อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พราหมณวรรคที่ ๒๖
หน้าต่างที่ ๓๓ / ๓๙.
๓๓. เรื่องพระโชติกเถระ [๒๙๖]
*ข้อความเบื้องต้น
---พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระโชติกเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "โยธ ตณฺหํ" เป็นต้น.
*บุรพกรรมของสองพี่น้อง
---อนุปุพพีกถาในเรื่องนั้น ดังต่อไปนี้
---ได้ยินว่า ในอดีตกาล กุฎุมพี ๒ คนพี่น้องในกรุงพาราณสี ยังชนให้ทำไร่อ้อยไว้เป็นอันมาก ต่อมาวันหนึ่ง น้องชายไปยังไร่อ้อย คิดว่า "เราจักให้อ้อยลำหนึ่งแก่พี่ชาย ลำหนึ่งจักเป็นของเรา" แล้วผูกลำอ้อยทั้งสองลำในที่ๆ ตัดแล้ว เพื่อต้องการไม่ให้รสไหลออก ถือเอาแล้ว.
---ได้ยินว่า ในครั้งนั้น กิจด้วยการหีบอ้อยด้วยเครื่องยนต์ ไม่มี, ในเวลาอ้อยลำที่เขาตัดที่ปลายหรือที่โคนแล้วยกขึ้น รส (อ้อย) ย่อมไหลออกเองทีเดียว เหมือนน้ำไหลออกจากธมกรกฉะนั้น.
---ก็ในเวลาที่เขาถือเอาลำอ้อยจากไร่เดินมา พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัติแล้ว ใคร่ครวญว่า "วันนี้ เราจักทำการอนุเคราะห์แก่ใครหนอ" แลเห็นเขาเข้าไปในข่ายคือญาณของตน และทราบความที่เขาเป็นผู้สามารถเพื่อจะทำการสงเคราะห์ได้ จึงถือบาตรและจีวรแล้ว มาด้วยฤทธิ์ ได้ยืนอยู่ข้างหน้าของเขา.
*น้องชายถวายอ้อยแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
---เขาพอเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ก็มีจิตเลื่อมใส จึงลาดผ้าห่มบนภูมิประเทศที่สูงกว่า แล้วนิมนต์ให้พระปัจเจกพุทธเจ้านั่ง ด้วยคำว่า "นิมนต์นั่งที่นี้ ขอรับ" แล้วก็กล่าวว่า "ขอท่านจงน้อมบาตรมาเถิด" ได้แก้ที่ผูกลำอ้อย วางไว้เบื้องบนบาตร รสไหลลงเต็มบาตรแล้ว.
---เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าดื่มรส (อ้อย) นั้นแล้ว เขาคิดว่า "ดีจริง พระผู้เป็นเจ้าของเราดื่มรส (อ้อย) แล้ว, ถ้าพี่ชายของเราจักให้นำมูลค่ามา เราก็จักให้มูลค่า, ถ้าจักให้เรานำส่วนบุญมา เราก็จักให้ส่วนบุญ" แล้วกล่าวว่า "นิมนต์ท่านน้อมบาตรเข้ามาเถิด ขอรับ" แล้วได้แก้ลำอ้อยแม้ที่ ๒ ถวายรส.
---นัยว่า เขามิได้มีความคิดที่จะลวงแม้มีประมาณเท่านี้ว่า "พี่ชายของเราจักนำอ้อยลำอื่นจากไร่อ้อยมาเคี้ยวกิน" ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นผู้ใคร่จะแบ่งรสอ้อยนั้นกับด้วยพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่าอื่น เพราะความที่ตนดื่มรสอ้อยลำแรกนั้น จึงรับไว้เท่านั้น แล้วก็นั่งอยู่.
---เขาทราบอาการของท่านแล้ว จึงไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ตั้งความปรารถนาว่า "ท่านขอรับ รสอันเลิศนี้ใด ที่กระผมถวายแล้ว ด้วยผลแห่งรสอันเลิศนี้ กระผมพึงเสวยสมบัติในเทวโลกและมนุษยโลก ในที่สุดพึงบรรลุธรรมที่ท่านบรรลุแล้วนั่นแล."
---แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็กล่าวว่า "ขอความปรารถนาที่ท่านตั้งไว้แล้ว จงสำเร็จอย่างนั้น" แล้วทำอนุโมทนาแก่เขาด้วย ๒ คาถาว่า "อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ" เป็นต้น แล้วก็อธิษฐานโดยประการที่เขาจะเห็นได้ แล้วเหาะไปสู่เขาคันธมาทน์โดยทางอากาศ แล้วได้ถวายรส (อ้อย) แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ รูป.
---เขาเห็นปาฏิหาริย์นั้นแล้ว ไปสู่สำนักพี่ชาย เมื่อพี่ชายถามว่า "เจ้าไปไหน" จึงบอกว่า "ฉันไปตรวจดูไร่อ้อย" ถูกพี่ชายกล่าวว่า "จะมีประโยชน์อะไรด้วยคนอย่างเจ้าไปไร่อ้อย เจ้าควรจะถือเอาลำอ้อยมา ๑ ลำหรือ ๒ ลำมิใช่หรือ" กล่าวว่า "พี่ ถูกละ ฉันถือเอาอ้อยมา ๒ ลำ แต่ฉันเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง จึงถวายรสแต่ลำอ้อยของฉัน แล้วถวายรสแต่ลำอ้อยแม้ของพี่ ด้วยคิดว่า ‘เราจักให้มูลค่าหรือส่วนบุญ’ พี่จักรับเอามูลค่าอ้อยนั้น หรือจักรับเอาส่วนบุญ"
---พี่ชาย ก็พระปัจเจกพุทธเจ้า ทำอะไร
---น้องชาย ท่านดื่มรสจากลำอ้อยของฉันแล้ว ก็ถือเอารสจากลำอ้อยของพี่ ไปสู่เขาคันธมาทน์โดยอากาศ แล้วได้ให้แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ รูป.
*พี่ชายเลื่อมใสขออนุโมทนาส่วนบุญ
---พี่ชายนั้น เมื่อเขากำลังกล่าวอยู่นั้นแหละ, เป็นผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว หาระหว่างมิได้ ได้ทำความปรารถนาว่า "การบรรลุธรรมที่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเห็นแล้วนั่นแหละ พึงมีแก่เรา."
---น้องชายปรารถนาสมบัติ ๓ อย่าง ส่วนพี่ชายปรารถนาพระอรหัตด้วยประการฉะนี้.
---นี้เป็นบุรพกรรมของชนทั้งสองนั้น.
*สองพี่น้องได้เกิดร่วมกันอีกในชาติต่อมา
---ชนทั้งสองนั้น ดำรงอยู่ตลอดอายุแล้ว เคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิดในเทวโลก ยังพุทธันดรหนึ่งให้สิ้นไป.
---ในเวลาชนทั้งสองนั้นไปสู่เทวโลกนั่นแหละ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก.
---พี่น้องทั้งสองแม้นั้น เคลื่อนจากเทวโลกแล้ว, ผู้พี่ชายก็คงเป็นพี่ชาย ผู้น้องชายก็คงเป็นน้องชาย ถือปฏิสนธิในเรือนแห่งตระกูลหนึ่งในพันธุมดีนคร.
---บรรดาเด็กทั้งสองนั้น มารดาบิดาได้ตั้งชื่อของผู้พี่ชายว่า "เสนะ" ของผู้น้องชายว่า "อปราชิต"
---เมื่อพี่น้องทั้งสองนั้น กำลังรวบรวมขุมทรัพย์อยู่ ในเวลาเติบโตแล้ว๑-, เ สนกุฎุมพีได้ฟังการป่าวร้องในพันธุมดีนคร ของอุบาสกผู้โฆษณาธรรมว่า "พุทธรัตนะเกิดขึ้นแล้วในโลก, ธรรมรัตนะเกิดขึ้นแล้วในโลก, สังฆรัตนะเกิดขึ้นแล้วในโลก, พวกท่านจงให้ทานทั้งหลาย จงทำบุญทั้งหลาย วันนี้เป็นดิถีที่ ๑๔ วันนี้เป็นดิถีที่ ๑๕ พวกท่านจงทำอุโบสถ จงฟังธรรม"
---เห็นมหาชนถวายทานในกาลก่อนภัตแล้ว ไปเพื่อฟังธรรมในกาลภายหลังภัต จึงถามว่า "พวกท่านจะไปไหน เมื่อมหาชนบอกว่า "พวกฉันจะไปสู่สำนักพระศาสดา เพื่อฟังธรรม" จึงพูดว่า "แม้ฉันก็จักไป" แล้วก็ไปพร้อมกับชนเหล่านั้นทีเดียว นั่งแล้วในที่สุดบริษัท.
---พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของเขา จึงตรัสอนุปุพพีกถา เขาฟังธรรมของพระศาสดาแล้ว เกิดความอุตสาหะในบรรพชา จึงทูลขอบรรพชากะพระศาสดา.
---ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามเขาว่า "ก็พวกญาติที่ท่านจะพึงอำลามีไหม"
---เสนกุฎุมพี มี พระเจ้าข้า
---พระศาสดา ถ้าอย่างนั้น ท่านไปอำลา แล้วจงมา
๑-หมายความว่า ได้ตั้งหลักฐานในการครองเรือนแล้ว.
*พี่ชายลาน้องชายออกบวชแล้วได้บรรลุพระอรหัต
---เขาไปสู่สำนักของน้องชายแล้ว กล่าวว่า "ทรัพย์สมบัติใด มีอยู่ในตระกูลนี้ ทรัพย์สมบัตินั้นทั้งหมด จงเป็นของเจ้า"
---น้องชาย ก็พี่เล่า ขอรับ
---เสนกุฎุมพี ฉันจักบวชในสำนักของพระศาสดา
---น้องชาย พี่พูดอะไร ฉันเมื่อมารดาตายแล้ว ก็ได้พี่เป็นเหมือนมารดา, เมื่อบิดาตายแล้ว ก็ได้พี่เป็นเหมือนบิดา ตระกูลนี้ก็มีโภคะมาก พี่ดำรงอยู่ในเรือนนี่แหละ ก็สามารถจะทำบุญได้ พี่อย่าทำอย่างนั้น
---เสนกุฎุมพี ฉันฟังธรรมในสำนักของพระศาสดาแล้ว ฉันดำรงอยู่ในท่ามกลางเรือน ไม่อาจบำเพ็ญธรรมนั้นได้ ฉันจักบวชให้ได้ เจ้าจงกลับ
---เขายังน้องชายให้กลับไปด้วยอาการอย่างนั้นแล้ว ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักพระศาสดาแล้ว ต่อกาลไม่นานนัก ก็บรรลุพระอรหัต
---ฝ่ายน้องชายคิดว่า "เราจักทำสักการะแก่บรรพชิตผู้พี่ชาย" จึงถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขสิ้น ๗ วัน
---ไหว้พี่ชายแล้ว กล่าวว่า "ท่านขอรับ ท่านทำการสลัดออกจากภพแห่งตนได้แล้ว ส่วนกระผมยังเป็นผู้พัวพันด้วยกามคุณ ๕* ไม่อาจออกบวชได้ ขอท่านจงบอกบุญกรรมอันใหญ่ที่สมควร แก่กระผมผู้ดำรงอยู่ในเรือนนี่แหละ"
---ลำดับนั้น พระเถระกล่าวกะน้องชายนั้นว่า "ดีละ เจ้าผู้เป็นบัณฑิต เจ้าจงให้สร้างพระคันธกุฎี สำหรับพระศาสดา"
*คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่.
*น้องชายสร้างพระคันธกุฎีถวายพระศาสดา
---น้องชายนั้นรับว่า "สาธุ" แล้วยังชนให้นำไม้ต่างๆ มา แล้วให้ถากเพื่อประโยชน์แก่ ทัพสัมภาระ ทั้งหลายมีเสาเป็นต้น ให้ทำเสาทั้งหมด ให้ขจิตด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ ต้นหนึ่งขจิตด้วยทองคำ, ต้นหนึ่งขจิตด้วยเงิน, ต้นหนึ่งขจิตด้วยแก้วมณีเป็นต้น, แล้วให้สร้างพระคันธกุฎีด้วยเสาเหล่านั้น ให้มุงด้วยกระเบื้องสำหรับมุงอันขจิตด้วยแก้ว ๗ ประการเหมือนกัน.
---ก็ในเวลาสร้างพระคันธกุฎีนั้นแล หลานชายชื่อ "อปราชิต" ผู้มีชื่อเหมือนกับตนนั่นแล เข้าไปหาอปราชิตกุฎุมพีนั้นแล้ว กล่าวว่า "แม้ฉันก็จักสร้าง ท่านจงให้ส่วนบุญแก่ฉันเถิด ลุง" เขากล่าวว่า "พ่อ ฉันไม่ให้ ฉันจักสร้างไม่ให้ทั่วไปด้วยชนเหล่าอื่น"
---หลานชายนั้นอ้อนวอนแม้เป็นอันมาก เมื่อไม่ได้ส่วนบุญ จึงคิดว่า "การที่เราได้กุญชรศาลา๑- ข้างหน้าพระคันธกุฎี ย่อมควร" ดังนี้แล้ว จึงให้สร้างกุญชรศาลาที่สำเร็จด้วยแก้ว ๙ ประการ.
---เขาเกิดเป็น เมณฑกเศรษฐี ในพุทธุปบาทกาลนี้.
---ก็บานหน้าต่างใหญ่ ๓ บาน ที่สำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ ได้มีแล้วในพระคันธกุฎี.
---อปราชิตคฤหบดีให้สร้างสระโบกขรณี ๓ สระ ที่ โบกด้วยปูนขาว ณ ภายใต้ที่ตรงบานหน้าต่างเหล่านั้น ให้เต็มด้วยน้ำหอม อันเกิดแต่ชาติทั้ง ๔* แล้วให้ปลูกดอกไม้ ๕ สี** ให้ย่อยบรรดาแก้ว ๗ ประการ แก้วที่ควรแก่ความเป็นของที่จะพึงย่อยได้แล้วถือเอาแก้วนอกนี้ทั้งหมดทีเดียว โปรยรอบพระคันธกุฎีโดยถ่องแถวเพียงเข่า ยังบริเวณให้เต็มแล้ว.
๑- ศาลามีรูปคล้ายช้าง.
*กุงฺกุมํ หญ้าฝรั่น ๑. ยวนปุปฺผํ ดอกไม้เกิดในยวนประเทศ ๑. ตครํ กฤษณา ๑. ตุรุกฺโข กำยาน ๑.
** เบื้องหน้าแต่นี้ คำพูดอย่างนี้ปรากฏโดยมาก
---เพื่อจะโปรยพระสรีระด้วยสายแห่งเกสรทั้งหลาย อันตั้งขึ้นแล้วด้วยกำลังลม ในกาลแห่งพระตถาคตประทับนั่งภายในแล้ว กระเบื้องที่ยอดพระคันธกุฎี ได้สำเร็จด้วยทองคำอันสุกปลั่ง หาง (กระเบื้อง) สำเร็จด้วยแก้วประพาฬตอนล่าง กระเบื้องมุงสำเร็จด้วยแก้วมณี พระคันธกุฎีนั้นได้ตั้งอยู่งดงาม ดุจนกยูงลำแพน ด้วยประการฉะนี้.
---คฤหบดีชื่ออปราชิต ยังพระคันธกุฎีให้สำเร็จด้วยอาการอย่างนี้แล้ว จึงเข้าไปหาพระเถระผู้พี่ชาย เรียนว่า "ท่านขอรับ พระคันธกุฎีสำเร็จแล้ว" กระผมหวังการใช้สอยพระคันธกุฎีนั้น ได้ยินว่า บุญเป็นอันมากย่อมมีเพราะการใช้สอย"
---พระเถระนั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดากราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ทราบว่า กุฎุมพีผู้นี้ให้สร้างพระคันธกุฎีเพื่อพระองค์ บัดนี้ เธอหวังการใช้สอย"
---พระศาสดาเสด็จลุกจากอาสนะแล้ว เสด็จไปสู่ที่เฉพาะหน้าพระคันธกุฎี ทอดพระเนตรกองรัตนะที่เขากองล้อมรอบพระคันธกุฎี ได้ประทับยืนอยู่แล้วที่ซุ้มแห่งประตู๒- ก็เมื่อกุฎุมพีนั้นกราบทูลว่า "พระเจ้าข้า การรักษาจักมีแก่ข้าพระองค์เอง, ขอพระองค์จงเสด็จเข้าไปเถิด"
---พระศาสดาเสด็จเข้าไปแล้ว.
๒-เบื้องหน้าแต่นี้ คำพูดอย่างนี้ปรากฏโดยมาก
---ลำดับนั้น กุฎุมพีกราบทูลพระองค์ว่า "ขอพระองค์โปรดเสด็จเข้าไปเถิด พระเจ้าข้า"
---พระศาสดาประทับยืนอยู่ ณ ที่นั้นนั่นแล ทอดพระเนตรดูพระเถระพี่ชายของกุฎุมพีนั้นถึง ๓ ครั้ง,
---พระเถระทราบด้วยอาการที่พระองค์ทอดพระเนตรแล้วนั่นแล กล่าวกะน้องชายว่า "มาเถิด พ่อ เธอจงทูลพระศาสดาว่า การรักษาจักมีแก่ข้าพระองค์เอง ขอเชิญพระองค์ประทับอยู่ตามสบายเถิด"
---เขาฟังคำพระเถระแล้ว ถวายบังคมพระศาสดาด้วยเบญจางคประดิษฐ์ กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า พวกมนุษย์เข้าไปที่โคนไม้แล้ว ไม่มีความเยื่อใยหลีกไปฉันใด, อนึ่ง พวกมนุษย์ข้ามแม่น้ำ ไม่มีความเยื่อใย สละพ่วงแพเสียได้ฉันใด, ขอพระองค์ทรงเป็นผู้ไม่มีความเยื่อใยฉันนั้น ประทับอยู่เถิด"
---ก็พระศาสดาประทับยืนอยู่เพื่ออะไรฯ
---ได้ยินว่า พระองค์ทรงมีพระปริวิตกอย่างนี้ว่า "ชนเป็นอันมาก ย่อมมาสู่สำนักของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในเวลาก่อนภัตบ้าง ในเวลาหลังภัตบ้าง เมื่อชนเหล่านั้นถือเอารัตนะทั้งหลายไปอยู่ พวกเราไม่อาจห้ามได้ กุฎุมพีพึงติเตียนว่า ‘เมื่อรัตนะประมาณเท่านี้เราโปรยลงแล้วที่บริเวณ, พระศาสดาไม่ห้ามปรามอุปัฏฐากของพระองค์ แม้ผู้นำ (รัตนะ) ไปอยู่ ดังนี้แล้ว ทำความอาฆาตในเรา พึงเป็นผู้เข้าถึงอบาย’ เพราะเหตุนี้ พระศาสดาจึงได้ประทับยืนอยู่แล้ว.
*เขาตั้งการรักษารัตนะที่โปรยไว้รอบพระคันธกุฎี
---แม้กุฎุมพี ก็ตั้งการรักษาไว้โดยรอบ สั่งมนุษย์ทั้งหลายไว้ว่า "พ่อ พวกเธอจงห้ามชนทั้งหลายผู้ถือเอา (รัตนะ) ด้วยพก หรือด้วยกระเช้าและกระสอบไป แต่อย่าห้ามชนผู้ถือเอาด้วยมือไป" แม้ในภายในนครก็ให้บอกว่า "รัตนะ ๗ ประการ อันเราโปรยลงแล้วที่บริเวณพระคันธกุฎี, มนุษย์เข็ญใจทั้งหลายผู้ฟังธรรมในสำนักพระศาสดาแล้วไป จงถือเอาเต็มมือทั้งสอง มนุษย์ทั้งหลายแม้ถึงสุขแล้ว ก็จงถือเอาด้วยมือเดียว"
---ได้ยินว่า เขาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า "ชนทั้งหลายผู้มีศรัทธา ประสงค์จะฟังธรรมก่อน จึงจักไปทีเดียว ส่วนผู้ไม่มีศรัทธา ไปด้วยความโลภในทรัพย์ ฟังธรรมแล้ว ก็จักพ้นจากทุกข์ได้" เพราะเหตุนั้น เขาจึงให้บอกอย่างนั้น เพื่อต้องการจะสงเคราะห์ชน.
---มหาชนถือเอารัตนะทั้งหลายตามกำหนดที่เขาบอกแล้วนั่นแล เมื่อรัตนะที่เขาโปรยลงไว้คราวเดียว หมดแล้ว เขาจึงให้โปรยลงเรื่อยๆ โดยถ่องแถวเพียงเข่าถึง ๓ ครั้ง อนึ่ง เขาวางแก้วมณีอันหาค่ามิได้ประมาณเท่าผลแตงโม แทบบาทมูลของพระศาสดา.
---ได้ยินว่า เขาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า "ชื่อว่า ความอิ่มจักไม่มีแก่ชนทั้งหลายผู้แลดูรัศมีแห่งแก้วมณี พร้อมด้วยพระรัศมีอันมีสีดุจทองคำ แต่พระสรีระของพระศาสดา" เพราะฉะนั้น เขาจึงได้ทำอย่างนั้น แม้มหาชนก็แลดูไม่อิ่มเลย.
*พราหมณ์มิจฉาทิฏฐิลักแก้วมณี
---ต่อมาวันหนึ่ง พราหมณ์มิจฉาทิฏฐิคนหนึ่งคิดว่า "ได้ยินว่า แก้วมณีที่มีค่ามาก อันกุฎุมพีนั้นวางไว้แทบบาทมูลของพระศาสดา เราจักลักแก้วมณีนั้น" จึงไปสู่วิหาร เข้าไปโดยระหว่างมหาชนผู้มาแล้ว เพื่อจะถวายบังคมพระศาสดา.
---ด้วยอาการแห่งการเข้าไปแห่งพราหมณ์นั้นนั่นแล คิดว่า "โอหนอ พราหมณ์ไม่ควรถือเอา."
---แม้พราหมณ์นั้นวางมือไว้แทบบาทมูลคล้ายจะถวายบังคมพระศาสดา ถือเอาแก้วมณีซ่อนไว้ในเกลียวผ้า หลีกไปแล้ว.
---กุฎุมพีไม่อาจยังจิตให้เลื่อมใสในพราหมณ์นั้นได้.
---ในกาลจบธรรมกถา กุฎุมพีนั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดา กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า รัตนะ ๗ ประการอันข้าพระองค์โปรยล้อมรอบพระคันธกุฎีสิ้น ๓ ครั้ง โดยถ่องแถวเพียงเข่า เมื่อชนทั้งหลายถือเอารัตนะเหล่านั้น ขึ้นชื่อว่าความอาฆาตมิได้มีแล้วแก่ข้าพระองค์ จิตยิ่งเลื่อมใสขึ้นเรื่อยๆ แต่วันนี้ ข้าพระองค์คิดว่า "โอหนอ พราหมณ์นี้ ไม่ควรถือเอาแก้วมณี" เมื่อพราหมณ์นั้นถือเอาแก้วมณีไปแล้ว จึงไม่อาจยังจิตให้เลื่อมใสได้."
---พระศาสดาทรงสดับคำของกุฎุมพีนั้นแล้ว ตรัสว่า "อุบาสก ท่านไม่อาจเพื่อจะทำของมีอยู่ของตน ให้เป็นของอันชนเหล่าอื่นพึงนำไปไม่ได้ มิใช่หรือ" ดังนี้แล้ว ได้ประทานนัยแล้ว.
---กุฎุมพีนั้นดำรงอยู่ในนัยที่พระศาสดาประทานแล้ว ถวายบังคมพระศาสดา ได้ทำการปรารถนาว่า "พระเจ้าข้า พระราชาหรือโจรแม้หลายร้อย ชื่อว่าสามารถเพื่อจะข่มเหงข้าพระองค์ ถือเอาแม้เส้นด้ายแห่งชายผ้าอันเป็นของข้าพระองค์ จงอย่ามี นับแต่วันนี้เป็นต้นไป, แม้ไฟก็อย่าไหม้ของๆ ข้าพระองค์, แม้น้ำก็อย่าพัด."
---แม้พระศาสดาก็ได้ทรงทำอนุโมทนาแก่กุฎุมพีนั้นว่า "ขอความปรารถนาที่ท่านปรารถนาอย่างนั้น จงสำเร็จ."
---กุฎุมพีนั้น เมื่อทำการฉลองพระคันธกุฎี ถวายมหาทานแก่ภิกษุ ๖๘ แสน ในภายในวิหารนั่นแหละ ตลอด ๙ เดือน ในกาลเป็นที่สุด ได้ถวายไตรจีวรแก่ภิกษุทุกรูป.
---ผ้าสาฎกสำหรับทำจีวรของภิกษุผู้ใหม่ในสงฆ์ ได้มีค่าถึงพันหนึ่ง.
*อปราชิตกุฎุมพีเกิดเป็นโชติกเศรษฐี
---กุฎุมพีนั้นทำบุญทั้งหลายจนตลอดอายุอย่างนั้นแล้ว เคลื่อนจากอัตภาพนั้น บังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลกตลอดกาลประมาณเท่านั้น ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์ อยู่ในท้องของมารดาตลอด ๙ เดือนครึ่ง.
---ก็ในวันที่กุฎุมพีนั้นเกิด สรรพอาวุธทั้งหลายในพระนครทั้งสิ้นรุ่งโรจน์แล้ว. แม้อาภรณ์ทั้งหลายที่สวมกาย๑- ของชนทั้งปวง เป็นราวกะว่ารุ่งโรจน์ เปล่งรัศมีออกแล้ว.
---พระนครได้รุ่งโรจน์เป็นอันเดียวกัน.
---แม้เศรษฐีก็ได้ไปสู่ที่บำรุงพระราชาแต่เช้าตรู่.
๑- กายารุฬฺหา อันขึ้นแล้วสู่กาย.
---ครั้งนั้น พระราชาตรัสถามเศรษฐีนั้นว่า "วันนี้ สรรพอาวุธทั้งหลายรุ่งโรจน์แล้ว, พระนครก็รุ่งโรจน์เป็นอันเดียวกัน ท่านรู้เหตุในเรื่องนี้ไหม"
---เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ทราบ.
---พระราชา. เหตุอะไร เศรษฐี.
---เศรษฐี. ทาสของพระองค์เกิดในเรือนของข้าพระองค์, ความรุ่งโรจน์นั้นได้มีแล้วด้วยเดชแห่งบุญของเขานั่นแหละ.
---พระราชา. เขาจักเป็นโจรกระมัง
---เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ ข้อนั้นไม่มี, สัตว์มีบุญได้ทำอภินิหารไว้แล้ว.
---พระราชาทรงตั้งทรัพย์ค่าเลี้ยงดูวันละพัน ด้วยพระดำรัสว่า "ถ้ากระนั้น เธอเลี้ยงเขาไว้ให้ดีจึงจะควร นี้จงเป็นค่าน้ำนมสำหรับเขา.
---" ครั้นในวันเป็นที่ตั้งชื่อ ชนทั้งหลายจึงตั้งชื่อของเขาว่า "โชติกะ" นั่นแหละ เพราะพระนครทั้งสิ้นรุ่งโรจน์เป็นอันเดียวกัน.
---ต่อมา ในเวลาที่เขาเติบโตแล้ว เมื่อภาคพื้นอันเขาลงชำระอยู่ เพื่อต้องการปลูกเรือน ภพของท้าวสักกะแสดงอาการร้อนแล้ว.
*ท้าวสักกะเสด็จมานิรมิตสมบัติให้โชติกเศรษฐี*
---ท้าวสักกะทรงใคร่ครวญดูว่า "นี้เหตุอะไรหนอแล" ทรงทราบว่า "ชนทั้งหลายกำลังจับจองที่ปลูกเรือนเพื่อโชติกะ" ทรงดำริว่า "โชติกะนี้ จักไม่อยู่ในเรือนที่ชนเหล่านั่นทำแล้ว, การที่เราไปในที่นั้น ควร" แล้วเสด็จไปที่นั้นด้วยเพศแห่งนายช่างไม้ ตรัสว่า "พวกท่านทำอะไรกัน"
---เหล่าชน. พวกฉันจับจองที่ปลูกเรือน สำหรับโชติกะ.
---ท้าวสักกะตรัสว่า "พวกท่านจงหลีกไป, โชติกะนี้จักไม่อยู่ในเรือนที่พวกท่านปลูก" แล้วทอดพระเนตรดูภูมิประเทศประมาณ ๑๖ กรีส.
---ภูมิประเทศนั้นได้เป็นที่สม่ำเสมอในทันใดนั้นนั่นเอง ดุจวงกสิณ.
---ท้าวเธอทรงดำริอีกว่า "ขอปราสาท ๗ ชั้นสำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ จงชำแรกแผ่นดินผุดขึ้น ณ ที่นี้" แล้วทอดพระเนตรดู.
---ปราสาท (เห็นปานนั้น) ผุดขึ้นแล้วในขณะนั้นนั่นเอง.
---ท้าวสักกะทรงดำริอีกว่า "ขอกำแพง ๗ ชั้น ที่สำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ จงผุดขึ้นแวดล้อมปราสาทนี้" แล้วทอดพระเนตรดู.
---กำแพงเห็นปานนั้นผุดขึ้นแล้ว.
---ครั้งนั้น ท้าวเธอทรงดำริว่า "ขอต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย จงผุดขึ้นในที่สุดรอบกำแพงเหล่านั้น" แล้วทอดพระเนตรดู.
---ต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ผุดขึ้นแล้ว.
---ท้าวเธอทรงดำริว่า "ขุมทรัพย์ ๔ ขุม จงผุดขึ้นที่มุมทั้ง ๔ แห่งปราสาท" แล้วทอดพระเนตรดู.
---ทุกสิ่งได้มีอย่างนั้นเหมือนกัน.
---ก็บรรดาขุมทรัพย์ทั้งหลาย ขุมทรัพย์ขุมหนึ่งได้มีประมาณโยชน์หนึ่ง, ขุมหนึ่งได้มีประมาณ ๓ คาวุต, ขุมหนึ่งได้มีประมาณกึ่งโยชน์, ขุมหนึ่งได้มีประมาณคาวุตหนึ่ง,๑- ที่ซุ้มประตูทั้ง ๗ ยักษ์ ๗ ตน ยึดการรักษาไว้แล้ว.
---ในซุ้มประตูที่ ๑ ยักษ์ชื่อยมโมลีพร้อมด้วยยักษ์พันหนึ่งที่เป็นบริวารของตน ยึดการรักษาไว้แล้ว, ที่ซุ้มประตูที่ ๒ ยักษ์ชื่ออุปปละพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน ๒ พัน
---ยึดการรักษาไว้แล้ว, ที่ซุ้มประตูที่ ๓ ยักษ์ชื่อวชิระพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน ๓ พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว, ที่ซุ้มประตูที่ ๔ ยักษ์ชื่อวชิรพาหุพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน ๔ พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว, ที่ซุ้มประตูที่ ๕ ยักษ์ชื่อสกฏะพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน ๕ พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว, ที่ซุ้มประตูที่ ๖ ยักษ์ชื่อสกฏัตถะพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน ๖ พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว, ที่ซุ้มประตูที่ ๗ ยักษ์ชื่อทิสามุขะพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน ๗ พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว.
---ทั้งภายในและภายนอกแห่งปราสาท ได้มีการรักษาอย่างมั่นคงแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้.
๑-เบื้องหน้าแต่นี้ คำพูดอย่างนี้ ปรากฏโดยมาก
---ก็ประมาณนั่น ได้เป็นประมาณแห่งปากขุมทรัพย์ที่เกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์.
---เบื้องล่างได้มีที่สุดแผ่นดิน, ประมาณขอบปากแห่งขุมทรัพย์ที่เกิดขึ้นแก่โชติกเศรษฐี ท่านมิได้กล่าวไว้.
---ขุมทรัพย์ทุกขุมเต็มเปี่ยมเทียวผุดขึ้น เหมือนผลตาลที่เขาฝานหัวฉะนั้น, ลำอ้อย ๔ ลำเป็นวิการแห่งทองคำ ประมาณเท่าต้นตาลรุ่นๆ เกิดขึ้นที่มุมปราสาททั้ง ๔.
---ลำอ้อยเหล่านั้นมีใบเป็นวิการแห่งแก้วมณี มีข้อเป็นวิการแห่งทองคำ.
---นับว่าสมบัตินั้นเกิดขึ้นแล้ว เพื่อแสดงบุรพกรรม (ของเขา).
*พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานฉัตรตั้งให้เป็นเศรษฐี
---พระราชาทรงพระนามว่าพิมพิสาร ทรงสดับว่า "ได้ยินว่า ปราสาท ๗ ชั้นซึ่งสำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ ผุดขึ้นแล้วเพื่อโชติกะ, กำแพง ๗ ชั้น ซุ้มประตู ๗ ซุ้ม ขุมทรัพย์ ๔ ขุมก็ผุดขึ้นแล้ว (เพื่อโชติกะเหมือนกัน)" ทรงส่งฉัตรตำแหน่งเศรษฐีไป (ให้) แล้ว, เขาได้เป็นผู้ชื่อว่า โชติกเศรษฐี.
---ก็หญิงผู้มีบุญกรรมอันทำไว้แล้วกับโชติกเศรษฐีนั้น เกิดแล้วในอุตตรกุรุทวีป.
---ครั้งนั้น เทพดานำนางมาจากอุตตรกุรุทวีปนั้นแล้ว ให้นั่งในห้องอันเป็นสิริ.
---หญิงนั้นเมื่อมา ถือเอาทะนานข้าวสารทะนานหนึ่ง และแผ่นศิลาอันลุกโพลง ๓ แผ่น (มา), ภัตของชนทั้งสองนั้นได้มีแล้วด้วยทะนานข้าวสารนั้นนั่นเทียว ตลอดชีวิต.
---ดังได้สดับมา ถ้าชนเหล่านั้นเป็นผู้มีประสงค์จะยังแม้เกวียน ๑๐๐ เล่มให้เต็มด้วยข้าวสาร, มันก็คงปรากฏเป็นทะนานอันเต็มด้วยข้าวสารอยู่นั่นเอง.
---ในเวลาหุงภัต พวกเขาใส่ข้าวสารในหม้อ แล้ววางไว้เบื้องบนแผ่นศิลาเหล่านั้น.
---แผ่นศิลาก็ลุกโพลงขึ้นในขณะนั้นนั่นเอง เมื่อภัตสักว่าสุกแล้ว ย่อมดับไป พวกเขารู้ความที่ภัตสุกแล้ว ด้วยสัญญาณนั้นนั่นแหละ.
---แม้ในเวลาแกงของควรแกงเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
---เขาทั้งสองย่อมหุงต้มอาหารด้วยแผ่นศิลาอันลุกโพลงด้วยอาการอย่างนี้.
---ชนเหล่านั้นย่อมอยู่ด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี ไม่รู้แสงสว่างของไฟหรือประทีปเลย.
*มหาชนต่างแตกตื่นมาชมสมบัติ
---ได้ยินว่า สมบัติของโชติกเศรษฐีเห็นปานนั้น ได้ปรากฏทั่วชมพูทวีปทั้งสิ้นแล้ว.
---มหาชนเทียมยานเป็นต้นมา เพื่อต้องการดู.
---โชติกเศรษฐีสั่งให้หุงภัตด้วยข้าวสารที่นำมาจากอุตตรกุรุทวีปแล้ว ให้ๆ แก่ชนทั้งหลายผู้มาแล้วๆ สั่งว่า "ชนทั้งหลายจงถือเอาผ้า จงถือเอาเครื่องประดับ จากต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย" แล้วให้เปิดปากขุมทรัพย์ที่มีประมาณคาวุตหนึ่ง แล้วสั่งว่า "ชนทั้งหลายจงถือเอาทรัพย์พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้."
---เมื่อชนทั้งหลายผู้อยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ถือเอาทรัพย์ไปอยู่ ปากแห่งขุมทรัพย์มิได้พร่องลงแล้ว แม้เพียงองคุลีเดียว.
---ได้ยินว่า นั่นเป็นผลแห่งรัตนะที่เขาโปรยลง ทำให้เป็นทรายในบริเวณพระคันธกุฎี.
*พระเจ้าพิมพิสารมีพระประสงค์จะชมปราสาท
---เมื่อมหาชนถือเอาผ้าอาภรณ์ และทรัพย์ตามความปรารถนาไปอยู่อย่างนั้น, พระเจ้าพิมพิสารมีพระประสงค์จะทอดพระเนตรปราสาทของโชติกเศรษฐีนั้นบ้าง เมื่อมหาชนมาอยู่ จึงไม่ได้โอกาสแล้ว.
---ในกาลต่อมา เมื่อพวกมนุษย์น้อยลง เพราะถือเอาวัตถาภรณ์และทรัพย์ตามความปรารถนาไปแล้ว พระราชาจึงตรัสกะบิดาของโชติกะว่า "ฉันมีความประสงค์จะชมปราสาทของบุตรของท่าน.
---"บิดาของโชติกะนั้น กราบทูลว่า "ดีละสมมติเทพ" แล้วไปบอกแก่บุตรว่า "พ่อพระราชามีพระประสงค์จะทอดพระเนตรปราสาทของเจ้า" เขาพูดว่า" ดีละคุณพ่อขอพระองค์เสด็จมาเถิด.
---พระราชาได้เสด็จไปในที่นั้นพร้อมด้วยข้าราชบริพารเป็นอันมาก.
---ทาสีผู้ปัดกวาดเทหยากเยื่อที่ซุ้มประตูที่ ๑ ได้ถวายมือแด่พระราชา.
---พระราชาทรงละอายด้วยทรงสำคัญว่า "ภรรยาของเศรษฐี" จึงไม่ทรงวางพระหัตถ์ที่แขนของนาง.
---พระราชาทรงสำคัญทาสีแม้ที่ซุ้มประตูที่เหลือทั้งหลายว่า "ภรรยาของเศรษฐี" อย่างนั้น จึงไม่ทรงวางพระหัตถ์ที่แขนของทาสีเหล่านั้น.
---โชติกเศรษฐีมาต้อนรับพระราชาถวายบังคมแล้ว อยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ กราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ขอเชิญเสด็จไปข้างหน้าเถิด" แผ่นดินที่ประดับด้วยแก้วมณี ย่อมปรากฏแก่พระราชา เป็นเหมือนเหวที่ลึกตั้ง ๑๐๐ ชั่วบุรุษ. ท้าวเธอทรงสำคัญว่า "โชติกะนี้ ขุดบ่อไว้เพื่อต้องการจับเรา" จึงไม่อาจเพื่อจะเสด็จพระราชดำเนินไปได้.๑-
---โชติกะกราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ นี้มิใช่บ่อ ขอพระองค์จงเสด็จมาข้างหลังข้าพระองค์" แล้วได้เป็นผู้นำเสด็จ.๒-
---พระราชาทรงเหยียบพื้นในเวลาที่โชติกะนั้นเหยียบแล้ว เสด็จเที่ยวทอดพระเนตรปราสาทตั้งแต่พื้นชั้นล่าง.
๑-ปาทํ นิกฺขิปิตุํ เพื่ออันวางพระบาทลง.
๒-ปุรโต อโหสิ ได้มีข้างหน้า.
*พระเจ้าอชาตศัตรูทรงน้อยพระทัย
---ในคราวนั้น พระราชกุมารทรงพระนามว่าอชาตศัตรู ทรงจับองคุลีของพระราชบิดา เสด็จเที่ยวไปอยู่ ทรงดำริว่า "โอ ทูลกระหม่อมของเราเป็นอันธพาล ชื่อว่าคฤหบดียังอยู่ในปราสาทที่ทำด้วยแก้ว ๗ ประการได้ ทูลกระหม่อมของเรานี่ เป็นถึงพระราชา ยังประทับอยู่ในพระราชมณเฑียรที่ทำด้วยไม้ บัดนี้ เราจักเป็นพระราชาแล้ว จักไม่ให้คฤหบดีนี้อยู่ในปราสาทนี้."๑-
---เมื่อพระราชากำลังเสด็จขึ้นสู่พื้นปราสาทชั้นบนนั่นแหละ เป็นเวลาเสวยพระกระยาหารเช้า.
---ท้าวเธอตรัสเรียกเศรษฐีมาแล้ว ตรัสว่า "มหาเศรษฐี พวกเราจักบริโภคอาหารเช้าในที่นี้นี่แหละ."
---เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ก็ทราบอยู่ พระกระยาหารสำหรับสมมติเทพ ข้าพระองค์ตระเตรียมไว้แล้ว."
---ท้าวเธอทรงสรงสนานด้วยหม้อน้ำหอม ๑๖ หม้อ แล้วประทับนั่งบนบัลลังก์อันเป็นที่นั่งของเศรษฐีนั่นแหละ ที่เขาตกแต่งไว้ในมณฑป เป็นที่นั่งของเศรษฐี ซึ่งทำด้วยแก้ว.
๑- อิมสฺส อิมสฺมึ ปาสาเท วสิตุํ น ทสฺสามิ เราจักไม่ให้อยู่ในปราสาทนี้ แก่คฤหบดีนี้.
*พระราชาประทับเสวยในบ้านโชติกเศรษฐี
---ครั้งนั้น พวกบุรุษถวายน้ำสำหรับล้างพระหัตถ์แด่ท้าวเธอ แล้วคดข้าวปายาสเปียกจากภาชนะทองคำที่มีค่าได้แสนหนึ่ง วางไว้ตรงพระพักตร์.
---พระราชาทรงเริ่มจะเสวยด้วยสำคัญว่า "เป็นโภชนะ."
---เศรษฐีกราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ นี้ไม่ใช่ภาชนะ นี้เป็นข้าวปายาสเปียก.
---พวกบุรุษคดโภชนะใส่ในภาชนะทองคำใบอื่น แล้ววางไว้บนถาดเดิม."
---ได้ยินว่า การบริโภคภาชนะนั้นด้วยไออุ่นที่พลุ่งขึ้นจากภาชนะข้าวปายาสเปียกนั้น ย่อมเป็นเหตุนำมาซึ่งความสบาย.
---พระราชา เมื่อเสวยโภชนะที่มีรสอร่อย ก็มิได้ทรงรู้ประมาณ.
---ลำดับนั้น เศรษฐีถวายบังคมท้าวเธอแล้ว ประคองอัญชลีกราบทูลว่า "พอที พระเจ้าข้า, เพียงเท่านี้ก็พอ พระองค์ไม่ทรงสามารถเพื่อจะให้โภชนะที่ยิ่งกว่านี้ไป ให้ย่อยได้."
---ทีนั้น พระราชาตรัสกะเขาว่า "คฤหบดี เธอทำความหนักใจหรือ จึงพูดถึงภัตของตน"
---เศรษฐี. "ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า, เพราะภัตเพื่อหมู่พลของพระองค์แม้ทั้งหมด ก็อันนี้แหละ, แกงก็อันนี้ ก็แต่ว่าข้าพระองค์กลัวต่อความเสื่อมยศ."
---พระราชา. เพราะเหตุไร
---เศรษฐี. ถ้าว่า เหตุสักว่าความอึดอัดแห่งพระกาย จะพึงมีแก่สมมติเทพเจ้าไซร้, ข้าพระองค์ย่อมกลัวต่อคำว่า ‘วานนี้ พระราชาเสวย (ภัต) ในเรือนของเศรษฐี.
---เศรษฐีคงจักทำอะไร (ถวายเป็นแน่)’ พระเจ้าข้า.
---พระราชา. ถ้าอย่างนั้น ท่านจงนำภัตไป จงนำน้ำมา.
---ในเวลาเสร็จภัตกิจของพระราชา ราชบริพารทั้งหมดก็บริโภคภัตนั้นนั่นแหละ.
*พระราชาทรงสนทนากับเศรษฐี
---พระราชาประทับนั่งสนทนาปรารภถึงความสุข ตรัสเรียกเศรษฐีมาแล้ว ตรัสว่า "ภรรยาของท่านในเรือนนี้ไม่มีหรือ"
---เศรษฐี. มี พระเจ้าข้า.
---พระราชา. นางอยู่ที่ไหน
---เศรษฐีกราบทูลว่า นางนั่งอยู่ในห้องอันมีสิริ ยังไม่ทราบเกล้าว่า สมมติเทพเสด็จมา.
---ก็พระราชาพร้อมด้วยราชบริพาร เสด็จมาแล้วแต่เช้าตรู่ก็จริง, ถึงอย่างนั้น นางก็ยังไม่รู้ว่าท้าวเธอเสด็จมา.
---ลำดับนั้น เศรษฐีรู้ว่า "พระราชามีพระประสงค์จะทอดพระเนตร ภริยาของเรา" จึงไปสู่สำนักของนางแล้ว บอกว่า "พระราชาเสด็จมาแล้ว, การที่หล่อนเฝ้าพระราชา ไม่ควรหรือ"
*ภรรยาเศรษฐีน้อยใจที่ยังมีผู้ใหญ่กว่าตน
---นางนอนอยู่นั่นแล กล่าวว่า "นาย ชื่อว่าพระราชานั้นเป็นอย่างไร" เมื่อเขาบอกว่า "คนที่เป็นใหญ่ของพวกเรา ชื่อว่าพระราชา" จึงแจ้งความที่ตนเป็นผู้มีใจไม่แช่มชื่นอยู่ กล่าวว่า "พวกเรายังมีแม้บุคคลผู้เป็นใหญ่ (นับว่า) ทำบุญกรรมทั้งหลายไว้ไม่ดีหนอ, พวกเราทำบุญกรรมทั้งหลายชื่อด้วยไม่มีศรัทธา จึงถึงสมบัติเกิดแล้วในที่ของชนอื่นผู้เป็นใหญ่; ทานจักเป็นของอันเราทั้งหลายไม่เชื่อแล้วให้เป็นแน่, นี่เป็นผลของทานนั้น" แล้วกล่าวว่า "นาย บัดนี้ฉันจักทำอย่างไร"
---สามี. หล่อนจงถือเอาพัดก้านตาลมาพัดถวายพระราชา.
---เมื่อนางถือพัดก้านตาลมาพัดถวายพระราชาอยู่ ลม (มี) กลิ่นแห่งพระภูษาสำหรับโพกของพระราชา กระทบนัยน์ตาของนางแล้ว.
*ภรรยาเศรษฐีน้ำตาไหล
---ลำดับนั้น สายแห่งน้ำตาไหลออกจากนัยน์ตาของนาง.
---พระราชาทอดพระเนตรเห็นอาการนั้น จึงตรัสกะเศรษฐีว่า "มหาเศรษฐี ธรรมดามาตุคามมีความรู้น้อย ชะรอยจะร้องไห้ เพราะกลัวว่า ‘พระราชาจะพึงยึดเอาสมบัติของสามีของเรา’ ท่านจงปลอบนาง เราไม่มีความต้องการด้วยสมบัติของท่าน."
---เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ นางมิได้ร้องไห้.
---พระราชา. เมื่อเป็นเช่นนั้น นั่นอะไรกันเล่า
---เศรษฐี. น้ำตาของนางไหลออกมาแล้ว เพราะกลิ่นแห่งพระภูษาสำหรับโพกของพระองค์ ด้วยว่าภรรยาของข้าพระองค์นี้ ไม่เคยเห็นแสงสว่างของประทีปหรือแสงสว่างของไฟ ย่อมบริโภคนั่งและนอนด้วยแสงสว่างของแก้วมณีเท่านั้น ส่วนสมมติเทพคงจักประทับนั่งด้วยแสงสว่างแห่งประทีป.
---พระราชา. ถูกละ เศรษฐี.
---เศรษฐีกราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าเช่นนั้น จำเดิมแต่วันนี้ ขอพระองค์จงประทับนั่งด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี" แล้วได้ถวายแก้วมณีอันหาค่ามิได้ ใหญ่ประมาณเท่าผลแตงโม.
---พระราชาทอดพระเนตรเรือนแล้ว ตรัสว่า "สมบัติของโชติกะมากจริง" แล้วได้เสด็จไป.
---นี้เป็นเรื่องเกิดของพระโชติกเถระก่อน๑-
๑- เบื้องหน้าแต่นี้ เรื่องพระชฏิลเถระ พึงเป็นเรื่องอันท่านเรียงไว้ในภายหลัง.
*เด็กชฎิละถูกมารดาเอาลอยน้ำ
---บัดนี้ พึงทราบการอุบัติของพระเถระชื่อชฎิละ
---ความพิสดารว่า ในกรุงพาราณสี ได้มีธิดาของเศรษฐีคนหนึ่งเป็นผู้มีรูปสวย.
---มารดาบิดาให้หญิงคนใช้ไว้คนหนึ่ง เพื่อต้องการรักษานาง ในเวลานางมีอายุรุ่นราว ๑๕-๑๖ ปี ให้อยู่ในห้องอันมีสิริบนพื้นชั้นบนแห่งปราสาท ๗ ชั้น.
---วันหนึ่ง วิทยาธรตนหนึ่งกำลังเหาะไปทางอากาศ เห็นนางกำลังเปิดหน้าต่าง แลดูภายนอกอยู่ เกิดความสิเนหา จึงเข้าไปทางหน้าต่างแล้ว ได้ทำความเชยชิดกับนาง.
---นางอาศัยการอยู่ร่วม (หลับนอน) กับวิทยาธรนั้น ตั้งครรภ์แล้ว ต่อกาลไม่นานเลย.
---ลำดับนั้น หญิงคนใช้นั้นเห็นเหตุนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า "คุณนาย นี่อะไรกัน อันนางบอกว่า "ข้อนั้นจงยกไว้ เจ้าอย่าบอกแก่ใครๆ" จึงได้เป็นผู้นิ่งเสียเพราะกลัว.
---โดยกาลล่วงไป ๑๐ เดือน แม้นางคลอดบุตรแล้ว ให้หญิงคนใช้นำภาชนะใหม่มา ให้เด็กนั้นนอนในภาชนะนั้นแล้ว ปิดภาชนะนั้นเสีย วางพวงดอกไม้ไว้ข้างบน สั่งหญิงคนใช้ว่า "เจ้าจงเอาศีรษะเทินภาชนะนี้ไปลอยเสียในแม่น้ำคงคา ถ้าถูกใครๆ ถามว่า ‘นี้อะไร’ เจ้าพึงบอกว่า ‘พลีกรรมของคุณนายของฉัน" หญิงคนใช้นั้นได้ทำอย่างนั้น.
*หญิง ๒ คนเถียงกันเพราะเด็กชฎิละ
---ก็หญิง ๒ คนกำลังอาบน้ำอยู่ในภายใต้แม่น้ำคงคา เห็นภาชนะนั้นถูกน้ำพัดมาอยู่, หญิงคนหนึ่งพูดว่า "ภาชนะนั้นเป็นของฉัน."
---คนหนึ่งพูดว่า "สิ่งที่มีอยู่ในภาชนะนั้น เป็นของฉัน" เมื่อภาชนะ (ลอยมา) ถึงแล้ว จึงจับภาชนะนั้นวางไว้บนบก เปิดดูเห็นเด็ก หญิงคนหนึ่งพูดว่า "เด็กเป็นของฉันทีเดียว เพราะฉันกล่าวว่า ภาชนะเป็นของฉัน" คนหนึ่งพูดว่า "เด็กเป็นของฉันเพราะฉันกล่าวว่า สิ่งที่มีอยู่ในภาชนะเป็นของฉันทีเดียว."
---หญิงทั้งสองนั้นเถียงกัน ไปสู่ศาลวินิจฉัยแล้ว แจ้งเนื้อความนั้น เมื่อพวกอำมาตย์ไม่สามารถจะวินิจฉัยได้ จึงได้ไปสู่สำนักพระราชา.
---พระราชาทรงสดับคำของหญิงทั้งสองนั้น จึงตรัสว่า "เจ้าจงเอาเด็ก เจ้าจงเอาภาชนะ."
---ก็หญิงผู้ที่ได้เด็ก ได้เป็นอุปัฏฐายิกาของพระมหากัจจายนเถระ เพราะเหตุนั้น หญิงนั้นจึงเลี้ยงทารกนั้นไว้ ด้วยคิดว่า "จักให้เด็กนี้บวชในสำนักของพระเถระ."
*เหตุที่เด็กนั้นได้รับตั้งชื่อว่าชฎิละ
---ผมของเด็กนั้นได้ปรากฏรุงรัง เพราะมลทินแห่งครรภ์อันเขาล้างออกไม่หมด ในวันที่เด็กนั้นเกิด.
---เพราะเหตุนั้น ชนทั้งหลายจึงตั้งชื่อเขาว่า "ชฎิละ" นั้นแหละ.
---ในเวลาที่เขาเดินได้ พระเถระเข้าไปสู่เรือนนั้นเพื่อบิณฑบาต.
---อุบาสิกานิมนต์พระเถระให้นั่งแล้ว ได้ถวายอาหาร.
---พระเถระเห็นเด็ก จึงถามว่า "อุบาสิกา ท่านได้เด็กหรือ"
---อุบาสิกาเรียนว่า "ได้ เจ้าค่ะ, ดิฉันเลี้ยงเด็กนี้ไว้ด้วยหวังว่า ‘จักให้บวชในสำนักของท่าน’ ขอท่านจงให้เขาบวช" ดังนี้แล้ว ได้ถวายแล้ว.
*พระมหากัจจายนะรับเด็กไปมอบให้อุปัฏฐาก
---พระเถระรับว่า "ดีละ" แล้วพาเด็กนั้นไป ตรวจดูว่า "บุญกรรมที่จะเสวยสมบัติของคฤหัสถ์ของเด็กนี้ มีอยู่หรือหนอแล" คิดว่า "สัตว์ผู้มีบุญมาก จักเสวยสมบัติใหญ่, เด็กนี้ยังเล็กนัก แม้ญาณของเขาก็ยังไม่ถึงความแก่รอบ" จึงได้พาเด็กนั้นไปสู่เรือนของอุปัฏฐากคนหนึ่ง ในกรุงตักกสิลา.
---อุปัฏฐากนั้นไหว้พระเถระแล้วยืนอยู่ เห็นเด็กนั้นแล้วเรียนถามว่า "ท่านได้เด็กหรือ ขอรับ"
---พระเถระตอบว่า "เออ อุบาสก เขาจักบวช แต่ยังเป็นเด็กเล็กนัก จงอยู่ในสำนักของท่านเถิด."
---อุบาสกนั้นรับว่า "ดีละ ขอรับ" แล้วตั้งเด็กไว้ในฐานะเพียงดังบุตรบำรุงแล้ว.
---ก็สินค้าในเรือนของอุบาสกนั้น เป็นของที่สั่งสมไว้แล้วสิ้น ๑๒ ปี. เขาไปสู่ระหว่างแห่งบ้าน นำเอาสินค้าแม้ทั้งหมดไปสู่ตลาด ให้เด็กนั่งในตลาดแล้ว บอกราคาแห่งสินค้านั้นๆ แล้วกล่าวว่า "เจ้าพึงถือเอาทรัพย์ชื่อมีประมาณเท่านี้ แล้วจึงให้สิ่งนี้และสิ่งนี้" ดังนี้แล้วหลีกไป.
*เทพดาช่วยให้เด็กขายของได้หมด
---ในวันนั้น เทพดาผู้รักษาพระนคร ทำให้ชนผู้มีความต้องการ (ด้วยวัตถุ) โดยที่สุดแม้สักว่าพริกและผักชี ให้บ่ายหน้าไปสู่ตลาดของเด็กเท่านั้น.
---เด็กนั้นขายสินค้าที่สะสมไว้สิ้น ๑๒ ปี (หมด) โดยวันเดียวเท่านั้น.
---กุฎุมพีมาไม่เห็นอะไรๆ ในตลาด จึงกล่าวว่า "พ่อ สินค้าทั้งหมด เจ้าให้ฉิบหายเสียแล้วหรือ."
---เด็กตอบว่า "ฉันไม่ได้ให้สินค้าฉิบหาย ฉันขายสินค้าทั้งหมดตามนัยที่ท่านบอกไว้แล้วนั่นแหละ, นี้เป็นค่าของสินค้าชื่อโน้น นี้เป็นค่าของสินค้าชื่อโน้น."
---กุฎุมพีปลื้มใจ คิดว่า "บุรุษที่หาค่ามิได้สามารถ เพื่อจะเป็นอยู่ในที่ใดที่หนึ่งได้" จึงให้ลูกสาวผู้เจริญวัยแล้วในเรือนของตนแก่เขา สั่งพวกบุรุษว่า "พวกเจ้าจงสร้างเรือนแก่เขา"
---เมื่อเรือนสำเร็จแล้ว จึงบอกว่า "พวกเจ้าจงไป จงอยู่ในเรือนของตน."
*ชฎิลกุมารได้เป็นเศรษฐีเพราะภูเขาทองผุดใกล้เรือน
---ครั้นในเวลาที่ชฎิลกุมารนั้นเข้าไปสู่เรือน เมื่อธรณีประตูพอเขาเหยียบแล้วด้วยเท้าข้างหนึ่ง ภูเขาทองประมาณ ๘๐ ศอก ชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นแล้ว ณ ที่ส่วนอันมีข้างหลังเรือน.
---พระราชาพอสดับว่า "ข่าวว่า ภูเขาทองชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นใกล้เรือนของชฎิลกุมาร" จึงทรงส่งฉัตรสำหรับเศรษฐีไปประทานแก่เขา.
---เขาได้เป็นผู้มีชื่อว่า ชฎิลเศรษฐี.
---เขาได้บุตร ๓ คน.
*ชฎิลเศรษฐีให้บุรุษเที่ยวสืบหาเศรษฐีที่เสมอกับตน
---เขายังจิตให้เกิดขึ้นในการบวช ในเวลาที่บุตรเหล่านั้นเจริญวัยแล้ว คิดว่า
---"ถ้าตระกูลเศรษฐีที่มีโภคะเสมอด้วยเราทั้งหลายจักมีไซร้ บุตรทั้งหลายก็จักให้บวชได้, ถ้าไม่มีไซร้ บุตรทั้งหลายก็จักไม่ให้, ในชมพูทวีป ตระกูลที่มีโภคะเสมอด้วยเราทั้งหลาย มีอยู่หรือหนอ"
---จึงให้ช่างทำอิฐที่สำเร็จด้วยทองคำ ด้ามปฏักที่สำเร็จด้วยทองคำ และเขียงเท้าที่สำเร็จด้วยทองคำ เพื่อต้องการจะทดลองดู ให้ในมือของบุรุษทั้งหลายแล้ว ส่งไปว่า "พวกเจ้าจงไป จงถืออิฐที่สำเร็จด้วยทองคำเป็นต้นเหล่านี้ ทำเป็นเหมือนแลดูอะไรๆ นั่นเทียว เที่ยวไปในพื้นชมพูทวีป รู้ความที่ตระกูลแห่งเศรษฐีที่มีโภคะเสมอด้วยเรามีอยู่หรือไม่มีแล้ว จงมา.
---" บุรุษเหล่านั้นเที่ยวจาริกไปถึงภัททิยนคร.
*พวกบุรุษพบเมณฑกเศรษฐี
---ครั้งนั้น เมณฑกเศรษฐีเห็นบุรุษเหล่านั้นแล้ว ถามว่า "พ่อทั้งหลาย พวกท่านเที่ยวไปทำอะไรกัน" เมื่อพวกเขาบอกว่า "พวกฉันเที่ยวดูของสิ่งหนึ่ง" รู้ว่า "กิจด้วยการถืออิฐที่สำเร็จด้วยทองคำเป็นต้นเหล่านี้เที่ยวไป เพื่อจะตรวจดูสิ่งอะไรๆ นั่นแหละ ของบุรุษเหล่านี้ ย่อมไม่มี, บุรุษเหล่านี้เที่ยวสืบสวนดูเศรษฐี" จึงกล่าวว่า "พ่อทั้งหลาย พวกท่านจงเข้าไปตรวจดูหลังเรือนของเรา."
---บุรุษเหล่านั้นเห็นแพะทองคำทั้งหลาย มีประการดังกล่าวแล้วในหนหลัง มีขนาดเท่าช้าง ม้า และโคอุสุภะ ซึ่งเอาหลังจดหลัง ชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นแล้วในที่ประมาณ ๘ กรีส ที่หลังเรือนนั้นแล้ว เที่ยวไปในระหว่างๆ แพะเหล่านั้นแล้วออกไป.
---ลำดับนั้น เศรษฐีถามบุรุษเหล่านั้นว่า "พ่อทั้งหลาย พวกท่านเที่ยวไปตรวจดูผู้ใด, ผู้นั้น พวกท่านเห็นแล้วหรือ" เมื่อพวกเขากล่าวว่า "เห็น นาย" จึงส่งไปแล้วด้วยพูดว่า "ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงไป."
---บุรุษเหล่านั้นไปจากที่นั้นนั่นแหละแล้ว เมื่อเศรษฐีของตนพูดว่า "พ่อทั้งหลาย ตระกูลเศรษฐีที่มีโภคะเสมอเราทั้งหลาย พวกเจ้าเห็นแล้วหรือ" บอกว่า "นาย ท่านจะมีอะไร สมบัติชื่อเห็นปานนี้ของเมณฑกเศรษฐีมีอยู่ ในภัททิยนคร" แล้วบอกเรื่องราวนั้นทั้งหมด.
*ชฎิลเศรษฐีให้สืบเสาะเป็นครั้งที่ ๒
---เศรษฐีฟังคำนั้นแล้ว เป็นผู้มีใจแช่มชื่น คิดว่า "ตระกูลเศรษฐี เราได้ไว้ก่อนแล้วตระกูลหนึ่ง, ตระกูลเศรษฐีแม้อื่นอีกมีอยู่หรือหนอ" แล้วให้ผ้ากัมพลมีค่าได้แสนหนึ่ง ส่งไปว่า "พ่อทั้งหลาย พวกเจ้าจงไป จงเสาะหาตระกูลเศรษฐีแม้อื่น."
---พวกเขาไปสู่กรุงราชคฤห์แล้ว ทำกองฟืนในที่ไม่ไกลแต่เรือนของโชติกเศรษฐี ติดไฟแล้วได้ยืนอยู่.
---ก็ในเวลาพวกชนถามว่า "นี้อะไรกัน" ก็บอกว่า "เมื่อพวกฉันจะขายผ้ากัมพลซึ่งมีค่ามากผืนหนึ่ง ผู้ซื้อไม่มี พวกฉันแม้จะถือเที่ยวไปอยู่ ก็กลัวโจร เพราะเหตุนั้น พวกฉันจักเผามันเสีย แล้วจึงจักไป."
*พวกบุรุษพบโชติกเศรษฐี
---ครั้งนั้น โชติกเศรษฐีเห็นพวกเขาจึงถามว่า "พวกนี้ทำอะไรกัน" ฟังเนื้อความนั้นแล้ว ให้เรียกมาถามว่า "ผ้ากัมพลมีค่าเท่าไร" เมื่อพวกเขาบอกว่า "มีค่าแสนหนึ่ง" จึงสั่งให้ๆ ทรัพย์แสนหนึ่ง บอกว่า "พวกท่านจงให้ (ผ้าผืนนั้น) แก่ทาสีผู้กวาดซุ้มประตูเทหยากเยื่อ" แล้วส่งให้ในมือของพวกเขานั่นแล.
---ทาสีนั้นรับเอาผ้ากัมพลแล้วร้องไห้ ไปสู่สำนักของนาย บอกว่า "นาย เมื่อความผิดมีอยู่ ประหารดิฉันเสีย ไม่ควรหรือ เพราะเหตุไร จึงส่งผ้ากัมพลเนื้อหยาบอย่างนี้แก่ดิฉัน ดิฉันจักนุ่งหรือจักห่มผ้ากัมพลผืนนี้อย่างไรได้"
---โชติกเศรษฐี. ฉันมิได้ส่งไปให้เจ้าเพื่อประโยชน์แก่การนุ่งหรือการห่มนั่น แต่ส่งผ้ากัมพลผืนนั้นไปให้เจ้า เพื่อต้องการจะให้พับเข้าแล้ววางไว้ใกล้ที่นอนของเจ้า ในเวลาจะนอน เช็ดเท้าที่ล้างแล้วด้วยน้ำหอม (ต่างหาก) เจ้าไม่อาจทำกิจแม้นั่นได้หรือ
---ทาสีนั้นกล่าวว่า "ถ้ากระนั้น ดิฉันอาจเพื่อจะทำกิจนั่นได้" จึงได้รับเอาไปแล้ว.
---ฝ่ายบุรุษเหล่านั้นเห็นเหตุนั้นแล้ว จึงไปสู่สำนักเศรษฐีของตน เมื่อเศรษฐีกล่าวว่า "พ่อทั้งหลาย ตระกูลแห่งเศรษฐีอันพวกเจ้าเห็นแล้วหรือ" เรียนว่า "นาย ท่านจะมีอะไร สมบัติชื่อเห็นปานนี้ของเศรษฐีชื่อโชติกะ มีอยู่ในกรุงราชคฤห์" จึงบอกสมบัติในเรือนทั้งหมด แล้วบอกเรื่องราวนั้น.
---เศรษฐีฟังคำของบุรุษเหล่านั้นแล้วมีใจยินดี คิดว่า "บัดนี้ เราจักได้บวช" จึงไปสู่สำนักของพระราชา กราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์มีประสงค์จะบวช."
---พระราชาตรัสว่า "ดีละ มหาเศรษฐี ท่านจงบวชเถิด."
---เศรษฐีนั้นไปสู่เรือนแล้ว ให้เรียกบุตรทั้งหลายมาแล้ว วางจอบมีด้ามเป็นทองคำ ตัวจอบเป็นเพชร ไว้ที่มือของบุตรคนใหญ่แล้ว กล่าวว่า "พ่อ เจ้าจงขุดเอาลิ่มทองจากภูเขาทองที่หลังเรือน." ลูกชายคนใหญ่นั้นถือเอาจอบไปสับภูเขาทอง.
---เวลาเขาสับภูเขาทองนั้น ได้เป็นเหมือนเวลาที่เขาสับที่หินดาดฉะนั้น.
---เศรษฐีรับจอบจากมือของลูกชายคนใหญ่นั้น ส่งให้ในมือของลูกชายคนกลาง.
---แม้ลูกชายคนกลางแม้นั้น สับภูเขาทองอยู่ เวลาเขาสับนั้น ได้เป็นเหมือนเวลาที่เขาสับหินดาดฉะนั้น.
---ลำดับนั้น เศรษฐีจึงส่งจอบนั้นให้ในมือของลูกชายคนเล็ก.
---เมื่อลูกชายคนเล็กนั้น รับเอาจอบนั้นฟันอยู่ เวลาที่เขาฟันนั้น ได้เป็นเหมือนเวลาที่เขาสับดินเหนียวที่เขาทำให้เป็นกองไว้ฉะนั้น.
---ลำดับนั้น เศรษฐีจึงกล่าวกะลูกชายคนเล็กนั้นว่า "มาเถิดพ่อ พอละ ด้วยทรัพย์ประมาณเท่านี้" แล้วให้เรียกพี่ชาย ๒ คนนอกนี้มาแล้ว บอกว่า "ภูเขาทองลูกนี้ ไม่ใช่เกิดเพื่อพวกเจ้า เกิดขึ้นเพื่อพ่อและลูกชายคนเล็ก พวกเจ้าจงใช้สอยรวมกันกับลูกชายคนเล็กนี้เถิด."
---ถามว่า " ก็เพราะเหตุไร ภูเขาทองนั้นจึงเกิดเพื่อบิดาและลูกชาย คนเล็กเท่านั้น เพราะเหตุไร ชฎิลเศรษฐีจึงถูกโยนลงไปในน้ำในเวลาเกิดแล้ว"
---แก้ว่า เพราะกรรมที่ตนทำแล้วนั่นเอง.
*บุรพกรรมของชฎิลเศรษฐี
---ความพิสดารว่า เมื่อมหาชนกำลังสร้างพระเจดีย์ของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ พระขีณาสพองค์หนึ่งไปสู่เจติยสถาน แลดูแล้วถามว่า "พ่อทั้งหลาย เพราะเหตุไร มุขทางทิศอุดรแห่งเจดีย์ จึงยังไม่ก่อขึ้น"
---มหาชน. ทองยังไม่พอ.
---พระขีณาสพ. ฉันจักเข้าไปสู่ภายในบ้านแล้วชักชวน, พวกท่านจงทำกรรมโดยเอื้อเฟื้อเถิด.
---ท่านกล่าวอย่างนั้นแล้วเข้าไปสู่พระนคร ชักชวนมหาชนว่า "แม่และพ่อทั้งหลาย ทองที่หน้ามุขข้างหนึ่งแห่งพระเจดีย์ของพวกเรา ยังไม่พอ พวกท่านจงรู้ทองเถิด" ได้ไปสู่ตระกูลแห่งนายช่างทองแล้ว.
---ฝ่ายนายช่างทองกำลังนั่งทะเลาะกับภรรยาอยู่ ในขณะนั้นเอง.
---ครั้งนั้น พระเถระกล่าวกะเขาว่า "ทองสำหรับหน้ามุขที่พระเจดีย์ อันท่านทั้งหลายรับไว้ยังไม่พอ, การที่ท่านรู้ทองนั้นย่อมควร.
---เขากล่าวด้วยความโกรธต่อภรรยาว่า "ท่านจงโยนพระศาสดาของท่านลงในน้ำแล้วไปเสีย".
---ลำดับนั้น นางจึงกล่าวกะเขาว่า "ท่านทำกรรมอย่างสาหัสยิ่ง ท่านโกรธดิฉัน ควรจะด่าหรือควรจะเฆี่ยนดิฉันเท่านั้น, เหตุไฉน ท่านจึงทำเวรในพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีตอนาคตและปัจจุบันเล่า" ทันใดนั้นเอง นายช่างทองเป็นผู้ถึงความสลดใจแล้ว กล่าวว่า "ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงอดโทษแก่กระผม" แล้วหมอบลงแทบเท้าของพระเถระ.
---พระเถระ. โยม ฉันหาถูกท่านว่ากล่าวอะไรๆ ไม่ ท่านจงยังพระศาสดาให้อดโทษเถิด.
---นายช่างทอง. ท่านเจ้าข้า กระผมจะทำอย่างไรเล่า จึงจะให้พระศาสดาอดโทษได้
---พระเถระ. ท่านจงทำหม้อดอกไม้ทองคำ ๓ หม้อ บรรจุเข้าไว้ภายในที่บรรจุพระธาตุแล้ว เป็นผู้มีผ้าชุ่ม มีผมชุ่ม ยังพระศาสดาให้อดโทษเถิด โยม.
---เขารับว่า "ดีละ ขอรับ" แล้วเมื่อจะทำดอกไม้ทองคำ ให้เรียกบุตรชายคนใหญ่ในบุตร ๓ คนมาแล้ว กล่าวว่า "มานี่แน่ะ พ่อ, พ่อได้กล่าวกะพระศาสดาด้วยคำเป็นเวร เพราะฉะนั้น พ่อจักทำดอกไม้เหล่านี้ บรรจุในที่บรรจุพระธาตุ ให้พระศาสดาอดโทษ, แม้เจ้าแล ก็จงเป็นสหายของเรา."
---ลูกชายคนใหญ่นั้นบอกว่า "พ่ออันฉันใช้ให้กล่าวคำเป็นเวร หามิได้ พ่อทำแต่ลำพังเถิด" แล้วไม่ปรารถนาจะทำ.
---ช่างทองให้เรียกลูกชายคนกลางมาแล้ว กล่าวเหมือนอย่างนั้น. แม้ลูกชายคนกลางนั้น ก็กล่าวเหมือนอย่างนั้น แล้วไม่ปรารถนาจะทำ.
---เขาจึงให้เรียกลูกชายคนเล็กมาแล้ว ก็กล่าว (เหมือนอย่างนั้น).
---ลูกชายคนเล็กนั้นคิดว่า "ธรรมดาว่ากิจที่เกิดขึ้นแก่บิดา ย่อมเป็นภาระของบุตร" จึงเป็นสหายของบิดา ได้ทำดอกไม้ทั้งหลายแล้ว.
---นายช่างทองยังหม้อดอกไม้ขนาดคืบหนึ่ง ๓ หม้อ ให้สำเร็จแล้วบรรจุในที่บรรจุพระธาตุ มีผ้าชุ่ม มีผมชุ่ม ยังพระศาสดาให้อดโทษแล้ว.
---เขาได้ถูกโยนลงไปในน้ำในเวลาเกิดถึง ๗ ครั้ง ด้วยประการฉะนี้.
---ก็อัตภาพของเขาที่ตั้งอยู่แล้วในที่สุดนี้ แม้ในบัดนี้ ก็ถูกโยนลงไปในน้ำ เพราะผลของกรรมนั้นเหมือนกัน.
---ส่วนบุตรของเขาสองคนใด ไม่ปรารถนาจะเป็นสหายในเวลาทำดอกไม้ทองคำ เพราะเหตุนั้น ภูเขาทองจึงไม่เกิดสำหรับบุตรทั้งสองนั้น แต่เกิดสำหรับลูกชายคนเล็ก เพราะความที่เขาทำดอกไม้ทองคำร่วมกัน (กับบิดา).
*ชฎิลเศรษฐีออกบวชได้บรรลุพระอรหัต
---เศรษฐีนั้นพร่ำสอนบุตรแล้ว บวชในสำนักพระศาสดา บรรลุพระอรหัตแล้วโดย ๒-๓ วันเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
---โดยสมัยอื่น พระศาสดาเสด็จเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป ได้เสด็จไปสู่ประตูเรือนของบุตรทั้งหลายของเศรษฐีนั้น.
---บุตรเหล่านั้นได้ถวายภิกษาหารแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ตลอดกึ่งเดือน.
---ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า "ชฎิล ผู้มีอายุ แม้ในวันนี้ ความทะยานอยากในภูเขาทองประมาณ ๘๐ ศอก และในบุตรทั้งหลายของท่านมีอยู่หรือ"
---พระชฎิล. ผู้มีอายุ ตัณหาหรือมานะในภูเขาทองและบุตรเหล่านั้นของผม ย่อมไม่มี.
---ภิกษุเหล่านั้นจึงกล่าวว่า "พระชฎิลเถระนี้ พูดไม่จริง พยากรณ์พระอรหัตผล."
---พระศาสดาทรงสดับคำของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ตัณหาหรือมานะในภูเขาทองและบุตรเหล่านั้นของบุตรของเรา ย่อมไม่มี" ดังนี้แล้ว
*พระเจ้าอชาตศัตรูจะยึดเอาบ้านเศรษฐี
---ฝ่ายพระเจ้าอชาตศัตรูกุมารสมคบกับพระเทวทัต ปลงพระชนม์พระราชบิดา ดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้ว ทรงดำริว่า "เราจักยึดเอาปราสาทของโชติกเศรษฐี" จึงทรงเตรียมการรบแล้วเสด็จออกไป พอทอดพระเนตรเห็นพระฉายของพระองค์ พร้อมด้วยบริวารที่กำแพงแก้ว เข้าพระทัยว่า "คฤหบดี เป็นผู้เตรียมการรบคุมพลออกมาแล้ว" จึงไม่ทรงสามารถจะเสด็จเข้าไปได้.
---ในวันนั้น แม้เศรษฐีเป็นผู้รักษาอุโบสถ บริโภคอาหารเช้าแต่เช้าตรู่ ไปสู่วิหาร นั่งฟังธรรมอยู่ในสำนักของพระศาสดา.
---ส่วนยักษ์ชื่อยมโมลี ผู้ยึดการรักษายืนอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๑ เห็นพระเจ้าอชาตศัตรูนั้น จึงถามว่า "ท่านจะไปไหน" แล้วกำจัดพระเจ้าอชาตศัตรูพร้อมด้วยราชบริพาร ติดตามไปในทิศใหญ่ทิศน้อยทั้งหลาย.
---พระราชาได้เสด็จไปสู่วิหารแล้วเหมือนกัน.
---ครั้งนั้น เศรษฐีพอเห็นท้าวเธอ จึงทูลว่า "เรื่องอะไรกัน พระเจ้าข้า" ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ ยืนอยู่แล้ว.
---พระราชา. คฤหบดี ท่านบังคับพวกบุรุษของท่านว่า "จงรบกับเรา" แล้วมาในที่นี้ นั่งทำเป็นเหมือนฟังธรรมอยู่หรือ
---เศรษฐี. ก็สมมติเทพ เสด็จไปเพื่อยึดเอาเรือนของข้าพระองค์ มิใช่หรือ
---พระราชา. เออ เราไป.
---เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ แม้พระราชาตั้งพัน ก็ไม่สามารถเพื่อจะยึดเอาเรือนของข้าพระองค์ได้ เพราะข้าพระองค์ไม่ปรารถนา.
*พระราชาทรงถอดแหวนไม่ออก
---ท้าวเธอกริ้วว่า "ก็ท่านจักเป็นพระราชาหรือ"
---เศรษฐี. ข้าพระองค์ไม่เป็นพระราชา แต่พระราชาหรือโจรไม่สามารถจะถือเอาแม้เส้นด้ายที่ชายผ้าอันเป็นของข้าพระองค์ได้ เพราะข้าพระองค์ไม่ปรารถนา.
---พระราชา. ก็ฉันจักถือเอาตามความพอใจของท่านได้ อย่างไร
---เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าอย่างนั้น แหวน ๒๐ วงเหล่านี้ ที่นิ้วมือทั้ง ๑๐ ของข้าพระองค์มีอยู่, ข้าพระองค์ไม่ถวายแหวนเหล่านี้แก่พระองค์ ถ้าพระองค์ทรงสามารถไซร้ ขอพระองค์จงทรงถือเอาเถิด.
---ก็พระราชานั้นประทับนั่งกระโหย่งบนพื้น เมื่อจะทรงกระโดด ย่อมทรงกระโดดขึ้นสู่ที่ ๑๘ ศอกได้, ประทับยืน เมื่อจะทรงกระโดด ย่อมทรงกระโดดขึ้นสู่ที่ ๘๐ ศอกได้.
---พระราชาแม้ทรงมีพระกำลังมากอย่างนี้ ทรงกระโดดไปมาอยู่ข้างโน้นและข้างนี้ ก็ไม่ทรงสามารถเพื่อจะถอดแม้ซึ่งแหวนวงหนึ่งได้.
*เศรษฐีสลดใจใคร่จะบวช
---ลำดับนั้น เศรษฐีกราบทูลกะท้าวเธอว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ทรงลาดผ้าสาฎก" แล้วได้ทำนิ้วทั้งหลายให้ตรง.
---แหวนแม้ทั้ง ๒๐ วง หลุดออกแล้ว.
---ลำดับนั้น เศรษฐีกราบทูลท้าวเธอว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ใครๆ ไม่สามารถเพื่อจะถือเอาทรัพย์สมบัติอันเป็นของข้าพระองค์ด้วยอาการอย่างนั้นได้ เพราะข้าพระองค์ไม่ปรารถนา" ดังนี้แล้ว เกิดสลดใจเพราะพระกิริยาของพระราชา จึงกราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงทรงอนุญาตเพื่อการบวชแก่ข้าพระองค์."
---ท้าวเธอทรงดำริว่า "เมื่อเศรษฐีนี้บวชแล้ว เราจักยึดเอาปราสาทได้สะดวก" จึงตรัสว่า "จงบวชเถิด" ด้วยพระดำรัสคำเดียวเท่านั้น.
---เศรษฐีนั้นบวชในสำนักพระศาสดาแล้ว ต่อกาลไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต มีชื่อว่าพระโชติกเถระ.
---ในขณะที่ท่านบรรลุพระอรหัตแล้วนั่นแล สมบัตินั้นแม้ทั้งหมดก็อันตรธานไป.
---พวกเทพดาก็นำภรรยาของเศรษฐีนั้น ชื่อสตุลกายา แม้นั้นไปสู่อุตตรกุรุทวีปนั่นแล.
*พวกภิกษุเข้าใจว่าพระเถระอวดอุตริมนุสธรรม
---ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายเรียกพระโชติกเถระนั้นมาแล้ว ถามว่า "โชติกะผู้มีอายุ ก็ตัณหาในปราสาทหรือในหญิงนั้นของท่านยังมีอยู่หรือ เมื่อท่านบอกว่า "ไม่มี ผู้มีอายุทั้งหลาย" จึงกราบทูลแด่พระศาสดาว่า "พระเจ้าข้า พระโชติกะนี้ กล่าวไม่จริง พยากรณ์พระอรหัตผล." ดังนี้แล.
...................................................................................
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พราหมณวรรคที่ ๒๖
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 25 สิงหาคม 2558
ความคิดเห็น