน การเงิน จนล้มละลาย มันเป็นเรื่องของ "วิบากกรรม" ที่ใครจะเข้าไปแก้ไขได้ นอกจากช่วยประคับประคองหรือดลจิต ดลใจให้ไปหาผู้ที่สามารถแก้ไขวิบากกรรมส่วนนี้ได้
---ดังนั้น บางทีพอรับขันธ์เข้า แล้วหันหน้ามาปฏิบัติ สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ อะไร ๆ มันก็ดีขึ้นตามบารมีของตน เพราะก่อนหน้าเมื่อยังดีอยู่นั้น ก็ไม่เคยคิดปฏิบัติจริงจัง ทำบุญก็มีบ้างตามโอกาสเท่านั้น เพราะหากเทพจะมาอยู่ด้วย ก็คงไม่จำเป็นต้องทำพิธีอะไรมากมาย
---การรับขันธ์เป็นเรื่องสมมุติกันขึ้นมาเท่านั้น เพราะท่านจะมาอยู่กับมนุษย์นั้น บางทีก็ติดตามมาแต่เกิด อยู่ติดตามเรามาตลอด เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้นเอง เพิ่งจะมาคิดรับขันธ์เพื่อรับองค์เทพ เพราะอยากรวยเท่านั้นหรือ เว้นแต่ผู้เป็นร่างทรงที่ทำหน้าที่
---สงเคราะห์มนุษย์ในการบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ก็เป็นหน้าที่ขององค์เทพที่ผ่านร่างมา จะสั่งดำเนินการตามโอกาสต่าง ๆ
*ข้อสังเกต มนุษย์ผู้ที่มีองค์เทพแฝงอยู่นั้นสังเกตได้ด้วยตนเองไม่ยาก
---1.มึนศีรษะข้างเดียวเป็นประจำ บางทีทางการแพทย์ว่าเป็น “ไมเกรน”
---2.หนักต้นคอ บางครั้งหนักบ่าสองข้างเหมือนมีใครมาขี่คอ บางทีขับรถอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกหนักบ่า
---3.แน่นหน้าอกเป็นบางครั้ง เหมือนคนหายใจไม่อิ่ม บางคนเป็นบ่อย จนหมอว่าเป็นโรคหัวใจ
---4.ฝันแม่นยำ มีลางสังหรณ์แม่นยำ บางทีเรียกสัมผัสที่หก หรือ “ซิกเซ้นท์”
---5.ชอบฝันหรือตีเป็นตัวเลข เสี่ยงโชคได้ใกล้เคียง บางที ผิดแต้มเดียว กลับบนกลับล่าง กลับหน้ากลับ หลัง ซื้อทีไร ก็เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาเป็นประจำ แต่ถ้าไม่ซื้อเที่ยวบอกใคร เขาก็จะถูก
---6.บางครั้งหูจะได้ยินเสียงเรียกชื่อเบา ๆ เหมือนเสียงกระซิบก็มี เสียงดังก้องในหู ก็มี
---7.ไปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือ มีอะไรที่ลี้ลับ จะรับรู้โดยการสัมผัส ขนลุกชัน เย็นซ่าไปทั้งตัว
---8.บางครั้งสวดมนต์เป็นภาษาบาลีอยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนเป็นภาษาอื่นรวดเร็วขึ้นมา
---9.หากนั่งสมาธิจะได้หูทิพย์ ตาทิพย์ เร็วกว่าคนทั่วไป
*ดังนั้น อาการบางอย่างหาหมอก็แล้ว กินยาก็แล้ว มันไม่หาย
---ก็ให้ สวดมนต์นั่งสมาธิตามที่ว่า แล้วแผ่เมตตาบ่อย ๆ ทุกอย่างมันจะหายไปเอง เสี่ยงโชคลาภก็จะได้ เพราะบารมีที่ทำนี่แหละ แต่บางอย่างก็อาจจะเกิดจากสัมภเวสีได้เช่นกัน
---1.ปวดศีรษะเป็นประจำ บางครั้งปวดมากจนทนไม่ไหว หมอว่าเป็นความดันบ้าง ก็แล้วแต่ ก็ควรตรวจเช็คแก้ไข เพราะอาจถูกสัมภเวสีเกาะอยู่ในศีรษะได้
---2.ปวดไหล่เป็นประจำ หมอว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบ กินยา ทายาก็แล้ว มันไม่หาย ตึงไปหมด ถือว่าผิดปกติ
---3.มือเท้าชาเป็นซีก จากไหล่ หรือตะโพก หัวเข่าก็ตาม
---4.แน่นหน้าอกมากผิดปกติ
---5.ปวดบริเวณกระเบนเหน็บ บางที่การแพทย์ระบุว่า หมอนรองกระดูกทับเส้น เว้นแต่กรณีการเกิดอุบัติเหตุ ลื่นหกล้มจนกระแทกพื้นอย่างแรง นั่นก็จะต้องพิจารณารายละเอียดเป็นกรณีไป
*อาการเหล่านี้อาจไม่เกี่ยวกับองค์เทพ แต่เป็นการแทรกซ้อนจากวิญญาณเร่ร่อนหรือสัมภเวสีที่ไม่มีที่อยู่นั่นเอง
---ดังนั้น การที่ได้กล่าวพาดพิงถึง "การรับขันธ์หรือองค์เทพ" ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ใช้วิจารณญาณ ในการแก้ไขตนเองให้ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้เงินแก้ไข เพราะวิบากกรรมเป็นของมนุษย์ที่กระทำ กันมา ครูบาอาจารย์องค์เทพก็ตาม ก็ไม่อาจฝืนกฎแห่งกรรมได้ แต่อาจชี้ทางแก้ไขได้ เพราะการเจ็บป่วยหรือปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้ามนุษย์นั้น มีกรรมเป็นต้นเหตุที่สำคัญ การแก้ไขเรามาแก้กันที่ปลายเหตุ มันก็ไม่จบ ต้องรู้จักต้นเหตุ เพราะเหตุเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่นฯ
(หมายเหตุ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล)
.....................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว ป.)
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 24 กันยายน 2558
ขอบคุณครับ
- ผมขอถามนะครับ มีร่างบอกว่าผมมีองค์ องค์พระพิรุณ จะเข้ามาเทียบร่าง แต่ไม่สามารถทำได้เพราะผมสมาธิไม่ดี แล้วท่านพิรุณ สามารถลงมาเทียบร่างกับมนุษย์ได้ไหมครับ ถ้าได้ผมก็ยินดีครับ จะต้องทำอย่างไรบ้าง
รบกวนตอบด้วยนะครับ
ขอพระคุณท่านมากมาก สิ่งที่ท่านพูตมา ล้วนแต่มีประโหยดและ เปันจริงมีข้อมุนจริง
และ ช่วยผมได้จริงครับ ถ้าวันหน้ามีโอกาดได้เจอะคนที่ให้ข้อมูนนี้ผมจะเลี้ยงข้าวชักมื้อเลยนะ
ข้อความเหล่านี้อ้างอิงจากพระไตรปิฎกบทไหนครับ กราบขอความรู้