/music/.mp3 http://www.watkaokrailas.com
สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

 ติดต่อเรา-แผนที่

เชื่อความเพียร

เชื่อความเพียร

 ปัจจัยของความเพียร






*๑.ระบบ  ๓


---ชีวิตของเรานี้สามารถแยกออกเป็นระบบเพื่อศึกษาได้  ๓  ระบบ อันได้แก่


---๑.ระบบกาย   คือสิ่งที่เกี่ยวกับร่างกาย


---๒.ระบบจิต    คือสิ่งที่เกี่ยวกับจิต


---๓.ระบบวิญญาณ (หรือระบบปัญญา)  คือสิ่งที่เกี่ยวกับความรอบรู้ของจิต


---ระบบกายนี้  ก็คือ  เรื่องทางร่างกายที่มีโรคภัยเป็นสิ่งเสียดแทง 


---ส่วนระบบจิตนี้  ก็คือ  เรื่องสมรรถภาพของจิต เช่น มีสมาธิมาก หรือมีสมาธิน้อย  จำเก่ง, คิดเร็ว,  คิดช้า, เป็นต้น  โดยมีนิวรณ์และกิเลสเป็นสิ่งเสียดแทง 


---ส่วนระบบวิญญาณ  ก็คือ  เรื่องส่วนลึกของจิตที่เป็นเรื่องความรู้,  ความเชื่อ, ความเห็น, น้ำใจ, อุปนิสัยเป็นต้น  เช่น ที่เรียกว่าวิญญาณของความเป็นครู,  วิญญาณของความเป็นนักกีฬา เป็นต้น โดยสิ่งที่มาเสียดแทงก็คือ ความโง่หรืออวิชชา


---บางคนอาจจะเชื่อว่า  ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพัฒนาได้  แต่พุทธศาสนาจะสอนว่า  ชีวิตเป็นสิ่งที่พัฒนาได้  โดยการพัฒนาระบบทั้ง ๓ นี้ ซึ่งการพัฒนา  ก็ใช้หลักการเจริญอริยมรรคนั่นเอง  คือ


---ศีล   จะมาพัฒนา   ระบบทางกาย 


---สมาธิ  จะมาพัฒนา   ระบบจิต


---ปัญญา   จะมาพัฒนา   ระบบวิญญาณ

 

*๒.จริต  ๖


---"จริต"  หมายถึง  ลักษณะอาการของจิตที่มีอยู่จนเป็นปกติ  ซึ่งจริตของเรานี้ก็พอจะสรุปได้ ๖ จริต


---๑.ราคะจริต          คือ          มีราคะเป็นปกติ


---๒.โทสะจริต          คือ          มีโทสะเป็นปกติ


---๓.โมหะจริต          คือ          มีโมหะเป็นปกติ


---๔.วิตักกะจริต          คือ          มีความคิดพล่านเป็นปกติ


---๕.สัทธาจริต          คือ          มีความเชื่อง่ายเป็นปกติ


---๖.พุทธะจริต          คือ          มีเฉลียวฉลาดเป็นปกติ

   

---ในความเป็นจริงนั้น  จิตของคนเราย่อมที่จะมีจริตทั้ง ๖ นี้อยู่ด้วยทั้งสิ้น  จะต่างกันตรงที่  จิตของใครจะมีจริตใดมากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้น  ดังนั้น เราจึงควรเลือกแนวทางอริยมรรค ให้ตรงกับจริตของเราเพื่อที่จะได้ทำให้การปฏิบัติได้ผลเร็วยิ่งขึ้น เช่น การเจริญอสุภะเพื่อกำจัดราคะจริต  หรือเจริญพรหมวิหารเพื่อแก้โทสะจริต หรือเจริญพุทธานุสติเพื่อกำจัดสัทธาจริต เป็นต้น  ส่วนพุทธะจริตนั้นควรเจริญอานาปานสติ เป็นต้น

 

*๓.วิธีกำจัดกิเลส


---การพูดว่า  ละราคะ, โทสะ, โมหะนั้นเป็นการพูดรวมๆ   ซึ่งถ้าจะพูดให้ละเอียดจะต้องพูดว่า


---ราคะ   เป็นสิ่งที่ควรละ  คือ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วสามารถละได้ทันที โดยละทิ้งอารมณ์ที่มาสัมผัส 


---โทสะ   เป็นสิ่งที่ควรบรรเทา  คือ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถละได้ทันที แม้จะละอารมณ์ของมันแล้ว ดังนั้น  จึงควรบรรเทา คือ ค่อยๆ  ให้มันอ่อนกำลังลง  จนกระทั่งดับไป 


---โมหะ    เป็นสิ่งที่ควรถอน  คือ  ต้องถอนรากถอนโคนมัน  ด้วยการสร้างปัญญาหรือความเห็นแจ้งให้เกิดขึ้นมา 


*ลักษณะโทษและการคลายของกิเลสนั้นจะมีดังนี้


---๑.ราคะนั้นมีโทษน้อยแต่ว่าคลายช้า  

 

---๒.โทสะนั้นมีโทษมากแต่คลายเร็ว


---๓.โมหะนั้นมีโทษมากและคลายยาก


---"ราคะ"  นั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้ว    จะไม่ทำให้เกิดโทษแก่ใครโดยตรง แต่ว่ามันจะเกิดอยู่นานกว่าจะดับ  


---"โทสะ"  นั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้ว    จะทำร้ายผู้อื่นได้จึงมีโทษมากแต่ว่าจะโกรธอยู่ไม่นานก็ดับ


---"โมหะ"  นั้นเป็นตัวความโง่เซ่อ  ไม่รู้แจ้งเห็นจริง  จึงทำอะไรๆผิดพลาดไม่ถูกต้อง ซึ่งจะมีโทษมากและแถมยังทำให้หายโง่ได้ยากมากอีกด้วย


---ปัจจัยที่ทำให้เกิดราคะ  ก็คือ  "สุภะนิมิต"    สิ่งที่แสดงว่าสวยงามน่ารัก ที่สามารถละได้ด้วย "อสุภะนิมิต"  สิ่งที่แสดงว่าน่าเกลียดไม่สวยงาม 


---ปัจจัยของโทสะ  ก็คือ   "ปฏิฆะนิมิต"   สิ่งที่แสดงให้รู้สึกว่าไม่น่าพอใจ  ที่สามารถบรรเทาได้ด้วย "เมตตาเจโตวิมุตติ"    การเพ่งความหลุดพ้นแห่งจิตด้วยพลังแห่งเมตตาอย่างแรงกล้า


---ปัจจัยของโมหะ  คือ   "อโยนิโสมนสิการ"   การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย ที่จะถอนได้ด้วย "โยนิโสมนสิการ"    การกระทำในใจโดยแยบคาย หรือการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ

 

*๔.เหตุภายในกับเหตุภายนอก


---การที่จะเจริญอริยมรรคให้ประสบผลได้เร็วนั้นจะต้องประกอบด้วยเหตุ  ๒  ประการอันได้แก่


---๑.โยนิโสมนสิการ          การพิจารณาถึงต้นเหตุ


---๒.กัลยาณมิตร          การมีมิตรที่ดีงาม


---"โยนิโสมนสิการ"   การพิจารณาโดยแยบคาย  ซึ่งก็หมายถึง  การพิจารณาถึงต้นเหตุและปัจจัยของมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งก็คือ  การเจริญวิปัสสนานั่นเอง 


---"กัลยาณมิตร"   เพื่อนที่ดี ที่มีความเห็นตรงกันและมีศีลเสมอกัน  ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสอนว่า “การมีกัลยาณมิตรนี้ จัดว่าเท่ากับเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์เลยทีเดียว”


---เพราะเมื่อเราคบเพื่อนที่ดี ที่มุ่งมั่นในการประพฤติพรหมจรรย์  เราก็จะมีกำลังใจและมีผู้ช่วยแก้ปัญหาในการประพฤติพรหมจรรย์ไปด้วย อันจะส่งผลให้ประสบผลได้เร็ว  แต่ถ้าเราไม่มีเพื่อนที่ดีเช่นนี้ พระพุทธองค์ทรงสอน  ให้เรามีธรรมะเป็นเพื่อนและเที่ยวไปแต่ผู้เดียว.

 

*๕.บุคคลผู้ควรประกอบความเพียร


---ผู้ที่จะปฏิบัติอริยมรรคให้ประสบผลสำเร็จได้นั้น  จะต้องมีคุณสมบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดังนี้


---๑.เป็นผู้มีศรัทธา  ย่อมเชื่อความตรัสรู้ของตถาคตว่า “แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น  เป็นพระอรหันต์  ตรัสรู้ชอบเอง  สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ  ดำเนินไปดี  รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกคนควรฝึก  อย่างไม่มีใครยิ่งไปกว่า  เป็นครูของเทวดาและมนุษย์  เป็นผู้เบิกบานแล้ว  เป็นผู้จำแนกธรรมสอนสัตว์ " ดังนี้


---๒.เป็นผู้มีอาพาธน้อย   มีโรคน้อย  มีไฟธาตุสำหรับย่อยอาหารที่ย่อยได้สม่ำเสมอ  ปานกลาง  ไม่ร้อนเกิน  ไม่เย็นเกิน  พอควรแก่การบำเพ็ญเพียร


---๓.เป็นผู้ไม่โอ้อวด    ไม่มีมารยา  เป็นผู้เปิดเผยตนเองตามที่เป็นจริงในพระศาสดา หรือเพื่อนสพรหมจารี ( ผู้ที่ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยกัน) ผู้รู้ทั้งหลายก็ตาม


---๔.เป็นผู้ปรารภความเพียร   เพื่อละสิ่งอันเป็นอกุศล  เพื่อถึงพร้อมด้วยสิ่งอันเป็นกุศล  มีกำลัง  มีความบากบั่น หนักแน่น  ไม่ทอดทิ้งธุระในสิ่งทั้งหลายอันเป็นกุศล


---๕.เป็นผู้มีปัญญา   ประกอบด้วยปัญญา ซึ่งสามารถกำหนดความเกิดขึ้นและความดับหายไป  เป็นปัญญาอันประเสริฐ  เป็นเครื่องเจาะแทงกิเลส  เป็นเครื่องให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ


---สรุปว่า  เราจะต้องมีศรัทธาในพระพุทธเจ้า ต้องมีสุขภาพดี  ต้องไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา และต้องมีใจฝักใฝ่ในการทำความเพียร รวมทั้งที่สำคัญ ต้องมีความสามารถกำหนดรู้การเกิดและดับได้  เราจึงจะปฏิบัติอริยมรรคได้สำเร็จ ถ้ายังขาดสิ่งใดไปก็ควรเพิ่มเติมสิ่งนั้นขึ้นมาให้ครบ

 

*๖.บทอธิฐานจิตเพื่อทำความเพียร


---ในการเจริญอริยมรรคนี้ก็ย่อมจะมีมาร (ความรู้สึกฝ่ายต่ำ) มาชักชวนให้ละความเพียรอยู่เสมอ   แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังทรงผจญกับมารมาแล้วเมื่อก่อนตรัสรู้  แต่ก็ได้ทรงอธิฐานจิตจนชนะมาร และได้ทรงชี้ชวนให้สาวกมีการอธิฐานจิตตามพระองค์บ้าง  ด้วยการตั้งจิตอธิฐานว่า


---“...ภิกษุทั้งหลาย  ถ้าแม้พวกเธอ  พึงตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ (ด้วยการอธิฐานว่า) “จงเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูกเท่านั้น เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือดแห้งไป  ประโยชน์อันใด  อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลัง  ด้วยความเพียร  ด้วยความบากบั่นของบุรุษ  ถ้ายังไม่บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว  จักหยุดความเพียรเสีย  เป็นไม่มี” ดังนี้แล้วไซร้  ภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอก็จักกระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์  อันไม่มีอะไรยิ่งกว่า  อันเป็นประโยชน์ที่ต้องการของกุลบุตรผู้ออกบวชจากเรือน  เป็นผู้ไม่มีเรือนโดยชอบ ได้ต่อกาลไม่นานในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน)  เข้าถึงแล้วแลอยู่เป็นแน่นอน”


---พระพุทธองค์ทรงสอนว่า “บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร” คือ การมีแต่ปัญญายังจะช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้ถาวร จะต้องมีความเพียรอันมั่นคงเท่านั้น จึงจะพ้นทุกข์ได้ถาวร ซึ่งการตั้งจิตอธิฐานเพื่อให้มีการทำความเพียรอย่างมั่นคงนี้จะช่วยให้ประสบผลสำเร็จได้ตามปรารถนาฯ






.........................................................................






 ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

 ที่มา....พระไตรปิฎก

รวบรวมโดย...แสงธรรม

 (แก้ไขแล้ว ป.)

อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 20 กันยายน 2558


ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

* *

 

*

view

ประวัติต่างๆ

ประวัติวัดเขาไกรลาศ

ประวัติของหลวงพ่อเทียน=คลิป

มาเช็คชื่อ-เช็คสกุลกันดีกว่า=คลิป

ประวัติพระอธิการชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน=คลิป

ขอเชิญผู้ร่วมบุญสร้างอาศรมเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก

ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร

ประวัติฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธองค์

ประวัติของนางวิสาขา=คลิป

ประวัติของอนาถปิณฑิกเศรษฐี=คลิป

ประวัติของเศรษฐีขี้เหนียว

ประวัติเหตุทำบุญที่ช้า=คลิป

ประวัติของผู้ร่วมบุญ=คลิป

ประวัติของพระไตรปิฎก=คลิป

ประวัติการสร้างพระพุทธรูปและพระเจ้า ๕ พระองค์

ประวัติง้วนดิน

ประวัติปู่ฤาษีนารอท

ประวัติพระปางมหาจักรพรรดิ์ ทรงปราบพระเจ้ามหาชมพูบดี

ประวัตินางห้าม..แห่งขอมโบราณ

ประวัติพญานาค

ความรู้และรายละเอียดพุทธเจดีย์

พระมหาโพธิสัตว์

สาระธรรม

ธรรมะส่องใจ

อานิสงส์แต่ละอย่าง

ประเพณีต่างๆ

ตำนานทั่วไป

สาระน่ารู้

ปกิณกะธรรม

วัตถุมงคล-สาระอื่นๆ

ข้อมูลทั่วไป

ปฎิทิน

« November 2024»
SMTWTFS
     12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930

สมาชิก

ลืมรหัสผ่าน?
สมัครสมาชิก

สถิติ

เปิดเว็บ20/06/2011
อัพเดท28/10/2024
ผู้เข้าชม7,886,661
เปิดเพจ12,106,711
สินค้าทั้งหมด8

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

view