กล่าวถึงมานะ ๙ ประการนี้
---ก็จัดอยู่ในความเห็นเหมือนกัน ความเห็นผิด....แปลว่าการถือตัว ถือเรา ถือเขา ถือหมู่คณะ ถือตัวเองเหล่านี้แหละ ถือว่าเป็นมานะทิฐิ เป็นมานะความถือตัว ถือสายโน้นสายนี้
---ของอาจารย์ตนนั้นแหละ.........
*วรรคแรกเรียกว่า
---๑.ตนเป็นผู้เลิศกว่าเขา ก็สำคัญตนว่า เลิศกว่าเขา
---๒.ตนเป็นผู้เลิศกว่าเขา ก็สำคัญตนว่า เสมอเขา
---๓.ตนเป็นผู้เลิศกว่าเขา ก็สำคัญตนว่า เลวกว่าเขา
*วรรคที่สอง ต่อมา
---๔.ตัวเป็นผู้เสมอเขา ก็สำคัญว่าตัว เลิศกว่าเขา
---๕.ตัวเป็นผู้เสมอเขา ก็สำคัญว่าตัว เสมอเขา
---๖.ตัวเป็นผู้เสมอเขา ก็สำคัญว่าตัว เลวกว่าเขา
*วรรคที่สาม ต่อมา
---๗.ตัวเป็นคนเลวกว่าเขา ก็สำคัญว่า เลิศกว่าเขา
---๘.ตัวเป็นคนเลวกว่าเขา ก็สำคัญว่า เสมอเขา
---๙.ตัวเป็นคนเลวกว่าเขา ก็สำคัญว่า เลวกว่าเขา
---เป็น ทิฐิเป็นมานะทั้งสิ้นเลย คือมีความสำคัญมั่นหมาย มีอัตตาตัวตนเข้ารองรับอยู่ จึงเป็นมานะทิฐิให้ถอดทิ้งทั้งหมด ให้วางทิ้งให้ปล่อยวาง ระหว่างฟังธรรมก็ดี ระหว่างประพฤติธรรมกรรมฐานก็ดี อย่าสำคัญมั่นหมายว่าตัวเองเป็นอะไรทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงธาตุ๔ ขันต์ ๕ มาประชุมกันเท่านั้น ให้สำคัญมั่นหมายว่า ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่ในนั้น นี่ถอดทิ้งไปหมด ถึงจะเรียกว่า ทิฏฐิวิสุทธิ หมดจดเรื่องความเห็น
---ส่วนมากแล้วนั่นน่ะ จะถือทิฐิมานะร้ายแรงมาก เข้าหมู่เข้าคณะไม่ได้ แตกความสามัคคีก็เพราะตัวมานะทิฐิเหล่านี้แหละ ร่วมคณะร่วมวงศ์ไม่ได้ก็เพราะมานะทิฐิ
---ทีนี้จะกล่าวเรื่องที่ว่า ความเห็น หรือ ทิฐิอันจองหอง ยิ่งร้ายกาจเข้าไปอีก เป็นทิฐิอันลามก เป็นอวิชชาธาตุ ที่ดึงหรือคล้องใจสรรพสัตว์ทั้งหลายเอาไว้ในภพ ตลอดกาลตลอดชาติ
---อหังการ ข้อที่หนึ่งท่านเรียก อหังการ ตัวนี้เรียกว่าการจองหอง พองตัว อวดเก่ง ตำรา ยศถาบรรดาศักดิ์ ใครเห็นผิดจากตำราเป็นตอกหน้าเจ้าเลยมี กฏเกณฑ์ สุดดี สุดชั่ว คือมองหาแต่ดีแต่ชั่ว เป็นเครื่องวัดบุคคลอื่นๆอยู่ร่ำไป มีวิสัยจับผิดแต่คนอื่น ไม่จับผิดตัวเอง นี่ตัว อหังการ เป็นทิฐิ เป็นมานะทิฐิอันร้ายแรงเหมือนกัน
---มมังการ ข้อที่สอง ทีนี้ มมังการ การจองหองเหยียบย่ำคนอื่น อยู่ในทิฐิที่เรียกว่า ยินดีลำพองผยองขน อวดแต่ตัวยกยอปอปั้นตัวเองอยู่ร่ำไป มีใจทะนงไม่ลงหัวให้แก่ใครๆ ไม่ยอมก้มหัวให้แก่ใครๆทั้งสิ้น นี่เรียกว่าร้ายแรงมาก
---ปลังการ ข้อที่สามปลังการ การจองหอง เป็นคนหัวหมอปรัมปรา มีไหวพริบพลิกแพลง มีชั้นเชิงอันร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม พูดมากเถียงมากมีความเห็นมาก อะไรทำนองนี้แหละ ล้วนแต่เป็นทิฐิ ชอบพูดเพ้อเจ้อ เหลวไหลต่างๆนานา เรียกว่าติดอยู่ในจารีตประเพณีที่ตัวเองเคยประพฤติปฏิบัติมา อันนี้ถ้าใครถอดทิ้งได้ จึงจะเรียกว่า ทิฏฐิวิสุทธิ หมดจดแห่งความเห็นนี้เป็นข้อที่สาม..ในวิสุทธิ ๗
*ทิฐิ ๑๐ ประการ นี้ก็มีว่า...
---๑.โลกเที่ยง
---๒.โลกไม่เที่ยง
---๓.โลกมีที่สิ้นสุด
---๔.โลกไม่มีที่สิ้นสุด
---๕.ชีพอันหนึ่งสรีระก็อันหนึ่ง
---๖.ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น
---๗.สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วไม่เกิดอีก
---๘.สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วก็เกิดอีก
---๙.สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วเกิดอีกก็มีไม่เกิดอีกก็มี
---๑๐.สัตว์เบื้องหน้าเมื่อตายแล้วจะหาเป็นอีกก็ไม่มีไม่เป็นอีกก็ไม่มี..
*สรุป...เป็น ๑๐ ข้อด้วยกัน ทิฐิร้ายแรงมาก ห้ามมรรค ผล นิพพาน...
....................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
ที่มา..พระคัมภีร์พระพุทธศาสนา
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 16 กันยายน 2558
ความคิดเห็น